Welcome to Nothing : Absurdity is all around
โดย คันฉัตร รังษีกาญจน์ส่อง
Welcome to Nothing กำกับ: นพพันธ์ บุญใหญ่ แสดง: นพพันธ์ บุญใหญ่, เกรียงไกร ฟูเกษม, กีรติ ศิวะเกื้อ
ผมไม่แน่ใจนักว่าคำว่า absurd มีคำแปลเป็นภาษาไทยหรือไม่ แต่ตามความเข้าใจของผมเองแล้ว มันน่าจะหมายถึง พฤติกรรมอันไร้สาระและว่างเปล่าของมนุษย์ รวมถึงเหตุการณ์บ้าบอคอแตกที่ไร้คำอธิบายใดๆ ทั้งสิ้น จำได้ว่าสมัยเรียน อาจารย์มักยกตัวอย่างด้วยละครเรื่อง Waiting for Godot ของ Samuel Beckett ซึ่งเล่าถึงคนในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่เฝ้ารอการมาของโกโดต์ โดยที่พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโกโดต์คืออะไร ความแอบเสิร์ดนั้นเป็นเรื่องใกล้ตัวเรา และเกิดขึ้นตลอดเวลา ยกตัวอย่างเช่น การซื้อดีวีดีหนังมา ทั้งที่ดองหนังไว้ที่บ้านเกือบร้อยแผ่น, พกร่มทุกวันฝนไม่เคยตก แต่วันไหนไม่พกมันตกทันที, รถเมล์ที่รอแล้วไม่มา แต่เวลาไม่ได้รอมันจะวิ่งมา 3 คันติดกัน หรือการไปเดินตามหานกเพนกวินในสวนรถไฟ เป็นต้น (เอ๊ะ อันหลังนี่คุ้นๆ)
Welcome to Nothing เป็นละครเวทีที่ว่าด้วยความแอบเสิร์ดของมนุษย์ มีตั้งแต่เหตุการณ์ง่ายๆ อย่างการทะเลาะกันของแฟน (เป็นความแอบเสิร์ดระดับท็อปฮิตติดชาร์ต), สถานการณ์ที่ต้องเผชิญหน้ากับแฟนเก่า หรือในหลายตอนก็เป็นเรื่องราวแบบเหนือจริง (surreal) ชนิดที่ว่าไม่ต้องรู้เรื่องอะไรกันอีกแล้ว แต่ทุกตอนก็สามารถเรียกเสียงหัวเราะจากคนดูได้ชนิด ฮาไม่หยุดฉุดไม่อยู่
ละครเรื่องนี้ใช้โครงสร้างแบบเอาเรื่องสั้นๆ มาต่อกันหลายๆ ตอน โดยที่ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกันเลย นักแสดงก็มีเพียง 3 คนเท่านั้น สิ่งที่น่าชื่นชมมากก็คือ นักแสดงทั้งสามสามารถเปลี่ยนบทบาทของตัวเองได้อย่างรวดเร็วและต่อเนื่องมาก พูดให้เห็นภาพก็คือ นักแดงคนหนึ่งอาจเล่นเป็นผู้ชาย, ฉากต่อมากลายเป็นผู้หญิง, ถัดมาต้องเล่าเป็นกะเทย แล้วอีกฉากก็กลายคนแก่ ฯลฯ โดยน่าทึ่งมากที่พวกเขาเล่นได้เนียนทั้งด้านการแสดงท่าทางและการใช้เสียง
นอกจากการสับเปลี่ยนคาแร็กเตอร์และการต่อบทแล้ว ความยากของละครยังอยู่ที่ลักษณะของมันที่เป็นละครตลก โดยปกติแล้วละครที่เป็นดราม่า ผู้ชมก็จะนั่งดูอย่างเงียบๆ นักแสดงก็สามารถโฟกัสที่การแสดงของตัวเองได้ แต่หากเป็นละครตลกแล้ว เสียงหัวเราะ ของผู้ชมยังเป็นกลไกหนึ่งในการขับเคลื่อนละครต่อไปด้วย เพราะนักแสดงอาจจะต้องรอจังหวะให้เสียงหัวเราะซาไปเสียก่อน แล้วจึงค่อยเล่นกันต่อ (แต่ในทางกลับกัน หากมุกนั้นเล่นไปแล้ว ไม่มีเสียงหัวเราะตอบกลับมา นักแสดงก็อาจจิตตกจนเสียสมาธิได้) นอกจากนั้นผู้เล่นก็ยังต้องระวังไม่ให้ตัวเองเผลอหลุดขำออกมาด้วย
องค์ประกอบอื่นๆ เช่น การเปลี่ยนเสื้อผ้ากันแทบทุกฉาก หรือมีคนนั่งเล่นกีต้าร์ประกอบสดๆ ก็ยิ่งช่วยทำให้ละครมีสีสันมากขึ้น ส่วนในเรื่องของบทสนทนาที่ดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ (ซึ่งมีน้อยมาก) หรือการที่นักแสดงเรียกชื่อตัวละครอีกฝ่ายผิด (ซึ่งให้อภัยได้ เพราะอย่างที่บอกไปว่านักแสดงแต่ละคนต้องเล่นกันประมาณ 10 คาแร็กเตอร์) ก็ถือเป็นข้อผิดพลาดเพียงเล็กน้อยที่แทบไม่มีผลอะไรเลย โดยรวมแล้วนี่จึงเป็นละครที่มีความลื่นไหล ดูเพลิน สนุก และที่สำคัญคือ ตลกมาก
Welcome to Nothing ยังทำให้เราเห็นว่า ความแอบเสิร์ดก็ไม่ใช่อะไรที่ว่างเปล่าเสียทีเดียว อย่างน้อยมันก็สร้างเสียงหัวเราะให้เราได้
น้องเมอร์ขอเชียร์ให้ไปดูสุดๆ (ใครดูแล้วไม่ขำ มาเอาตังค์ที่เราได้เลย)
Welcome to Nothing เหลืออีกเพียง 5 รอบสุดท้าย
ศุกร์ที่ 2 พ.ค. เวลา 19.30 เสาร์-อาทิตย์ ที่ 3 และ 4 พ.ค. เวลา 14.30 และ 19.30
เล่นที่ Crescentmoon Space สถาปันปรีดีพนมยงค์ ซ.ทองหล่อ (ลง BTS ทองหล่อ แล้วเดินเข้าซอยไป อยู่ทางซ้ายมือ / ไม่ไกล เดินได้)
บัตรราคา 300 บาท (นักเรียน/นักศึกษา 250 บาท)
แต่ละรอบ จุได้เพียง 30 คนเท่านั้น เพื่อความชัวร์โทรไปจองก่อนที่ 086-8141676 (การโทรไปจองล่วงหน้า จะทำให้คนเล่นมีกำลังใจขึ้นจ้ะ เพราะอย่างน้อยก็รู้ว่า เฮ้ย รอบนี้มีคนดูแล้วเว้ย 555)
ดูรายละเอียด //www.crescentmoontheatre.com/
พลาดแล้วจะเสียใจ!
Create Date : 28 เมษายน 2551 |
Last Update : 28 เมษายน 2551 17:37:23 น. |
|
38 comments
|
Counter : 4619 Pageviews. |
|
|
|
ความเห็นของมาดาม Mds ต่อ Welcome to Nothing
(มาดาม Mds เป็นเจ้าแม่แห่งการดูหนังและละครเวที)
ได้ดู WELCOME TO NOTHING (Noppan Boonyai, A++++++++++) แล้วค่ะ จัดเป็นหนึ่งในละครเวทีที่ชอบที่สุดในชีวิตเลย ชอบอะไรแบบนี้มากๆ ที่เป็นเรื่องย่อยๆหลายเรื่องมาต่อเนื่องกัน โดยแทบไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย แต่กลับรู้สึกว่าเรื่องหลายๆเรื่องเหล่านี้ ถึงแม้ไม่สามารถเชื่อมโยงกันได้ด้วยเหตุผล แต่อารมณ์และความรู้สึกกลับราบรื่นและลื่นไหลอย่างมากๆ ดูแล้วก็ทำให้นึกถึงภาพยนตร์บางเรื่องที่มีโครงสร้างแบบนี้ โดยเฉพาะภาพยนตร์ที่กำกับโดย Alexander Kluge หรือภาพยนตร์เรื่อง VIDEO 50 (1978, Robert Wilson, A+++++) กับ TAKE THE 5:10 TO DREAMLAND (1976, Bruce Conner, A+++++) ที่เต็มไปด้วยสิ่งต่างๆที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลยแม้แต่นิดเดียว แต่อารมณ์ที่ได้รับจากการสัมผัสสิ่งเหล่านี้กลับสุดยอดมากๆ
----------------------
สิ่งที่ได้ข้าพเจ้าได้ดู/ฟัง ในช่วงนี้
1. Shanghai Dreams (2005, Wang Xiaoshuai, A-)
2. Always : Sunset on Third Street 2 (2007, Takashi Yamazaki, B+)
3. Au Revoir Les Enfants (1987, Louis Malle, A+)
4. Woman of Water (2002, Hidenori Sugimori, A)
5. Farewell To The Ark (1984, Shuji Terayama, A-)
6. Welcome To Nothing (2008, นพพันธ์ บุญใหญ่, A+++++++++)
7. Marbles by Maleonn @ Gossip Gallery (A+)
8. อิ่มสี โดย ธีรยุทธ บุญมี @ Pridi Bhanomyong Institute (B+)
9. Beyond by Kamin Lertchaiprasert @ 100 Tonson Gallery (A-)
10. ที่โรงภาพยนตร์ไกลบ้านคุณ (2008, นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์, A)
11. Madonna: Hard Candy (2008, A)