นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รมว.พลังงาน เปิดเผยหลังการตรวจเยี่ยมกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ (ชธ.) ว่า ชธ.ได้รายงานความคืบหน้าการเจรจาสัมปทานปิโตรเลียมพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชาที่ยังมีปัญหาเรื่องการปักเขตแดน ดังนั้นเรื่องนี้จึงเห็นว่าคงต้องรอให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสรุปประเด็นดังกล่าวก่อน และการพัฒนาแหล่งก๊าซฯ ในพื้นที่นี้อาจต้องรอให้รุ่นลูก หลาน เหลนของคนไทยที่มีความพร้อมมาดำเนินการแทน
แม้ปัจจุบันประเทศไทยมีการพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมในพื้นที่ทับซ้อนไทย-มาเลเซียหรือเจดีเอของไทยและมาเลเซีย ก็แบ่งปันผลประโยชน์ร่วมกันอย่างลงตัว แต่ในส่วนของแหล่งปิโตรเลียมระหว่างไทย-กัมพูชา เมื่อประชาชนไม่ยอมรับก็ต้องรับฟังเสียงประชาชน ดังนั้น ชธ.ก็ต้องหาแหล่งก๊าซฯ อื่นมาแทนในอ่าวไทยที่จะทยอยหมดลงในอีก 10 ปีข้างหน้า ซึ่งขณะนี้บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ.ก็ได้มองหาแหล่งลงทุนต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น
ส่วนการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมครั้งที่ 21 ในอ่าวไทยและแหล่งบนบกนั้น ได้มอบให้ ชธ.ไปชี้แจงประชาชนให้เข้าใจเหตุผล รวมถึงการดูผลประโยชน์ที่จะตกแก่รัฐที่จะต้องเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ก่อนจะเปิดให้สัมปทานได้ ส่วนสัญญาสัมปทานปิโตรเลียมอ่าวไทย 2 แห่ง คือ เอราวัณของบริษัทเชฟรอน และบงกชของ ปตท.สผ.ที่จะหมดอายุสัมปทานในปีหน้านั้น ได้สั่งการให้ไปพิจารณารายละเอียดอย่างรอบคอบก่อนต่อสัญญา รวมถึงทำความเข้าใจประชาชนให้ทราบถึงหลักการและเหตุผล คาดว่าภายในเดือน ธ.ค.นี้จะสรุปได้
นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า ตนยังได้มอบนโยบายให้ ปตท.สผ.มุ่งเน้นการแสวงหาแหล่งพลังงานใหม่ๆ ในต่างประเทศ โดยเฉพาะในพม่าที่ยังมีโอกาสในการพัฒนาแหล่งใหม่ๆ ได้อีกมาก
นายทรงภพ พลจันทร์ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ (ชธ.) กล่าวว่า สาเหตุที่จะต้องพิจารณาต่ออายุสัมปทานในอ่าวไทย ทั้งที่สัญญาจะหมดลงปี 2565 ก็เนื่องจากหากไม่พิจารณาจะทำให้เกิดการหยุดชะงักงันในการลงทุน โดยเฉพาะในช่วง 5 ปีสุดท้ายของสัญญาของแต่ละบริษัทที่ได้รับสัมปทานในปัจจุบัน ซึ่งอาจเกิดความลังเล เพราะการลงทุนต่างๆ ต้องใช้เวลา 3-5 ปี ซึ่ง 10 ปีที่เหลือ (ปี 2556-2565) เชฟรอนและ ปตท.สผ.จะต้องลงทุนด้านต่างๆ ถึงแสนล้านบาท.