รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ ยอมรับการโพสต์ข้อความเรื่องข้าวลงเฟซบุ๊กส่วนตัวของผู้บริหารทีวีบูรพากระทบต่อภาพลักษณ์ข้าวไทย และส่งผลต่อการระบายข้าวรัฐ  ยืนยันตรวจสอบเข้มงวด  ในขณะที่ผู้บริหาร "ข้าวตราฉัตร" แจงข้อความคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง  ด้าน "น้าเช็ค" โพสต์เฟซบุ๊กอีกรอบ ยืนยันไม่เคยคิดอยากแฉเบื้องหลังทุจริตจำนำข้าว ห่วงคนไทยกำลังถูกวางยา หากมีสารปนเปื้อนในข้าวจริง...

นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า จากการณีที่นายสุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ ผู้บริหาร บริษัท ทีวีบูรพา และผู้ดำเนินรายการ "คนค้นฅน" โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว โดยระบุว่า พบสารตกค้างที่ไม่สามารถละลายในน้ำได้ และอาจทำให้หนูตายใน 5 นาที ภายในโรงสีของ ส.ส.พรรคเพื่อไทย จำนวน 3 แห่ง ที่ตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พร้อมระบุยี่ห้อข้าวสารบรรจุถุงที่ไม่ควรซื้อมาบริโภค เพราะเป็นข้าวเก่าค้างสต๊อกต้นปี 2555 นั้น ในมุมมองของตนเชื่อว่าเป็นการสร้างข่าวของผู้ไม่หวังดี ทำลายระบบข้าวสาร การค้าและประเทศชาติ หากใครมีหลักฐานควรออกมาระบุว่า เหตุเกิดในพื้นที่ใด พร้อมระบุด้วยว่าเป็นข้าวยี่ห้อใด เพื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปตรวจสอบ ไม่ใช่มีปัญหาไม่ถึง 1% ​แล้วมาทำลายส่วนที่เหลือเกือบ 100%​ ว่าไม่ดี

ทั้งนี้ยอมรับว่าข่าวที่เกิดขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อการระบายข้าวรัฐ โดยยืนยันว่ารัฐบาลเข้มงวดตรวจสอบคุณภาพข้าว หากพบว่ามีการกระทำความผิดก็ต้องลงโทษ และได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบข้าวถุงที่รัฐได้อนุมัติให้จัดทำข้าวสารบรรจุถุงขายว่ามีคุณภาพตามมาตรฐานหรือไม่ เบื้องต้นยืนยันว่า ข้าวไทยมีคุณภาพ ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเพียงส่วนเล็กมากๆ เท่านั้น

ในขณะที่นายสุเมธ เหล่าโมราพร ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ซี.พี.อินเตอร์เทรด จำกัด ผู้ผลิตข้าวตราฉัตร กล่าวว่า ตนรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะข้อมูลที่ปรากฏบนเฟซบุ๊กของพิธีกรชื่อดังเป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง มีผลต่อภาพลักษณ์สินค้าและแบรนด์ข้าวตราฉัตร โดยยืนยันว่ากระบวนการผลิตข้าวตราฉัตร ได้รับการรับรองมาตรฐาน GMP และเครื่องหมาย อย. ส่วนข้าวสารที่นำมาผลิตเป็นข้าวบรรจุถุงตราฉัตรนั้นมาจากโรงสี 3 แห่งใน จ.กำแพงเพชร สุพรรณบุรี และซื้อตรงจากโรงสีในเครืออีก 40 แห่ง ไม่ได้นำข้าวสต๊อกจากโครงการรับจำนำข้าวมาจำหน่ายแต่อย่างใด

ด้านนายสุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ ผู้บริหารบริษัท ทีวีบูรพา และผู้ดำเนินรายการ คนค้นฅน โพสต์เฟซบุ๊กล่าสุดเมื่อเวลา 16.25 น. วันนี้ (10 ก.ค.) โดยระบุหัวข้อที่โพสต์ว่า สิ่งที่ผมยังไม่ได้โพสต์ "เรื่องข้าว" ซึ่งมีใจความว่า ตนไม่อยากขุดคุ้ยหรือแฉเบื้องหลังการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว และไม่เคยคิดอยากทำ ไม่มีความสุข และไม่มีความสามารถที่จะทำ 

โดยข้อความตอนหนึ่งระบุด้วยว่า “เป็นห่วงหากข่าวและข้อมูลที่ปรากฏอยู่จากการแชร์กันมาเป็นความจริง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อไปก็ไม่ต่างจากการวางยาพิษหมู่คนไทยค่อนประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาไม่มีใครออกมาแสดงความกังวลหรือแสดงเจตนารมณ์ที่จะทำความจริงในเรื่องดังกล่าวให้ปรากฏ กระทั่งข้าวออกสู่ตลาด หรือออกสู่ท้องตลาดมาแล้วเท่าไหร่ก็ไม่รู้ หากเป็นเช่นนี้จะเป็นการก่อบาปครั้งใหญ่มากของสังคมไทย หลังจากเราทำต่อกันมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน หากกุศลเจตนาของผมที่อยากให้ใรก่อบาปต่อใครเป็นเรื่องผิด ผมก็ยอมรับ ซึ่งผมถามตัวเองว่า ถ้าผมเป็นพ่อค้าข้าวที่ขายข้าวให้คนกิน ผมจะมีความสุขหรืออยากก่อบาป โดยการเอาสิ่งเป็นพิษให้ลูกค้าผู้มีบุญคุณของผม ซึ่งเป็นคนไทยด้วยกัน (หรือไม่ก็ตาม) กินมั้ย ตอบโดยไม่ต้องคิดเลยว่าไม่”

นอกจากนี้ข้อความตอนหนึ่งยังระบุด้วยว่า “ถ้าความหวังดีของใครก็ตามที่มีต่อทุกฝ่ายเป็นโทษต่อตัวเอง  ผมว่าก็คงต้องกลับไปตั้งคำถามกับการเทศนาให้คนหลุดพ้นจากอวิชชาของพระทุกวัด ด้วยเช่นกันเพราะฉะนั้นสำหรับเรื่องนี้ จะวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างไรก็สุดแท้แต่ ประเด็นที่สำคัญที่ไม่ควร “หลุด” และไม่ควร  “หลง” ก็คือสุดท้ายแล้วอย่าลืมเรื่องความปลอดภัยในการกินข้าวของคนค่อนประเทศ”

อย่างไรก็ตาม นายสุทธิพงษ์ ได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่าอยากให้ทุกท่านใช้ปัญญาพิจารณาว่าใครควรจะเป็นผู้คลี่คลายความสงสัยในเรื่องนี้ คนทำสารคดีชีวิตอย่างตน สำนักข่าว พ่อค้าข้าว เจ้าหน้าที่หรือรัฐบาล 

“ในความกังวล สงสัย อึมครึม ผมอยากให้ทุกท่านใช้ปัญญาพิจารณาว่าใครควรจะเป็นผู้คลี่คลายความสงสัยในเรื่องนี้ คนทำสารคดีชีวิตอย่างผม สำนักข่าว พ่อค้าข้าว เจ้าหน้าที่ หรือรัฐบาล แล้วลองใช้สติไตร่ตรองดูนะครับว่าหากใครลงมือทำจะได้รับการสรรเสริญหรือ นินทา ความรับผิดชอบต่อผู้บริโภคเป็นความผิดหรือความไม่ดีที่ไม่ควรทำตรงไหน และสุดท้ายนี้ผมอยากชวนให้คนไทยพิจารณาเหตุของปัญหานี้ตามหลักพุทธศาสนาว่า เหตุอยู่ที่ไหน อยู่ที่การแชร์ข้อมูล (ซึ่งมีคนแชร์มากมายก่อนผม) หรืออยู่ที่วิธีการในการเก็บรักษาข้าวที่ต้องใช้สารเคมีมีพิษซึ่งตกค้างและเป็นอันตรายต่อชีวิต......หรืออยู่ที่พิษทั้งหลายในใจคน”