The Convert + Suddenly, Last Winter : ความรักหลากมิติ
โดย คันฉัตร รังษีกาญจน์ส่อง
(ตีพิมพ์ครั้งแรก : นิตยสาร I-Street ฉบับที่ 2 / มกราคม 2552)
เมื่อกลางเดือนพฤศจิกายนมีหนังสองเรื่องที่ว่าด้วยการแต่งงานเข้าฉายที่โรงหนังลิโด้อย่างเงียบๆ และลาโรงไปอย่างเงียบๆ เช่นกัน แต่สำหรับผู้ที่ได้ดูหนังทั้งสองคงเห็นตรงกันว่า 'สาร' ที่ถูกสื่อออกมาจากหนังเป็นสิ่งตรงข้ามกับความเงียบงันโดยสิ้นเชิง เพราะนี่คือหนังที่มีพลังและพูดประเด็นสำคัญในสังคมสมัยใหม่
เรื่องแรกคือ The Convert สารคดีโดย 3 ผู้กำกับ ภาณุ อารี, ก้อง ฤทธิ์ดี และกวีนิพนธ์ เกตุประสิทธิ์ หนังติดตามชีวิตของ 'จูน' หญิงสาวชาวพุทธที่แต่งงานกับ 'เอก' ชาวหนุ่มชาวมุสลิม จูนต้องเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลามตามสามี (ชื่อไทยของหนังคือ 'มูอัลลัฟ' อันหมายถึงผู้ที่เคยนับถือศาสนาอื่นและเปลี่ยนมานับถืออิสลาม)
จูนต้องปรับวิถีการใช้ชีวิตจากเดิม เธอต้องหัดท่องบทสวดตามคัมภีร์อันกุรอ่าน, ทำพิธีละหมาด หรือที่ลำบากเอาการคือการถือศีลอด นอกจากนั้นจูนยังต้องปรับวิธีคิดให้เข้ากับหลักศาสนาอิสลามที่เน้นเรื่องภรรยาผู้เชื่อฟังและดูแลสามี เธอจึงลาออกจากงานที่กรุงเทพ และย้ายไปอยู่กับสามีที่ภาคใต้
ผู้เขียนยอมรับว่ามีหลายครั้งที่รู้สึกเห็นใจและอึดอัดแทนจูนกับการปรับตัวเข้าสู่กฎมากมายของศาสนาใหม่ จนแอบเชียร์อยู่ลึกๆ ให้เธอหลุดพ้นจากสภาพนี้ (นั่นคือการเลิกกับสามี) แต่แล้วหนังก็แสดงให้เห็นว่าจูนสามารถปรับตัวได้อย่างราบรื่น ซึ่งทำให้ผู้เขียนรู้สึกละอายอย่างยิ่งต่ออคติในใจของตัวเอง และไม่แปลกใจนักถึงความเรื้อรังในปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
แท้จริงแล้ว The Convert ไม่ได้เน้นย้ำประเด็นทางศาสนาอย่างเดียว แต่หนังกำลังบอกว่าเรื่องความรักความสัมพันธ์นั้นมีปัจจัยมากมายเหลือเกินที่มาข้องเกี่ยว (เศรษฐกิจ, สังคม, การเมือง) แต่เหนืออื่นใดแล้วมันคือเรื่องของความเข้าใจและความไว้ใจ การที่จูนหนักแน่นในสองสิ่งนี้นั่นเองที่ทำให้เธอสามารถประคับประครองครอบครัวของเธอได้
หนังอีกเรื่องคือ Suddenly, Last Winter สารคดีจากอิตาลีที่กำกับโดย กุสตาฟ โฮเฟอร์ และลูก้า รากาซซี่ ทั้งสองเป็นคู่เกย์ที่อยู่ด้วยกันมา 8 ปี เมื่อกฎหมายการแต่งงานของเพศเดียวกันถูกต่อต้านอย่างหนักจากฝ่ายขวา ทั้งคู่จึงตัดสินใจเสี่ยงตายเข้าไปสัมภาษณ์เหล่านักการเมือง, ประชาชน รวมไปถึงกลุ่มต่อต้านเพศที่สาม
ถ้อยคำที่ออกมาจากปากผู้ถูกสัมภาษณ์ช่างน่าเศร้าใจและชวนหดหู่อย่างยิ่ง พวกเขาเหยียดยามและไม่ยอมรับเพศที่สามอย่างสิ้นเชิง บ้างก็ว่าเป็นความผิดปกติ บ้างก็ว่าเป็นความวิปริต บ้างก็ว่าทำให้สังคมพังพินาศ พวกเขาต่อต้านกฎหมายนี้โดยอ้างถึงคำว่า 'สถาบันครอบครัว' และ 'ความสงบสุขของประเทศ' แต่กลับไม่เคยมองคนเหล่านั้นในฐานะ 'เพื่อนมนุษย์' ด้วยกัน
แม้แต่ในโลกตะวันตกอย่าว่าถึงเรื่องการแต่งงานของคนเพศเดียวกัน เอาแค่การยอมรับในเพศที่สามก็ยังไม่ไปถึงไหน (ชัยชนะของกฎหมาย Proposition 8 ในอเมริกาเป็นอีกตัวอย่าง) และเมื่อย้อนมองกลับมาที่บ้านเราแล้ว หนทางที่ว่านั้นช่างเลือนรางและมืดมนเสียเหลือเกิน
เราจะเอาอะไรกับประเทศที่ก่นด่าว่า 'รักแห่งสยาม' เป็น ‘หนังเกย์’ โดยน้อยคนนักที่จะมองมันเป็น 'หนังรัก' หรือพูดถึง 'ความรัก' อันยิ่งใหญ่ในหนังเรื่องนี้
Create Date : 30 พฤษภาคม 2552 |
Last Update : 30 พฤษภาคม 2552 17:00:43 น. |
|
5 comments
|
Counter : 1992 Pageviews. |
|
|
|
+ จริงๆ พี่ไม่ค่อยถูกโรคกับหนังสารคดีนะครับ แต่เรื่องนี้ทำออกมาได้รื่นรมย์ แทรกอารมณ์ผ่อนคลายได้ดีทีเดียว (ทั้งๆ ที่ประเด็นน่ะแสนหนัก) ... และน่าเศร้าที่จนถึงทุกวันนี้ คนส่วนหนึ่ง (และอาจเป็นส่วนใหญ่) ในโลกก็ยังคงมีอคติเหล่านี้อยู่ ซึ่งจะว่าไปมันก็ไม่ต่างจากการเหยียดสีผิว - เหยียดเชื้อชาติ ตรงไหนเลย