http://twitter.com/merveillesxx และ http://www.facebook.com/merpage
Group Blog
 
All Blogs
 
Moon : ฤๅเลือดคน (โคลน) มันไร้ค่า?

โดย คันฉัตร รังษีกาญจน์ส่อง



(หมายเหตุ: ตีพิมพ์ครั้งแรก นิตยสาร FINE ART ฉบับที่ 67 - พฤษภาคม 2553)


หากพูดถึงหนังอินดี้อันโด่งดังและน่าจดจำของปี 2009 ที่ผ่านมา หนังเรื่อง Moon ต้องติดรวมอยู่ในโผอย่างแน่นอน Moon เป็นหนังไซไฟ-ทุนต่ำ (ดูเป็นสองคำที่ไม่น่าอยู่ด้วยกันได้) ที่ใช้เงินเพียง 5 ล้านเหรียญสหรัฐ และยังกวาดรางวัลมามากมาย รวมถึงหนังเรื่องแรกยอดเยี่ยมจากเวที BAFTA (ออสการ์ของอังกฤษ)

Moon เป็นผลงานเปิดตัวของผู้กำกับหนุ่มจากเมืองผู้ดีนาม ดันแคน โจนส์ เขาเรียนจบปริญญาโททางด้านปรัชญา แต่ขณะอยู่ในช่วงเรียนต่อปริญญาเอก โจนส์ก็ตัดสินใจผันตัวเองมาเรียนด้านภาพยนตร์ที่ London Film School (ผู้กำกับดังๆ ที่จบจากที่นี่ เช่น ไมค์ ลีห์ และ ไมเคิล มานน์) นอกจากนั้นโจนส์ยังเป็นลูกชายของ เดวิด โบวี่ นักร้องชื่อดัง แต่เจ้าตัวเลือกจะไม่ใช้นามสกุลของพ่อ

หนังว่าด้วย แซม เบล (แซม ร็อคเวลล์) นักบินอวกาศที่ทำงานอยู่บนดวงจันทร์อย่างโดดเดี่ยว เพื่อนเพียงหนึ่งเดียวของเขาคือคอมพิวเตอร์ชื่อ เกอร์ตี้ (ให้เสียงโดย เควิน สเปซี่ย์) แซมมีสัญญาทำงานเป็นระยะเวลาสามปี หนังให้ข้อมูลว่าเขาจะได้กลับบ้านในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า แต่แล้วความคาดหวังของเขาก็พังทลายลง เมื่อได้พบกับ ‘แซม’ อีกคนที่เป็นร่างโคลนนิ่ง และยังได้รู้ความจริงว่าตัวเขาเองก็เป็นร่างโคลนเช่นกัน

องค์ประกอบทางภาพยนตร์หลายส่วนของ Moon มีความน่าสนใจอย่างนิ่ง ในด้านแทคนิคการสร้าง โจนส์ละทิ้งการใช้คอมพิวเตอร์กราฟฟิกอย่างที่หนังไซไฟเรื่องอื่นๆ ในปัจจุบันทำกัน เขาหันไปใช้วิธีแบบ ‘ทำมือ’ เป็นหลัก สถานีอวกาศในหนังถูกประกอบสร้างขึ้นมาจริงๆ ส่วนฉากรถเคลื่อนที่บนดวงจันทร์ก็ใช้เทคนิคบ้านๆ ด้วยการถ่ายทำจากโมเดลย่อส่วน นี่เองจึงเป็นสาเหตุที่ Moon ใช้เงินทุนไม่มากนัก

การแสดงของร็อคเวลล์เป็นอีกสิ่งที่น่าพูดถึง หนังทั้งเรื่องมีตัวละครเพียงตัวเดียว แต่ร็อคเวลล์ก็สามารถอุ้มหนังทั้งเรื่องเอาไว้ได้ โดยเขาต้องสวมบทบาทเป็นตัวละครอย่างน้อย 2 ตัวด้วยกัน นั่นคือ แซม 1 (พระเอกของเรื่อง) และ แซม 2 (ร่างโคลนที่มาทีหลัง) มีหลายฉากที่แซมทั้งสองตัวต้องร่วมฉากในเฟรมเดียวกัน วีธีการถ่ายทำก็คือ ร็อคเวลล์ต้องเล่น 2 ครั้ง จากนั้นทีมงานจึงนำไปตัดต่อรวมให้เป็นฉากเดียวกัน

ดนตรีประกอบของ คลินต์ แมนเซล เป็นอีกตัวละครสำคัญของ Moon แมนเซลโด่งดังด้านการใช้เสียงเปียโน เครื่องสาย และซินธิไซเซอร์ เข้าด้วยกันอย่างทรงพลัง ดังเช่นในหนังเรื่อง Requiem for a Dream และ The Fountain (โจนส์ให้สัมภาษณ์ว่าเขาฟังซาวด์แทร็กของเรื่องแรกในช่วงเขียนบท) ดนตรีของเมนเซลใน Moon อาจไม่ได้หวือหวาอะไรนัก มันเน้นไปที่ความหลอกหลอนเวิ้งว้าง อีกส่วนหนึ่งเน้นไปที่ความเศร้าสร้อย



อย่างไรก็ดี จุดเด่นที่ทำให้ Moon กลายเป็นหนังที่ถูกพูดถึงในวงกว้างอยู่ที่ประเด็นของมัน ฉากหลังของหนังเป็นโลกอนาคตที่มนุษย์ต้องไปขุดฮีเลียมจากดวงจันทร์เพื่อใช้เป็นพลังงาน อนุมานได้ว่ามนุษย์ใช้พลังงานบนโลกจนหมดสิ้นแล้ว จึงต้องไปเบียดเบียนดาวดวงอื่นแทน (เหมือนกับข่าวที่มีคนจะไปสร้างโรงแรม The Lunatic Hotel บนดวงจันทร์) พูดแบบขำๆ ได้อีกอย่างว่ากระแสแบบโลกาภิวัตน์ได้ก้าวข้ามไปสู่จันทราภิวัตน์หรือจักรวาลภิวัตน์

อันที่จริงแนวคิดเรื่องการขุดหาพลังงานจากดวงจันทร์ก็ไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อเกินไป เมื่อครั้งที่โจนส์เอาหนังไปฉายให้องค์กรนาซ่าดู พวกเขาบอกว่ากำลังมีไอเดียเกี่ยวกับเรื่องนี้เหมือนกัน แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่าคือ ในช่วงถามตอบ คนที่นาซ่าไม่ได้เน้นถามเรื่องยานอวกาศหรือข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์เลย แต่คำถามส่วนใหญ่มุ่งที่เรื่องของตัวพระเอกของเรื่องมากกว่า นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าหนังไซไฟที่ว่าด้วยคนที่อาศัยอยู่บนยานอวกาศมักแฝงประเด็นเรื่อง ‘ความเป็นมนุษย์’ อยู่เสมอ ดังเช่น 2001: A Space Odyssey (1968), Solaris (1972), Event Horizon (1997) และ Sunshine (2007)

คำถามแรกที่ Moon ตั้งกับคนดูคือ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าทุนนิยมลดทอนความเป็นมนุษย์อย่างสุดขั้ว อย่างที่ปรากฏในหนังว่าบริษัทได้ใช้ระบบให้มนุษย์โคลนนิ่งทำงานบนดวงจันทร์ไป 3 ปี จากนั้นร่างกายของพวกเขาก็จะเสื่อมสภาพไป และร่างโคลนตัวใหม่ก็จะเข้ามาแทนที่ เป็นวงจรแบบนี้ไปเรื่อยๆ วิธีการนี้ถูกนำมาใช้เพื่อลดต้นทุน และไม่ต้องเสียเวลาฝึกสอนทักษะกันใหม่ เพราะร่างโคลนได้ถูก ‘อัพโหลด’ ข้อมูลมาแล้ว

สิ่งที่น่าเจ็บปวดคือ ข้อมูลที่ ‘แซม’ แต่ละตัวได้รับการโหลดเข้าสมองจะเป็นเรื่องซ้ำๆ เดิมๆ อันได้แก่ เมื่อทำงานครบ 3 ปีก็จะได้กลับบ้าน (ซึ่งจริงๆ พวกเขาไม่มีวันได้กลับ เพราะร่างกายจะเสื่อมไปก่อน), ภาพวิดีโอที่ภรรยาของแซมส่งมาจากโลก ซึ่งเป็นเพียงข้อมูลเก่า เพราะที่จริงเธอตายไปนานแล้ว นอกจากนั้นผู้จ้างของแซมยังบล็อคสัญญาณไม่ให้แซมติดต่อกับทางโลกได้ โดยสร้างเรื่องโกหกขึ้นมาว่าดาวเทียมเสีย

คำถามต่อมาของหนังอยู่ที่ว่า จะเกิดอะไรขึ้นหากมนุษย์เราไร้ความปราณีได้กระทั่งกับตัวเองหรือ ‘ร่าง’ ของตัวเอง โดยในฉากหนึ่ง แซม 1 และ แซม 2 วางแผนคิดจะปลุกแซมคนที่ 3 ขึ้นมา เพื่อจะฆ่าเขาแล้วนำไปอำพรางเป็นศพปลอม ฉากนี้ท้าทายศีลธรรมในใจของผู้ชมอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะเป็นการวัดค่าความเป็นคนของมนุษย์โคลนนิ่งแล้ว การฆ่าในฉากนี้ยังมีผลเท่ากับการ ‘ฆ่าตัวเอง’



แต่คนที่เลือดเย็นที่สุดในหนังน่าจะเป็นแซมฉบับดั้งเดิม (The original Sam) หรือแซมที่เป็นมนุษย์จริงๆ นั่นเอง เราสามารถอนุมานได้ว่าแซมต้องทำสัญญาให้ทางบริษัทโคลนร่างของเขาได้ ซึ่งเปรียบไปแล้วก็ไม่ต่างอะไรจากการขายวิญญาณ ในขณะที่แซมตัวจริงใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายอยู่ที่โลกมนุษย์กับครอบครัว ร่างโคลนของเขา (ซึ่งอาจเปรียบเป็น ‘ลูก’ ของแซมก็ได้) ต้องใช้ชีวิตอยู่ในวงจรทรมานอันไม่สิ้นสุดบนดวงจันทร์

ความเสียดเย้ยของ Moon อยู่ตรงที่คอมพิวเตอร์อย่างเกอร์ตี้นั้นดูจะเหมือนความเห็นอกเห็นใจและความเป็นมนุษย์มากกว่ามนุษย์จริงๆ เสียอีก (ต่างกับ HAL ในเรื่อง 2001: A Space Odyssey ที่ลุกขึ้นมาต่อต้านมนุษย์) ถึงแม้เกอร์ตี้จะอ้างเหตุผลว่าเขามีหน้าที่ให้ความปลอดภัยกับแซม แต่คอมพิวเตอร์เครื่องนี้นั่นเองที่เปิดเผยความจริงทั้งหมดกับแซม และยังช่วยเขาหลบหนีในตอนท้ายของเรื่องด้วย

ฉากหนึ่งที่เป็นหัวใจของหนังเรื่องนี้คือ ตอนที่แซมบอกลากับเกอร์ตี้ ฝ่ายหลังพูดว่า “ผมหวังว่าโลกที่คุณกลับไปจะเป็นเหมือนอย่างที่คุณจำได้” ประโยคนี้มีความคมคายอย่างยิ่ง เพราะหนึ่ง-เราไม่อาจแน่ใจว่าแซมมีความจำต่อโลกมนุษย์อย่างไร เราไม่รู้ว่าเขาถูกอัพโหลดข้อมูลส่วนนี้มาหรือไม่ หรือมันจะเชื่อถือได้สักแค่ไหน และสอง-เกอร์ตี้พูดประโยคนี้ก่อนที่เขาจะยอมให้แซมลบข้อมูลทั้งหมดทิ้ง นั่นแปลว่าคอมพิวเตอร์ที่กำลังจะถูกลบความจำ กลับมีคอนเซ็ปต์ของ ‘ความทรงจำ’ อยู่ในตัว

อย่างไรก็ตาม ประโยคต่อมาของเกอร์ตี้ก็แสดงลักษณะของคอมพิวเตอร์ออกมา เขาพูดกับแซมว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงผม ผมจะอยู่กับ ‘แซมคนใหม่’ ได้อย่างดี ตามที่เราถูก ‘โปรแกรม’ ไว้” แซมพูดกลับไปว่า “เกอร์ตี้ พวกเราไม่ได้ถูกโปรแกรม แต่พวกเราเป็นมนุษย์”

แต่ความจริงที่น่าเศร้าก็คือ มนุษย์เองนั่นแหละที่สร้างโปรแกรมและระบบทั้งหมดทั้งมวลในยานแห่งนี้ขึ้นมา




Create Date : 12 ตุลาคม 2553
Last Update : 12 ตุลาคม 2553 3:19:12 น. 9 comments
Counter : 3293 Pageviews.

 
อือ ฤาเลือดคน (โคลน) มันไร้ค่า...


โดย: เชิญจุติ วันที่: 12 ตุลาคม 2553 เวลา:6:19:13 น.  

 
เพิ่งดูไปเมื่อคืนเองครับ ..ออกมาได้จังหวะกำลังอึนๆพอดีเลย

ส่วนตัวไม่ถึงกับชอบ ...แต่ยอมรับว่าหนังมันเวิ้งว้าง กดอารมณ์ซึมเซื่องได้ดีทีเดียว (แต่ซึมมากไปหน่อย เพราะหาวหลายรอบมาก)


โดย: OncE UPoN'-'a MaN วันที่: 12 ตุลาคม 2553 เวลา:8:29:15 น.  

 
โห... เขียนได้โคตรดีเลยอ้ะ คิดเหมือนกันในเรื่องความเป็นมนุษย์ของเกอร์ตี้


โดย: แฟนผมฯ IP: 122.248.16.2 วันที่: 12 ตุลาคม 2553 เวลา:13:59:30 น.  

 
มาลงชื่อว่าอ่านแต่ไม่มีไรคอมเม้นต์


โดย: strawberry machine gun วันที่: 12 ตุลาคม 2553 เวลา:16:12:46 น.  

 
เขียนดีจังครับ ชอบมากๆ


โดย: varn IP: 125.24.148.14 วันที่: 20 ตุลาคม 2553 เวลา:17:58:00 น.  

 
คลินท์ แมนเซลตราตรึง!


โดย: เอกเช้า IP: 124.120.186.221 วันที่: 28 ตุลาคม 2553 เวลา:20:22:50 น.  

 
เขียนดีจัง เพิ่งดูเมื่อคืน ชอบมาก


โดย: พนมวัลย์ IP: 61.7.187.165 วันที่: 29 ตุลาคม 2553 เวลา:15:04:51 น.  

 
อ่านแล้วอยากดูมากเลยครับ แอบเข้ามาอ่านบล็อกนี้บ่อยๆ

ปล. นามสกุลจริงๆของ David Bowie ก็ Jones นะครับ (David Robert Jones)



โดย: พ. IP: 98.149.131.212 วันที่: 30 ตุลาคม 2553 เวลา:13:30:58 น.  

 
ขอบคุณ คุณ พ. สำหรับข้อมูลครับ :)


โดย: merveillesxx วันที่: 31 ตุลาคม 2553 เวลา:12:17:07 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

merveillesxx
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 58 คน [?]




สำส่อนทางการดูหนัง ฟังเพลงและเสพวรรณกรรม
New Comments
Friends' blogs
[Add merveillesxx's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.