5th World Film Festival (PART 1)
5th World Film Festival
25 ตุลาคม - 4 พฤศจิกายน 2550
สถานที่: เอสพลานาด (โรงหนังอยู่ชั้น 4)
การเดินทาง: รถไฟใต้ดิน MRT สถานีศูนย์วัฒนธรรม ออกประตู 3 (สถานทูตจีน)
ราคาตั๋ว: 100 บาท / ใครมีบัตรนักศึกษาลดเหลือ 50 บาท / มีบัตรชุด 7 ใบ ในราคา 500 บาท
เวบทางการ //www.worldfilmbkk.com/
DAY 1 : 26 Oct 2007
-- วันนี้หนังเรื่อง Santa Maradonna กับ Orbelas People แคนเซิล (ทั้งสองเรื่องฉายเฉพาะวันนี้) แต่เราก็ไม่เดือดร้อน เพราะไม่ได้จะดูหนังพวกนี้อยู่แล้ว
-- อีกเรื่องที่แคนเซิลคือ Helvetica (ฉาย 28 ต.ค. กับ 2 พ.ย.) อย่าลืมอัพเดทตารางกันด้วยนะครับ (อันนี้เซ็ง เพราะอยากดู)
-- หน้างานมีสูจิบัตรงานขายในราคา 40 บาท (เล่มใหญ่ๆ + เย็บแม็ก) แต่ตอนเช้าๆ เค้าเอาไปวางตรงอีกโต๊ะนึง เราเลยได้มาฟรีๆ ซะงั้น
-- แนะนำให้เผื่อเวลาซื้อตั๋วพอประมาณ เพราะเปิดช่องให้ world film แค่ 2 ช่องเองมั้ง
-- บันไดเลื่อนโรงหนังเอสพลานาด อาจจะเป็นบันไดเลื่อนที่ประสาทเสียที่สุดในประเทศไทย (คุณต้องลองเอง แล้วจะรู้)
-- ก่อนจะเข้าไปโซนโรงหนังคุณจะต้องผ่านด่านตรวจกระเป๋าก่อน ให้ความรู้สึกเหมือนด่านตรวจคนเข้าเมืองนิดๆ
-- ข้อเสียของเอสพลานาดคือ ที่นั่งน้อยมากๆ (ไม่เหมือน SFW ที่นั่งเยอะดี)
-- เนื่องจากห้างไม่ใหญ่มาก ก็เลยจะได้เจอคนหน้าคุ้นๆเดิมๆ จนเบื่อ (ข้อดีหรือข้อเสีย?)
-- หากไม่มีอะไรทำจริงๆ ก็ขึ้นไปดูเด็กๆ เค้าเล่นไอซ์สเก็ตที่ชั้นบนๆ ก็ได้ เพราะชวนให้ฉงนใจอย่างยิ่งว่า มันสนุกตรงไหน?
-- ผมไปถึงเอสพลานาดตั้งแต่ 11.00 ตกใจมาก เพราะมีคนต่อคิวยาวจนล้นออกมานอกห้าง ตอนแรกนึกว่าดองบังชินกิมาโชว์ตัวที่นี่ แต่ที่แท้มันมีประมาณ RS Singing Contest แถมยังได้ดูคอนเสิร์ตของ Neko Jump ด้วยนะ (ตลกมาก กำลังซื้อตั๋ว อยู่ๆก็มีเพลง บลาบลาบลา จุ๊บ จุ๊บ บลาบลาบลา จุ๊บจุ๊บ ดังขึ้นมาประกอบ)
-- ตอนกลางวัน หลบไปอยู่ใน KFC (เพราะเป็นร้านที่ไฟสว่างที่สุด กะว่าจะอ่านนิยาย) อุตส่าห์หนีไปนั่งโต๊ะตัวในสุดของร้าน ปรากฏว่ามีคนมานั่งโต๊ะข้างๆ (ทั้งที่โต๊ะก็เหลือเยอะแยะ) อันประกอบด้วย กะเทยหัวเกรียน 2 คน และสก๊อยเกิร์ลอีก 2 คน ...หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น คงไม่ต้องบรรยาย
-- โดยรวมวันนี้ยังปกติดี ผมยังไม่เจอปัญหาอะไร
1. Little Secrets (2006, Pol Cruchten, Luxembourg, B) หนัง coming of age เกี่ยวกับเด็กชายอายุ 12 ที่เติบโตในครอบครัวเคร่งศาสนา และพ่อเป็นพวกเกลียดนาซีเข้าไส้ หนังค่อนข้างเรียบๆ ดูเพลินๆ มีหักมุมบ้าง แต่ก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรมาก หนังมีประโยชน์ตรงที่ว่าดูแล้วก็ได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ประเทศลักเซมเบิร์กขึ้นมาอีกหน่อยนึง อ้อ ตัวร้ายเรื่องนี้หล่อมาก แต่โผล่มาแค่ 4 ฉาก
2. Jellyfish (2007, Shira Geffen + Etgar Keret, Israel, A+) หนังหลายชีวิตแบบที่โยงกันไปโยงกันมา ว่าด้วยผู้หญิง 3 คน สาวเสิร์ฟในงานแต่งงานที่กำลังเซ็งโลก, สาวที่เพิ่งแต่งงานแต่ดันขาหักเลยอดฮันนีมูน และหญิงชาวฟิลิปปินส์ที่ดั้นด้นมาทำงานในอิสราเอล ชอบที่หนังไม่เฟมินิสต์จ๋ามาก หนังค่อนข้างละมุนละไม ออกไปทางดูแล้วอบอุ่นหัวใจมากกว่า หนังผูกพล็อตได้ดี และมีลูกเล่นอะไรเก๋ๆ เยอะ เช่น การใช้แมงกะพรุนเป็น symbolic, ฉากบทกลอนที่จี๊ดมากๆ และที่เก๋ที่สุดก็คือ เพลง La Vien En Rose เวอร์ชันภาษาฮิบรู! โดยรวมแล้วถือว่าหนังสมศักดิ์ศรีที่ได้รางวัล golden camera (ผู้กำกับหน้าใหม่) มาจากคานส์
น้องเมอร์ขอเชียร์ให้ดู: หนังฉายอีกที 28 October 2007 20:10 pm
3. Fallen (2005, Fred Kelemen, Latvia, A+++++) เปิดมาวันแรกก็เจอหนังเปรี้ยงๆ เข้าให้แล้ว เรื่องนี้องค์ประกอบเข้าทางผมทุกอย่าง ภาพขาวดำ, แช่กล้องนานๆ, ภาพเมืองร้างๆ น่าสะพรึงกลัว แล้วก็ยังมีเสียงหลอนๆ (หมาเห่า, เด็กแหกปาก) ตลอดเรื่องด้วย แต่หนังก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คาดไว้ หนังดูไม่ยาก และไม่หลับเกินไป ดูไปแป๊บๆ ก็จบครบ 90 นาทีแล้ว
หนังเล่าถึงชายหนุ่มที่ไปเจอผู้หญิงจะกระโดดลงน้ำจากสะพาน ตอนแรกเขาไม่สนใจเธอ แต่ภายหลังเขาก็ยิ่งสืบหาเรื่องราวของเธอ จนถึงขั้นเสพติดและหมกมุ่น ตอนแรกคิดว่าพระเอกจะเป็นพวกคนชนบทแบบหนัง Bela Tarr แต่ปรากฏว่าพระเอกก็เป็นประมาณพนักงานบริษัทธรรมดา ก็เลยรู้สึกอินกับตัวละครมากขึ้น ที่ชอบมากก็คือ พระเอกก็ดูไม่ใช่คนดีอะไร ก็แค่เป็นคนชอบสอดรู้สอดเห็นเท่านั้นแหละ จุดนี้ก็เลยทำให้มีอารมณ์ร่วมกันหนังได้มาก
ประเด็นจากหนังที่ชอบมากคือตอนที่พระเอกพูดกับผู้ชายอีกคนว่า คุณไม่ได้รักเธอหรอก คุณแค่อยากครอบครอง (possess) เธอต่างหาก ซึ่งจุดนี้มันก็สะท้อนพฤติกรรมของตัวพระเอกเหมือนกัน เพราะเขาก็ถือว่าผู้หญิงคนนั้นตายไปแล้ว และพยายามกุมชีวิตหลังความตายของเธอไว้ในมือของเขาเอง
น้องเมอร์ขอเชียร์ให้ดูอย่างแรง: หนังฉากอีกที 2 November 2007 20:20 pm (ผู้กำกับมา Q&A ด้วย ได้ข่าวว่าหน้าตาดีด้วยนะ)
4. The Dream of Red Chamber (1977, Han Hsiang Li, Hong Kong, B) ส่วนตัวแล้วนี่ไม่ใช่หนังดี แต่เป็นหนังที่ดูแล้วรู้สึกดี เพราะก่อนฉายหนังมีการให้ข้อมูลว่าหนังเรื่องนี้เพิ่งมาฉายในเทศกาลเป็นครั้งแรก และตัว ซิลเวีย จาง (เล่นเป็นนางเอก + มาเทศกาลด้วย) ก็เพิ่งจะได้ดูหนังเป็นรอบแรกเหมือนกัน (เพราะตอนนู้นเธอติดไปถ่ายหนังที่เกาหลี ตอนหนังที่เข้าฮ่องกงเธอเลยไม่ได้ดู) ก็ต้องเข้าใจว่าหนังมันตั้ง 30 ปีแล้ว แถมยังสร้างจากนิยายคลาสสิก (ความรักในหอแดง) หนังก็เลยออกจะเชยๆ เล่นใหญ่กันรุนแรงมาก แล้วมันก็เป็นหนังเพลง คือปกติผมเนี่ยทนหนังเพลงได้นะ แต่นี่มันร้องกันเป็นงิ้วอ่ะ! แรกๆก็พอทน แต่สักพักเริ่มหูจะแตก อยากเดินออกเหมือนกัน แถมยังต้องทนดู หลินชิงเสีย (เจ๊ผมทองใน Chungking Express - เรื่องนี้เล่นเป็นพระเอก) กับซิลเวีย จาง ร้องไห้กันประมาณ 18 ตลบ จนคิดในใจว่า เมื่อไรพวกแกจะตายๆ กันซะทีเนี่ย แต่ในที่สุดก็ดูจนจบ รู้สึกภูมิใจที่เกิดมาได้ดูหนังเรื่องนี้ (และคงไม่ยอมดูอีกแล้ว ฮ่าๆๆๆ) ตอนจบก็เลยเดินไปขอลายเซ็นซิลเวีย จาง เธอน่ารักดี ยังดูสวย และเฟรนด์ลี่
แต่ที่ฮามากคือ ตอนที่หนังหยุดฉายไปเพราะฟิล์มขัดข้อง อยู่ๆ เจ๊หยอนฟาน (ผกก.Bishonen ซึ่งมาแจมงานวันนี้ด้วย) ก็เล่าตำนานหนังเรื่องนี้ให้คนทั้งโรงฟังเฉยเลย สรุปแล้วไปๆมาๆ วันนี้หยอนฟานได้พูดเยอะกว่า ซิลเวีย จาง อีกมั้งเนี่ย (ฮา)
DAY 2 : 27 Oct 2007
-- หนังที่แคนเซิล นอกจาก Helvetica ยังมีเรื่อง Shroom ที่ฉายวันที่ 1 พ.ย.
-- Bagdad Cafe (28 ต.ค.) ฉายด้วย DVD
-- หนังเรื่อง The Red Squirrel, 20:30:40, Tempting Heart, Bamako, Antonia's Line, Bagdad Cafe, To Our Loves, The Devil's Eye, Last King of Scotland, Intermission มี DVD ขายแล้ว
-- Dallas Among Us ฟิล์มไหม้สองครั้ง แต่ทีมงานก็ใช้เวลาแก้ไขไม่นานนัก
-- วันนี้ยืนคุยอยู่กับน้อง Nanoguy อยู่ดีๆ ก็มีพนักงานโรงหนังเข้ามาชี้แจงว่า เมื่อวานที่หนังเรื่อง Fallen หัวขาด ก็เพราะฟิล์มหนังกับเครื่องฉายไม่ match กัน (เข้าใจว่ารอบฉายในวันที่ 2 พ.ย. ปัญหานี้ก็คงยังอยู่ - แต่มันก็ไม่ได้รุนแรงอะไรนัก) สงสัยว่าพนง.คนนี้จะจำหน้าเราได้ เขาเลยเดินเข้ามาบอก
-- หนังที่ได้ดูในวันนี้ออกจะเฉยๆ ไม่มีเรื่องไหนชอบเป็นพิเศษ / อันดับหนึ่งในเทศกาล ยังคงเป็น Fallen
1. Salmonberries (1991, Percy Adlon, Germany, B+) หนังที่ exotic ทุกอย่าง ตั้งแต่พล็อตเรื่อง (ความสัมพันธ์ระหว่างทอมหล่อกับบรรณารักษ์ที่เป็นม่าย) ฉากหลังที่มีทั้งอลาสก้าและเบอร์ลิน โดยรวมแล้วชอบเนื้อเรื่องของหนังมาก แต่ตอนท้ายๆ ที่เฉลยความลับพ่อลูกดูน้ำเน่าไปหน่อย แต่ก็ชอบตอนจบที่ไม่พยายามทำซึ้ง ที่ชอบที่สุดคือ เพลง Barefoot ในหนังมากด้วย แต่เสียดายที่ใช้บ่อยไปหน่อย เลยไม่ค่อยทรงพลัง แต่ก็ยังขลังมากอยู่ดี
2. The California (2005, Jacques Fieschi, France, B) ทั้งที่มีดาราที่เราชอบๆ ทั้งนั้นอย่าง นาตาลี เบย์ หรือลูดิวีน เซนิเย่ (อีน้องปอดบวมจาก Swimming Pool) แต่เราก็ไม่ค่อยชอบหนังเท่าไร อาจจะเพราะบทของนาตาลี เบย์ ดูโวยวายเกินไป (เธอเล่นเป็นอีแก่ขี้เหงาที่ซื้อเพื่อนและผู้ชายด้วยเงิน) เราชอบเธอในบทนิ่งๆมากกว่า ส่วนหนูลูดิวีนเรื่องนี้ดูมึนๆ ชาๆ บุคลิกไม่ค่อยมีเสน่ห์สำหรับเรา (แต่นั่นก็ดีในแง่ที่ว่าเธอเล่นบทได้หลากหลายมาก) จริงๆแล้วพล็อตการ exploit ความรักจากคนอื่น ก็เป็นประเด็นที่เราค่อนข้างอินได้ง่าย แต่เรื่องนี้บทของเบย์อาจจะดูไกลตัวจากเราไปหน่อย เราเลยไม่อินมาก
3. Dallas Among Us (2005, Robert Adrian Pejo, Hungary, B) หนังว่าด้วยคุณครูหนุ่มที่กลับไปหมู่บ้านขยะ -บ้านเกิดของตัวเอง-เพื่อไปงานฝังศพพ่อ เมื่อเห็นสภาพความย่ำแย่ของสังคม เขาเลยคิดจะเป็นครูที่นั่น พล็อตแนวคนดี๊คนดี + ฮอลลีวู้ดอย่างนี้ไม่เข้าทางเราเลย แถมหนังยังค่อนข้างเร้าอารมณ์มาก และมีอะไรน้ำเน่าๆ ตอนท้าย แต่ก็ชื่นชมหนังมากตรงการเนรมิตฉากหมู่บ้านขยะขึ้นมา (เป็นหมู่บ้านที่มีแต่กองขยะ น่ากลัวมาก จนคิดว่าถ้าหมู่บ้านนี้ไปอยู่ในหนังของ Fred Kelemen หรือ Ilya Khrzhanovsky (คนกำกับเรื่อง 4) มันจะต้องสุดยอดแน่ๆ) แต่ก็ชอบบทสรุปของหนังที่บอกกับเรากลายๆว่า แค่ความดีอย่างเดียวมันไม่พอ
4. Flower in the Pocket (2007, Liew Seng Tat, Malaysia, B) อันนี้ต้องโทษตัวเองด้วยว่า เราดันไปดูตัวอย่างใน youtube แล้วคิดว่ามันจะเป็นหนังดราม่าหนักๆ แต่ที่แท้มันเป็นหนังตลกต่างหาก ช่วงแรกของหนังออกจะน่ารักๆ แต่เราชอบอารมณ์ตอนกลางของหนังที่ออกจะนิ่งๆ ดูเหงาๆ แต่ไม่ประดิษฐ์จนเกินไป ชอบที่หนังพยายามบอกเล่าแบ็คกราวด์ของตัวละครด้วยบรรยากาศหรือการบอกผ่านๆ (อย่างเช่น การที่พ่อมีอาชีพทำหุ่นโชว์เสื้อนี่มันน่าสนใจมาก เพราะดูเหมือนว่าเมียจะทิ้งเขาไป แต่การต้องนั่งเอากระดาษทรายถูนมหุ่นทุกวันคงให้อารมณ์ขื่นๆ พิลึก) แต่บางฉากก็ดูจงใจเล่าเรื่องเก๋เกินไป อย่างเช่น ฉากกินรูปภาพ ช่วงท้ายของหนังออกไปตลกหน้าตาย ซึ่งก็ฮาดี แต่ไม่ชอบอยู่ฉากหนึ่งคือ ฉากที่ลูกๆพยายามจะช่วยทุบหลังพ่อที่กระดาษติดคอ การที่ตัวละครพี่ถือเก้าอี้กระโดดเด้งไปเด้งมา เหมือนหนังการ์ตูน เราว่ามันทำลายหนังมาก (ทั้งที่นักแสดงเด็กในเรื่องก็เล่นดีมาตลอด) อย่างไรก็ดี สิ่งที่เราฮาที่สุดก็คือ การแสดงของ James Lee (ผู้กำกับ Before We Fall In Love Again - เขาเล่นเป็นพ่อ)
DAY 3 : 28 Oct 2007
-- รู้สึกว่าหนังเรื่อง To Each His Own Cinema จะมาฉาย 4 พ.ย. รอบ 17.40 (อย่างไรก็ดี เรื่องนี้ก็มี DVD ขายแล้วเช่นกัน)
-- สิ่งที่เรียนรู้จากการเข้าเทศกาลมาแล้ว 3 วัน
1. ห้องน้ำชั้นห้าง สะอาดกว่าห้องน้ำชั้นโรงหนัง (คงเพราะตรงโรงหนังคนเข้าเยอะ) แถมห้องน้ำห้างเปิดเพลงเก๋มาก (ว่างๆเชิญลองไปฟัง)
2. ระบบก๊อกน้ำอัตโนมัติทำให้ห้องน้ำยิ่งเลอะเทอะ
3. สำหรับคนต้องการกินอยู่อย่างประหยัด ฟู๊ดเซ็นเตอร์ใน TOPS ชั้นใต้ดิน เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ ข้าวจานละ 39 บาท รสชาติก็โอเค
4. แต่สำหรับเวลาเร่งด่วน แนะนำร้านขนมปังที่ชื่อ Saint Etolie (จะอ่านว่าอะไรก็ช่างมันเถอะ) อยู่ชั้นใต้ดินเหมือนกัน
5. ที่ชั้นใต้ดินมีร้านอาหารชื่อ "กู" (สักวันจะลองกินนะ)
6. ถ้ารีบลงไปกินข้าว/ขนมที่ชั้นใต้ดิน ลงลิฟท์ดีกว่า (คุณคงรู้กันแล้วว่าบันไดเลื่อนที่นี่กินเวลาในชีวิตของคุณไปขนาดไหน)
7. พนักงานที่เอสพลานาด ผู้หญิงหน้าตาดีกว่าผู้ชาย (ส่วนที่พารากอนจะกลับกัน)
8. ระหว่างฉายหนัง พนักงานจะต้องเข้ามาตรวจดูความเรียบร้อยทุกๆประมาณ 30 นาที (เรานั่งริมตลอด เลยสังเกตเห็น) แล้วเค้าจะต้องไปส่องไฟฉายดูอะไรสักอย่างตรงผนังกำแพง ตอนนี้ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าคืออะไร (เต๋อบอกว่าเป็นจุดเช็คพอยท์ของ พนง.) -- หนังวันนี้ก็ยังกลางๆ ไม่มีอะไรโดนมาก / อันดับหนึ่งของงานยังคงเป็น Fallen
1. Saviours Square (2006, Joanna Kos + Krzysztof Krauze, Poland, B+) หนังดราม่าหนักหน่วงเอาการ ว่าด้วยความสัมพันธ์ของ ผัว เมีย และแม่ผัว ชอบที่ตัวละครค่อนข้าง realistic มาก ถึงมีฉากที่ต้องเถียงกันแทบตาย หรือเล่นใหญ่มากๆ เราก็ยังรู้สึกว่าตัวละครพวกนี้มีเลือดเนื้อ มีชีวิตจริงๆ และเราก็ไม่สามารถตัดสินได้เลยว่าใครผิดหรือใครถูก ที่ชอบมากอีกอย่างก็คือ หนังเรื่องนี้ถ่ายทอดเรื่องปัญหาการเงิน/ความยากจน ในรูปแบบที่เราจับต้องได้มากกว่า คือบางทีเราก็เบื่อหนังยากจ๊นยากจนแบบพวก Dallas Among Us หรือ Bamako น่ะ (นี่เป็นทัศนคติที่แย่มากๆ แต่เราคิดแบบนั้นจริงๆ) คือรู้นะว่ามันมีอยู่จริง แต่มันเอียนน่ะ ในขณะที่ Saviours Square มันถ่ายทอดความทุกข์ของภาวะ เงินไม่พอกิน ที่เรามีอารมณ์ร่วมกับมันมากๆ
2. Bamako (2006, Abderrahmane Sissako, Mali, B+) ดูหนังเรื่องนี้แล้วเหนื่อยมาก เพราะตัวละครเอาแต่พูด พูด พูด แล้วก็พูด แถมศัพท์แสงเฉพาะทางก็เยอะเหลือเกิน รู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในคลาสวิชารัฐศาสตร์อะไรเทือกนั้น จนช่วงกลางๆ เรื่องเราก็เลยวูบหลับไปนิดนึง ตอนหลังก็เลยฮึดสู้ตั้งใจดู (แต่ก็ได้ผลเป็นพักๆ ฮ่าๆๆ) สิ่งที่เราชอบอยู่ที่บรรยากาศของหมู่บ้าน หรือภาพกิจกรรมต่างๆของผู้คนมากกว่า เรารู้สึกว่าการที่เหล่าตัวละครต้องมานั่งฟังการไต่สวนของศาล ก็คงให้อารมณ์เหมือนวันที่คนไทยต้องมาทนดูคำตัดสินยุบพรรคนั่นแหละ เราเข้าใจนะว่าผู้กำกับมีความตั้งใจที่ดี แต่เราไม่ชอบการนำเสนอ เราว่ามันยัดเยียดเกินไป แล้วขัดใจกับการเล่นใหญ่ของนักแสดงด้วย ยิ่งหลังๆนี่มันจะกลายเป็นละครเวทีไปแล้ว อ้อ แต่ก็ชอบหนังคาวบอยที่แทรกมากลางเรื่องมาก มันเซอร์แตก และเสียดสีมากๆ ไม่ค่อยอะไรกับ Danny Glover หรอก แต่เซอร์ไพรส์กับ Elia Sulieman มากกว่า (มาได้ไงเนี่ย)
3. It Will Stay Between Us (2004, Miro Sindelka, Slovakia-Czech Republic, B+) หนังแนวความสัมพันธ์สามเส้าแบบป่วงๆ ตอนแรกนึกว่าหนังจะมาแนวตลกตัวตาย หรือออกเพี้ยนๆ เพราะเครดิตเปิดเรื่องและเพลงประกอบในหนังมีจังหวะที่แปลกมากๆ (ซึ่งพบได้บ่อยจากหนังประเทศแถบนี้) แต่ปรากฏว่าหนังมันไปไม่สุดสักทาง แถมเพลงโฉ่งฉ่างของมันก็ไม่รู้จะเรียกว่าเก๋หรือเสร่อกันแน่ (แต่ก็มีเพลงเพราะๆหลายเพลงนะ) สิ่งที่ดีใจมากคือการที่พี่ Mds เกลียดหนังเรื่องนี้เข้าไส้ คือสองวันนี้ดูหนังเหมือนกันหมดเลย แต่การมีความเห็นแตกต่างกัน ถือเป็นสิ่งที่ดีมาก
4. Antonia's Line (1995, Marleen Gorris, Netherlands, A+) ตอนแรกมีแววจะเกลียดหนังเรื่องนี้มาก เพราะช่วงแรกของหนังตัวละครมันดูมีความสุขเกินไป (จริงๆ จากเพลงประกอบของหนัง เราก็รู้ทันทีเลยว่าหนังไม่เข้าทางเราแน่ๆ แถมการมีรางวัลออสการ์รับประกัน ก็มีแนวโน้มสูงว่าเราจะเกลียดหนังเรื่องนี้) แต่พอดูไปเรื่อยๆ ก็ชอบหนังมากขึ้น สิ่งที่น่าสนใจคือ ช่วงที่หนังเข้าสู่ด้านที่หดหู่ หนังก็ไม่ได้ใส่พวก เหตุการณ์ร้ายๆ ที่ดูเว่อร์จนเกินไป และหนังก็ไม่ฟูมฟายดี หนังมันพูดเรื่องความตาย / การสืบทอดชีวิตสู่รุ่นลูกรุ่นหลานได้ดีมาก ถ้าลองคิดเล่นๆ นางเอกในเรื่องนี้คงตายแล้วได้ไปสวรรค์ ส่วนตัวละครใน Cries and Whispers ของอิงมาร์ เบิร์กแมน คงไปนรกแน่นอน (ฮา)
อ่านต่อ PART 2
Create Date : 25 ตุลาคม 2550 |
Last Update : 30 ตุลาคม 2550 1:43:46 น. |
|
39 comments
|
Counter : 2391 Pageviews. |
|
|
|
Films seen today (Wed 24 Oct, Fat Rama @ SF World Cinema)
I will only write about the films I have seen for the first time.
1. You have to wait, anyway (2007, นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์, A+)
I think this film is an experiment about "cinematic condition", that's all I can say.
2. Ugly is Beautiful (2007, สุขพัฒน์ โล่วัชรินทร์, C+)
----------------------------
* นับจากนี้ไป ผมต้องไปใช้ชีวิตอยู่ในเอสพลานาดประมาณ 10 วัน ดูหนังวันละ 4 เรื่อง (รวมแล้วอาจดูทั้งหมด 40 เรื่อง - ถ้าไม่ขาดใจตายไปก่อน) โปรดเป็นกำลังใจให้กับผมด้วย และหากช่วงนี้ถ้าหายไปจากชีวิตใคร ขออภัยล่วงหน้า (อยากเจอเร่งด่วน เชิญดักรอที่เอสพลานาด / มือถืออาจจะปิดตลอดเวลาทำการ เพราะอยู่ในโรงหนังทั้งวัน)
* ผมจะปรากฏตัวทางโทรทัศน์ ในรายการ Short Fiction ช่อง Film Asia วันอาทิตย์ที่ 28 ต.ค. เวลา 11.00 และวันศุกร์ที่ 2 พ.ย. เวลา 23.00 (รีรัน)