FaT Film เอาเพลงมาทำเป็นหนัง เกือบสามปีแล้วครับ ที่สโลแกนนี้ติดตราตรึงอยู่ในหูของผม อย่างสั้นๆ FaT Film ก็คืองานประกวดหนังสั้นที่จัดขึ้นโดย 104.5 FaT Radio โดยโจทย์ของมันก็คือ ต้องเอา เพลง ที่เคยเปิดในคลื่นนี้มาทำเป็นหนังสั้น โดยกฏเหล็กสามข้อก็คือ หนึ่ง-ชื่อหนังต้องเป็นชื่อเดียวกับชื่อเพลง สอง-ตัวละครต้องพูดชื่อเพลงหรือมีชื่อเพลงปรากฏในหนัง และสาม-ต้องมีเพลงนั้นๆ ในหนังด้วย ไม่ว่าจะรูปแบบใดก็ตาม
FaT Film ในสองครั้งที่แล้ว ผมไม่ได้มีส่วนร่วมแต่อย่างใด ไม่ได้ส่งหนังเข้าประกวด และไม่ได้ไปร่วมงานประกาศผลรางวัล จะมีส่วนก็ในฐานะผู้ชมทางบ้านเสียมากกว่า เพราะได้ดูหนังก็ตอนทาง FaT Radio รวมหนังที่เข้ารอบสุดท้ายมาทำเป็น VCD ขาย (โดย VCD FaT Film 1 ขายในงาน FaT Festival 2 ส่วน FaT Film 2 ขายใน FaT Festival 3) ดังนั้นใน FaT Film 3 จึงเป็นครั้งแรกที่ผมไปร่วมงานประกาศรางวัล และมีส่วนร่วมลงคะแนนเสียงใน Popular Vote
4. Happy New Year (A+) (Fat Film 2) หนังเรื่องนี้เล่าถึงเด็กหญิงคนหนึ่งที่รอให้คุณพ่อกลับบ้านในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ส่วนแม่ของเด็กน้อยก็ดูจะไม่ค่อยใส่ใจเธอนัก
-- อีกเหตุผลหนึ่งที่รู้สึกชอบหนังเรื่อง Kamikaze Girls มากๆ ก็เพราะการที่นางเอกของเรื่องชอบแต่งตัวหลุดโลกในแบบ โลลิต้า เนี่ยแหละ เพราะสมัยก่อนที่อยู่ในกลุ่มเพื่อนๆ ที่ชอบฟังพวก J-POP / J-ROCK กิจกรรมหลักอย่างหนึ่งของพวกเธอก็คือการแต่ง COS PLAY ซึ่งรูปแบบหนึ่งที่เป็นที่นิยมกันมากๆ ก็คือแต่งในแบบโลลิต้า แบบที่เราเห็นในหนังเรื่องนี้ จำได้ว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมแอบชอบตอนสมัยนั้น เวลาปกติเธอก็น่ารักดีอยู่แล้ว แต่เวลาแต่ง COS PLAY เธอก็สง่ามาก (กลุ่ม COS PLAY ในเมืองไทยส่วนใหญ่จะเป็นพวก หน้าไม่ให้ แต่ใจรัก เสียเยอะ) จนเรียกได้ว่าเธอกวาดรางวัล COS PLAY มาแล้วทุกเวที ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตอนนี้เธอยังแต่ง COS PLAY อยู่หรือเปล่า เพราะไม่ได้ติดต่อกันนานแล้ว แต่ที่ตลกอย่างหนึ่งก็คือ ภาพในหัวของผมเวลานึกหน้าเธอจะเป็นภาพตอนเธอแต่งชุด COS PLAY แบบโลลิต้า ส่วนภาพในแบบปกติของเธอ ผมจำไม่ได้เสียแล้ว
-- เพลงที่ชอบที่สุดในอัลบั้มคือเพลง Beautiful day without you ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีเพลงอะไรที่ตรงชีวิตได้ขนาดนี้
-- สิ่งที่ชอบมากอีกอย่างก็คือ ชื่อเพลงในอัลบั้มนี้ ที่ดูจะหักล้างกับบรรดาชื่อเพลงที่เราคุ้นเคย เช่น Beautiful day without you Follow my ruin Someone like me
//www.royksopp.com
3. Moby PLAY (A-) -- เพิ่งมีโอกาสได้ฟังอัลบั้มนี้เต็มๆ รู้สึกอัลบั้มชุดนี้ที่มีเพลงเกือบ 20 เพลง มีเพลงที่ผมชอบและไม่ชอบในปริมาณที่เท่าๆกัน ซึ่งปัญหาแบบนี้เคยเกิดขึ้นกับอัลบั้ม Holywood ของ Marilyn Manson ซึ่งมีจำนวนแทร็คถึง 19 เพลง แล้วชอบก็ชอบสัก 10 เพลง แต่อีก 9 เพลงที่เหลือไม่ชอบเลย จนทำให้เกิดความรู้สึกอยากให้ตัวศิลปินเอา 9 เพลงนั้นออกไปซะ
-- เพลงโปรดในอัลบั้มก็ยังคงเป็น Why Does My Heart Feel So Bad ชอบมิวสิกวิดีโอเพลงนี้มากๆ
5. The Tears Here Come The Tears (A) -- ความรู้สึกแรกที่เห็น CD แผ่นนี้ที่ร้าน CD WAREHOUSE สาขาเวิลด์เทรดก็คือ อยากได้มากๆ จนสามารถวิ่งออกไปปล้นเอาเงินใครสักคนแถวนั้นมาซื้อให้ได้ (พอดีตอนนั้นเงินหมดพอดี ก็เลยได้แต่ลูบๆ คลำๆ แผ่น จนพนักงานในร้านมองด้วยสายตาไม่ไว้ใจ)
-- อย่างไรก็ตามหลังจากฟังไปอีกประมาณ 8 รอบ ก็รู้สึกชอบอัลบั้มนี้มากขึ้นเรื่อยๆ มีความรู้สึกว่าซาวด์ของอัลบั้มชุดนี้จะอยู่ระหว่างกลางอัลบั้ม Dog Man Star (1994, A+) กับ Coming Up (1996, A+) โดยในขณะที่ Dog Man Star มีเนื้อหาที่หม่นหมองและเสียงกีต้าร์แตกๆ กดประสาท (บทวิจารณ์ของเมืองนอกบอกว่าสำเนียงกีต้าร์ที่ให้ความรู้สึก DOOM) ชุด Coming Up ก็ให้อารมณ์ที่แร่ดแตกมากๆ ทั้งเนื้อเพลงและทำนอง ดังนั้นงานของ The Tears จึงเป็นส่วนผสมของเสียงแร่ดๆ ของเบรท แอนเดอร์สัน และสำเนียงกีต้าร์ที่ลดความมืดลงของเบอร์นาร์ด บัทเลอร์ โดยอิทธิพลจากงานเดี่ยวของบัทเลอร์ก็มีให้เห็นด้วย เช่น การใช้วงเครื่องสายวงหลายๆเพลง
นักวิจารณ์ในเวบ allmusic.com ให้ข้อสังเกตว่า ถ้าเกิดแอนเดอร์สันและบัทเลอร์ไม่แตกคอกันซะก่อน และจับมือกันทำเพลงต่อจากอัลบั้ม Dog Man Star ก็คงจะได้เพลงออกมาประมาณนี้ ดังนั้นจึงถือว่าอัลบั้มชุดนี้เป็นการรอคอยของแฟนเพลงถึง 11 ปีทีเดียว (แฟนพันธุ์แท้ของ Suede บางคนมักพูดว่า ตั้งแต่เบอร์นาร์ดออกไปจากวง Suede ก็ไม่ใช่ Suede อีกต่อไปแล้ว) แต่ส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่าเหตุของการเกิดอัลบั้มหรือแนวเพลงในอัลบั้มชุดนี้เกิดจาก อีโก้ ของทั้งสองคนที่ลดลงอย่างมากไปตามกาลเวลามากกว่า ถ้าเป็น 11 ปีที่แล้วเพลงคงจะออกมารุนแรงและมีความขัดแย้งกว่านี้อย่างมาก
1. ชื่อเสียงของ Suede เริ่มโด่งดังไปทั่วเกาะอังกฤษ สมาชิกในวงเริ่มเข้าสู่วงจร xxxdrug rock&roll ออกปาร์ตี้ เที่ยวเล่น พี้ยากันทั้งวันทั้งคืน บัทเลอร์ไม่ค่อยพอใจกับวิถีชีวิตแบบนั้นนัก เขาจึงเก็บตัวแต่งเพลงอยู่คนเดียว 2. แอนเดอร์สันเริ่มมีปากเสียงกับบัทเลอร์ ด้วยความเห็นที่ไม่ลงรอยกันเกี่ยวกับตัวเพลง (ด้วยความอีโก้จัดของทั้งคู่ และพ่อของบัทเลอร์ช่วงนั้นก็ป่วยหนักด้วย) บัทเลอร์แต่งเพลง The Asphalt World มาในความยาว 11 นาที แอนเดอร์สันไล่ให้เขากลับไปทำเพลงให้สั้นลง แต่บัทเลอร์ดันกลัมมากับเพลงนี้ด้วยความยาว 19 นาที!! ความสัมพันธ์ของทั้งสองจึงแตกหักในทันที 3. พ่อของบัทเลอร์เสียชีวิต เขาแต่งเพลง Stay Together อุทิศให้พ่อ แล้วก็เดินจาก Suede ไป 4. บัทเลอร์ไปร่วมงานกับนักร้องโซลผิวดำ David McAlmont (เพลงดังตอนนั้นคือ YES) แต่สุดท้ายทั้งคู่ก็แตกคอกัน มีข่าวลือว่าบัทเลอร์เหยียดเพศเกย์ของเดวิด (แต่สุดท้ายทั้งคู่ก็กลืนน้ำลายหันมาจูบปากกันออกอัลบั้มชุดที่สอง Bring It Back เมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว) 5. ปี 1996 Suede ออกอัลบั้มชุดที่ 3 Coming Up ซึ่งเป็นชุดที่ดังที่สุดและขายดีที่สุด 6. หลังจากนั้นกราฟชีวิตของทั้ง Suede และ บัทเลอร์ก็ดิ่งลงเรื่อยๆ สองอัลบั้มหลังของ Suede (Head Music, A New Morning) ไม่ประสบความสำเร็จนัก (แต่ก็ยังมาเล่นคอนเสิร์ตที่เมืองไทยอยู่เสมอ อิอิอิ) ส่วนงานเดี่ยวของบัทเลอร์ทั้งสองชุดก็ได้เสียงตอบรับกลางๆ 7. ในขณะที่ Suede ยังคงเล่นเพลงจากชุด Dog Man Star ในคอนเสิร์ตเพียงนิดเดียว และแอนเดอร์สันยังชอบพูดเล่นอยู่บ่อยๆว่า นี่คือเพลงจากอัลบั้มที่ห่วยที่สุดของเรา (ฮา) แต่ช่วงนั้นบัทเลอร์กลับออกมาให้สัมภาษณ์ว่าเขาคิดผิดที่ออกจากวงมาในปี 1994 (โถ พ่อคุณเพิ่งคิดได้) 8. ประมาณปี 2003 Suede ตัดสินใจพักวง แยกย้ายกันไปตามทางของตัวเอง (และตอนนี้มือกลอง Simon Gilbert ก็มาอยู่กับวง FUTON ของบ้านเรานี่แหละ) 9. ปี 2004 แอนเดอร์สันและบัทเลอร์ประกาศจับมือกันทำวงใหม่ในนาม The Tears (เย้!)
จำได้ว่าตอนที่อ่านข่าวเจอเรื่องวง The Tears ในเวบครั้งแรก รู้สึกดีใจมากๆ ประหนึ่งได้ดูฉากจบที่ Happy Ending ของละครซีรี่ย์เรื่องยาวที่ติดตามมาหลายปี ดังนั้นความรู้สึกที่มีต่ออัลบั้มของ The Tears จึงเป็นอะไรที่รู้สึกดีมากๆ เพราะไม่มีใครที่จะทำเพลงแบบนี้ได้ นอกจากคู่หูสองคนนี้ หวังว่าชุดต่อไปคงไม่ต้องรอนานถึง 11 ปีหรอกนะ
-- เพลงที่ชอบมากๆ ในอัลบั้มชุดนี้ ได้แก่ Refugees, Co-Star, The Ghost of You, Two Creatures, Lovers, Apollo 13 และ A Love As Strong As Death
ชอบเพลง The Ghost of You ที่บอกเล่าความรู้สึกของ คนรักเก่า ได้เห็นภาพและโดนใจมากๆ (แม้ชั้นจะทิ้งข้าวของวัตถุของเธอให้หมดสิ้นไป แต่วิญญาณของเธอก็คงจะหลอกหลอนชั้นอยู่), เพลง Two Creatures ที่พูดถึงคู่รักที่ข้ามโพ้นข้ามทวีปข้ามน้ำทะเล และรู้สึกว่าเพลง Brave New Century พูดถึงเนืองๆ ถึงเหตุการณ์ 9/11
-- เนื้อเพลงที่ชอบมากๆ
Two Creatures Well fly over the endless ocean, were heading for the winter sun, Cos you and me were just two creatures on the run
Lovers Cos we are the lovers, we are the lovers Were different colours but we stand up as one We are the lovers, we are the lovers Two different colours but we stand up as one
Apollo 13 If you follow me, I will follow you into the unknown Like Apollo, like Apollo well fly to the moon If you follow me, I will follow you into the unknown Like Apollo, like Apollo 13 well explode
A Love As Strong As Death Were all looking for a love as strong as death Thats equally heart and equally head And we wonder if this love that people say Is as strong as death is out there somewhere Or just in their heads
3. Utada Hikaru YOU MAKE ME WANT TO BE A MAN รู้สึกดีใจมากๆ ที่เห็นมิวสิกวิดีโอใหม่ของ Utada เพราะรู้สึกว่าหลังจากเธอไปโกอินเตอร์ที่เมืองนอกเมืองนาแล้ว เธอจะหายเงียบไปเลย (เพลงนี้ไม่ใช่เพลงใหม่แต่อย่างไร เป็นเพลงจากอัลบั้ม Exodus ที่ออกตั้งแต่ปี 2004)
มิวสิกวิดีโอนี้กำกับด้วยสามีคนเก่งของเธอเหมือนเคย (คนเดียวกับผู้กำกับหนังเรื่อง CASSHERN - ซื้อแผ่นมาแล้วยังไม่ได้ดูเลยครับ) รู้สึกว่าเขาคนนี้จะมือขึ้นมากกับการสรรสร้างโลกดิจิตอลของตัวเองขึ้นมาด้วยการใช้บรรดา CG ทั้งหลาย (ในขณะที่ผู้กำกับ MV ญี่ปุ่นหลายๆคนพยายามเข้าหาความเรียบง่ายเสียมากกว่า) ดู MV เพลงนี้รู้สึกว่าเหมือนส่วนผสมของ MV เพลง Point of Authorities ของ Linkin Park กับ All is full of love ของ Bjork (เพลงนี้ Utada เล่นเป็นหุ่นยนต์สาวที่โชว์เครื่องใน)
ค้นข่าวไปมา ก็ไปเจอเรื่องตลกอย่างหนึ่งก็คือ Utada Hikaru กับ Ayumi Hamasaki นี่คงจะเป็นคู่แข่งตามล้างตามเช็ดกันไปตลอดชาติ เพราะในขณะที่ซิงเกิ้ลใหม่ของ Utada คือเพลง Be My Last (เอ๊ะ ทำไมชื่อเพลงดูเป็นลางยังไงไม่รู้) จะเป็นเพลงธีมของหนังเรื่อง Haru No Yuki (Fallin Snowy Love in the Spring หนังใหม่ของอิซาโอะ ยูกิซาดะ นำแสดงโดย ซาโตชิ ทสึมาบูกิ, ยูโกะ ทาเคอุจิ แถมมีนักแสดงชาวไทยสองคน คือ โอ-อนุชิต และหนุ่ม-สุวินิต) ทางด้าน Ayumi Hamasaki ก็ได้ร้องเพลง HEAVEN ซึ่งเป็นเพลงธีมของหนัง(ดูท่าทาง)ฟอร์มยักษ์เรื่อง SHINOBI HEART UNDER BLADE
ผมยังหาข้อมูลหนังเรื่อง SHINOBI ไม่ค่อยเจอเท่าไร เท่าที่รู้ก็คือ หนังซามูไร (อีกแล้ว) เรื่องนี้นำแสดงโดย Joe Odagiri (กรี๊ด! เล่นเป็นพระเอกเรื่อง Birght Future คู่กับ Asano Tadanobu) และ Yukie Nakama (นางเอกสุดสวยจากหนังเรื่อง g@me. และเล่นเป็นซาดาโกะวัยสาวใน The Ring 0: Birthday) ดูภาพจากหนังแล้วรู้สึกว่าน่าดูมาก (หนังฉายที่ญี่ปุ่นเดือนกันยานี้)
SHINOBI //www.shinobi-movie.com/
เคยแนะนำหนังเรื่อง Mezon do Himiko เอาไว้ที่นี่ (เรื่องนี้ Joe Odagiri ต้องเล่นเป็นคู่ขาของเกย์เฒ่า!) //www.bioscopemagazine.com/webboard/index-in.php?id=19602
The Tears ...ทำเอาผมแทบคลั่งกับเพลงThe Ghost of you เพราะมันช่างโดนใจมากๆ จนวันก่อนต้องเซฟใส่บล้อกไว้สำหรับเพลงนี้เลย ส่วนเพลงที่เหลือก็เป็นอัลบั้มที่ฟังบ่อยสุดในช่วงนี้แล้ว (อีกเพลงที่ชอบมากคือBeautiful pain) ขอแปะลิงค์ไว้เผื่อใครสนใจตามมาลองฟังกันก่อนได้ครับที่ >> https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=07-2005&date=26&group=5&blog=1
ตอนนี้ชักอยากดูหนังของไฉ่หมิงเเหลียงแบบยกชุด The Hole นี่ควรจะดูนานแล้ว มีคนเคยเอามาให้ดูตั้งแต่สมัยเป็นวิดีโอ ยังไม่ได้ดูสักที What time is it there ? อีก แค่ชื่อก็อยากดูแล้ว ที่จริงควรจะดูเรื่องนี้ก่อน The Wayward Could เสียอีก - เรื่องนี้มีหลายฉากที่น่าสนใจ แต่หลายฉากก็โหดร้ายเหลือเกิน (แปลกดี ดูเรื่องนี้แล้วคิดถึงสัตว์ประหลาด ของคุณเจ้ยหน่อยๆ ทั้งทีเนื้อหาของเรื่องไม่เกี่ยวกันเลย )
3. บทวิจารณ์ Goodbye, Dragon Inn ของคุณธิดา ในเวบผู้จัดการ
4. บทวิจารณ์ Goodbye, Dragon Inn โดยคุณเจ้าชายน้อย //www.bioscopemagazine.com/review/index-in.php?id=11349
5. บทวิจารณ์ The Hole โดยคุณเจ้าชายน้อย //www.bioscopemagazine.com/review/index-in.php?id=12484
คุณเจ้าชายน้อย ให้ข้อสังเกตไว้ว่า The Wayward Cloud เหมือนจะการต่อยอดหนังเรื่อง The Hole มากกว่า What Time Is It There?
นอกจากนั้นยังมีหนังสั้นอีกเรื่องหนึ่งของไฉ้หมิงเลี่ยงชื่อ The Skywalk is Gone ที่เป็นเสมือนภาคต่อของ What Time Is It There? (หนังเคยมาฉายใน World Film Festival เมื่อตุลาคม 2547)
1.2 Last Life in the Universe (2003, เป็นเอก รัตนเรือง, A++++++++++++)
1.3 Love & Pop (1998, ฮิเดอากิ อันโนะ, A) อาซาโน่ปรากฏตัวในหนังเรื่องนี้ไม่กี่นาที แต่เป็นอะไรที่น่าจะจำกัดความได้ว่า ตะลึงงันและสั่นไหว ในเรื่องนี้เขาเล่นเป็นตัวละครที่ชื่อว่า Captain XX (??!!)
COPY มาจาก //www.bioscopemagazine.com/webboard/index-in.php?id=19753
-- ได้ซื้อ VCD รวมหนังสั้นของ FAT FILM 1 และ 2 มาด้วย (แต่ปัจจุบันไม่รู้ว่าหายไปไหนแล้ว) หนังสั้นที่ชอบมากๆ ก็คือ
1. เวตาล (A+++++)
(ขออภัย จำชื่อผกก.ไม่ได้ รู้สึกว่าหนังจะได้รางวัลชนะเลิศจาก Fat Film 1 นะครับ)
หนังเรื่องนี้ว่าถึงความ 'ไร้ตรรกะ' ของอพาร์ตเมนท์แห่งหนึ่ง โดยชายคนหนึ่งพยายามจะขึ้นลิฟท์ไปยังห้องของเขา แต่ลิฟท์ก็เปิดมาที่ชั้น 13 ทุกครั้งไป และเมื่อเขาออกจากลิฟต์มาใช้บันไดแทน ไม่ว่าจะวิ่งขึ้นหรือวิ่งลง มันก็ไม่โผล่ที่ชั้น 13 ทุกครั้งไป
ดูหนังเรื่องนี้นานแล้ว จำตอนจบไม่ค่อยได้นัก แต่จำได้ว่าเพลงปิดท้ายของหนังสั้นเรื่องนี้จะเป้นเพลง เวตาล ของวงโมเดิร์นด็อก (ซึ่งเป็นเพลงที่หลอนและสติแตกมากๆ) จึงทำให้หนังเรื่องนี้ทวีความลึกลับ น่ากลัว และหลอกหลอน อย่างรุนแรง
จำได้อีกอย่างว่า ตอนที่ดูหนังเรื่องนี้ รู้สึก 'กลัว' มากๆ
2. ขุนกระบี่ (A-) (Fat Film 1)
3. ขุนกระบี่ ภาค 4 (A+) (Fat Film 2)
ชอบหนังสั้นของหนังชุดนี้มากๆ แต่ไม่ค่อยประทับใจเวอร์ชันหนังใหญ่ของหนังเรื่องนี้นัก (ขุนกระบี่ ผีระบาด (C+))
4. Happy New Year (A+) (Fat Film 2)
หนังเรื่องนี้เล่าถึงเด็กหญิงคนหนึ่งที่รอให้คุณพ่อกลับบ้านในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ส่วนแม่ของเด็กน้อยก็ดูจะไม่ค่อยใส่ใจเธอนัก
จำเรื่องราวของหนังไม่ได้แล้ว แต่ชอบภาพของหนังเรื่องนี้ โดยภาพในหนังเรื่องนี้จะมีสองแบบใหญ่ๆ ก็คือ ฉากในคอนโดที่เด็กน้อยคนนี้นั่งๆ นอนๆ รอคุณพ่ออยู่ และฉากข้างนอกที่เป็นกรุงเทพกับผู้คนในวันส่งท้ายปีเก่า
รู้สึกว่าอารมณ์ของหนังเรื่องนี้คล้ายๆหนังของหว่องกาไว เหมือนกัน
ฉากของหนังสั้นเรื่องนี้ที่ชอบมากๆ ก็คือ ตอนที่เด็กน้อยมองไปที่ทีวี ซึ่งฉายภาพบรรดาคนที่ไปชุมนุมกันเพื่อรอเค้าท์ดาวน์ปีใหม่
จริงๆ มีหนังสั้นอีกหลายเรื่องที่ผมชอบจาก VCD Fat Film ทั้ง 2 แผ่นนี้ แต่เนื่องจากจำชื่อเรื่องและเรื่องราวของมันไม่ได้แล้ว แถมตัวแผ่นก็หายไปไหนแล้วไม่รู้