ราคาทองคำปรับตัวลดลงค่อนข้างแรงในการซื้อขายช่วงค่ำของวันศุกร์ แม้ว่าจะเริ่มมีแรงซื้อกลับเข้ามา จนราคาเริ่มดีดตัวลดช่วงการติดลบที่ทำไว้ในระหว่างวันลง รายงานตัวเลขเศรษฐกิจในตลาดแรงงานที่ออกมาดีกว่าคาดของสหรัฐฯ เป็นปัจจัยลบกดดันการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ
โดยราคาทองคำปิดตลาดเมื่อคืนวันศุกร์ที่ 1,221.70 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ปรับตัวลดลง 27.77 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ราคาทำจุดต่ำสุดและจุดสูงสุดที่ 1,208 และ 1,250 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ตามลำดับ ส่วนราคาซื้อขายทองคำแท่งในประเทศ ชนิด 96.5% เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ขายออกที่บาทละ 18,250 บาท และรับซื้อคืนที่บาทละ 18,150 บาท กองทุน SPDR รายงานว่าได้ลดปริมาณการถือครองทองคำลง 2.7 ตัน ส่งผลให้ปัจจุบันกองทุนถือครองทองคำ รวม 961.99 ตัน
กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เผย ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรประจำเดือน มิ.ย. ปรับตัวเพิ่มขึ้น 195,000 ตำแหน่ง ขณะที่อัตราว่างงานทรงตัวในระดับเดิม ที่ 7.6% ตัวเลขจ้างงานของสหรัฐฯ ในเดือนที่ผ่านมา ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะขยายตัวที่ระดับ 165,000 ตำแหน่ง หลังจากที่เพิ่มขึ้น 175,000 ตำแหน่งในเดือน พ.ค. โดยรายงานตัวเลขการจ้างงานเป็นประเด็นหลัก ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ให้ความสำคัญ และด้วยรายงานที่ออกมานั้น มีสัญญาณการฟื้นตัวของตลาดแรงงาน นักลงทุนจึงประเมินว่า คงจะมีการลดปริมาณการผ่อนคลายทางการเงินจากธนาคารกลางสหรัฐฯ ตามที่ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯได้แถลงในการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ ครั้งหลังสุด
ดังนั้น แนวโน้มการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ จึงยังมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลงต่อ การดีดตัวที่อาจเกิดขึ้น คาดว่าเป็นเพียงการดีดตัวทางเทคนิค ก่อนที่ราคาจะปรับตัวลงต่อไป การถือครองทองคำแท่ง ควรใช้สถานะซื้อและขายของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของทองคำบริหารความเสี่ยง โดยในกรณีที่ถือครองสถานะขายจากแนวต้าน บริเวณ 1,260-1,270 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ไว้จากสัปดาห์ก่อน อาจเริ่มทยอยปิดสถานะลดความเสี่ยง ในช่วงที่ราคาทองคำอ่อนตัวลงเข้าใกล้แนวรับ บริเวณ 1,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ส่วนการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในวันนี้ เกิดสัญญาณขายขึ้น หลังราคาทองคำปรับตัวลงหลุดแนวรับ บริเวณ 1,235 ดอลลาร์ ต่อออนซ์ จึงทำให้ราคาปรับตัวลงค่อนข้างแรง และแม้จะเริ่มมีแรงซื้อกลับเข้ามาจากแนวรับบริเวณ 1,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ภาพโดยรวมก็ยังคงมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลงต่อ โดยคาดว่าในระหว่างวันหากราคาดีดตัวขึ้นเข้าใกล้แนวต้านบริเวณ 1,240 ดอลลาร์ ต่อออนซ์ ยังจะมีแรงขายกลับออกมาและกดดันให้ราคาอ่อนตัวลงต่อไป.