กิตติรัตน์ยันรัฐบาลเดินหน้าโครงการรับจำนำข้าว โดยไม่ให้กระทบฐานะการคลัง หวังช่วยเพิ่มกำลังซื้อในประเทศ-ลดความเหลื่อมล้ำ ไม่ห่วงราคาน้ำมันตลาดโลกพุ่ง มั่นใจกองทุนน้ำมันฯ บริหารจัดการได้...
เมื่อวันที่ 12 ก.ค. นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง กล่าวถึงโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลว่า การคงราคารับจำนำข้าวเปลือกทุกเมล็ดที่ราคา 15,000 บาทต่อตันในขณะนี้นั้น รัฐบาลก็ยังคงมั่นใจว่า จะสามารถดูแลเกษตรกรผู้ปลูกข้าวได้ โดยไม่กระทบต่อฐานะการคลัง แม้จะมีหลายฝ่ายออกมาแสดงความเป็นห่วงต่อภาระทางการคลัง แต่ตัวเลขต่างๆ ก็ยืนยันชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นระดับหนี้สาธารณะที่อยู่ในเกณฑ์ที่ดีหรือการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลก็ยังสูงกว่าเป้าหมาย จึงไม่มีสัญญาณในทางลบแต่อย่างใด ขณะที่การดูแลเรื่องดุลภายนอกหรือดุลบัญชีเดินสะพัดก็อยู่ในกรอบที่มีความเหมาะสม แต่หากจะถามว่า นโยบายในการรับจำนำจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงโดยรับจำนำข้าวทุกเมล็ด 15,000 บาทต่อตันหรือไม่ คงไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจน
ความจริงเราก็จะปรับลดราคารับจำนำลงอยู่แล้วแต่เมื่อเรามีความพร้อมที่จะดูแลในราคาเดิมไปได้อีกระยะหนึ่ง ก็จะดูแลกันไปโดยต้องดูให้อยู่ในระดับที่พอดีและต้องเรียนว่า การดูแลประชาชนจำนวนมากเหล่านี้ ก็มีส่วนที่ทำให้เกิดกำลังซื้อที่ดี คุณภาพชีวิตที่ดี ลดความแตกต่างและความเหลื่อมล้ำให้น้อยลง ยืนยันว่าจะดูแลผู้ปลูกข้าวในระดับของการใช้งบประมาณที่เหมาะสมไม่มากไปหรือน้อยไป และรักษาในเรื่องของวินัยการคลังไว้ได้ ซึ่งเป็นหลักการของ รมว.คลัง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลังกล่าว
ส่วนราคาน้ำมันมีแนวโน้มจะปรับตัวสูงขึ้นมากกว่า 100 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลนั้น ในช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลได้ประคับประคองเรื่องของราคาน้ำมันขายปลีกผ่านกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งหากย้อนไปหลายเดือนก่อน กองทุนน้ำมันฯ มีสถานะติดลบเกือบ 30,000 ล้านบาท แต่ที่ผ่านมากองทุนน้ำมันฯได้ทำหน้าที่ในการรักษาเสถียรภาพระดับราคาได้ดี ทำให้สถานะเป็นบวกในปัจจุบัน ฉะนั้น หากจะมีภาวะที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกอยู่ในระดับที่สูงจากเหตุผลทางความสับสนทางการเมืองของผู้ผลิตน้ำมันสำคัญกองทุนน้ำมันฯ ก็คงจะช่วยดูแลได้เป็นอย่างดีในระยะเวลาที่พอสมควรและช่วยให้มีเสถียรภาพทางด้านของราคาได้
อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลจะเข้าไปช่วยผลกระทบด้านค่าครองชีพของประชาชน ก็คงจะไม่ใช่แนวทางเช่นเดียวกับที่ผ่านมา โดยรัฐบาลได้มีการวัดผลิตภาพของทรัพยากรบุคคลของไทยอย่างต่อเนื่อง และได้พบว่า หลังจากที่ได้มีนโยบายการปรับค่าจ้างค่าแรงขั้นต่ำ มีส่วนที่ช่วยให้มีการปรับปรุงผลิตภาพแรงงานและจะเห็นได้ว่า เมื่อแรงงานหรือทรัพยากรบุคคลมีผลิตภาพความสามารถในการที่จะให้ค่าตอบแทนให้กับบุคลากรเหล่านี้ก็ดีขึ้นไปเอง โดยที่ไม่ต้องไปกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำเพราะฉะนั้นในเวลานี้ก็คงจะมุ่งเน้นการเพิ่มผลิตภาพของแรงงาน
นายกิตติรัตน์ ยังกล่าวถึงแนวโน้มเศรษฐกิจโลกว่า ตนมองว่า เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มที่ดี แม้ว่าในระยะสั้นจะมีผลกระทบจากการดำเนินนโยบายในเรื่องของการเพิ่มปริมาณเงินที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างหรือในกรณีที่จีนจะเติบโตช้าลง แต่ก็มองว่าความผันผวนเหล่านี้เป็นเรื่องที่ยอมรับในระยะสั้นๆ เพราะทิศทางในระยะยาวกำลังดีขึ้น
ทั้งนี้ กรณีเศรษฐกิจสหรัฐฯ ก็มีสัญญาณที่ดูดีขึ้น อัตราการว่างงานที่เคยอยู่ในระดับที่สูงมาก ก็เริ่มมีทิศทางที่ดี ส่วนญี่ปุ่นเองซึ่งเคยอยู่ในภาวะที่ติดกับหรือการที่ไม่สามารถทำให้ประเทศเติบโตได้ โดยมีอัตราการถดถอยแทนที่จะมีเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่เทียบเคียงกับประเทศอื่นก็มีทิศทางที่ดีขึ้นเช่นเดียวกันฉะนั้น จึงมองว่า ในภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงของโลกมีความสมดุลที่ดีขึ้น
แม้ว่าจีนจะเติบโตช้าลงกว่าที่ได้คาดการณ์ แต่ต้องยอมรับว่า จีนเป็นประเทศที่เติบโตเร็วกว่าส่วนอื่นของโลกมาต่อเนื่องเป็นเวลาถึง 2 ทศวรรษ แต่การที่จีนถูกคาดการณว่า จะเติบโตช้าลงก็ยังเป็นการคาดการณ์ว่า จะโตมากเมื่อเทียบกับอัตราเฉลี่ยของโลก หรือเทียบกับระบบเศรษฐกิจที่สำคัญ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลังกล่าว
สำหรับแนวโน้มอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทยนั้น โดยส่วนตัวเห็นด้วยตามหน่วยงานอื่นๆ ที่มีการพยากรณ์กันว่าไทยจะมีอัตราการโตไม่ถึง 5% เพราะการที่เศรษฐกิจโลกจะโตช้าลงไปบ้างเราก็ต้องยอมรับตามความเป็นจริงแต่รัฐบาลก็จะทำงานให้หนักขึ้น ทั้งเรื่องของการบริหารจัดการเพื่อให้ผู้ลงทุนภาคเอกชนมีความมั่นใจหรือการใช้จ่ายภาครัฐที่ไม่ให้เกิดความล่าช้าหรือรั่วไหล รวมถึงการสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวประเด็นต่างๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่ยังทำได้.