|
ตะลุยเทศกาลภาพยนตร์ยุโรป (EU Film Festival 2005)
โดย merveillesxx
ข้อมูลต่อไปนี้ก็อปมาจากกระทู้ที่เวบบอร์ด BIOSCOPE หากอยากอ่านข้อความที่สมบูรณ์ขอเชิญที่นี่นะครับ //www.bioscopemagazine.com/webboard/index-in.php?id=17974
1. If I were a Rich Man (A-)
ฝรั่งเศส 2002 //www.imdb.com/title/tt0315152/
หนังเรื่องนี้เป็นหนังตลกชวนหัวว่าด้วยสามี ภรรยาที่กำลังจะหย่ากัน แต่โลกก็เล่นตลกเมื่อฝ่ายชายดันถูกล็อตเตอรี่รางวัล 10 ล้าน เขาก็เลยคิดจะใช้มันเป็นเครื่องมือที่จะคืนดีกับเมียตัวเอง แต่กรรมซ้ำซัดซ้อนเมื่อเมียของเขาดันเป้นชู้กับเจ้านายของเขาเสียอีก! พระเอกก็เลยปกปิดเรื่องนี้กับเมียของเขา เพราะไม่อยากแบ่งเงินส่วนนี้ให้เมีย (ตามกฏหมายแบ่งทรัพย์สินครึ่งๆเมื่อหย่ากัน)
ผมดูนั่งเรื่องนี้แล้วหัวเราะได้เรื่อยๆ เลยครับ มุกตลกในหนังเรื่องนี้เป็นสากลมากๆ คนในโรงทั้งหัวทองหัวดำก็ขำกันหมด (แต่เอ๊ะ เหมือนได้ยินสำเนียงหัวเราะแบบฝรั่งมากกว่านะ) แม้พล็อตหนังจะเดาได้อยู่แล้วว่าจะเริ่ม-จะไป-และจะจบอย่างไร แต่ผมก็ชอบสถานการณ์ที่หนังคอยใส่เข้ามา (เช่น พระเอกของเรื่องไปเจอกับหญิงสาวเซ็กซ์สวาท ทั้งสองไฟสปาร์กกันจนนัดกันไปโจ๊ะพึมพึม ...ซึ่งนำไปสู่ฉากที่ฮามาก)
เป้นหนังที่ดูแล้วมีความสุขครับ สังเกตจากคนรอบข้าง พอหนังจบแล้ว ยิ้มออกจากโรงทุกคน (ซึ่งเป็นภาพที่ผมไม่ได้เห้นมานานแล้ว....)
******ต่อไปนี้มีเปิดเผยเนื้อเรื่อง******* 1. ฉากที่ชอบมาก - ชอบฉากที่พระเอกไปแลกเงินรางวัล แล้วแต่งตัวลับๆล่อๆ ใส่แว่นดำ พนักงานก็ทำเป็บซุบซิบกัน เราก็เดาไว้ว่าพวกเธอสงสัยว่าพระเอกเป้นโจรมาปล้น แต่ปรากฏว่าพวกเธอเดินเข้าไปเชิญให้พระเอกไปรับเงินรางวัลที่ด้านหลัง โดยเธอพูดประมาณว่า "เราชินแล้วล่ะค่ะ พวกได้รางวัลที่ 1 ก็แต่งตัวมาแบบนี้ทุกที"
ที่ฮาไปกว่านั้น พระเอกบอกพนักงานว่า ขอให้เรื่องนี้เป้นความลับ ซึ่งเธอยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะ แต่ปรากฏว่าพอพระเอกออกมา ดันถือป้ายประกาศมอบเงินรางวัลใหญ่เท่าฝาบ้านออกมาด้วย (เหมือนป้ายรางวัลที่รายการทีวีบ้านเราชอบโชว์เวลาแจกเงินให้คนทางบ้านแหละครับ)
2. ตอนฉากจบของเรื่องที่เป้นถ่ายซูมเอาท์ออกมาเรื่อยๆ จนเห้นทิวทัศน์ของเมือง เป็นฉากจบที่สวยและทำให้รู้สึกดีมาก ***********จบ*************
เกร็ดภาพยนตร์ 1. นางเอกหนังเรื่องนี้ Valeria Bruni Tedeschi เป็นนางเอกหนังเรื่อง 5x2 ของฟรองซัวส์ โอซอง (ผมไม่รู้จักเธอหรอกครับ ใครจะเพิ่มเติมก็เชิญเลยนะครับ)
2. พระเอกของหนัง Jean-Pierre Darroussin มีหนังอีกเรื่องนึงที่เข้าฉายในเทศกาลนี้คือ Frenchman (2003) เขาเล่นได้หน้าตายดีครับ ชอบๆ
2. The Son (A+++)
สองพี่น้องดาร์เดน / เบลเยี่ยม / 2002 - เข้าชิงปาล์มทองคำ 2002 - คานส์ 2002 รางวัลนักแสดงชาย Olivier Gourmet //www.imdb.com/title/tt0291172/
แค่วันแรกของเทศกาล (สำหรับผม) ผมก็ได้หนังที่ชอบมากๆแล้วครับ
The Son เป็นหนังที่ควรจะรู้เรื่องให้น้อยที่สุด หรือความจริงไม่รู้อะไรเลยจะยิ่งดีกว่า (แล้วมันก็ไม่มีอะไรจริงๆ) เพราะตัวหนังจะพาเราติดตามเหตุการณ์ไปจนถึงตอนจบ...ที่คุณไม่มีทางรู้ (เหอๆๆๆๆๆ)
หนังมีการถ่ายทำแบบด็อกม่า (ประมาณ Dancer in the Dark ของวอน ทรีเยร์ ซึ่งผมไปดูที่ลิโด้ตอนเด็กๆ แล้วนึกว่าฟิล์มเสียหรือจอห่วย--ฮา) นั่นคือการใช้กล้อง HandHELL เอ๊ย..Handheld ทั้งเรื่อง และการใช้การภาพระยะใกล้-ใกล้มาก กับตัวละครทั้งเรื่อง ซึ่งแรกๆผมก็เวียนหัวเอาการ (ซึ่งปกติผมไม่มีปัญหากับหนังประเภทนี้หรอกครับ ผมคิดว่าเป็นเพราะล้าสายตามากับหนังสไตล์สุดลิ่มทิ่มเหงือกอย่าง Sin City) พอผ่านไปประมาณ 20 นาทีก็ปรับตัวได้
หนังเล่าเรื่องโดยการติดตามพฤติกรรมตัวละครหลักของเรื่อง นั่นก็คือ โอลิวิเยร์-ผู้เป็นช่างไม้ (Olivier Gourmet เล่นทั้งเรื่อง..แบบนี้ก็เอาไปเถอะ รางวัลน่ะ) มุมกล้องมักจะตามหลังของเค้าอยู่เสมอ (เค้าทำพฤติกรรมอะไรบางอย่างลงไปแล้ว กล้องจึงจะตามเค้าไป) เสมือนเราก็กำลังสอดแนมเขาอยู่ ในใจเราจึงคิดลุ้นตลอดเวลาว่าเขาจะทำอะไร ...เขาจะทำใน 'สิ่งที่เรา' คิดไว้หรือเปล่า
พูดตามตรงแล้วหนังก้น่าเบื่อ คุณพี่ข้างๆผมก็ขยับเนื้อตัวตลอดเวลา (แกคงเซ็ง - ซึ่งตอนหลังแกมาคุยกับผมว่าแกเกลียดภาพแบบนี้และแกจะอ้วก ดีนะไม่มาอ้วกใส่เรา) หนังมีเพียงภาพที่เคลื่อนไหวสอดส่ายไปมา ไม่มีเพลงประกอบ ...ดนตรีในหนังคือเสียงของคนตอกไม้ ตัดไม้ เลื่อยไม้ ...แต่ผมไม่เบื่อหนังเรื่องนี้เลยครับ แต่แอบลุ้นอะไรบางอย่างอยู่ในใจเรื่อยๆ ...และหนังก็สนองผมด้วยการให้ไคลแม็กซ์ของหนังเกิดขึ้นจากคำพูดหนึ่งประโยค (ผมเชื่อว่าตอนนั้นคนดูหลายคง คงตื่นในจากภวังค์--ฮา)
*******ควรจะดูหนังก่อนแล้วค่อยอ่าน******* ผมชอบตอนจบของหนังเรื่องนี้มากๆครับ มันเป็นความรู้สึกที่เจือจางจับต้องได้ยาก (เขาไม่ได้ใช้การฟรีซภาพ หรืออะไรเทือกนั้น) แต่ก็ติดตามตัวออกไปจากโรงภาพยนตร์ด้วย ...แต่ที่ฮาก็คือ ตอนจบเรื่องนี้ทำให้คนดูเกือบทั้งโรงอึ้ง แล้วก็ร้อง 'อ้าว' *******จบ*********
The Son ฉายอีกที เสาร์ที่ 4 มิ.ย. รอบ 14.15 ใครยังไม่เคยดูก็ไปดูนะครับ (แม้ว่ามันจะมีขายที่ร้านพี่คนไหนก็เหอะ) แต่นอนไปเต็มอิ่มล่ะ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน
3. Blind Spot ตอนดูจบใหม่ๆ (A) ตอนนี้ (A+++)
Slovenia / 2002 //www.imdb.com/title/tt0332398/
ผมได้ดูหนังเรื่องนี้แบบจับพลัดจับผลูมากๆ (ตามที่เล่าไปข้างบน) เข้าไปดูแบบไม่รู้เรื่องอะไรเลย เรื่องย่อก็จำไม่ได้ "หนังมันเกี่ยวกับอะไรวะ แล้วหนังชาตินี้เป็นยังไง หน้าตาเป็นยังไง ประเทศมันอยู่ตรงไหน" ...นั่นแหละครับ ไม่รู้อะไรเลยจริงๆ
Blind Spot เล่าถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อ Lupa แฟนหนุ่ม (รึป่าว?) ของเธอติดยาอย่างหนัก เธอจึงต้องคอยหายามาให้เขา พร้อมกันนั้นเธอก็หาแหล่งกบดานสำหรับทั้งคู่เพื่อหลบเลี่ยงการตามล่าตัวแฟนหนุ่มจากโรงพยาบาลที่เค้าหนีออกมาอย่างเสร็จสรรพ
ดูเหมือนชะตากรรมทุกอย่าง ทุกสิ่งทุกผู้ทุกคนจะประเดประดังมาที่ Lupa ผู้คนมากมายที่อยู่ห้อมล้อมตัวเธอ ทั้งมาเฟียค้ายาที่บอกว่าแฟนของเธอติดหนี้ก้อนโตกับเขาอยู่, เพื่อนบ้านที่เป็นโสเภณีแก่, แม่ที่ดูสติไม่เต็มเต็งของแฟนหนุ่ม, ยัยเจ๊จากโรงพยาบาลที่ตามหาตัวแฟนของเธอชนิดกัดไม่ปล่อย แล้วไหนจะกิ๊กเก่าของเธอที่ตามมาตื๊อเธออีก
หนังเทน้ำหนักไปที่ Lupa อย่างเต็มที่ (แสดงโดย Manca Dorrer - //www.imdb.com/name/nm1244472/) เธอเป็นทั้งตัวละครที่นำเราไปสู่เหตุการณ์ต่างๆในเรื่อง และต้องแบกรับทุกสิ่งทุกอย่างไว้อีกด้วย ซึ่งการแสดงของเธอนั้นก็ดีเอามากๆ
หนังไม่ได้มีอารมณ์แบบผู้หญิงที่สู้ชีวิตกับความบัดซบ แต่เป็นแค่ "เรื่องธรรมดาๆ" ของผู้หญิงคนนึงไป "รักแฟน" ของตัวเอง และอาจจะรักจนมากเกินไป ทั้งๆที่ไม่มีใครแน่ใจว่าเขารักเธอมั้ย แถมเขายังมีความลับขนานใหญ่ปกปิดกับเธอไว้อีกด้วย
สิ่งที่โดดเด่นมากในหนังคือ ลักษณะของภาพที่ใช้ภาพเกรนแตกหยาบแบบสุดๆ, การถ่ายภาพ-การลำดับภาพที่น่าสนใจมากๆในหลายฉาก เช่น
1. ฉากแรกๆ นางเอกกำลังเดินที่ริมทางเท้าเป็นภาพระยะใกล้ แต่พอเธอเดินผ่านหลังเสา (เสาจะบังเธอ) เมื่อพ้นจากเสาออกมาภาพจะกลายเป็นระยะไกลทันที
2. นางเอก (หรือพระเอกผมจำไม่ได้ชัดนัก) มองไปบนฟ้า พอกล้องเคลื่อนผ่านไปในทางมุมเฉียงบน ก็จะกลายเป็นภาพดวงจันทร์บนท้องฟ้าในที่สุด
3. สังเกตว่าเวลานางเอกพบเจอกับตัวละครใหม่ๆ กล้องจะถ่ายช่วงล่างของคนๆนั้นก่อน และใช้เวลาสักพักกว่าเราจะได้เห็นช่วงบนและหน้าของตัวละครนั้น
4. ฉากที่นางเอกหลับตาปี๋ และกล้องซูมเข้าไปจนเห็นรอยย่นที่ชัดเจนมาก เป็นภาพที่ประหลาด แต่ก็ดูมีพลังและความหมาย
5. ฉากที่นางเอกคุยกับโสเภณี กล้องจะเวียนวนถ่ายรอบๆห้องไปเรื่อยๆ (เหมือนแมลงบินวนไปรอบห้องนั้น) เริ่มจากตัวพระเอกที่นอนแหงกอยู่บนเตียง ไล่ไปยังเฟอร์นิเจอร์ตามมุมต่างๆ และใช้เวลานานมากๆ กว่าจะมาที่ผู้หญิงทั้งสองที่นั่งคุยกันอยู่หลังตู้ (โดยระหว่างฉากนั้น จะมีเสียงของเธอทั้งสองอยู่ตลอดฉาก)
การใช้เสียงประกอบในหนังก็เด่นมากๆ โดยหนังเรื่องนี้ไม่มีการใช้ดนตรีประกอบที่เป็นทำนองชัดเจน หนังทั้งเรื่องมักมีเสียงประกอบแปลกๆ ชนิดครางหึ่งๆๆๆ ที่ทำให้หนังดูลึกลับและกดดัน
นอกจากนี้หนังยังมีการใช้เสียงจากแหล่งกำเนิด ธรรมชาติ เช่น เสียงไซเรนของตำรวจ เสียงล้อรถเบียดถนน (ฉากที่พระเอกฝันร้าย) ฉากที่ผมชอบมากๆคือ ตอนที่นางเอกรู้ความลับของพระเอก เขาเลือกใช้เสียงฝนตก+เสียงออกซเหล็ก (คิดได้ไงเนี่ยเพ่!)
ที่โดดเด่นที่สุดคงเป็นฉากเปิดของหนัง ที่เป็นพระเอก (แฟนหนุ่มของ Lupa) เดินออกมาจากโรงพยาบาลผ่านไปทีละประตู แล้วเสียงบานเลื่อนประตูก็ดังขึ้นเรื่อยๆ จนไปเชื่อมกับเสียงเพลงร็อคสติหลุดในฉากถัดมา
สาเหตุที่ผมไม่ได้ให้หนังนี้ถึงระดับ A+ อาจจะเป็นเพราะจังหวะของหนังในช่วงท้ายที่ออกจะรวบรัดไปหน่อย จนผมตามไม่ทัน (เอ..หรือผมดูไม่รู้เรื่องเองนะ) รวมถึงบางอย่าง / บางฉากที่ใส่เข้ามาที่ผมไม่ค่อยกระจ่างเท่าไรนัก
อย่างไรก็ตามผมชอบอารมณ์โดยรวมของหนัง ที่เปรียบเสมือนการติดตามตัวละครอย่าง Lupa มาเรื่อยๆ ...ดูหนังเรื่องนี้แล้วคิดถึง Right Now (A+++) ที่ทั้งเรื่องแบกด้วยตัวละครหญิงเหมือนกัน แถมประเด็นยังคล้ายๆกันเสียด้วยในเรื่องความรักที่มีอิทธิพลเหลือล้นต่อชีวิต
ฉากที่ชอบในหนังเรื่องนี้
1. ตอนที่นางเอกเล่านิทานให้พระเอกฟัง ชอบฉากนี้มากๆ ให้อารมณ์ที่ประหลาดจริงๆ
2. ฉากโสเภณีแก่ บอกว่าเธอได้มรดกจากแม่ที่ตายไปแล้ว เธอจะย้ายไปอยู่ชานเมือง และจะเปิดสมาคม "โสเภณีแก่" (อะไรเทือกนั้น)
******SPOILER******* 3. ตอนจบของหนังที่เป็นเสียงชาย-หญิงทั้งสองเดินลงบันไดไปเรื่อยๆ จนเป้นเสียงปิดประตูในที่สุด ...ชอบมากกกกกกกกกกกกกกกก *******จบ********
เพลงตอน end credit เพราะดี ฟังแล้วเมาๆดี
สรุปแล้ว Blind Spot เป็นหนัง Surprised Film เรื่องแรกสำหรับผมในเทศกาลนี้เลยครับ
พูดถึงหนัง Blind Spot ต่อนะครับ -- อ้า ใช่จริงๆแหละครับ ดูเหมือนว่าสองคนนี้จะเป็นพี่น้องกันมากกว่า คิดว่ารูปขาวดำที่เป็นรูปชาย-หญิงสองคนที่ดูมีอายุหน่อยที่อยู่ในห้องก็น่าจะเป็นพ่อแม่ของสองคนนี้หรือไม่ก็เป็นญาติโกโหติกาอะไรกันสักทางเนี่ยแหละครับ
-- คิดไปคิดมาแล้ว โชคดีเหมือนกันที่เลือกดูหนังเรื่องนี้ เพราะมันเป็นหนังที่ใช้อารมณ์และความรู้สึกลอยกับมันไปอย่างเต็มที่ เวลานั้นผมคงไม่มีเค้นสมองกับหนังหนักๆมากนัก (ไม่แน่ใจว่า Ae Fond Kiss มีประเด็นหนัก-เบาขนาดไหน) เพราะก่อนหน้านั้นเรียนกับ อ.แดง มาเกือบ 7 ชั่วโมงเต็ม -_-
-- ชอบฉากที่เหาะเป็นซูเปอร์แมนด้วยครับ ส่วนฉากที่ไฟไหม้ม่านพรึ่บๆก็ชอบและรู้สึกว่ามันสวยและหลอนมาก
-- ส่วนฉากที่เธอไปเจอกับคนพิการโรคจิตคนนั้น ทำให้ผมคิดว่าเธอนี่ช่าง ซวย จริงๆ และคิดว่าตัวเองยังโชคดีกว่าเธอหลายเท่า ^^
-- ฉากที่ใส่เข้ามาแล้วผมงงๆก็อาจจะเช่น ฉากที่มีเด็กผู้ชายจ้องมองแมลงที่อยู่ในขวดโหล แต่คิดว่าน่าจะแสดงถึงสภาวะของพระเอกในปัจจุบันครับ (เขาอยากบิน แต่ตอนนี้ดันนอนแหง่กอยู่เป็นศพแห้งๆบนเตียง) / อีกฉากหนึ่งที่ใส่มาแล้วไม่ค่อยชอบใจเท่าไรก็คือ ตอนที่ใช้เข็มฉีดยาเข้าที่แขนตัดกับภาพอะไรสักอย่างวิ่งด้วยความเร็วสูงในอุโมงค์แล้วไปเจอนางเอกยืนอยู่ ฉากนี้ทำให้นึกถึงหนังเรื่อง Requiem for a Dream (A+++) ที่ตัดภาพการเสพยาแบบ ฮิปฮอป สุดๆ แต่ผมคิดว่าฉากนี้ใน Blind Spot มันดูโดดๆจากอารมณ์โดยรวมของหนังยังไงไม่รู้
-- ฉากที่เกี่ยวกับอุโมงค์ที่ชอบมากๆ คือ ฉากในหนังเรื่อง Fallen Angels (1995, หว่องกาไว, A+++++++) ได้แก่บรรดาฉากที่ทาเคชิ คาเนชิโร่ (สุดหล่อ) ขี่มอเตอร์ไซค์ในอุโมงค์ทุกๆฉาก โดยเฉพาะตอนจบที่พอขี่พ้นอุโมงค์ออกมาแล้ว กล้องจะเงยไปจับภาพท้องฟ้าที่ ถูกขัง อยู่ท่ามกลางบรรดาตึกสูงตระหง่าน อันเป็นภาพที่ประทับจิตประทับใจผมเอามากๆๆ / หนังที่มีอุโมงค์อีกเรื่องที่คิดออกน่าจะเป็น Batman เพราะถ้าจำไม่ผิดพ่อแม่ของบรูซ เวย์นจะถูกฆ่าตายในอุโมงค์ ผมจึงอยากดู Batman Begin มากๆว่าคริสโคเฟอร์ โนแลน จะสร้างสรรค์ฉากนี้ออกมาอย่างไร
-- ตอนแรกคิดว่าหน้าของนางเอกหนังเรื่องนี้คล้ายๆแบบ ซานดร้า บูลล็อค หรือเซลม่า แบลร์ แต่เห้นด้วยกับพี่แมดว่าเธอหน้าเหมือนนักร้องนำวง Texas เหมือนกัน
วง Texas นี่ไม่ค่อยได้ฟังเท่าไร แต่ชอบเพลง Say What You Want และ In Our Life Time มากๆ
-- ขอบคุณพี่แมดที่สรุปเรื่องของโสเภณีแก่ให้ฟังครับ เพราะเป็นช่วงนึงในหนังที่ผมตามไม่ค่อยทัน แต่รู้สึกฮาแบบขื่นๆดี
-- เห็นด้วยครับว่าน่าจะลองให้ ผู้กำกับหนังเรื่องนี้มาลองทำหนังผี-หนังสยองดูบ้าง ไม่รู้ว่าหนังเรื่อง Hotel ของเจสสิก้า ฮอสเนอร์จะออกมาประมาณนี้หรือเปล่า Hotel เป็นหนังที่ผมอยากดูมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ทั้งที่ปกติผมเป็นคนที่หลีกเลี่ยงการดูหนังผี-หนังสยอง-หนังฆาตกรเลือดสาดในโรงโดยเด็ดขาด (อย่างเช่น House of Wax นี่ไม่ดูแน่นอน ฮ่าๆ) น่าเสียดายที่ทางโรง house ประกาศมาว่า Hotel เลื่อนฉายไม่มีกำหนด (ฮือๆๆๆ T_T)
-- ตอนนี้ถ้าในเลือกดูหนังในเทศกาลนี้ เบิ้ล อีกรอบหนึ่ง ก็คงเลือกดู Blind Spot เนี่ยแหละครับ แม้เนื้อเรื่องมันจะธรรมดา แต่ก็อยากเข้าไปเก็บรายละเอียดทางด้านเทคนิคภาพและเสียงอีกสักครั้ง เพราะหนังเรื่องนี้มีอะไรให้เซอร์ไพร้ส์ตลอดเวลาที่ดู และเป็นหนังที่มีฉากที่ชอบเยอะมากๆ แต่น่าเสียดายว่ารอบฉายอีกรอบหนึ่งของ Blind Spot นั้นเป็นช่วงเวลาที่ผมติดเรียนพอดี >_< / แต่จริงๆแล้วชีวิตผมเคยดูหนังเบิ้ลในโรงน้อยมากๆ และคิดว่าไม่น่าจะเกิน 5 เรื่อง
Blind Spot จะฉายอีกที วันอาทิตย์ที่ 5 มิ.ย. เวลา 16.45 ใครว่างก็ลองดูกันนะครับ
4. Getting My Brother Laid (B-)
เยอรมัน / 2001 //www.imdb.com/title/tt0300186/
หนังเรื่องนี้ว่าด้วยครอบครัวคนอลเวง ที่ประกอบด้วยพี่น้อง 3 คน ได้แก่ Josh ผู้มีสติไม่สมประกอบและชอบเล่นเป็นผีดูดเลือด / Mike น้องชายคนกลางที่กำลังมีความสัมพันธ์กับเพื่อนสาวอย่าง Nadine / Nicole น้องสาวคนสุดท้องที่อยู่ในวัยที่อยากเรียนรู้และอยากมีเซ็กซ์
เรื่องราวยุ่งเหยิงเกิดขึ้น ก็เพราะ Josh เกิดหลง Nadine อย่างหัวปักหัวปำ และดูเหมือนเธอก็สนใจเขาเช่นกัน ซึ่งทำให้ Mike หัวเสียอย่างรุนแรง / ส่วน Nicole ก็ไปพบกับหนุ่มในฝัน เธอจึงเริ่มปฏิบัติการลับในการทำความรู้จักกับเขา (ซึ่งเป็นฉากที่ฮามาก)
ในช่วงแรกหนังตลกดีครับ เรียกเสียงหัเวราะได้ตลอด โดยเฉพาะเรื่องของ Nicole กับหนุ่มในฝันของเธอนี่เด็ดมาก (โดยเฉพาะมุก Vincent Gallo)
แต่ตอนหลังๆ หนังทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จนอารมณืในหนังดูตึงเครียดผืดไปจากตอนแรกมากทีเดียว ซึ่งปัญหาของผมก็คือ ผมอาจจะตามอารมณ์ในหนังเรื่องนี้ไม่ทันเท่าไร
จุดที่น่าตกใจมากก็คือ ตอนจบของหนัง ที่น่าจะทำให้คนดูอึ้งไปหลายคนทีเดียว ซึ่งส่วนตัวผมอึ้ง แต่ไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนอะไรกับมันมากมาย
จุดที่ผมชอบในหนัง 1. เทคนิคการเล่นกับกรอบเฟรมภาพในฉากปฏิบัติการลับของ Nicole + ฉากที่หนุ่ม ในฝันของเธอขึ้นลิฟท์มากับพรรคพวก
2. การจัดแสงในหนังตอนหลังๆ ที่เป้นโทนสีแดง และเหลือง
3. เพลงประกอบมันส์สะใจมากๆ (โว้ววว)
อย่างไรก็ตาม หนังเรื่องนี้ไม่ค่อยเข้าทางผมนัก แต่ก็ไม่ถึงกับไม่ชอบครับ
5. One Man Up (B)
อิตาลี / 2001 //www.imdb.com/title/tt0295671/
หนังเล่าถึงผู้ชายสองคนที่เข้าสู่ช่วงตกต่ำของชีวิต Antonio เป็นนักฟุตบอลดาวรุ่งที่ดันได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่าจนลงสนามไม่ได้อีกต่อไป เขาพยายามผันตัวไปเป็นโค้ช แต่ก็ไม่สำเร็จ
ในอีกด้านหนึ่ง Tony เป็นนักร้องชื่อดังที่ชีวิตห้อมล้อมไปด้วยความหรูหราและหญิงสาว กลับต้องถูกแบนจากวงการเพราะดันไปนอนกับเด็กสาวอายุสิบหกปี และเขาก็พยายามจะ คัมแบ็ก อย่างสุดชีวิต
ตอนแรกคิดว่าชีวิตของผู้ชายสองคนนี้จะต้องพัวพันกันตลอดเวลา แต่ปรากฏว่าเขามีความเกี่ยวข้อง-ปรากฏตัวร่วมกัน-ในเพียงฉากๆเดียวเท่านั้น โดยก่อนหน้านั้นหนังก็แบ่งทยอยเล่าชีวิตของทั้งสองคนควบคู่กันไปเรื่อยๆ
ซึ่งผมคิดว่าประเด็นหนึ่งที่หนังจะพูดถึงก็คือเรื่องของโลกคู่ขนานของคนสองคนที่ไม่เคยพบเจอกัน แต่อาจมีอิทธิพลส่งผลต่อกันและกันอย่างน่าพิศวง
ดูหนังเรื่องนี้แล้วมีความรู้สึก ชอบ และ ไม่ชอบ ต่อหนังสลับไปมาตลอดเวลา บางฉากก็ชอบมากๆๆ ถึงขั้นอยากจะกรี๊ด (เช่นฉากเพลง I will survive) แต่ฉากต่อมากลับรู้สึกแหม่งๆกับหนังเสียได้ โดยเฉพาะตอนท้ายๆของหนัง ที่ใช้ CUT ซอยย่อยเป็นจำนวนมาก ทำให้ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองออกห่างออกจากหนังมากขึ้นทุกทีๆ และคิดว่า เอ๊ะ หนังมันจะจบตรงไหนหว่า
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่หนังที่ไม่ดีแต่อย่างใด มีหลายๆฉากที่ผมชอบมาก เช่น *******มีการเปิดเผยเนื้อเรื่อง******** 1. ฉากเปิดเรื่อง ที่เป็นชายกลุ่มหนึ่งลงไปล่าปลาใต้ทะเล จากนั้นหนึ่งในนั้นก็ถูกโจมตีโดยปลาหมึก(ยักษ์) รู้สึกว่าปลาหมึกในฉากนี้ดูน่ากลัวและน่าขยะแขยงเอามากๆ และอารมณ์ในซีนนั้นก็สยองมากขึ้นเพราะเพลงประกอบที่โหมหระหน่ำอย่างรุนแรง (แต่รู้สึกว่าเพลงมันเชยมากๆ เลย) และชอบซีนปิดท้ายฉากนี้คือเป็นภาพไฟฉายที่หล่นแบบควงเป็นวงกลมลงไปใต้ทะเลจนกลายเป็นแค่จุดสีขาวๆ
ตอนนั้นคิดในใจ เอ๊ะ ฉันเข้าโรงผิดหรือปล่าวหว่า เพราะฉากเปิดที่น่ากลัวแบบนี้ดูจะไม่เกี่ยวกับพล็อตหนังที่อ่านมาเลย (แต่สรุปว่าผมเข้าโรงไม่ผิดครับ)
2. ชอบฉากมโนภาพที่ Tony ฝันถึงอยู่บ่อยๆ รู้สึกว่าหน้าของแม่ของ Tony ในฉากนี้จะมีสายตาที่รุนแรงมาก และเมื่อฉากนี้ปรากฏมาทีไรก็จะรู้สึกหลอนๆทุกที โดยเฉพาะภาพระยะไกลของชายคนหนึ่งในชุดประดำน้ำที่ยืนนิ่งๆอยู่กลางทะเล
3. ฉากที่ Tony มอง Antonio ในทีวี แล้วสายตาทั้งคู่หันเข้าหากัน คิดว่าฉากนี้ค่อนข้างบิวด์และเฟค แต่ก็ชอบมากครับ *********จบ*********
ฉากที่ Tony ไปร้องเพลงแล้วมีคนดูอยู่กระจุ๋มหนึ่งทำให้คิดถึงหนังเรื่อง Hedwig and the Angry Inch (A+++++++++) แต่ดูเหมือนรายเฮ็ดวิกจะซวยกว่ามากเพราะมีคนดูอยู่แค่คนเดียว แถมดันเป็นเด็กสาว พังค์-ร็อค-วันนาบี เสียอีก
เหตุผลที่ทำให้ชอบหนังเรื่องนี้จริงๆแล้ว น่าจะเป็นเรื่องของ เพลงประกอบ ที่เด็ดมากๆ สองเพลง 1. เพลง I Will Survive ของ Cake เป็น I Will Survive เวอร์ชันที่ชอบมากที่สุดแล้วครับ รู้สึกว่ามันกวนและดูประชดประชันดี และหนังก็เลือกใช้เพลงนี้ได้ในฉากที่เหมาะเจาะเหลือเกิน
ถ้าจำไม่ผิดจะได้ฟังเพลงนี้ครั้งแรกตอน ม.2-3 โดยได้ดูมิวสิกวิดีโอจากช่อง [V] (ซึ่งรู้สึกว่าเอ็มวีก็จะกวนๆเหมือนกัน) ได้ฟังแล้วความคิดที่ผมมีต่อเพลงนี้ก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
2. เพลง CE MATIN LA ของ Air (เพลงที่ 8 ในอัลบั้มชุด Moon Safari) ตอนที่ได้ยินเพลงนี้ขึ้นมาในหนังแล้วรู้สึกสบายใจและดีใจอย่างบอกไม่ถูก เพราะปกติถ้าว่าด้วย เพลงของวง Air ในภาพยนตร์ แล้ว ก็จะนึกถึงอารมณ์หม่นหมองและหดหู่สุดๆ ในซาวนด์แทร็กหนังเรื่อง Virgin Suicide (A+) ส่วนอีกอันที่นึกออกก็คือ Alone in Kyoto ในเรื่อง Lost in Translation (A+++) ซึ่งก็เป็นอารมณ์เหงาๆแบบนิ้งหน่องแน๊ว
นี่อาจจะเป็นครั้งแรกๆที่ได้ยินเพลงของ Air ในหนังที่ใช้กับอารมณ์ที่ปกติสุข
Air เป็นหนึ่งในศิลปินโปรดของผมสุดๆ อยากให้พวกเขามาเล่นคอนเสิร์ตในบ้านเรามากๆ (ฝันไปเถอะแก) นอกจากเพลงเพราะแล้ว พวกเขาก็หล่อใช่เล่นนะ อิอิ แต่ผมยังมีอัลบั้มของ Air ไม่ครบเลยครับ ที่เคยฟังก็มี - Moon Safari - The Virgin Suicide OST. - Talkie Walkie โดยทั้งสามอัลบั้มนี้ชอบในระดับ A+++ ครับ จำได้ว่าที่ PANTIP.COM เคยมีกระทู้ถามว่า เพลงอะไรที่เหมาะกับการนั่งฟังกับแฟนที่ริมชายหาด ฟังเสียงคลื่น และนอนดูดาว ผมก็ตอบไปว่าเพลง Kelly Watch The Stars ของวง Air เนี่ยแหละครับ
แต่เสียดายที่ยังไม่เคยทำได้ในชีวิตจริง -___-''
6. On the Other Side of the Bridge (B-)
ออสเตรีย / 2002 //www.imdb.com/title/tt0342040/
หนังพล็อตแปลกเรื่องนี้ว่าด้วย Fanny หญิงสาวชาวออสเตรียที่ลาจากครอบครัวข้ามน้ำข้ามทะเลไปแต่งงานกับชายรักที่ประเทศจีน เธอต้องฝ่าฟันกับม่านประเพณีวัฒนธรรมของจีน, ความยุ่งเหยิงทางด้านการเมืองในประเทศ และที่สำคัญที่สุดคือความโดดเดี่ยวอ้างว้าง
หนังเรื่องนี้ไม่ค่อยถูกใจเท่าไร เนื่องจากอะไรๆในหนังเรื่องนี้ก็ดู แปร่งๆ ไปเสียหมด ตั้งแต่ตัวละคร พฤติกรรมตัวละคร อารมณ์ของหนัง
ซึ่งถึงแม้หนังน่าจะมีอารมณ์ของ ความแปลกแยก (นางเอกฝรั่งผมทองในประเทศจีน) เจืออยู่ด้วย แต่ผมก็กลับไม่อินกับส่วนนั้นเท่าไร
ที่จริงแล้วหนังเรื่องนี้มีพล็อตพิสดารพอที่จะสรรค์สร้างพลังทางอารมณ์ได้มากมาย แต่ดูเหมือนหนังมันจะไม่ไปไหนสักทาง สถานการณ์ที่ใส่เข้ามาก็ดูเหมือนจะเข้ามาแล้วก็ผ่านไป (เทียบกับ Blind Spot ที่พล็อต ธรรมด๊า..ธรรมดา แต่ตัวหนังกลับทะลุแทงใจมากๆ)
สิ่งที่เลวร้ายที่สุดในหนังคือการที่คนจีนพูดภาษาเยอรมันกันคล่องปรื๋อ
โอย ตายแล้ว ผมแทบจะบ้าตายตอนที่ได้ยินหญิง-ชายหน้าตี๋หน้าหมวยพูดสวัสดีกันว่า กู้ดเท่นค้าก (อะไรประมาณนี้แหละ)
แต่ตอนจบของหนังเรื่องนี้ก็แอบซึ้งเอาการ แถมก็ประจวบเหมาะกับชื่อหนังที่ว่า อีกด้านหนึ่งของสะพาน ด้วย
แต่คิดไปคิดมาแล้วก็รู้สึกในใจว่า อ๋อ แกเล่ามาตั้งนานเพื่อโชว์สะพานให้ฉันดูแค่นี้อ่ะเหรอ ..โธ่ เวรกรรม (แต่จริงๆแล้วชื่อหนังอาจจะสื่อถึงเรื่องฝั่งตรงข้ามของ วัฒนธรรม / เรื่องอุดมการณ์ทางการเมือง หรือ ด้านตรงข้ามของโลกอย่างคนเป็น-คนตาย อะไรเทือกนั้นก็ได้)
อ้อ ตอนดูหนังเรื่องนี้คนดูเต็มโรงเลยเชียวล่ะ ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น สงสัยคนอยากดูกันเพราะพล็อตมันแปลกดีมั้งครับ
7. I Always Wanted to be a Saint (B+)
2003 / Luxembourg //www.imdb.com/title/tt0329232/
หนังเรื่องนี้เล่าถึง Norah สาวน้อยวัย 17 ปีที่แม่แท้ๆของเธอทอดทิ้งไปตั้งแต่ยังเด็กๆ เธออาศัยอยู่กับพ่อและไม่เคยเห็นหน้าแม่ของตัวเองเลยสักครั้ง แต่แล้วช่วงจังหวะชีวิตของเธอก็ต้องสั่นสะเทือนครั้งใหญ่เมื่อยายของเธอมาหา พร้อมกับให้ที่อยู่แม่ของเธอ
นี่อาจจะถึงเวลาแล้วที่ Norah จะต้องจัดการกับปมปัญหาในอดีตของเธอเสียที
ฟังดูแล้วพล็อตหนังแบบนี้ก็เคยผ่านตาผ่านหูมาแล้ว จุดที่ผมชอบในหนังเรื่องนี้คือพล็อตรองของหนังอีกสองพล็อต ได้แก่ 1. เรื่องของนักแข่งรถชื่อดัง ที่ตายตั้งแต่ตอน Norah ยังเด็กๆ หนังจะมีการตัดภาพไปที่ฟุตเทจของผู้ชายคนนี้เมื่อตอนยังมีชีวิตอยู่เสมอ ซึ่งในบางทีมันก็จะสอดคล้องกับสถานการณ์ในชีวิตของ Norah ด้วย ถ้าเข้าใจไม่ผิดนักแข่งรถคนนี้ไม่ได้เกี่ยวดองอะไรกับ Norah เลย เพียงแค่ว่าอยู่ดีๆเธอก็เอาเขามาเป็นที่ยึดเหนี่ยวอะไรสักอย่างในจิตใจ ซึ่งประเด็นของผู้คนที่มีอิทธิพลต่อกันอย่างสูงทั้งๆที่ทั้งสองอาจจะไม่เคยพบเห็นเจอกัน มักจะโดนใจผมอยู่เสมอ
2. เรื่องที่ Norah ไปเจ้ากี้เจ้าการกับชีวิตของเด็กสาวคนหนึ่ง โดยเพราะเธอคิดว่า แม่ ของเด็กคนนี้ ไม่ดีพอ ที่จะเป็นแม่คน! ผมคิดว่าพฤติกรรมของ Norah ในส่วนนี้เธอกำลังเยียวยาตัวเองไปพร้อมๆกับเติมเต็มสิ่งที่หายไป
เธอไม่มีแม่ ดังนั้นเธอก็เลยจะเล่นบทแม่เสียเอง!
แต่มันจะช่วยรักษาแผลของเธอหรือจะย้ำมันให้ยิ่งขยายออกกันแน่นะ?
หนังเรื่องนี้ผิดคาดพอสมควร เพราะตอนแรกอ่านเรื่องย่อแล้วคิดว่า ตัวละครอย่าง Norah นั้นจะต้องเป็นผู้หญิงเชื่องๆ ที่ถูกชะตากรรมเล่นตลกหกคะเมนจนต้องล้มลุกคลุกคลาน แต่ปรากฏว่า Norah ในหนังนั้นแข็งแกร่งเอาการทีเดียว ซึ่งผมชอบที่เธอไม่ได้งอมืองอเท้าเป็นตัวรองรับความเศร้าอย่างเดียว แต่พอหลังๆผมรู้สึกว่าคาแร็กเตอร์ของเธอมันชักจะกลายเป็นความ แข็งกร้าว เสียมากกว่า โดยเฉพาะช่วงหลังๆที่เธอต้อง ระเบิดอารมณ์ ติดต่อกันประมาณ 7 ฉาก แรกๆก็สงสารเธอดี แต่หลังๆชักจะ รำคาญ มากขึ้น มากขึ้น และมากที่สุดจนอยากลุกขึ้นไปตบเธอให้คว่ำสักทีนึง! (ผมเป็นคนที่เกลียดผู้หญิงนิสัยแบบนี้มากๆ และไม่สามารถอยู่ร่วมโลกกันได้เกิน 3 นาทีในชีวิตจริง) ซึ่งพอลองไล่ดูจริงๆแล้ว เธอนั้นระเบิดอารมณ์ใส่ทุกตัวละครในหนัง ได้แก่ - ย่าของเธอ - พ่อของเธอ - Elsa เพื่อนสาวของเธอ - เด็กหนุ่มที่มาจีบเธอ - แม่ของเด็กที่เธอไปยุ่ง (ซึ่งด่าเธออย่างเจ็บแสบ) - เด็กน้อยที่ Norah ไปทำตัวสวมบทเป็นแม่ให้ - แม่แท้ๆของเธอ - และแม้แต่กับตัวของเธอเอง (ฮา) ซึ่งผมก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่า หลังจากถ่ายหนังเรื่องนี้จบแล้ว แม่หนู Norah (Marie Kremer - //www.imdb.com/name/nm1229951/ ) จะถูกมะเร็งกล่องเสียงถามหารึป่าว
อย่างไรก็ตาม ลองคิดดูแล้วการกระทำของ Norah ก็ไม่ได้จะไร้เหตุผลอยู่ทีเดียว เข้าใจและเห็นใจเธออยู่เหมือนกันที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เพราะใครๆก็ไม่สามารถให้คำตอบกับเธอได้สักคน
และเธอก็อยู่ในช่วงวัยรุ่นอันเป็นวัยที่มีสถิติการสติแตกบ่อยที่สุด (ซึ่งพอย้อนไปมองตัวเองแล้ว ช่วงนั้นผมก็สติแตกอาทิตย์ละครั้งเป็นอย่างต่ำ--ฮา)
จุดที่ชอบคือ หนังเรื่องนี้แทบจะไม่มีการ ปลอบใจ หรือ การคลี่คลาย ปัญหาใดๆเลย (สะใจคนซาดิสม์อย่างผมนักล่ะ) ผมคงจะเลี่ยนมากๆ หากมีฉากประเภท จับเข่าคุยกัน เสร็จแล้วก็เดินกอดคอกันไป
แม้แต่ฉากจบของหนังเรื่องนี้ก็ไม่ได้เข้าข่ายนี้ซะทีเดียว (จริงๆแล้วฉากจบหนังเรื่องนี้ไม่ค่อยถูกใจผมนัก สิ่งที่ผมคาดหวังไว้คือ ความวินาศสันตะโรแบบสุดโต่ง )
อีกส่วนที่ชอบก็คือ เพลงประกอบหนังเรื่องมันส์มาก และมีเพลงมันส์ๆหลุดมาทุก 10 นาทีเห็นจะได้ ดูแล้วตื่นเต้นดี
แล้วก็คนที่เล่นเป็นนักแข่งรถดูหล่อและมีเสน่ห์ดี
เค้าคือใครน้อ?
ฉากที่ชอบในหนังเรื่องนี้ *******มีการเปิดเผยเนื้อเรื่อง******** 1. ฉากเปิดเรื่องที่เป็นรถวิ่งไปเรื่อยๆ ชอบเพลงในฉากนี้มากกกกกก
2. ทั้งตลกและขื่นใจ ตรงที่ Norah ด่าแม่ของเด็กน้อยว่าเป็น โสเภณี ทั้งๆที่ตอนที่เจอเด็กคนนี้ครั้งแรก เธอไปช่วยเด็กไว้จากการที่เด็กคนนี้ตบตีกับเด็กอีกคน เพราะเด็กอีกคนด่าเด็กสาวว่า แม่เธอน่ะ เป็นโสเภณี (กรุณาแทนคำให้หยาบคายกว่านี้ เพื่ออรรถรสของหนัง)
3. ฉากที่ Norah เพนท์ห้องให้เด็กสาวแล้วได้ยินเสียง แม่ของเด็กกับชายคู่ขามีเซ็กส์กันชนิด กู่ก้องร้องบอกฟ้าพาขึ้นสวรรค์ แต่ถัดมาอีกประมาณ 3 วินาที สองคนนี้ดันด่ากันไฟแล่บ แถมมีลงไม้ลงมือกันด้วย ดูแล้วก็ไม่รู้ว่าจะฮาดีมั้ย
4. ฉากที่ Norah เต้นสติหลุดในผับ ชอบฉากแบบนี้เป็นการส่วนตัว เพราะยังไม่เคยทำ
5. ฉากที่ดูวิดีโอสัมภาษณ์นักแข่งรถคนนั้น แล้วเธอก็ร้องไห้โฮ! (อะไรกันเนี่ย)
6. ฉากที่ Norah ถูกแม่ของเด็กด่าอย่างรุนแรง แต่คราวนี้เธอกลับไม่ระเบิดอารมณ์ต่ออีกแล้ว เธอกลับร้องไห้อย่างหมดรูป เพราะคำด่านั้นมัน แทงใจดำ *********จบ*********
เกร็ดภาพยนตร์ - I Always Wanted to be a Saint ได้เป็นหนังเปิดเทศกาลในครั้งนี้
8. The Hidden City (-) งดแสดงความคิดเห็น
aka The Little White House / La Casita Blanca 2002 / สเปน //www.imdb.com/title/tt0343520/
หนังสารคดีบอกเล่าประวัติศาสตร์หลังสงครามกลางเมืองบาร์เซโลนา ผ่านการสัมภาษณ์บุคคลต่างๆ
ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่หนังเรื่องนี้เค้าให้ดูฟรีแหละ คนก็เลยเต็มโรง แถมผมเด้งไปอยู่ตั้งแถวสี่จากข้างหน้า
แต่ปรากฏว่านี่เป็นหนังที่มีคนเดินออกเยอะมาก เพราะหันไปอีกทีข้างหลังนี่โล่งเชียว (รู้งี้ย้ายไปหลังๆดีกว่า แบบว่าปวดคอ+ตาลายอ่ะ)
ไม่แปลกที่คนจะเดินออก เพราะหนังเรื่องนี้เล่าเรื่องด้วยการสัมภาษณ์ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏต่อหน้าก็คือ ชาย-หญิงที่ไหนไม่รู้ ที่เอาแต่พูด พูด พูดและก็พูด! และมันยังเป็นภาษาสเปนที่พูดกันน้ำไหลไฟดับตับแล่บ เรียกว่าอ่านซับไตเติ้ลกันจนตาเหลือก -__-
หนังเรื่องนี้ผมดูไม่ค่อยรู้เรื่องครับ เนื่องจากอ่านซับไม่ค่อยทัน แปลก็ไม่ค่อยจะออก ไปๆมาๆก็เลยง่วง เกือบหลับไปตั้งสองที แต่ก็ฮึดตัวเองจนดูจบได้
เหมือนกับว่าหนังแบ่งได้ประมาณสามช่วงใหญ่ๆ แต่ละช่วงมันก็ไปเล่าถึงใคร (ก็ไม่รู้??) ที่พอจะเลาๆว่ามันจะโยงไปถึงนายพลฟรังโก้ ตอนที่ดูหนังผมก็ตามไม่ทัน ก็เลยจะสงสัยอยู่เนืองๆว่า เอ๊ะ ตอนนี้มันกำลังพูดถึงใคร (วะ)
ตาสว่างขึ้นมาตอนนึงที่มีหนังแทรกเข้ามาเพื่อบอกเล่าเหตุการณ์ในตอนที่หนึ่ง (เกี่ยวกับ บ้านบาร์น้องหนู อะไรเนี่ยแหละ) หนังถ่ายเป็นขาวดำ และก็ไม่ได้สนุกอะไรมาก แต่คนที่เล่นเป็นโจรหล่อดี ก็เลยตื่น (ฮา)
มีความชอบนิดหน่อยก็ตรงตอนจบของหนัง ซึ่งปิดท้ายที่ประโยคที่เจ็บแสบดี
หนังเรื่องนี้ยอมแพ้ครับ และเพื่อความยุติธรรมต่อตัวหนัง จึงของดแสดงความคิดเห็นจ้า
9. Nynke (B)
2002 / The Netherlands //www.imdb.com/title/tt0254610/
เรื่องย่อ ชีวิตของสาวงามอย่าง Sjoukje (พระเจ้า
มันอ่านว่าอะไรล่ะเนี่ย) ดูเหมือนจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ เธอได้แต่งงานกับชายหนุ่มผู้เป็นกวีแสนโรแมนติก ความใฝ่ฝันของเธอที่อยากจะออกหนังสือสักเล่มก็เข้าใกล้ความเป็นจริงมากขึ้นด้วยการผลักดันจากสามี แต่แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนแปลงเมื่อคนรักของเธอผันตัวเองจากกวีไปเป็นผู้นำลัทธิสังคมนิยม! แล้วชีวิตของเธอจะเป็นอย่างไรต่อไป
.
-- ชอบฉากเปิดของหนังเรื่องนี้ที่เป็นหิมะที่เปรอะไปทั้งฉาก แต่แทนที่มันจะเป็นสีขาว มันกลับกลายเป็นสีฟ้าหม่น (คล้ายๆกับเรื่อง A Snake of June ที่จะเข้าฉายบ้านเราเร็วๆนี้) ซึ่งให้อารมณ์ที่เศร้าลึกดี
-- รู้สึกว่าช่วงชีวิตของนางเอกในตอนแรกๆ นั้นเป็น โลกอุดมคติ มากๆ ผัวก็รัก แถมเขาสุดจะโรแมนติก เพื่อนบ้านแสนดี ครอบครัวอบอุ่น ลูกน่ารัก คนรับใช้ผู้จงรักภักดี
-- มีความรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้เล่นกับ ความเปลี่ยนแปลง เริ่มจากตัวฝ่ายสามีที่ละทิ้งบทกวีงดงาม มาฝักใฝ่ในการหาเสียงทางการเมืองแทน และเขาก็ลดทอนลักษณะแบบ ผู้ชายในฝัน ลงเรื่อยๆ จนในที่สุดก็เหมือนจะกลายเป็น คนแปลกหน้า สำหรับนางเอก ส่วนฝ่ายหญิงนั้นเธอก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ อีกแบบหนึ่งก็คือ เธอ เพี้ยน ขึ้นเรื่อยๆ (จนตอนหลังๆ มีฉากหนึ่งที่เธอไม่สนใจลูกๆอีกต่อไปแล้ว โดยปล่อยให้คนใช้เลี้ยงลูกไป) และในที่สุดเธอก็ จิตแตก
-- ดังนั้นก็เลยรู้สึกต่อไปอีกว่า กราฟชีวิตของนางเอก (หรือความสัมพันธ์ของสามี-ภรรยาคู่นี้) ไปกราฟที่ขึ้นๆลงๆ ลุ่มๆดอนๆ อยู่ทั้งเรื่อง เดี๋ยวผัวก็หายหัวไป เดี๋ยวก็กลับมา / ส่วนเมียก็เดี๋ยวดี เดี๋ยวบ้า พอเมียบ้าทีผัวก็กลับมาหาเมียทีนึง นั่นก็ทำให้เดาไม่ถูกและแอบลุ้นอยู่เหมือนกันว่าสุดท้ายแล้วทั้งสองคนนี้จะไปจบลงตรงไหน
***************SPOILER*************** -- ชอบช่วงที่นางเอกจิตแตกอยู่เหมือนกัน ตอนที่เธอเห็น ตัวเองอีกคน ส่วนฉากที่เธอทำร้ายตัวเองก็รู้สึกกลัวมากๆ ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเธอกำลังจะทำอะไร
-- ฉากที่ชอบมากๆ 2 ฉาก 1. ตอนที่นางเอกท่องกลอนที่พระเอกใช้จีบเธอตอนต้นเรื่องให้เขาฟัง แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สนใจเธออีกต่อไปแล้ว 2. ช่วงที่นางเอกไปจบจิตแพทย์ ตอนนั้นเธอดูเหมือนจะไม่ได้บ้าแล้ว แต่เธอตัวเองจะ กลับไปบ้า มากกว่า จากนั้นเธอก็ร้องไห้โฮ แล้วก็ระเบิดประโยคออกมาว่า I do so hate my eternal crying ชอบประโยคนี้มากๆ โดนอย่างรุนแรง
-- ไม่ค่อยชอบตอนจบของหนังเรื่องนี้เท่าไร ที่นางเอกเดินจับมือไปกับลูกๆ ประมาณว่า ชีวิตต้องก้าวต่อไป อยากให้หนังจบตอนที่นางเอกกับพระเอกคุยกันใน ป่าหิมะ แล้วให้จบประมาณว่านางเอกเดินอยู่ในหิมะนั้นคนเดียว เพราะคิดว่าไหนๆหนังเรื่องนี้ก็เริ่มต้นมาด้วยหิมะแล้ว ก็น่าจะจบด้วยหิมะเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้จะสร้างจากบุคคลที่มีตัวตนจริงๆ ดังนั้นฉากจบในหนังน่าจะเป็นเหตุการณ์ในชีวิตจริงของเธอ *******************จบ********************
โดยรวมแล้วผมค่อนข้างเฉยๆ ในหนังเรื่องนี้ และไม่ค่อยรู้สึกอินกับมันมากนัก อาจจะเพราะด้วยตัวหนังที่เป็นหนังย้อนยุค และกราฟอารมณ์ของเรื่องที่ขึ้นๆลงๆ จนผมหลุดออกจากตัวหนัง
10. Aftermath (A-)
2004 / Denmark //www.imdb.com/title/tt0386582/
เรื่องย่อ สามีภรรยาคู่หนึ่งต้องจมทุกข์อยู่กับเหตุการณ์ที่เสียลูกสาวไปจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ชีวิตคู่ของทั้งสองดิ่งเหวลงเรื่อยๆ พร้อมกันนั้นยังมีหลายชีวิตที่เข้ามาพัวพันกับทั้งสอง ทั้งเพื่อนบ้านผู้หวังดี, อีสาวใจแตก และ
คุณป้าวัยดึกเซ็กซ์จัด!
-- ชอบฉากเปิดของหนังที่พระเอกนางเอกไปเข้าร่วมกลุ่มบำบัดอะไรสักอย่าง (เหมือนที่พระเอกในเรื่อง Fight Club ชอบไป) เพราะผมก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าไอ่กลุ่มแบบนี้ -ที่ให้ผลัดกันเล่าเรื่องแย่ๆในชีวิต- มันจะช่วยให้เราพ้นจากความทุกข์ได้จริงๆหรือ? และพฤติกรรมของทั้งคู่ในฉากนี้ก็คือ เขาและเธอไม่สามารถ พูด เรื่องนั้นออกมาได้ แล้วก็ลุกออกจากห้องไปทันที
-- ฉากต้นๆของหนังจะมีภาพลานจอดรถที่ดูแห้งแล้งและเย็นชามากๆ เพราะมันไม่มีผู้คนปรากฏอยู่ในเฟรมภาพนั้นเลย (อารมณ์แบบนี้ทำให้คิดถึงบางฉากใน Blind Spot เหมือนกัน) ซึ่งหนังเรื่องนี้ก็ใจร้ายกับตัวละครพอดูเพราะมีฉากขับรถบ่อยเอาการ แถมทั้งคู่ยังนั่งอยู่ในด้วยกัน และบทสนทนาในรถก็เป็นไปอย่างตายซากไร้วิญญาณ / รู้สึกโดนใจตอนที่นางเอกพูดว่ารถคันนี้มันใหญ่เกินไป น่าจะขายทิ้ง (เพราะว่าลูกสาวของพวกเขาไม่อยู่แล้ว
)
-- รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้เล่นกับ สถานการณ์ ได้ดีมากๆ โดยที่นางเอกดันทำงานด้านสังคมสงเคราะห์เกี่ยวกับแม่และเด็ก พอเธอบอกตัวเองว่า ชั้นพร้อมจะกลับไปทำงานแล้ว งานที่เธอได้มาก็ดันเป็นอีสาวใจแตกที่มีลูกอ่อนเสียอีก (เป็นตัวละครที่น่าตบที่สุด แต่ก็ชอบมากๆ) แถมยัยเด็กเวรนี่ยังไม่ค่อยเลี้ยงลูกเลี้ยงเต้า ออกไปเที่ยวแร่ดนอกบ้าน นางเอกก็เลยได้บทเป็น คุณแม่ลูกอ่อน อีกครั้ง
-- นอกจากยัยเด็กแร่ดนั่นแล้ว ตัวละครอื่นๆที่ใส่เข้ามาก็เป็นผลดีต่อตัวหนังมากๆ ทั้งเพื่อนบ้านสองคนนั้นที่ดูจะหวังดีกับพระเอกนางเอกเสียเหลือเกิน และคุณป้าวัยดึกที่กลายเป็นตัวละครที่ผมอินกับแกมากทีเดียว
***************SPOILER*************** -- รู้สึกว่า คู่ผัวเมียที่พยายามจะช่วยเหลือพระเอกนางเอกนั้น จริงๆแล้วพวกเขาก็มีปัญหาใจใจอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะฉากที่ตัวเมียร้องไห้ในห้องน้ำเรื่องที่ว่าเธอ อยากมีลูก อันนี้ก็ดู contrast กันดี เพราะขณะที่ครอบครัวหนึ่งกำลังโศกเศร้าเพราะ สูญเสียลูก เมียของอีกบ้านหนึ่งดันร้องไห้เพราะ อยากได้ลูก
-- ชอบการกระทำของนางเอกในช่วงท้ายของหนังมากๆ ดังนี้ 1. หลังจากโดนยัยเด็กแร่ดนั่นด่าปาวๆๆๆๆ เธอก็สุดจะทนอีกต่อไป 2. เธอระเบิดอารมณ์ใส่สามี หลังจากที่ไม่เคยปรากฏมาตลอดทั้งเรื่อง เธอทุบตีสามี เหมือนจะบอกว่า เธอนึกเหรอว่าฉันลืมเหตุการณ์นั้นแล้ว ฉันก็เสียใจเหมือนกันนะ 3. เธอร้องไห้ 4. พอไปที่ทำงาน เพื่อนร่วมงานช่างฝันของเธอก็เข้ามาพูดจาอะไรเพ้อๆ เธอก็เลยตอกกลับใส่ไปยาวเหยียด แต่สรุปได้ว่า ไอ่งานที่พวกเราทำๆอยู่เนี่ย มันไม่ได้ช่วยให้ชีวิตของแม่ๆเด็กๆมันดีขึ้นหรอก(โว้ย)
ฉากนี้สีหน้าเธอได้ใจมากๆ 5. ตอนนัดคุยกับหัวหน้าและเด็กใจแตก เธอสวมบทคนใจร้าย แต่แล้วอยู่ดีๆ เธอก็บอกว่า พอกันที ฉันจะไม่หลอกตัวเองอีกต่อไปแล้ว ฉันยังไม่พร้อมที่จะทำงานนี้ ฉันขอลาออก = ฉันจะช่วยแม่ของเด็กคนอื่นได้อย่างไร ในเมื่อ ความเป็นแม่ ของฉันมันยังหลอกหลอนจิตใจฉันอยู่
-- จริงๆแล้วนางเอกเป็นเหมือนระเบิดที่พร้อมจะจุดชนวนตลอดเวลา จาก 1. ฉากที่กินข้าวกับเพื่อนบ้านสองคนนั้น จู่ๆเธอก็ร้องไห้และลุกหนีไปเลย (จำไม่ได้แล้วว่าใครไปพูดอะไรกระทบใจเธอเรื่องอะไร) 2. ฉากที่ดูรถคันใหม่อยู่กับสามี จู่ๆเธอก็ร้องไห้โฮอีกครั้ง ชอบตรงนี้มากๆ เพราะมันแสดงถึงว่าจริงๆแล้วเธอก็ยังเสียใจกับเรื่องของลูกสาว และดูเหมือนเธอจะเลิกหลอกตัวเองแล้ว
-- เหวอกับฉากที่พระเอกทำกับคุณป้าวัยดึกมากๆ แต่รู้สึกว่าฉากนี้มีพลังอย่างรุนแรง และเป็นฉากที่ยืนยันได้ดีถึงทฤษฎี sex instinct กับ death instinct ของฟรอยด์
แล้วก็ชอบมากๆตอนที่นางเอกพูดประมาณว่า ฉันยังจะรู้สึกดีกว่าถ้าคุณไปเอากับผู้หญิงคนอื่นมา ดีกว่าที่คุณจะมาทำตัวแบบนี้ แล้วพระเอกก็ตอบว่า วันนี้ผมเอากับผู้หญิงมา
-- ชอบฉากจบของหนังในที่เข้ากับชื่อหนังที่ว่า เหตุการณ์หลังจากนั้น ชอบตรงที่ 1. ยัยเด็กใจแตก ชีวิตของเธอก็จะตกต่ำต่อไป คนบัดซบก็ต้องใช้ชีวิตแบบบัดซบ ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะเธอนั่นแหละที่เป็นคนทำร้ายตัวเอง ฉากจบของเธอแรงมากที่เป็นภาพเธอดูดบุหรี่อยู่ข้างๆ ลูกที่นอนอยู่ 2. คุณป้าวัยดึก เศร้ากับฉากจบของเธอมากๆ ที่เธอกำลังจะออกไปล่อผู้ชายเหมือนคืนที่ผ่านๆมา แล้วเธอก็ลองยิ้มดูกับกระจก อีกตอนหนึ่งก็คือ ตอนที่เธอกับคู่ขาทำเป็นหัวเราะลั่นร้าน แต่พอเขาเดินไปเข้าห้องน้ำ สีหน้าเธอก็เปลี่ยนไปทันที 3. พระเอกนางเอก ตอนจบเป็นภาพสองคนนี้ขับรถไปด้วยกัน รถของทั้งสองออกจากที่จอดรถที่มืดมิด ไปสู่แสงสว่างของถนนใหญ่ เหมือนจะบอกกับเราว่า แม้ชีวิตจะต้องผ่านเรื่องเลวร้ายสักเท่าไร แต่เราก็ต้องก้าวเดินต่อไป *******************จบ********************
-- จับคู่หนัง Nynke กับ Aftermath มีฉากที่คล้ายๆกัน คือ ผู้หญิงที่เป็นฝ่ายเรียกร้องเซ็กซ์จากสามี
-- ชอบเพลงตอนจบมากๆ เป็นเพลง Losing My Religion ของวง R.E.M ที่ได้ Nina Presson แห่งวง The Cardigans มาเป็นคนร้อง เซอร์ไพรส์มากๆ ที่หนังใช้เพลงนี้เป็นเพลงจบ รู้สึกว่าเนื้อหาของเพลงเข้ากับตัวหนังได้ดีเหลือเกิน
-- ปกติไม่ค่อยได้ฟังเพลงของวง R.E.M เท่าไร แต่ก็มีเพลง Losing My Religion รวมอยู่ใน แผ่นรวมฮิตจับฉ่าย ของตัวเองด้วย แต่ชอบ MV เพลงนี้มากๆ หลอนดี
-- เคยดูเทปคอนเสิร์ตของวง R.E.M ครั้งนึงทางช่อง [V] รู้สึกประทับใจมาก เพราะวงนี้เล่นกันเต็มที่ดีมาก
-- เช่นเดียวกัน The Cardigans ก็ไม่ค่อยได้ฟังเท่าไร นอกจากเพลง Loves Fool ที่อยู่ในอัลบั้มรวมฮิต NOW3 ที่ผมกรอฟังเพลงนี้จนเทปเน่าไปแล้ว อีกเพลงที่นึกออกก็คือเพลง My Favorite Game ชอบ MV เพลงนี้มากๆ ที่เป็นเรื่องของผู้หญิงที่ขับรถไปเรื่อยๆ แล้วเธอเกิดบ้าอยากเล่นเกมอะไรขึ้นมาไม่รู้ เธอก็เลยเอาก้อนหินทับคันเร่งไว้ แล้วก็ปล่อยให้รถไหลไปเรื่อยๆ
11. French Men (B-)
2003 / France //www.imdb.com/title/tt0349225/
เรื่องย่อ สี่หนุ่มใหญ่ที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก ได้มารวมตัวกันเป็นจริงเป็นจังอีกครั้งเพราะงานศพของพ่อเพื่อนคนหนึ่ง พวกเขาล้วนแต่กำลังมีปัญหาในชีวิต คนหนึ่งพ่อเพิ่งตาย แต่หลังจากนั้นก็ไปปิ๊งกับสาวที่ดูบ๊องๆคนหนึ่ง, คนที่สองกำลังแอบมีชู้และเมียของเขาก็เริ่มจะสงสัย, ส่วนคนถัดมาเมียก็มาสารภาพว่าเธอมีชู้ และรายสุดท้ายลูกสาวของเขากำลังจะแต่งงาน เมียเก่าของเขาอยากให้เขากลับไปมองเธออีกครั้ง แต่ในขณะนั้นเขาก็มีกิ๊กเด็กอยู่แล้ว (โอ๊ย! งง) สถานการณ์อันยุ่งเหยิงเหล่านี้ทำให้พวกเขาได้กลับมาใกล้ชิดกันอีกครั้ง
-- ไม่ค่อยชอบหนังเรื่องนี้เท่าไร เพราะแม้จะมีตัวละครและสถานการณ์มากมายในหนัง แต่ในด้านตัวละครนั้นก็ไม่รู้สึกชอบตัวใดตัวหนึ่งเป็นพิเศษ แถมบางทีตอนที่พวกเขาคุยถกเถียงปัญหากันนั้นผมยังพาลรู้สึกรำคาญเสียบ่อยๆ และภาพชายใหญสี่คนนั่งกอดคออยู่ริมชายหาดด้วยกันนั้นก็ไม่ได้ประทับจิตประทับใจผมเอาเสียเลย
-- ส่วนในด้านสถานการณ์นั้นรู้สึกว่าอะไรๆ ในหนังก็ดูจะ ง่าย ไปหน่อย ทุกอย่างคลี่คลายอย่างสวยงามและแทบไม่มีการสูญเสียอะไรเลย ซึ่งขัดกับความเชื่อส่วนตัวของผมอย่างรุนแรง และฉากจบในหนังก็มีอารมณ์ที่รื่นรมย์เกินไปจนทำให้ผมเลี่ยนจนเครียดเลยทีเดียว
-- รู้สึกขัดใจอีกอย่างก็คือ ดนตรีประกอบในหนังดูเชยๆ ยังไงไม่รู้
-- ถึงกระนั้น ก็ยังมีส่วนที่ผมชอบบ้าง ส่วนที่ชอบก็คือ เรื่องของชายหนุ่มที่ในที่สุดก็ตัดสินใจฟื้นความสัมพันธ์กับเมียเก่าของเขา ส่วนนี้ในหนังทำให้ผมประทับใจมากทีเดียว โดยเฉพาะฉากที่เขาไปหาเธอที่บ้านในตอนเช้า
-- โดยสรุปแล้ว นี่น่าจะเป็นหนังที่ผมชอบน้อยที่สุดในเทศกาลนี้ ความผิดพลาดของหนังอาจจะเป็นการที่มีคนดูแบบผมเดินเข้าไปดูในโรง (ฮา)
12. One Hand Cant Clap (A)
2003 / Czech Republic //www.imdb.com/title/tt0366635/
เรื่องย่อ Standa ชายหนุ่มสุดซวยรายหนึ่งถูกยัดข้อหาที่ตัวเองไม่ได้ก่อ หลังจากออกจากคุกมาได้เขาคิดจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่สดใสด้วยเงินค่าปิดปากจากชายที่แสนจะเจ้าเล่ห์ แต่แล้วสถานการณ์ก็พลิกผันเมื่อ Ondrej นายตำรวจฝีมือสุดห่วยดันเข้ามาเอี่ยวในสถานการณ์นี้ด้วย จนทำให้ทั้งสองต้องเผชิญกับเคราะซ้ำกรรมซัดอย่างทุลักทุเล
-- หนังเรื่องนี้เหมาะสมมากกับคำชมประมาณว่า Funny as Hell เพราะมันเป็นหนังกึ่งตลกร้ายที่จิกกัดสังคมอยู่หลายทาง แต่มันก็ฮามากๆ จนผมระเบิดเสียงหัวเราะชนิดไม่หยุดไม่หย่อนครั้งแรกในรอบหลายเดือนนี้ จากตอนแรกที่ดู French Men แล้วไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไร พอดูเรื่องนี้จบก็กลับบ้านอย่างมีความสุขมากๆ แต่แอบเมื่อยกรามนิดๆ
-- ตอนแรกที่พระเอกปรากฏตัวออกมา รู้สึกตกใจมากๆว่า นี่คือพระเอกของหนังที่ฉันจะต้องดูต่อไปอีกเกือบๆ 2 ชั่วโมงเหรอเนี่ย เพราะ look ของเขาดูไม่ได้เอาซะเลย ผมยาวรุงรัง แถมหน้าตายังดูบื้อๆอีกต่างหาก
แต่หลังจากเขาออกจากคุกแล้วตัดผม เขาก็ดูดีขึ้นมากๆๆๆๆ นั่นทำให้ผมสบายใจขึ้นด้วย (ฮา)
-- เสน่ห์ของหนังเรื่องนี้อย่างหนึ่งก็คือ เหล่าตัวละครพิลึกพิลั่นทั้งหลาย 1. พระเอกสุดทึ่ม และซวย 2. เพื่อนพระเอก นายตำรวจจอมเซ่อที่ชอบอวดเก่ง และซวยพอๆกับพระเอก 3. ตัวร้ายจอมเจ้าเล่ห์ ที่มีความลับอันน่าสงสัยซ่อนไว้ + ลูกน้องที่เกือบจะฉลาดของเขา 4. ครอบครัวของตัวร้าย: เมียจอมเฮี้ยบ / ลูกสาวที่คร่ำเคร่งกับการทดลองบางอย่าง / ลูกชายที่อยากแต่งหญิง 5. พ่อของนางเอก ผู้เป็นพิธีกรรายการจำพวก ดาราจำเป็น 6. นางเอก-ยัยผมแดงที่ดูจิตๆ และเพื่อนสาวบ้องแบ๊วของเธอ
-- ส่วนด้านเนื้อเรื่องของหนังรู้สึกว่ามันขยายใหญ่โตและไหลไปเรื่อยไปสู่จุดที่เราคาดไม่ถึง โดยระหว่างนั้นก็มีบรรดามุกที่ฮากระจายสอดแทรกอยู่เต็มไปหมด
-- เป็นหนังอีกเรื่องที่เพลงประกอบมันส์มากๆ และชอบตอนที่เพลง The Time is Now ของ Moloko ขึ้นมามากๆ เพราะมันแสนจะถูกจังหวะได้ใจจริงๆ
***************SPOILER*************** รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้จะพูดถึงประเด็นทางสังคมหลายอย่างทีเดียว 1. รายการทีวี / ทีวี -- พ่อของนางเอกทำรายการพวก ดาราจำเป็น ที่หากินกับความทุกข์บนหลังชาวบ้าน โดยผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของรายการนี้ก็ไม่เว้นแต่ลูกสาวของเขา (ซึ่งเป็นฉากที่น่าตกใจมากๆ) ดูหนังเรื่องนี้แล้วก็คิดถึงสถานการณ์ในบ้านเราเพราะช่วงนั้นรายการ Big Brother กำลังเป็นข่าวครึกโครมมาก
-- นึกไปถึงคำพูดของทิม เบอร์ตัน เขาเคยบอกไว้ว่า คนชอบพูดว่าหนังของผมเป็นหนังหดหู่ แต่ผมคิดว่าความหดหู่ที่แท้จริงคือรายการจำพวก ดาราจำเป็น มากกว่า ผมเห็นด้วยกับเขามากๆ
-- น้องชายของเมียของตัวร้ายแนะนำให้เธอแก้ปัญหาเรื่องการเลี้ยงดูลูกๆ ด้วยการซื้อทีวีสักเครื่อง ซึ่งเธอก็ด่าเขากลับชนิดไม่ให้ผุดให้เกิด (แต่สุดท้ายเธอก็ต้องซื้อมันจริงๆ)
-- อย่างไรก็ดี หนังก็เลือกจบประเด็นนี้ในด้านบวก ก็เทปสุดท้ายของรายการเป็นภาพพ่อของพระเอก (ที่แต่งสาวร้องเพลงเต้นระบำบ้อบอ!) อันนี้เป็นฉากที่ผมประทับใจมาก
2. ครอบครัวในอุดมคติ -- เมียสุดเฮี้ยบของตัวร้ายคือตัวแทนของประเด็นนี้ที่ชัดเจนมาก เธอคือคุณแม่ผู้กำหนดทุกสิ่งทุกอย่างในครอบครัว (เธอไล่ให้ลูกสาวไปเปลี่ยนเสื้อโดยบอกว่า แม่รู้ดีที่สุดนะ ว่าลูกเหมาะกับเสื้อตัวไหน) เธอบังคับลูกๆให้อ่านหนังสือ / ห้ามมีทีวีในบ้าน / ห้ามลูกเล่นเกม / ห้ามผัวคุยโทรศัพท์ในรถ ฯลฯ
-- ที่ตลกที่สุดคือ เธอถึงขั้นกำหนด วันทำการบ้านของคุณสามี ไว้เป็นทุกคืนวันพฤหัส! (บ้าบอสิ้นดี!)
-- สุดท้ายเธอก็เลยกลายเป็นตัวละครที่ช็อคสติแตกไปในที่สุดเพราะโลกที่เธอสร้างไว้พังทลายลงมาไม่เหลือชิ้นดี สามีที่ถูกเธอกดดันก็กลายเป็นพวกหัวหน้าสมาคมลับเปิบพิสดาร, ลูกสาวเอาวิชาฟิสิกส์ที่เธอยัดเยียดให้อ่านไปทำการทดลอง แขวนคอ น้องชายตัวเอง, ส่วนลูกชายก็ดันชอบแต่งหญิง (โอ๊ย! จะบ้าตาย)
3. ความต่างระหว่างชนชั้น / อำนาจ -- พระเอกของเราเป็นคนตัวเล็กๆในสังคมที่ไร้ทางสู้ แถมยังเป็นคนที่เคยติดคุก (คนที่ถูกมองเป็นกากเดนสังคม) ส่วนตัวร้ายสุดโฉดก็คือ ชายผู้ร่ำรวย มีกิจการร้านอาหารเป็นของตัวเอง แถมบ้านของเขาก็สุดจะไฮโซ แต่มันแสนจะเย็นชาเหมือนแผ่นเหล็กที่เย็นเฉียบ
-- นายตัวร้ายคนนี้ตลกที่เขาใหญ่แต่นอกบ้าน (เวลาอยู่กับลูกน้องเขาออกคำสั่งเป็นชุด) แต่เมื่ออยู่ในบ้านกับตกอยู่ในโอวาทของภรรเมีย แกก็เลยระบายด้วยการตั้งตนเป็นหัวหน้าสมาคมเปิบพิสดาร รวมบรรดาชนชั้นสูงมากินอาหารที่ทำจากบรรดาสัตว์หายากทั้งหลาย
-- ฉากบนโต๊ะอาหารทำให้รู้สึกถึงบรรยากาศของหนังบางเรื่องของ เฟลลินี่, หนังเรื่อง Salo (A+) และการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่อง BOY
BOY ว่าด้วยเหล่านร.มัธยมปลายวัยโจ๋ที่ต้องไปต่อยตีกันในหลายสถานการณ์ และทวีความเพี้ยนขึ้นเรื่อยๆ
ตอนหนึ่งในการ์ตูนเรื่องนี้ ลูกสาวของนร.หญิงคนหนึ่งหายไป (ใช่แล้ว เธอมีลูกตั้งแต่อยู่ ม.ปลายนี่แหละ) เด็กคนนั้นถูกจับตัวไปในคฤหาสน์ของเสี่ยคนหนึ่งเพื่อนำไปเป็นส่วนประกอบของเมนูพิสดารของซูสีไทเฮาที่เชื่อกันว่าเป็นยาอายุวัฒนะ โดยแท้จริงแล้วเสี่ยคนนั้นนั่นแหละที่เป็นคนเสกเด็กเข้าท้องนร.หญิง นั่นก็หมายความว่า หมอนี่ปั๊มเด็กขึ้นมา
เพื่อเอามาทำอาหาร! (กรี๊ดดดดด)
-- ความบ้าอำนาจของตัวร้าย เด่นชัดที่สุดตอนที่เขาลุกขึ้นพูดกับบรรดาสมาชิกในสมาคมลับนั้น เพราะว่าการพูดของเขามันเหมือนตอนที่ฮิตเลอร์กล่าวปราศรัยไม่มีผิด! (นั่นคือ การพูดเร็วๆ รัวๆ ตะเบงเสียงให้ดังขึ้นเรื่อยๆ รู้เรื่องมั้ย-ช่างมัน เน้นเร้าใจ) ซึ่งมันเป็นฉากที่ทำให้ผมขำจนเกือบตาย
ชอบตอนจบของหนังที่พระเอกยังต้องถูกจับเข้าคุกต่อไป ประมาณว่าเขาจะต้องซวยอย่างสาสมที่สุด แต่งงๆนิดนึงตรงฉากจบที่นางเอกยื่นตั๋วเครื่องบินไปอออสเตรเลียให้พระเอก แล้วดูเหมือนเธอจะแถมอะไรไปให้ด้วย ดูไม่ทันว่ามันคืออะไร เดาว่าเป็นพวกแท่งเหล็กที่ใช้แทนกุญแจผีหรือเปล่า ยังไงรบกวนพี่แมดเดอลีนหรือคนที่ได้ดูช่วยบอกทีนะครับ *******************จบ********************
สรุปแล้ว One Hand Cant Clap เป็นหนังที่ผมชอบเป็นอันดับต้นๆ ของเทศกาลเลยครับ
Create Date : 02 มิถุนายน 2548 |
Last Update : 16 มิถุนายน 2548 0:44:18 น. |
|
21 comments
|
Counter : 2956 Pageviews. |
|
|
|
โดย: grappa IP: 61.90.15.39 วันที่: 2 มิถุนายน 2548 เวลา:12:00:01 น. |
|
|
|
โดย: บานาน่าจัง วันที่: 3 มิถุนายน 2548 เวลา:2:50:25 น. |
|
|
|
โดย: Madeleine de Scudery IP: 202.142.218.165 วันที่: 3 มิถุนายน 2548 เวลา:23:02:18 น. |
|
|
|
โดย: it ซียู IP: 161.200.131.64 วันที่: 4 มิถุนายน 2548 เวลา:23:04:00 น. |
|
|
|
โดย: Zweet_Daddy IP: 58.11.70.117 วันที่: 4 มิถุนายน 2548 เวลา:23:12:34 น. |
|
|
|
โดย: cottonbook วันที่: 5 มิถุนายน 2548 เวลา:0:29:04 น. |
|
|
|
โดย: it ซียู IP: 161.200.255.163 วันที่: 6 มิถุนายน 2548 เวลา:0:12:38 น. |
|
|
|
โดย: หมาหัวโจก วันที่: 9 มิถุนายน 2548 เวลา:15:24:11 น. |
|
|
|
โดย: อิศวร์ (พ่อน้องโจ ) วันที่: 10 มิถุนายน 2548 เวลา:1:51:35 น. |
|
|
|
โดย: หญ้าหนวดแมว วันที่: 14 มิถุนายน 2548 เวลา:3:29:41 น. |
|
|
|
โดย: ป้อง house IP: 203.155.221.253 วันที่: 14 มิถุนายน 2548 เวลา:22:19:06 น. |
|
|
|
โดย: merveillesxx IP: 161.200.255.162 วันที่: 14 มิถุนายน 2548 เวลา:23:07:14 น. |
|
|
|
โดย: merveillesxx IP: 210.246.165.36 วันที่: 26 มิถุนายน 2548 เวลา:15:04:19 น. |
|
|
|
โดย: เดอะ กั้ง วันที่: 28 มิถุนายน 2548 เวลา:1:20:31 น. |
|
|
|
โดย: merveillesxx IP: 161.200.255.161 วันที่: 1 กรกฎาคม 2548 เวลา:20:47:57 น. |
|
|
|
| |
|
|
เดือนพฤษภาคมนี้ได้ดูหนังค่อนข้างเยอะกว่าปกติ (ปกติแล้วดูหนังโรงเดือนละ 2-3 เรื่องเอง) หากไม่นับหนังในเทศกาล EU ก็ดูหนังโรงไปเบ็ดเสร็จแล้ว 10 เรื่อง ดังนี้
Doppelganger (B)
เฉิ่ม (B)
With You (B+)
Facing Window (A+)
Spanglish (A-)
มหาลัย เหมืองแร่ (B+)
A Lot Like Love (B-)
Star Wars Episode III - Revenge of the Sith (A)
Mysterious Skin (A+)
Sin City (A)