Bangkok International Film Festival 2008 (PART 2)
by merveillesxx
DAY 6 : 28 Sep 2008
วันนี้พีคมากๆ หนังดีทุกเรื่อง
1. In the City of Sylvia (2007, Jose Luis Guerin, A+++++++++)
ถ้า ใครเป็นคนประเภทชอบนั่งในร้านกาแฟ ร้านอาหาร หรือกระทั่งรถไฟฟ้า แล้วมองผู้คนไปเรื่อย หนังเรื่องนี้สร้างมาเพื่อคุณ เป็นหนังที่ดูแล้วรู้สึกตื่นเต้นตลอดเวลา (แต่ฝรั่งข้างๆ ดูนาฬิกาทุก 10 นาที, หาว 18 รอบ และเดินออกไปในที่สุด)
ชอบที่ช่วงแรกๆ หนังจับแต่ผู้หญิงสวยๆ แต่ฉากท้ายๆ จะมีแต่ ญ ไม่สวย เหมือนกำลังสะท้อนเรื่องโลกความเป็นจริง หรืออะไรเทือกนั้น
หลาย คนบอกว่าจี๊ดกับฉากนางเอกโบกมือมากๆ (ซึ่งแน่นอนมันเป็น scene of the year จริงๆ) แต่ฉากที่ impact เรามากที่สุดคือฉากที่พระเอกนั่งในผับ ดูแล้วแทบจะร้องไห้ แล้วเพลงในฉากนี้มันก็โดนมากๆ ทุกเพลง
2. Summer Hours (2008, Olivier Assayas, A++++++)
น่า จะนับเป็นหนังที่เศร้าที่สุดในเทศกาล มันเศร้าแบบซึมลึก ถ้าเทียบกับ A Christmas Tale แล้ว เรื่องนั้นเราว่าเป็น "หนังที่ดี" แต่สำหรับ Summer Hours มันคือ "หนังที่ถ่ายทอดความเป็นมนุษย์ได้ดี" เรารู้สึก connect กับมันได้เยอะกว่ามาก มันเป็นเรื่องมนุษย์ที่รู้ดีว่าอุดมคติคืออะไร แต่ก็รู้ว่าสิ่งนั้นกำลังจะพังทลายลงไปช้าๆ และพวกเ้ราก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมรับมัน
มีประมาณ 3 ฉากที่เราร้องไห้ ได้แก่ 1.ตอนพี่น้องสามคนคุยกัน (โดยเฉพาะตอนที่ จูเลียต บิโนช บอกว่า "โอ๊ย นี่ถึงคราวชั้นพูดแล้วใช่มั้ย") 2. ตอนที่คนใช้กลับมาที่บ้าน แล้วเห็นข้าวของในบ้านกำลังถูกห่อ เหมือนเรื่องตลกร้ายที่คนที่มีความผูกพันกับบ้านหลังนี้มากที่สุด คือคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องทางสายเลือดกับครอบครัวนี้เลย 3. ตอนที่คนใช้พูดกับพระเอกว่า "คุณแม่ของคุณรู้อยู่แล้วแหละว่า....."
เทคนิค ภาพยนตร์ของอัสซายาสยังน่าสนใจเหมือนเคย ไม่ว่าจะการถ่ายลองเทค กล้องที่ซอกซอนไปตามเฟอร์นิเจอร์ชิ้นต่างๆ ของบ้าน หรือการตัดต่อที่เมื่อถึงฉากที่จะเร้าอารมณ์ เขาก็ fade ดำทันที (อันนี้น่าจะคล้ายๆ กับ Clean)
ชอบที่ตอนจบก็ไม่ได้ให้มุมมองที่ negative กับรุ่นลูก (ซึ่งจริงๆ ก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย) เพลงในปาร์ตี้สองเพลงในฉากสุดท้าย (เพลงฮิปฮ็อปคือตัวแทนของ generation Y) แสดงได้ว่าอัสซายาสเข้าใจโลกใบนี้ดีขนาดไหน
3. Lorna's Silence (2008, Jean-Pierre Dardenne + Luc Dardenne, A-)
ชอบ น้อยกว่างานชิ้นก่อนๆ (ชอบที่สุดคือ The Son และ Rosetta) เพราะรู้สึกว่างานก่อนหน้าจะมีความดิบ สด และสมจริง มากกว่านี้ (รู้สึกการเคลื่อนกล้องเรื่องนี้นุ่มนวลมากขึ้น) แต่ก็ถือว่าเป็นหนังที่ดีมาก ชอบพล็อตเรื่องลูก ที่ดูเป็น metaphor อะไรสักอย่างที่ดูเก๋ แต่ก็น่าสะเทือนใจไปพร้อมกัน แล้วก็แอบเซอร์ไพรส์เล็กน้อยที่คราวนี้มีเพลงประกอยด้วย (แต่ก็นิดเดียว)
4. Let the Right One In (2008, Tomas Alfredson, A+++++++++)
นี่คือหนังโคตรโรแมนติก!
และแค่ขึ้นฉากแรกมา เห็นบรรยากาศหนังก็ A+ แล้ว แบบว่าเข้าทางมากๆ
รู้สึก หนังมีส่วนผสมหลายๆ อย่างดี ทั้งหนัง coming of age, road movie, สยองขวัญ, ระทึกขวัญ, ดราม่า, ตลกร้าย แล้วมันก็ลงตัวหมดเลย แต่จุดที่ชอบจริงๆ คือ มันเหมือนหนังชีวิตของแวมไพร์ เรารู้สึกว่านางเอกไม่ใช่ผีดิบ แต่เป็น "มนุษย์ที่กลายเป็นผีดิบ" อย่างน้อยที่สุดผีดิบในเรื่องก็ไม่ได้แยกเขี้ยวใส่คนดูแม้แต่ครั้งเดียว (หรือมันไม่มีตังค์ทำเขี้ยว??)
ตอนแรกนึกว่าหนังจะจบแบบหวานๆ ก็แอบแย้งในใจขึ้นมาว่าไม่ชอบ แต่พอเจอฉากสระน้ำเข้าไป อยากจะกรี๊ดลั่นโรง (คือคนดูก็เดาได้อยู่แล้วล่ะว่ามันต้องมีอะไรแบบนี้ แต่เราก็รู้สึกว่าเขาก็ design ให้มันดูทุนต่ำแบบมีคลาสได้ 555)
บทวิจารณ์ LET THE RIGHT ONE IN ใน Film Comment //www.filmlinc.com/fcm/so08/rightone.htm
DAY 7 : 29 Sep 2008
1. Feast of Villains (2008, Pan Jianlin, B+)
หนัง อาจดูธรรมดาไปหน่อย แต่เราก็ชอบที่มันไม่กดดันให้เรารู้สึกเศร้าอะไรมาก อารมณ์ในหนังออกจะดูนิ่งๆ ด้วย แล้วก็ชอบที่พระเอกดู passive มากๆ แต่ก็ไม่แส่หาเรื่องดี (เช่น ไม่ฝืนคำสั่งโทรศัพท์ หรือไม่ไปตามหาตัวพวกแกงค์ค้าไต - ซึ่งปกติแล้วมักจะมีฉากแบบนี้อยู่สูง แล้วลงเอยด้วยการถูกกระทืบ) แล้วก็ชอบความเซอร์ในหนังที่อยู่ดีๆ ก็มีฉากเต้นเพลงแขก (!) หรือตอนท้ายที่ขึ้นหน้าตัวละครชั่วๆ ในหนังขึ้นมาทีละตัว ตามชื่อหนัง "งานฉลองของคนชั่วร้าย" จริงๆ เลย (จนอุทานว่า "เฮ้ย เล่นงี้เลยเหรอพี่")
2. The Betrayal - Nerakhoon (2008, Ellen Kuras + Thavisouk Phrasavath, A)
จริงๆ แล้วอินกับหนังมาก ร้องไห้อยู่ฉาก แล้วพวกฉากถ่ายวิวทิวทัศน์ เราก็ว่า poetic ดี แต่ส่วนที่เป็นเนื้อเรื่องมันดู set เกินไปหน่อย จนแอบคิดว่าจริงๆ แล้วถ้าทำเป็นหนัง fiction ไปเลย แล้วแทรกสารคดี จะดีกว่ามั้ย (แต่ถ้าทำหนังแบบนั้นหนังมันคงไม่ได้รับความสนใจขนาดนี้) นอกจากนั้นยังให้ความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ลาวด้วย (สำหรับเราที่ไม่เคบรู้เรื่องพวกนี้เลย จึงถือว่าเป็นสิ่งเดีมากๆ)
3. Citizen Juling (2008, Kraisak Choonhavan + Ing K. + Manit Sriwanichpoom, A+)
แรง น้อยกว่าที่คิด แต่จริงๆ หนังมันก็มีอะไรแรงๆ อยู่ (แต่ก็ขึ้นกับว่าคนดูจะ conscious กับเรื่องตรงนั้นยังไงด้วย) ตอนดูก็เพลินๆ ดี เพราะบางเรื่องก็ลืมไปแล้ว เป็นการทบทวนความจำ หรือบางเรื่องก็ไม่เคยรู้ มีจุดที่รู้สึกเบื่อๆ บ้าง แต่ก็ชอบแนวคิดที่ไปสำรวจทั้งภาคเหนือและภาคใต้มากๆ ถึงแม้จะรุ้สึกเอียนๆ leader ของตัวหนังเป็นบางครั้ง
ชอบลีลาการสัมภาษณ์ของคุณอิ๋งมาก ตอน Q&A ก็อยากจะถามเรื่องนี้เหมือนกัน แต่แย่งไมค์กับฝรั่งไม่ทัน (แต่ประเด็นหลักคือไม่กล้าถาม 555)
ไม่ชอบอย่างหนึ่งคือ การตัดต่อบางอย่างที่หนังใช้บ่อยไปหน่อย ฉากเช่นฉากห้องเปื้อนเลือด ใช้บ่อยๆ ก็ไม่ทรงพลังแล้ว แถมยังดูจงใจไปด้วย แต่ใขขณะเดียวกันการตัดต่อแบบนี้ก็ยังให้ผลฮาๆ แล้วก็น่าสงสัยมาก เช่น การตัดฉาก อ.เฉลิมชัย หัวเราะ ซ้ำๆย้ำๆ นี่ก็ไม่รู้เหมือนว่าตกลงผู้สร้างต้องการอารมณ์ไหน
ชอบอารมณ์ช่วงท้ายๆ ในช่วงหลัง 19 กันยาด้วย รู้สึกเป็นหนังตลก absurd
แล้วก็อยากให้คุณอิ๋งกลับไปทำสารคดี 6 ตุลาด้วย (เห็นว่าเคยจะทำ แล้วพับไป)
DAY 8 : 30 Sep 2008
1. Quiet Chaos (2008, Antonio Luigi Grimaldi, A+)
ไม่ ค่อยได้คาดหวังอะไรกับหนังเท่าไร เพราะไม่ค่อยชอบเรื่อง The Caiman แล้วก็ไม่ค่อยถูกชะตากับหนังอิตาลีด้วย แต่เรื่องนี้ดูแล้วรู้สึกรื่นรมย์มากๆ ชอบมากที่หนังไม่ได้ดูฟูมฟายเกินไป แต่ก็ไม่ได้แอ๊บแบ๊วจนน่ารำคาญ (อย่างเช่น พล็อตพระเอกกับสาวสวยจูงหมา ก็ดีใจมากที่หนังจบไว้แค่นั้น) ชอบที่หนังสร้างพล็อตเก๋ๆ ขึ้นมา (พ่อที่เมียตาย ไม่ไปทำงาน เอาแต่เ้ฝ้าลูกหน้าโรงเรียน) แล้่วก็คลี่คลายมันอย่างเรียบง่าย (ฉากที่ลูกขอของขวัญคริสมาสต์จากพ่อ มัน touching มากๆ) อ้อ แล้วก็ชอบ voice over ของพระเอกด้วย ดูประสาทฮาๆ ดี (เช่น นั่งนึกว่าชั้นเคยนั่งสาบการบินอะไร, ฃั้นเคยอยู่บ้านที่ไหนบ้าง - ปกติตัวเองเวลาว่างๆ ก้ชอบนึกอะไรประสาทๆ แบบนี้เหมือนกัน เลยรู้สึกอินกับตัวละครนี้ไ้ด้ในจุดนี้)
จริงๆ ชอบครึ่งแรกของหนังมาก เพราะพระเอกไม่ร้องไห้เลย พอมีฉากร้องไห้ใหญ่ๆ ก็เลยชอบหนังน้อยลงไปบ้าง แต่รู้สึกว่าอาจจะดีแล้วที่มีฉากนี้
นอกจากนั้น หนังยังเลือกเพลงประกอบได้เก๋ไก๋มากๆ ด้วย พอมีเพลงของ Radiohead ขึ้นมา ก็ให้ A+ กับหนังทันที ยิ้มเท่ห์
2. Modern Life (2008, Raymond Depardon, A+)
ช่วง แรกๆ อาจรู้สึกเบื่อๆ บ้าง + ดูไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะอีป้าข้างๆ คุยกันตลอด ตอนหลังเลยย้ายที่ แล้วก็ดูหนังรู้เรื่องขึ้นเยอะ เริ่มซึมลึกกับหนังมากขึ้น แล้วก็พบว่านี่คือหนังที่ทรงพลังที่สุดของเทศกาล
ชอบ หนังที่ไม่บิวด์อารมณ์อะไรเลย แค่คำตอบของผู้ให้สัมภาษณ์แต่ละคนก็ผลักอารมณ์ของเราให้ถึงขีดสุดแล้ว โดยเฉพาะช่วงท้ายๆ หนังถ่ายภาพสวยมาก แต่ก็รู้สึกว่ามันไม่ได้ปรุงแต่งอะไรเลย (อาจมีการ set บ้าง เท่าที่เดา) การจับภาพของฟาร์มโล่งๆ หรือภาพหน้าคนแก่ก็เป็นอะไรที่ impact คนดูได้สุดๆ
ปกติแล้วจะรู้สึกมันฉากประเภทขึ้นเครดิตหน้าตัวละคร พร้อมชื่อจะเสร่อ แต่เรื่องนี้ต้องยกเว้นจริงๆ เพราะมันทำให้เราคิดคำนึงต่อไปว่าชีวิตของพวกเขาจะเป็นยังไงต่อไป
อนึ่ง หนังเืรื่องนี้ควรใช้ประกอบกับ Summer Hours
3. 24 City (2008, Jia Zhangke, A-)
เป็น ผลจากการที่ก่อนหน้าเพิ่งดู Modern Life มา พอมาเจอหนังสัมภาษณ์ๆๆๆๆๆ อีกก็เลยแบบเหนื่อย เบื่อ และไม่อินกับหนังเลย (แถมคนจีนในหนังพูดจาล้งเล้ง แบบว่า ku หนวกหูมากค่ะ) พอมาถึงฉากบังคับอย่างฉากตึกถล่มก็ไม่รู้สึกอะไรกับมันเลย (ฉากประเภทนี้ใน My Winnipeg ยังอินมากกว่าเลยแฮะ)
สิ่งที่ชอบที่สุดในหนังคือ เพลงประกอบฝีมือของ Lim Giong (ที่เป็นเพลงแดนซ์ๆ หน่อย) ถ้าจำไม่ผิดเขาคือคนทำเพลงประกอบเรื่อง Millennium Mambo ของโหวเชี่ยวเฉียน (ซึ่งเราชอบมาก)
4. Nanayo (2008, Naomi Kawase, B+)
(กว่าจะได้ตั๋วมาก็ยากเย็นเหลือเกินนะ)
ต้องยอมรับว่าผิดหวังกับหนังพอสมควร อาจจะเพราะคาดหวังกับหนัง (แบบในทางที่ตัวเองอยากให้เป็น) มากเกินไป
สิ่ง ที่ชอบคือ ภาษาหนังของคาวาเสะยังแข็งแรงเหมือนเดิม ภาพถ่ายภาพ (ชอบฉากที่นางเอกวิ่ง + ฉากจบ), การบันทึกเสียง อันนี้คือสุดยอด แล้วก็ชอบการถ่ายแบบสารคดีด้วย อย่างเช่น ฉากที่ถ่ายชาวบ้าน แล้วชาวบ้านยิ้ม และโบกมือให้กล้อง เธอก็เอาเทคนั้นเลย
สิ่งที่ไม่ ชอบคือ หนังควบคุมการแสดงของนักแสดงชาวไทยไม่ได้นัก (หรือไม่ได้่เลย) จนกลายเป็นหนังตลกไปซะงั้น แต่อันนี้ก็ต้องหมายเหตุไว้ว่าอาจเป็นเฉพาะการรับรู้ของคนไทยอย่างเราๆ ก็ได้ พยายามจะทำความเข้าใจในจุดนี้ แต่ก็ยังมีปัญหากับฉากตบตีกันอย่างมาก (จริงๆแล้วมันเป็นฉากเซอร์เรียลเลยทีเดียว) แต่จริงๆ ฉากนี้ก็ต้องชมว่า เคียวโกะ ฮาเซกาว่า ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีมาก เธออาจจะไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่เธอก็เล่นประสาทแดกไปได้
ที่ชอบใน หนังอีกอย่างคือ หนังไม่ได้ปูพื้นอะไรเท่าไร (ว่านางเอกมีแบ็คกราวด์อย่างไรจากญี่ปุ่น) และไม่ได้บอกบทสรุปกับเราว่า ตกลงแล้วนางเอกได้อะไรจากการมาเที่ยว (คือชอบที่ไม่ได้บอกว่า โอ้ นี่คือการค้นพบความสงบทางจิตวิญญาณ บลาบลาบลา) เหมือนหนังก็แค่จับภาพ 7 วัน ที่เธอมาร้อนเหงื่อแตกที่ประเทศไทยก็เท่านั้น รวมถึงฉากบวชก็อาจจะเป็นเพียงกิจกรรม exotic อย่างนึงก็เท่านั้น (แต่ก็ยังรู้สึกหงุิดหงิดที่ฝั่งตัวละครยึดติดกับเรื่องนี้เหลือเกิน)
ฉากความฝันของนางเอกก็น่าสนใจดี แต่กลัวเหมือนกันว่าการตีความในบางมุม อาจทำให้ประเด็นนี้ sensitive เกินไปได้
อันดับสำหรับเทศกาล
1. Summer Hours (2008, Olivier Assayas, A++++++)
2. Let the Right One In (2008, Tomas Alfredson, A+++++)
3. In the City of Sylvia (2007, Jose Luis Guerin, A+++++)
4. Modern Life (2008, Raymond Depardon, A+)
5. Quiet Chaos (2008, Antonio Luigi Grimaldi, A+)
6. Citizen Juling (2008, Kraisak Choonhavan + Ing K. + Manit Sriwanichpoom, A+)
7. Vicky Cristina Barcelona (2008, Woody Allen, A)
8. A Christmas Tale (2008, Arnaud Desplechin, A)
9. The Last Mistress (2007, Catherine Breillat, A-)
10. Lorna's Silence (2008, Jean-Pierre Dardenne + Luc Dardenne, A-)
11. The Betrayal - Nerakhoon (2008, Ellen Kuras + Thavisouk Phrasavath, A-)
12. 24 City (2008, Jia Zhangke, A-)
13. Nanayo (2008, Naomi Kawase, B+)
14. Feast of Villains (2008, Pan Jianlin, B+)
15. 12 Lotus (2008, Royston Tan, B+)
16. My Winnipeg (2007, Guy Maddin, B+)
17. Parking (2008, Chung Mong-Hong, B)
Create Date : 29 กันยายน 2551 |
Last Update : 1 ตุลาคม 2551 2:58:08 น. |
|
36 comments
|
Counter : 3110 Pageviews. |
|
|
|
ไปอ่านมา มีคนเค้าเปรียบล่ะ ว่าชีวิตของ ELI จบตั้งแต่โดนตัดจู๋แล้วค่ะ เจ้าหล่อนก็เลยกลายเป็นคนไร้เพศ และทิ้งความเป็นมนุษย์ไปแล้ว
มองโลกในแง่ร้าย ไอ้ออสการ์จะเป็นรายต่อไปที่ต้องตายเหมือนผู้ชายคนนั้น มองโลกในแง่ดี ออสการ์รักกันแบบไร้เพศต่อไป
ปล. พ่ออีออสการ์มันเป็นเกย์เปล่าวะ