http://twitter.com/merveillesxx และ http://www.facebook.com/merpage
Group Blog
 
All Blogs
 
ME, MYSELF WITH THE SAME MOVIES IN DIFFERENT PLACE & TIME

โดย merveillesxx

ช่วงเดือนสิงหาคมนี้ โรงหนัง House RCA เขาจัดโปรแกรม 28 DAYS เอาหนังเก่าๆ กว่า 200 เรื่องมาวนฉายใหม่ เลยทำให้ผมได้ “ดูหนังซ้ำ” อยู่หลายเรื่องทีเดียว

ปกติแล้ว ผมเป็นคนไม่ค่อยชอบดูหนังซ้ำๆ เท่าไรนัก (โดยเฉพาะการดูซ้ำในโรง) เพราะบางทีกลัว กลัวว่าดูแล้วจะไม่ประทับใจเท่าครั้งแรก เพราะการที่เราเคยดูมันมาแล้ว เมื่อดูอีกรอบพลังของมันก็คงไม่เท่าเดิม ผมมักได้ดูหนังในโรงซ้ำอย่างไม่ตั้งใจมากกว่า อย่างเช่น ดูเป็นเพื่อนเพื่อน หรือดูเป็นเพื่อนแฟน (และแฟนบางคนก็จะกลายเป็นเพื่อนในภายหลังด้วย)

แต่ก็มีกรณียกเว้น มีหนังบางเรื่องที่ผมตีตั๋วเข้าโรงไปดูซ้ำอย่างตั้งใจ



ผมเปิดประเดิมโครงการ 28 DAYS ด้วยหนังเรื่อง Lost in Translation ผมเคยดูหนังเรื่องนี้ในโรงไปแล้ว แถมยังดูแผ่นซ้ำไปอีกหลายรอบ บางทีผมเปิดหนังนี้ทิ้งไว้ขณะเล่น MSN ด้วยซ้ำ มีอยู่คืนหนึ่งผมนอนไม่หลับ ก็หยิบเอาหนังเรื่องนี้ขึ้นมาเปิด (แต่บางคนบอกว่าควรจะเปิดหนังของ อิงมาร์ เบิร์กแมน มากกว่า) ภาพในหนังเรื่องนี้ทำให้ผมรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก

ผมมีความสุขมากที่ได้ดู Lost in Translation บนจออีกครั้ง เหตุผลง่ายๆ (แต่อาจดูไม่มีเหตุผลนัก) ก็คือ ทุกสิ่งทุกอย่างในหนังเรื่องมัน “ถูกจริต” ผมมาก ทั้งการถ่ายภาพ, เพลงประกอบ, บรรยากาศ หรือกระทั่งหน้าตายด้านของ บิล เมอเรย์ และสภาพโทรมๆหัวยุ่งๆ ของสการ์เล็ต โจฮานสัน ที่เพิ่งตื่นนอน (จนถึงวันนี้ ผมก็ยังขอยืนยันว่าเธอดูสวยที่สุดในหนังเรื่องนี้)



ถ้าถามว่าผมชอบฉากไหนในหนังเรื่องนี้บ้าง คงตอบกันไม่ไหวเพราะมีอยู่ทุก 3 นาที แต่ในการดูครั้งนี้ ภาพที่กระทบความรู้สึกของผมมากที่สุด คือฉากที่นางเอกนั่งอยู่ริมหน้าต่าง มองลงไปยังตึกสูงที่อยู่เบื้องล่าง ผมไม่สามารถอธิบายได้ด้วยหลักเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้นว่าทำไมถึงชอบฉากนี้ แต่เมื่อภาพนี้ปรากฏบนจอ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกสะกดจิต

เวลาไปกินข้าวที่ Food Court ในห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ผมชอบนั่งที่ติดริมหน้าต่างมาก ถึงแม้วิวของที่นี่จะไม่สวยแบบในหนัง (เพราะมองออกไปมีแต่ไซต์ก่อสร้าง) มีวันหนึ่งฝนตกหนักมาก พอมองออกไปแล้วแทบจะไม่เห็นอะไรเลย ราวกับว่าข้างล่างนั้นคือเมืองที่เราไม่รู้จัก


หลายวันถัดมา ผมไปที่ House อีกครั้ง วันนี้เป็นธีมหนังของ Shunji Iwai มี 3 เรื่องคือ April Story, Hana & Alice และแน่นอน All About Lily Chou-Chou ทุกเรื่องที่ว่ามา ผมเคยดูหมดแล้ว

ความจริง ความตั้งใจหลักของผมในวันนี้คือการไปดู Lily Chou-Chou (ผมพูดคิดตลกกับ คุณธีปนันท์ว่า “เรามาดูลูกชายตัวเอง” ส่วนอีกเรื่องที่ต้องมาดูซ้ำแน่ๆ คือ Bashing ซึ่งเป็นเหมือนลูกสาวของผม) แต่ปรากฏว่าผมประทับใจกับการดู April Story มากที่สุด



ตอนที่ดู April Story รอบแรก ผมดูในรูปแบบ VCD ซึ่งคุณภาพอยู่ในระดับปานกลาง (ตอนฉายที่ลิโด้ไม่ได้ไปดู เพราะติดสอบไฟนอล) พอมาวันนี้ได้ดูในโรง ผมจึงค้นพบว่าภาพในหนังเรื่องนี้มันช่างสวยงามเหลือเกิน โดยเฉพาะฉากต้นเรื่องที่ดอกซากุระร่วงลงมามากมาย จนเหมือนจะเป็น “ฝนซากุระ” ผมไม่รู้เหมือนกันว่า อิวาอิกับตากล้องทำอีท่าไหน ถึงไหนภาพสวยขนาดนี้มาได้



อย่างที่ทราบกันว่า Noboru Shinoda (ตากล้องคู่บุญของอิวาอิ ซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว) เก่งกาจมากการใช้ “ภาพฟุ้งแสง” ซึ่งพอได้ดูบนจอใหญ่ๆ ผมเลยยิ่งทึ่งกับฝีมือของเขามาก ภาพแบบนี้ดูเหมาะดีกับการถ่ายทอดอารมณ์ผู้หญิงๆ แถม Takako Matsu (นางเอกของเรื่อง) ก็เล่นได้เป็นธรรมชาติมาก จึงไม่น่าแปลกใจนักที่ผู้หญิงหลายคน (และผู้ชายอีกหลายคน) จะหลงรักหนังเรื่องนี้ (คุณธีปนันท์บอกว่าเขาดูหนังเรื่องนี้กี่ทีก็ร้องไห้)

April Story เล่าถึงหญิงสาวคนหนึ่งที่เพิ่งจะเข้ามหาลัย ดังนั้นการดูครั้งแรก (ซึ่งตอนนั้นผมเพิ่งอยู่ปีหนึ่ง) กับตอนนี้ที่ผมเรียนจบแล้ว มันจึงให้ความรู้สึกหรือมุมมองที่ต่างกันพอสมควร แต่มันก็ทำให้ได้คิดและทบทวนความทรงจำหลายๆ อย่าง ผมคิดว่าอิวาอิถ่ายทอดประเด็นนี้ได้ดีมาก โดยเฉพาะถ้าคิดในแง่ที่ว่าเขาทำหนังเรื่องนี้ตอนอายุ 30 กว่าๆ



อีกความรู้สึกหนึ่งก็คือ ตอนที่ดู April Story รอบแรกนั้น ผมคิดว่าการที่นางเอกอุตส่าห์ดั้นด้นมาเรียนมหาลัยในเมือง เพื่อมาตามหารุ่นพี่ที่ตัวเองแอบชอบ เป็นเรื่องเพ้อเจ้อเอามากๆ แต่พอรอบนี้ ผมคิดว่ามันก็เป็นพฤติกรรมที่คนบางคนทำอาจจะทำจริงๆ การได้ทำอะไรตามความรู้สึกของตัวเองอย่างสุดโต่ง มันก็คงเป็นเรื่องดีในแง่หนึ่ง (แม้ว่ามันจะมีเรื่องเศร้ารออยู่ก็ตาม) ซึ่งมันสิ่งที่ผมไม่เคยได้ทำ หรือทำได้




สำหรับ All About Lily Chou-Chou ผมคงไม่มีอะไรจะพูดถึงอีกแล้ว เพราะนี่ก็ปาเข้าไปครั้งที่ 5 แล้ว ที่ผมดูหนังเรื่องนี้ (ดู VCD 2 รอบ, DVD 1 รอบ, ดูที่ลิโด้อีก 1 รอบ) แต่ก่อนเข้าโรงผมก็รู้สึกตื่นเต้นเหมือนกัน เพราะจะว่าไปผมก็ห่างหายจากหนังเรื่องนี้ไป 2 ปีแล้ว ก่อนหนังฉายผม SMS ไปหาเพื่อนประมาณว่า “ฉันอยู่ในโรงหนัง ฉันกำลังจะดู Lily Chou-Chou เป็นครั้งสุดท้ายในชีวิต” ผมหมายความตามนั้นจริงๆ

อีกเหตุผลหนึ่งที่ผมมาในวันนี้ ก็คือ การไปสังเกตปฏิกิริยาคนดู ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามีใครมาดูหนังซ้ำเหมือนผมมั้ย แต่เข้าใจว่ามีคนที่เพิ่งดูครั้งแรกอยู่จำนวนหนึ่ง ช่วงแรกของหนังมีเสียงหัวเราะของคนดูชนิดสนั่นลั่นโรงเป็นระยะ แต่นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกเศร้าลึกๆ มันเป็นความโชคร้ายของผมเอง ที่ผมรู้อยู่แล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้นในช่วงท้ายของหนัง ...และก็ตามคาด เสียงคนดูก็เงียบลง เงียบลง และเงียบลง

ผมไม่รู้เหมือนกันว่าแต่ละคนรู้สึกอย่างไรกับหนัง แต่คงมีทั้งชอบ และไม่ชอบ บางคนอาจจะเกลียดไปเลยก็ได้ (เพราะมาดูรอบที่ 5 ผมก็แอบขำๆ เหมือนกันว่า คนที่ “ไม่อิน” เขาคงรำคาญน่าดูว่า ไอ้อีธง อีเธอร์ ที่มันบ้าบออะไร) แต่ก็มีรุ่นน้องคนนึงดูจะชอบหนังมากๆ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะดีใจ หรือเสียใจดี (ฮา)

มีคนบอกว่าหนังมันโหดร้ายเกินไป ข้อนี้ผมก็คงไม่เถียง (ผมถึงย้ำอยู่เสมอว่า คนที่ไม่ชอบหนังเรื่องนี้ เป็นคน “น่าอิจฉา”) แต่ผมเข้าใจ (เอาเอง) ว่า All About Lily Chou-Chou ก็สร้างอิทธิพลให้ชีวิตใครมามาก เปลี่ยนชีวิตใครมานักต่อนัก มันเป็นแง่คิดที่ว่า การข้ามไปสู่อีกขั้นหนึ่งของชีวิต บางทีเราก็ต้องพบกับความเจ็บปวดบ้าง

เห็นน้องคนนั้นชอบหนัง แล้วก็นึกถึงตัวเองเมื่อหลายปีก่อนที่ดูหนังจบใหม่ๆ ตรงนี้เองทำให้ตระหนักได้ว่า หนังทุกเรื่องมัน “มีชีวิต” จริงๆ เพราะหลังจากที่มันเปลี่ยนชีวิตเราไปแล้ว หนังเรื่องนั้นมันก็จะไปเข้าสู่ชีวิตคนอื่นๆ ต่อไป เป็นการเดินทางที่ไม่รู้จบสืบต่อไปเรื่อยๆ

เมื่อวันก่อน พี่เต้ ไกรวุฒิ ก็เพิ่งทักผมมาทาง MSN ว่า “Lily Chou-Chou นี่มันทำให้เรารู้จักกันเนาะ” (แต่พี่เต้ก็พูดฮาๆ ว่า “แต่ชั้นอยากให้เป็นหนังแบบ Scream มากกว่า”) ไม่เพียงพี่เต้เท่านั้น หนังเรื่องนี้ยังทำให้ผมได้คุยกับพี่แมดเดอลีนอย่างจริงจัง รวมทั้งได้พบเจอกับมิตรสหายโลกไซเบอร์อีกมากมาย ดังนั้นสำหรับในกรณีของผมแล้ว หนังยังเป็นสะพานเชื่อมชีวิตผมไปสู่ชีวิตของคนอื่นๆ ด้วย

ทั้งหมดทั้งปวงนี้ทำให้ผมยิ่งแน่ใจกับประโยคที่ตัวเองเพิ่งเขียนลงใน a day เล่มล่าสุดที่ว่า

“หนังไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิตเราหรอก แต่มันให้ชีวิตกับเราต่างหาก”






อันนี้คือเพลงชื่อ Sight เป็นเพลงของซาวด์แทร็กเรื่อง All About Lily Chou-Chou ครับ คิดถึงเพลงนี้ขึ้นมา เพราะเมื่อวันก่อนที่ไปดู FUTON เค้าใช้เพลงนี้ เป็นเพลงเปิดตัวซะด้วย (เก๋ซะ)








Create Date : 13 สิงหาคม 2550
Last Update : 13 สิงหาคม 2550 20:01:49 น. 49 comments
Counter : 6071 Pageviews.

 

ขายของหน้าด้านๆ



CMYK ฉบับเดือนสิงหาคม : น้องเมอร์เขียน "10 หนังเด็ดจากบางกอกฟิล์ม"




a day ฉบับเดือนสิงหาคม : ธีม featuring แขกรับเชิญมากมาย รวมถึงบล็อกเกอร์อย่าง ผมอยู่ข้างหลังคุณ, Filmsick, grappa และน้องเมอร์


--------------------------------



สำหรับ ไลฟ์รีพอร์ท งาน FUTON คราวนี้ น้องเมอร์ขอสละสิทธิ์การเขียนนะจ๊ะ ไปอ่านได้ที่บล็อกของ meichan (รอบกลางวัน) และ strawberry machine gun
(รอบดึก)




PAIN KILLER อัลบั้มใหม่ของ FUTON ก็วางจำหน่ายแล้วเน้อ


โดย: merveillesxx วันที่: 13 สิงหาคม 2550 เวลา:19:56:01 น.  

 
เข้ามาบอกว่าโดน All About Lily Chou-Chou เปลี่ยนชีวิตไปเหมือนกัน


โดย: B_Freedomlover (B_Freedomlover ) วันที่: 13 สิงหาคม 2550 เวลา:20:02:00 น.  

 
โดนคำสาป อีเทอร์ ไปเรียบร้อยแล้ว 555++


โดย: nanoguy วันที่: 13 สิงหาคม 2550 เวลา:20:32:24 น.  

 
ทำไมปก CMYK เบ่มนี้มันดูดีกว่าที่ผ่านๆ มาวะ
มึงโชคดีนะเนี่ย


โดย: n IP: 124.120.23.78 วันที่: 13 สิงหาคม 2550 เวลา:20:57:00 น.  

 
April Story ชอบเหมือนกัน แต่อินแค่ระดับนึงเอง แต่รู้สึกว่าถ้าเอามาดูตอนนี้ต้องอินมากๆ แล้วก็ลิลี่ก็อย่างที่บอกว่าดูไม่รู้เรื่องเลย


โดย: strawberry machine gun IP: 202.41.167.241 วันที่: 13 สิงหาคม 2550 เวลา:21:35:43 น.  

 
Noboru Shinoda ถ่ายภาพได้สวยราวกับงานอิมเพรสชั่นนิส ชั้นเยี่ยม


โดย: grappa วันที่: 13 สิงหาคม 2550 เวลา:21:36:27 น.  

 
อูย ผมฟังแล้วอยากดู All About Lily Chou-Chou

ขึ้นมาอย่างจับใจ

lost in translation คือหนังเหงาๆที่โดนใจ
ส่วนฉากที่ชอบมากที่สุดคงเป็นฉากสุดท้ายที่เขากระซิบกัน

เป็นปริศนาในใจพอๆกับ "ไม่ชอบกินผัก ทำไมไม่บอก"



โดย: เด็กผู้ชายที่ไม่เตะบอลตอนกลางวัน (kanapo ) วันที่: 13 สิงหาคม 2550 เวลา:21:42:15 น.  

 
อะเจ๊ย อะเดย์เดือนนี้ น่าสน ฮ่ะๆๆ


โดย: แพนด้ามหาภัย วันที่: 13 สิงหาคม 2550 เวลา:22:10:58 น.  

 
ไม่ไปดูลิลลี่อีกรอบวันที่ 17 เหรอครับพี่เมอร์

วันนั้นผมคิดว่าจะไปดูหนังเรื่องนี้ในโรงให้ได้


โดย: Nighty IP: 58.8.35.108 วันที่: 13 สิงหาคม 2550 เวลา:22:22:32 น.  

 
อยากดู April Story มั่กๆแต่มันไม่มีฉายแล้วอ่ะจิ

กำลังคิดอยู่ว่าจะไปดู Christmas in August ดีรึเปล่าน้า
ดูแผ่นไปหลายรอบแล้ว แต่ไม่เคยดูในโรงเลยน่ะ


โดย: idLer วันที่: 13 สิงหาคม 2550 เวลา:22:32:31 น.  

 


โดย: แ ม ง ป อ วันที่: 13 สิงหาคม 2550 เวลา:22:38:49 น.  

 
1 ในคนที่รุจักพี่เพราะอีเทอร์.....


โดย: โทยะ อากิระ IP: 58.11.79.95 วันที่: 13 สิงหาคม 2550 เวลา:22:43:53 น.  

 
All About Lily Chou-Chou ผมนับว่าเป็นคนที่โชคร้ายมากๆ

ผมดูจนถึงตอนที่ไปเที่ยวเกาะนั่นน่ะครับ แล้วอีแผ่นมันดันไม่อ่านซะนี่ สรุปคือแผ่นเน่า ดูไม่จบ กำลังมันเลยอ่ะ ผมก็เลยยังไม่รู้เลยว่าจบเช่นไร นี่ก็ผ่านมาครึ่งปี ผมก็ยังหาแผ่นมาดูไม่ได้เลย นี่ละชีวิต ผมพอจะไปหาได้ที่ไหนบ้างครับ เห็นบล็อคคุณเมอแล้วอยากดูต่อเลย


โดย: SummerDegree วันที่: 13 สิงหาคม 2550 เวลา:23:55:38 น.  

 
ยังมิได้สัมผัส "อีเธอร์" ของใครต่อใครเลยครับ

ส่วน April Story ได้ดูที่ลิโด้นานแล้ว ภาพสวย....
ไม่เพ้อเจ้อหรอกครับ ที่ใครจะทำอย่างนางเอกในหนัง เพราะมีคนทำแบบนั้นจริงๆ เหมือนกันเด๊ะๆ และผมก็รู้จักคนคนนั้นดีเสียด้วย หึๆ

สำหรับผม ชอบดูหนังซ้ำ ครับ ไม่รู้ทำไม แต่บุฟเฟต์ที่house ยังไม่ได้ไปดูเลย(และคงไม่ได้ไปแน่นอน)...


โดย: คำห้วน-lopzang-เฉือนคำรัก วันที่: 14 สิงหาคม 2550 เวลา:6:31:21 น.  

 
ชอบ All About Lily Chou-Chou เหมือนกันค่ะ
แต่เอาเข้าจริง เราว่าเราคงหลงรักหนังทุกเรื่องของ ชุนจิ อิวาอิ นั่นแหละ

แต่เรื่องที่อินที่สุดคงเป็น April Story
มันไม่ใช่หนังที่ดีอะไรมากมาย
แต่เผอิญว่า เราก็เป็นผู้หญิงแบบนั้น เป็นผู้หญิงแบบที่สามารถทำสิ่งที่นางเอกในเรื่องทำได้
ตอนที่ดูหนังเรื่องนั้นครั้งแรก (วีซีดี) เราถึงเชื่่อในสิ่งที่ตัวเอกทำได้จริงๆ เรียกว่าเชื่อหมดใจไปเลย

เราว่า , บางที คนอย่างชุนจิ อิวาอิ ก็คงมีมุมแบบนี้ในชีวิตเหมือนกัน

:)

ตอนแรกกะว่าจะไม่ไปดูโปรแกรมนี้แล้วนะคะ แต่เจ้าของบล็อกเขียนเสียจนอยากไปดูอีกครั้งเลยนะเนี่ย :)


โดย: tiktokthailand IP: 58.8.169.129 วันที่: 14 สิงหาคม 2550 เวลา:9:41:05 น.  

 
ป้าขอไว้อาลัยให้ลิลี่ชูชูที่ป้าพยายามจะเข้าถึงอีเธอร์ให้ได้ในการดูซ้ำไปซ้ำมาหลายๆครั้ง จนสุดท้ายก็คิดได้แค่ว่า.....เอาวะ รู้แค่ไหนเอาแค่นั้นแล้วกัน ยิ่งอ่านที่ต่อเจาะลึกลงไปถึง 2 พาสด้วยกันในบล็อคยิ่งเครียด เป็นหนังโคตะระเครียดแห่งปีที่ป้าจำจนวันนี้

ถ้าพูดถึงฉากที่ทรมานใจตัวเองมากสุดในหนังเรื่องนี้คงเป็นตอนที่ยูอิจิพาคนรักสู่แดนประหารนั่นแหละ รู้สึกว่าชีวิตคนเราใยมันถึงได้โหดร้ายและอ่อนแอได้ถึงเพียงนี้ ถ้าเป็นเราที่อยู่ในสภาวะแบบนั้นเราจะเลือกทำแบบไหน?

April Story และ ฮานะแอนด์อลิส เป็นสองเรื่องที่ชอบด้วยเช่นเดียวกัน


โดย: เมอี้ IP: 125.24.192.12 วันที่: 14 สิงหาคม 2550 เวลา:10:20:09 น.  

 
+ ปกติพี่ก็ไม่ชอบดูหนังซ้ำเช่นกัน (โดยเฉพาะในโรง ขี้เกียจเสียตังค์หลายรอบ ยกเว้นจำเป็นต้องดูกับคนอื่นอีกครั้ง) ... ยกเว้นหนังที่ติดอันดับ "ชอบมาก" (ของตัวพี่เอง) ขึ้นไป ที่จะดูซ้ำกี่ครั้งก็ดูได้ไม่รู้เบื่อ แถมยังสามารถนั่งซึ้งกับอารมณ์เดิม ณ ตำแหน่งเดิมๆ ตรงจุดนั้นของหนังได้อีกด้วย เอากะมันซิ!

+ Lost ... ชอบมากๆ เช่นกันครับ ... เรื่องนี้เพื่อนพี่บางคนไม่ชอบเอาซะเลย มันบอกว่าไม่เก็ทสารที่โซเฟียต้องการสื่อกับคนดู ... ก็เลยบอกมันกลับไปว่าจะดูเรื่องนี้ ต้องใช้ 'ความรู้สึก' ดู แล้วถึงจะสัมผัสรู้ถึง 'ความเหงา' ที่ตลบอบอวลอยู่ในหนังได้อ่า เพราะความรู้สึกแบบที่ได้รับจากหนังเรื่องนี้ บางทีมันก็อธิบายยากเหมือนกันว่ามันเป็นยังไง

+ เสียดายมากครับที่ตอนลิโดจัดเทศกาล ชุนจิ อิวาอิ ตอนนั้นพี่ไม่ค่อยว่างเลยได้ดูแค่ Chou-Chou ไปเรื่องเดียว (แถมเฮาส์เอามาฉายใหม่ ก็ดันเป็นธรรมดาซะอีก) ... ซึ่งพอดูจบก็เกิดอาการ "ตายไปเลย" คือโดน 'คำสาปอีเธอร์' เข้าไปเต็มๆ เช่นกัน อารมณ์แบบไม่อยากคุยกะใคร อยากอยู่คนเดียว เพาะบ่มอารมณ์หม่น อยู่ราวๆ เกือบอาทิตย์นึงอ่ะครับ ... หนังบ้าอะไรก็ไม่รู้ ทำให้เป็นไปได้ถึงเพียงนี้ (ทุกวันนี้ก็จัดเรื่องนี้ติดอันดับในท็อปเทนตลอดกาลของตัวพี่เองอยู่ ... ถึงแม้จะไม่ถึงกับเปลี่ยนชีวิต เหมือนกับที่ต่อเขียนไว้ข้างบน แต่ก็โดนสุดๆ อ่ะครับ) ... เรื่องนี้ ถ้าให้คนที่เป็นโรคซึมเศร้า และเซ้นสิทีฟดู ดูจบ อาจฆ่าตัวตายไปเลยนะนั่น!


โดย: บลูยอชท์ วันที่: 14 สิงหาคม 2550 เวลา:12:17:46 น.  

 
^
^
พิมพ์หล่น ย่อหน้าสุดท้าย บรรทัด 3 ... จะพิมพ์ว่า "วันธรรมดา" อ่ะ


โดย: บลูยอชท์ วันที่: 14 สิงหาคม 2550 เวลา:12:21:02 น.  

 
นี้สบายดี


โดย: สมจิตรา IP: 202.143.145.115 วันที่: 14 สิงหาคม 2550 เวลา:13:14:21 น.  

 
ยังไม่ได้ดูทั้งสามเรื่องเลย อ่านแล้วอยากดูขึ้นมาเชียว เดี๋ยวต้องดูให้ได้


โดย: coming soon (The Yearling ) วันที่: 14 สิงหาคม 2550 เวลา:14:25:23 น.  

 
All About Lily Chou-Chou ผมอยากจะกลับไปซ้ำอีกซักรอบเพราะผมได้ดูเมื่อหลายปีมาแล้วสมัยที่ยังไม่มีซับไทยเลย
ผมเลยดูไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ ว่าจะหาแบบมีซับมาดูก็ไม่ได้หาซักที ฉายโรงก็พลาดอีก
อยากดูเหมือนกันนะเนี่ย


โดย: Chewbacca วันที่: 14 สิงหาคม 2550 เวลา:15:20:53 น.  

 

เพราะลิลี่ที่ทำให้เราได้รู้จักเจ้าของบล๊อค

เพราะลิลี่ที่ทำให้เราได้รู้จักโลกที่กว้างขึ้น

ได้เปิดมุมมองใหม่ๆ ให้กับตนเอง

ขอบคุณ ลิลี่ .............

ทุกสิ่งทุกอย่างของฉัน เกิดขึ้นได้เพราะคุณ



โดย: BaRoQuE IP: 58.9.49.24 วันที่: 14 สิงหาคม 2550 เวลา:18:18:36 น.  

 
lost in translation
ชอบจริงๆ
ยิ่งเพลงมันยิ่งชอบAlone in Kyoto

ส่วนลิลี่ เชาๆ ชั้นไม่เก๊ตเลย
ไม่ชอบดูหนังเด็กญี่ปุ่นมีปัญหาอ่ะ

จะคอยตามอ่านหนังสือที่แกลงนะ


โดย: ส้มโอ IP: 58.9.141.113 วันที่: 14 สิงหาคม 2550 เวลา:22:37:09 น.  

 
House มันไกลจากแหล่งชั้นมากเกินไป ไม่เคยไปเยี่ยมเยือนเลย

สำหรับเรานะ ชุนจิ อิวาอิคือผู้กำกับที่เรารักมากที่สุดในโลก
ให้ตายเหอะ ไม่เคยคิดว่าจะมีผู้กำกับคนไหน ทำให้เราชอบหนังของเขาทุกเรื่องที่ดูได้
แต่ชุนจิ อิวาอิทำได้

เรายังจำความรู้สึกแรกที่ดู Love Letter ได้
เราช็อค และบ้าคลั่งไปกับตัวละครหลากหลายใน All about Lily and Chou-Chou
เราหลงรักน้องยูและหนูแอนในHana and Alice (รายแรกในหนังยาว และรายหลังในหนังสั้น)
เราหลงรัก เพลง My Way จากเรื่อง Swallowtail Butterfly (แต่ให้ตาย ทำไมชั้นโหลดเวอร์ชั่นในหนังไม่ได้สักที)
อีกหลายเรื่องที่เราถ่อไปดูถึงจุฬา (เป็นการดูหนังที่อบอุ่นมากๆ ฮ่าๆ แต่ไม่เคยไปอีกเลย)

... เรารักชุนจิ อิวาอิ และโลกของเค้าจริงๆว่ะ ...

น้องเมอร์บอกว่า ...
ผมคิดว่าการที่นางเอกอุตส่าห์ดั้นด้นมาเรียนมหาลัยในเมือง เพื่อมาตามหารุ่นพี่ที่ตัวเองแอบชอบ เป็นเรื่องเพ้อเจ้อเอามากๆ ..

แล้วการที่สาวน้อยอย่างชั้น ออกเดินทางตามหาหนุ่มร้านนายอินทร์นี่มันเพ้อเจ้อมากมั้ยอ่ะ
จนถึงวันนี้ ชั้นยังไม่เจอเค้าเลย
ได้แต่ภาวนาว่า ตุลาปีนี้ เราคงได้เจอกัน
คราวนี้ฉันจะเอาหนังสือตีหัวเค้าแล้วลากกลับบ้านจริงๆด้วย ฮ่าๆ

ปล. เธอขายของหน้าด้านๆ ชั้นก็จะไปยืนอ่านตามแผงหนังสือหน้าด้านๆเหมือนกัน เอิ๊กๆ


โดย: เสจัง IP: 124.121.167.174 วันที่: 14 สิงหาคม 2550 เวลา:23:15:12 น.  

 
ตามอ่านบล็อคมานานแล้วค่ะ ตั้งแต่ที่พี่(แน่ใจมากค่ะว่าเป็นพี่เราแน่นอน 55+)ขียนถึง All About Lily Chou-Chou ครั้งแรก แต่ไม่เคยคอมเม้นเลย (หัวเราะ)
สงสัยวันนี้จะเป็นฤกษ์งามยามดีสักที
เราก็คิดเหมือนกันค่ะว่าคนที่ไม่ชอบหนังเรื่องนี้ เป็นคนที่น่าอิจฉาเอามากๆ ส่วนตัวเรานั้นดูไปสามรอบเห็นจะได้ค่ะ

April Story นี้ตอนแรกอยากดู แต่ก็ไม่คิดขวนขวายหามาดูจนเผอิญเปิดเจอใน UBC เอ๊ย ต้อง True Vision Film Asia แต่ไม่ได้ดูตั้งแต่ต้น รู้แต่ว่าภาพสวยมากๆ


โดย: Am IP: 222.123.146.11 วันที่: 15 สิงหาคม 2550 เวลา:1:41:16 น.  

 

Film seen on 14 August 2007



1. I Capture the Castle (2003, Tim Fywell, A+)

All actresses in this film contributed a good perfprmance; namely Rose Byrne, Tara Fitzgerald, Sinead Cusack and especially Romola Garai. I don't like her overacting style in Angel (2006, Francois Ozon, B) but I like her character in I Capture the Castle very much.

This film make me think of Pride & Prejudice. Both of them have the same theme, about people who "lock" their hearts, not show their feeling.



2. Tokyo Godfather (2003, Satoshi Kon, B+) (ดูซ้ำ)

I watched this film twice, and I still insist that Kon is not suitable for feel-good movie. I am always impressed by his drak side.




3. Big Fish (2003, Tim Burton, A+)

Normally, I hate a film which relate to FATHER-SON issue, but the story telling scene in Big Fish made me cry a lot. Anyway, I think Big Fish is the beginning of Tim Burton's huge change (from Burton-drak side to Speilberg-bright side)




4. The Hours (2002, Stephen Daldry, A++++++) (ดูซ้ำ)

All of you know I am a sex addict. Besides sex, sexuality, I also interest in death and suicide. The Hours is a movie which obsesed with DEATH, so it easily penetrate to my heart. This movie gave us an unclear reason about commiting a suicide but one obvious messege is "ALL SUICIDES ARE SAD".

Philip Glass's score is just a kind of TWISTED MUSIC. They twisted my heart, my soul and my mind. When I listen to The Hours OST, I'm usually in tears without rational explanation. The soundtrack inspired me to stuck in artistic depression. (Depression is my major inspiration)

I still love Virginia Woolf's suicide note. (also appear in the film) It was very romantic, hopeless and sentimental.

"I feel certain that I am going mad again. I feel we can't go through another of those terrible times. And I shan't recover this time. I begin to hear voices, and I can't concentrate. So I am doing what seems the best thing to do. You have given me the greatest possible happiness. You have been in every way all that anyone could be. I don't think two people could have been happier 'til this terrible disease came. I can't fight any longer. I know that I am spoiling your life, that without me you could work. And you will I know. You see I can't even write this properly. I can't read. What I want to say is I owe all the happiness of my life to you. You have been entirely patient with me and incredibly good. I want to say that — everybody knows it. If anybody could have saved me it would have been you. Everything has gone from me but the certainty of your goodness. I can't go on spoiling your life any longer. I don't think two people could have been happier than we have been."



p.s. Apologize to my broken language. I'm just in the mood to write in English.



โดย: merveillesxx วันที่: 15 สิงหาคม 2550 เวลา:2:37:56 น.  

 
หลังๆ พี่เมอร์เริ่มจะ "โกอินเตอร์" นะเนี่ย 555+


โดย: nanoguy วันที่: 15 สิงหาคม 2550 เวลา:8:01:44 น.  

 
แปะรูปแล้ว


โดย: strawberry machine gun วันที่: 15 สิงหาคม 2550 เวลา:9:11:57 น.  

 
ชอบหนังของชุนจิ อิวาอิ มาก โดย หลงรักอย่างหัวปักหัวปำกับ love letter กรี๊ดๆได้ใจสุดๆๆค่ะ

จากนั้นเมื่อมีหนังของเขาเรื่องอื่นๆจึงไม่พลาด

April story เป็นหนังที่น่ารัก แฝงความเหงา และการรอคอยอย่างมีหวังบ้าง ไม่มีบ้าง แต่ก็ยังหวังต่อไป
สำหรับเรา หนังเรื่องนี้แสดงถึง Power of Love(พลังรัก) จริงๆค่ะ
นางเอก ทำสิ่งที่ถือ ว่าเป็นปาฏิหารย์ สอบติดมหาลัย ซึ่งไม่มีใครๆคิดว่าอย่างเธอจะทำได้ แต่เธอก็ทำได้
แถมมาอยู่ในเมืองคนเดียว (ทั้งที่เป็นคนออกจะขี้กลัว) เพื่อพบกับคนคนหนึ่ง อย่างนี้ที่เขาเรียกว่า ด้วย Power of Love (พลังรัก)จริงๆค่ะ

สำหรับ Lily chou-chou เป็นหนังที่ดูแล้วบาดเจ็บเหลือเกิน แต่เมื่อมาได้แง่คิดของคุณเจ้าของบล้อกแล้วได้สติเลยค่ะ

...การข้ามไปสู่อีกขั้นหนึ่งของชีวิต บางทีเราก็ต้องพบกับความเจ็บปวดบ้าง....

ชอบมากมายเลยค่ะ ได้สติพลันทันที หายบ้าไปเลยค่ะ

ขอบคุณนะคะ img src=https://www.bloggang.com/emo/emo19.gif>


โดย: Mr.Bear's dream วันที่: 15 สิงหาคม 2550 เวลา:9:48:37 น.  

 
และ อีกนิดนะคะ สำหรับเราแล้ว Tokyo Godfather เป็นอีกเรื่องที่ชอบมากค่ะ ตลก แง่คิด โดนใจดีค่ะ


โดย: Mr.Bear's dream วันที่: 15 สิงหาคม 2550 เวลา:9:52:00 น.  

 
โอ้ว
Lost in translation
ชอบสุดๆ

//www.lekvikrom.in.th/


โดย: Chris IP: 202.28.1.178 วันที่: 15 สิงหาคม 2550 เวลา:13:13:34 น.  

 
เด๋วจาอุดหนุนหนังสือทั้งสองจ้า


โดย: renton_renton วันที่: 15 สิงหาคม 2550 เวลา:13:39:43 น.  

 
ทำเป็นอินเตอร์น่ะย่ะ...เว่อร์เจงๆๆๆๆๆ

ว่าจาดู All About Lily Chou-Chou อีกซักรอบ (เป็นรอบที่3) เจงๆก็ไม่ได้ชอบเรื่องนี้มากมาย แต่มานมีหลายฉากที่ติดตาและติดหู รู้ม่ะฉากไหนนน..ต่อบอกไม่ได้ถามเลย..แต่อยากบอกมีไรม่ะ..
ฉากที่มีอาเจ๊ผมยาว (นางเอกเรื่อง concent..หนึ่งในหนังโปรด) ดีดเครื่องดนตรีญี่ปุ่นริมหาด....ฉากนี้ติดตามากๆๆ ไม่รู้ทำไม..อุอุ (เผื่อต่อจาตอบได้)


โดย: ปุ้ย IP: 124.120.168.17 วันที่: 15 สิงหาคม 2550 เวลา:17:52:37 น.  

 

Films seen on 15 August 2007

Courtesy of Madame Madeliene (Thanks for your kindness to write these DVDs for me)


01. บรรยากาศยามบ่าย (Afternoon Time) (2005, ทศพล บุญสินสุข, A+) 90 min

I’m so glad that Afternoon Time is not another stylish or fake lonely film (I feel sick of it); I love its realistic style. This film is similar to Su-ki-da (2005, Hiroshi Ishikawa, A+) in many ways. For example, the long take using extended my time to observe the woman’s body language such as the scene she eats slowly (I like this scene very much, I can get her feeling from this one) or the scene she packs up all of her pictures which I can’t describe my feeling into words.

Unclear details are also a charm of Afternoon Time. It didn’t tell us about Ta (the musician) and Bo (the woman) relationship (I guess they might be a couple in their high-school period). We will never know why the man disappeared without a warning sign. And I’m so curious how her cafe can survive for a year with few customers like that. (5555) Anyway, it may not too imaginative to guess that she is waiting for the man.

I guess the cafe is located at U-CENTER Samyan. If I’m not wrong, there is a big blue roof covered many shops there. The blue color in the film is may caused by that roof and it is very suitable for the tone of film.

This film contained a song WHATEVER (สักเท่าไร) by Moderndog. I love this song very much. It’s the most favorite song of Moderndog for me.

Listen to WHATEVER
//imusic.teenee.com/2/frame/1474.php

ทุกทุกวัน ที่ผ่านมา ต้องไขว่คว้า หาสิ่งใด
ฉันยังอยู่ เธอยังอยู่ ฉันยังอยู่ เธอยังอยู่ ในหัวใจ
แม้บางสิ่ง แสนลำบาก แต่ฉันจะเดินต่อไป
แม้จะถูก หรือจะผิด ชีวิตคงไม่อ้างว้าง...
สักเท่าไหร่ (อย่างน้อย เท่าที่มี อย่างน้อย ก็ยังดี)


ความเห็นของคุณ Filmsick ต่อ Afternoon Time
//filmsick.exteen.com/20070122/afternoon-time

ความเห็นของคุณ Mds ต่อ Afternoon Time + หนังบางเรื่องของ คุณทศพล บุญสินสุข
//celinejulie.blogspot.com/2006_01_01_celinejulie_archive.html




02. No One At The Sea (2005, ทศพล บุญสินสุข, A) 2.57 min

Many people would say this film is nothing. But, for me, it is so meaningful. I like to watch the sea; I can stare at the sea for many hours. Three minutes of “No One at the Sea” has its own value in every second.




03. Between Us In One Moment (2006, ทศพล บุญสินสุข, A-) 4.20 min

Although I like to stand by the sea, I prefer to be in that moment ALONE. That’s why I appreciate “No One at the Sea” more than “Between Us in One Moment” (It’s just my silly reason.)



04. She is Reading Newspaper (2005, ทศพล บุญสินสุข, B+) 9.32 min



05. ขอบเขต ที่ว่าง (Room:Field) (2006, ทศพล บุญสินสุข, B) 10 min

I like the message from this film but I don’t like the way to present it.



06. I’m Sorry (2003, ทศพล บุญสินสุข, A++++++++++++) 4.16 min

I’m impressed with the cinematographic style of this film. The extreme long shot made me think of Tsai Ming-Liang’s works. Actually, I dislike the scene showing the man in close shot, but it’s just a little problem in this film. (Precisely, it is MY problem, not the film or the director’s problem)

I don’t know what the story is about. But I guess from the title “I’m Sorry”. From my meaningless interpretation, I think the man has done a very big mistake or something that made him feel guilty. Then, he was like a LOST-SOUL wandering along the town at the midnight. He walked a mile to get into the contemplation or repentance. He wanted to find reasonable excuses but he only met a dead end, so he will stuck in the labyrinth of his apology forever.



07. Missing You (2005, ทศพล บุญสินสุข, A)



08. เธอจะคิดถึงฉันบ้างใช่ไหม (Are You Gonna Miss Me Sometime?) (2006, ทศพล บุญสินสุข, A)

Both leading actors performed their role naturally. This film makes me think of my close friend, she is a girl who always smokes. Once I told her that I’ve never put a cigarette in my mouth. She said “That’s good for you”

I guess this film shot besides the Chao Phraya River at Thammasat University. It is my favorite place, even though I rarely spent my time at there.




09. แล้วเมื่อไหร่เราจะได้พบกันอีกเสียที (When Will I See You Again?) (2006, ทศพล บุญสินสุข, B)

I like the actor very much 55555555


--------------------------------------




LAST DAYS (2005, Gus Van Sant, A+)

Sorry, I don't have a picture that you request but I just wanna tell I love LAST DAYS very much. It's like an abstract media which can communicate to our subconscious.

This film let us to discover Blake's mind (or Kurt Cobain's). The only two things we can feel are depression and emptiness. In the scene Blake performed his long experimental music, I feel like I was swallowed by sorrow and tears in his heart.

Although Gus Van Sant always said, "It's not a true story of Kurt's life, just a fictional." But I think LAST DAYS help us to understand why he chose to do "THAT"

Like he has said ... "It's better to burn out than to fade away"


โดย: merveillesxx วันที่: 16 สิงหาคม 2550 เวลา:4:46:48 น.  

 

Pen-Ek Ratanaruang's Films in my fluctuated preferential order


1. Last Life in the Universe (2003, A++++++++)
This film completely portrayed my life and expressed my feeling on the screen.

2. Ploy (2007, A+/A)
Ploy is almost perfect in my view but one major problem is its bias on female issue.

3. Invisible Waves (2006, A)
The sound design in this one is very impressive.

4. 6ixtynin9 (1999, A-)

5. Fun Bar Karaoke (1997, A-)

6. Monrak Transistor (2001, B+)
From my irrational and bias-based reason, I don't like Oom-Siriyakorn. That's all.

note: I've not watched Total Bangkok and Twelve Twenty yet.


----------------------------


Shunji Iwai’s films in my fluctuated preferential order


1. All About Lily Chou-Chou (2001, A+++++++)
This film has changed my life forever. (Very cliche quote, isnt’ it? 555)

2. Love Letter (1995, A+)
The ending scene (Miho Nakayama shouted again and again) made me cry like a river.

3. April Story (1998, A+)
I fell in love with Takako Matsu from this movie.

4. Picnic (1996, A)
Chara was very wicked and dark in this film. She looked like Helena Bonham Carter in some aspects.

5. Undo (1994, A)
Undo said to me loudly “Love is a strong attachment, and it will tear us apart.”

6. Swallowtail Butterfly (1996, A-)
The theme song in this one was very cool.

7. Jam Films (segment "Arita") (2002, A-)
Normally, I don’t like Ryoko Hirosue but her character in Arita was so innocent and charming. Anyway, I think her best performance was in Collage of our life (2003, Yukihiko Tsutsumi, A-)

8. Ghost Soup (1992, B)

9. Fireworks, Should We See It from the Side or the Bottom? (1993, B+)

10. Fried Dragon Fish (1993, B-)
I can’t bear the lead actress in this movie. She looks like a corpse!

Note: I have not seen The Kon Ichikawa Story (2006) yet. (It’s a documentary about Kon Ichikawa, a legendary director of Japan.)


โดย: merveillesxx วันที่: 16 สิงหาคม 2550 เวลา:6:12:16 น.  

 



ประกาศ! ประกาศ!

ใครอยากไปพิธีเปิด เทศกาลหนังสั้นครั้งที่ 11 ไปได้แบบฟรีๆ ไม่เสียตังค์

เพียงโทรไปจองที่นั่ง (คนละไม่เกิน 2 ที่) ที่ thaishortfilmfestival@gmail.com หรือ โทร 02-800-2716

พิธีเปิดมีฉายหนังเด็ดๆ ของงาน 7 เรื่อง รวมถึง The Anthem ของคุณเจ้ย ด้วยนา (มีแอนิเมชั่นเรื่อง Rabbit ด้วย จขบ.ชอบมากกก ใครชอบการ์ตูนทรามๆ ห้ามพลาด!)

วันศุกร์ที่ 17 แกรนด์อีจีวี สยามดิส ลงทะเบียน 17.00 งานเริ่ม 18.00

แล้วเจอกันครับ

(สำหรับตัวงานมี วันที่ 17-26 สิงหา ที่ แกรนด์ อีจีวี อ่านรายละเอียดที่ //www.thaishortfilmfestival.com/11/ )


โดย: merveillesxx วันที่: 16 สิงหาคม 2550 เวลา:9:08:50 น.  

 
ไม่เคยดูครับ หนังเรื่องนี้ และยังไม่เคยไปเยือน House RCA เลยซักครั้ง เคยมีความคิดว่าจะไป จะไป แต่ เฮ้อ ไอ้จะไปคนเดียวเนี่ยะ มันน่าสงสารตัวเอง

เพื่อนไม่คบน่ะ 555

แต่ผมเองก็เป็นเเฟน สกาเล็ต เหมือนกันนะ น่ารักดีครับ ปากของเธอน่ะ เซ็กส์ซี่สุด ๆ (อยากเห็นตัวจริงจังเลย)



โดย: haro_haro วันที่: 16 สิงหาคม 2550 เวลา:9:42:34 น.  

 
อู้ว.. ดีเลย
ไปดูลิลี่รอบสองตอนบ่าย
แล้วตอนเย็นไปงานหนังสั้น!
หลั่นล้ากันเลยทีเดียว


โดย: nanoguy วันที่: 16 สิงหาคม 2550 เวลา:12:38:27 น.  

 
CMYK เล่มนี้สวนแหะ
วไจตามอ่านน่ะจ๊ะ เมอร์


โดย: penguinbear IP: 61.90.147.248 วันที่: 16 สิงหาคม 2550 เวลา:12:45:01 น.  

 
โอ้ว !! เราก็เข้ามาซื้อของหน้าด้าน ๆ เหมือนกัน
เห้นทีคงได้อ่าน a day อีกแล้ว (ไม่สัญญาว่าจะซื้อ) เพราะเห็นหันมาแตะเรื่อง Blogger เลยสนใจหลังจากที่หายไปนาน

CMYK ดูปกหน้าอ่านขึ้นนะ
คงซื้อแหละ (ตอนปกมันไม่สวยก็ซื้อเกือบทุกเล่ม
เหมือนซื้อแบบให้กำลังส่งแรงเชียร์มากกว่า

(สารภาพว่ายังไม่ได้อ่าน Post เรื่องหนังเลย เดี๋ยวกลับมาอ่านคราวหลัง เหอ ๆ)



โดย: ShadowServant วันที่: 16 สิงหาคม 2550 เวลา:13:58:02 น.  

 
โหลด globe ได้ครบหมดชุดแล้ว อ๊าคคค ชุดใหม่ๆ เพราะเกินคาด ไว้วันไปกินโดเรมอน จะไรท์ไปให้เด้อ...


โดย: พี่แนน IP: 58.8.13.234 วันที่: 16 สิงหาคม 2550 เวลา:18:16:48 น.  

 
กูกลับมาแล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า
และก็พบว่ามึงกระหน่ำเขียนด้วยภาษาอังกฤเต็มที่ อาจจะเป็นเพราะความเซ็งจากโทเฟลหรือเปล่ากูก็ไม่แน่ใจ

และแล้วก็ก็พลาดงานฉายหนัง House ทั้งหมด เพราะความเฟล ตอนนี้ก็ยังไปไหนไม่ค่อยได้

ฟีบ สุดๆ
แต่ปก CMYK เล่มนี้ดูดีกว่าทุกเล่มที่ผ่านมาจริงๆ มึงโชคดีมาก


โดย: Nomorebrain IP: 124.120.8.156 วันที่: 16 สิงหาคม 2550 เวลา:18:23:42 น.  

 
เปิดอ่านอะเดย์แล้วหาไม่เจอว่ะ เดี๋ยวไปหาใหม่

เมื่อวานซืนก็พึ่งไปดู Chunging Express มาเป็นรอบที่ห้า


โดย: I will see U in the next life. วันที่: 17 สิงหาคม 2550 เวลา:10:38:54 น.  

 

a day ดูหน้า 124 / 126 จ้ะ


โดย: merveillesxx IP: 58.8.127.108 วันที่: 17 สิงหาคม 2550 เวลา:12:48:30 น.  

 
ตูด หายไปเลยนะคะมึง
(จากmsn)


โดย: ยูน IP: 124.120.222.152 วันที่: 17 สิงหาคม 2550 เวลา:16:19:04 น.  

 
น้องเมอช่วยอิจฉาพี่ละกัน
เพราะไม่ชอบ Lily Chou Chou น่ะ
ดูเสร็จก็ขายแผ่นต่อทันที

แต่จะได้ว่าเริ่มจำชื่อน้องเมอได้ก็จากกระทู้วิเคราะห์หนังเรื่องนี้แหละ
แบบอ่านไป ทึ่งไปในความ(บ้าคลั่ง)ชื่นชอบหนังเรื่องนี้ของน้องเมอ

ว่าแต่พี่ซื้อ a day แล้วล่ะ ทั้งที่ไม่อยากซื้อ (อ้าว ซะงั้น)
แต่ซื้อเพราะพี่ป๊อด ไม่งั้นก็คงไม่ซื้อ เปิดดูแล้วก็โวยวายว่า ง่ะ มีพี่ป๊อดแค่ 2-3 หน้าเอง
แอบหงุดหงิด เพราะหนังสือใส่ซองเลยเปิดดูก่อนไม่ได้

อ่า เอาเป็นว่า เดี๋ยวไปเปิดอ่านที่น้องเมอเขียนด้วยละกัน


โดย: cottonbook วันที่: 17 สิงหาคม 2550 เวลา:17:44:48 น.  

 
เราเริ่มดูหนังของชุนจิตอนเรียนมหา'ลัย
จำได้ว่าดู April Snow เรื่องแรก (ถ้าจำไม่ผิด) ค่อนข้างชอบเรื่องนี้
แต่ Lily Chou Chou นะ ดูไม่จบ ปวดหัวน่ะ ทำไมไม่รู้
ตอนนั้นจะเช่าหนังที่ร้านเฟม เพราะฉะนั้นจะได้ดูหนังเรื่องออื่นๆ ของเค้าด้วย
ถ้าเอาชอบสุดๆ เพราะถูกใจนักแสดงก็ "ฮานะแอนด์อลิซ"
เราได้รู้จักยูอาโออิจากเรื่องนี้นี่แหละ เลยเป็นแฟนน้องยูมาจนถึงปัจจุบัน


โดย: fonkoon วันที่: 17 สิงหาคม 2550 เวลา:22:49:58 น.  

 
เอ้อ ทำไมชั้นดูหนังแบบเหงาๆ แล้วไม่เหงาเลยซักกะเรื่องวะ เรื่องว่ามันเหงาไม่ตรงประเด็นตัวชชั้นเท่าไรอ่ะ

อยาก Lost in translation เนี่ย ดูจบแล้วก็เฉย อืม...เฉยแล้วเฉยอีก จนมันผ่านมาเรื่อยๆๆๆๆๆ นานไปซักพักชั้นเพิ่งเข้าใจอารมณ์ lost ของมัน มันเป็นหนังดีนะ รู้ตั้งแต่แรกที่ดูแล้ว แต่มันเป็นหนังที่ตกตะกอนในตัวชั้นย๊ากยากว่ะ ไม่รู้ทำไม

ลิลลี่ ชูชู ดูแล้วคร่อกฟรี้ ชั้นก็ดูสองรอบดูซ้ำเหมือนกันแหละ เพราะหลับ เลยต้องดูใหม่หมด แล้วก็หลอนอีเทอร์กันไป หนังมันมีประเด็นแต่ชั้นไม่อินไม่สนใจ มันเหงาไม่ตรงจริตชั้นมั้ง

ผิดกับ Happy Together เงี้ย มันเปรี้ยงเข้าแสกใจ เหงาตายห่าไปเลย ไม่รู้ทำไมว่ะ

CMYK แหม แอบอยากอ่านอ่ะ แต่ไม่ใช่จริต(คำนี้อีกแล้ว) ไม่เคยซื้อหนังสือนี้มาก่อนเลย มันเป็นหนังสือเกี่ยวกับอะไรคะ หาว่าโง่ก็ยอมเอ๊า!
aday ก็ไม่ใช่จริต อ้าว หล่อน

บางกอกฟิล์ม ที่ดิชั้นเขียนก็ออกแล้วเหมือนกัน (ขายกันหน้าด้านยิ่งกว่า เพราะมาบล็อกคนอื่น)


โดย: เพอร์รี่ IP: 58.9.139.41 วันที่: 18 สิงหาคม 2550 เวลา:1:12:13 น.  

 

Happy Together เราก็ชอบสุดๆ อ่ะ

เป็นหนังที่ชอบอันดับสองในชีวิต รองจากแค่ ลิลี่ อีเธอร์ เอง


โดย: merveillesxx วันที่: 18 สิงหาคม 2550 เวลา:3:49:24 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

merveillesxx
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 58 คน [?]




สำส่อนทางการดูหนัง ฟังเพลงและเสพวรรณกรรม
New Comments
Friends' blogs
[Add merveillesxx's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.