I Not Stupid ผมไม่โง่
แต่ถึงผมจะโง่ผมก็มี จิตใจ
โดย merveillesxx
ออนไลน์ครั้งแรก: //www.bioscopemagazine.com/review/index-in.php?id=11649 (17 ตุลาคม 2547)
(หมายเหตุ - ข้อเขียนนี้มีการเปิดเผยเนื้อเรื่องบางส่วนของภาพยนตร์)
ในบรรดาหนังที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับปัญหาชีวิตของเด็กนั้น เราจะเห็นได้ว่ามีหนังที่บอกเล่าถึงเด็กในทุกช่วงวัย ดังเช่น Lilya 4-Ever ชีวิตรันทดของเด็กสาววัย ม.ปลาย, All About Lily Chou-Chou โลกทุกข์ระทมของเหล่าเด็ก ม.ต้น และสำหรับ I Not Stupid หนังจากสิงคโปร์เรื่องนี้ลงประเด็นไปถึงเด็กช่วงอายุน้อยที่สุด เพราะพูดถึงเด็กในช่วงประถมชั้นที่ 3
นั่นคงแปลว่า ไม่ว่าจะเด็กในช่วงอายุวัยใดก็ตาม ล้วนแต่มี ปัญหา ด้วยกันทั้งสิ้น
หนึ่งในเหล่าปัญหาก็คือเรื่องของ ระบบการศึกษา (ซึ่งเราสามารถพบเห็นปัญหานี้ได้ในหนังทุกเรื่องที่กล่าวมาในข้างต้น) I Not Stupid (2002, Jack Neo) ก็เช่นกัน เพราะหนังเปิดเรื่องด้วยภาพของโรงเรียนและเสียงวอยซ์โอเวอร์ของนักเรียนคนหนึ่งว่า นี่แหละครับโรงเรียนของเรา นี่คือคุกที่ผมและพวกเราทุกคนกำลังเผชิญอยู่
ผมไม่ค่อยได้ดูหนังจากสิงคโปร์นัก ความจริงก็เคยดูแค่ 2 เรื่อง คือ 15 (2003, รอยสตัน ตัน หนังเรื่องนี้มาฉายในบ้านเราในเทศกาลหนังเมื่อต้นปี) ส่วนอีกเรื่องก็คือ I Not Stupid ผมไม่แน่นักถึงสภาพสังคมของประเทศนี้ แต่สงสัยว่าคงมีปัญหาเรื่อง เด็ก และ โรงเรียน หนักเอาการอยู่ เพราะในหนังสองเรื่องนั้นพูดถึงประเด็นเดียวกัน คือ ความล้มเหลวของระบบการศึกษา-สถาบันครอบครัวและการแหกคอกของเด็กนักเรียน ต่างที่ว่าเรื่องแรกนั้น เล่นแรง กว่าเยอะ (จนถูกแบนไปโดยปริยาย)
I Not Stupid ใช้ตัวละครเด็ก 3 คนดำเนินเรื่อง เทอร์รี่ (ผู้บรรยายในเรื่อง) เด็กอ้วนตุ้ยนุ้ยลูกเศรษฐีอันมีจะกิน, ก๊อกพิน เด็กที่วันๆเอาแต่วาดรูป ไม่ยอมเรียนหนังสือจนแม่ของเขาเอือมระอา, บูนฮ็อค เด็กที่ต้องช่วยแม่หาเช้ากินค่ำกับการขายก๋วยเตี๋ยว แม้ทั้งสามจะมีพื้นฐานทางครอบครัวและสถานะที่ต่างกัน แต่พวกเขาก็มีจุดร่วมเหมือนกันคือ การที่อยู่ในห้อง ทับ 3 ห้องที่ได้ชื่อว่าโง่ที่สุด ห้องที่เหล่าผู้ปกครองและอาจารย์เชื่อว่าเด็กพวกนี้ เข็นไม่ขึ้น เสียแล้ว
เด็กทั้งสามล้วนต้องเผชิญชะตากรรมจากคะแนนในใบผลการเรียน ถ้าจะถามว่าตัวเลขในสองสามหลักในนั้นจะส่งผลกับชีวิตคนเราได้มากขนาดนั้นเชียวหรือ ถ้าไปถามเรื่องนี้กับก๊อกพิน เขาต้องตอบว่า ใช่ แน่นอน เพราะทุกคราที่คะแนนอันต่ำต้อยไปปรากฏต่อสายตาแม่ของเขา เขาจะถูกฟาดด้วยไม้เรียวซ้ำแล้วซ้ำอีก จนต้องโอดครวญว่า แม่ครับอย่าตีผมเลย คราวหน้าผมจะทำคะแนนให้ได้ 90 ขึ้นแล้วครับ ซึ่งถัดมาเขาก็ทำไม่ได้อีก ก็ถูกตีซ้ำอีก เพราะอะไร
เพราะความจริงก๊อกพินไม่ชอบเรียนหนังสือ แต่เขาชอบวาดรูปต่างหาก! แต่เมื่อใดที่แม่เห็นเขาวาดรูป แม่จะฉีกทิ้งทันที! พร้อมกับตราหน้าว่าเขาเป็นคน ขี้เกียจ
ผมเกิดคำถามในใจขึ้นว่า ทำไมเด็กที่ผลการเรียนไม่ดี จึงถูกตราหน้าว่าเป็นคนขี้เกียจ ทั้งที่ความจริงเด็กคนนั้นอาจจะมีความถนัดในด้านอื่นมากกว่า ความจริงพ่อแม่ทุกคนก็รู้ในเรื่องนี้ดี แต่บางที ความหวังดี ที่มีมากเกินไปต่อลูก มันจะย้อนกลับมาทำร้ายพวกเขาเสมอ
ดูเหมือนพ่อของก๊อกพินจะเข้าใจเรื่องนี้ใดระดับหนึ่ง เขาพูดกับภรรยาว่า ทุกคนมีขีดกำจัดของตัวเองนะ ใช่! และโดยส่วนตัวผมคัดค้าน (จนถึงขั้น รังเกียจ)อย่างรุนแรงกับความเชื่อที่ว่า ทุกคนมีสมอง-ปัญญาที่เท่าเทียมกัน หรือประโยคจำพวก เราก็มีสองมือสองเท้าเหมือนกับเขา ทำไมเราจะทำบ้างไม่ได้ เพราะไม่เช่นนั้นใครๆก็สามารถหาแสงสว่างในหลุมดำเจอเหมือน สตีเวน ฮอว์กิ้นส์ ได้ และมันคงวุ่นวายน่าดูถ้ามนุษย์ทุกตนมีสมองเท่าเทียมกัน เพราะเมื่อนั้นใครๆก็สามารถสร้างขีปนาวุธยิงใส่กันได้
ส่วนในรายของเทอร์รี่นั้นยิ่งแย่ไปกันใหญ่ ในครอบครัวอันมีจะกิน เขาแทบจะไม่ต้องทำอะไรเองเลย แม้แต่เวลาอาหารเช้า สาวใช้ก็เป็นคนทาเนยให้ แม่ของเขาตัดสินใจแทนลูกๆทุกอย่าง ตั้งแต่การจัดแต่งห้อง ไปจนถึงสีกางเกงในของลูกสาว! (พี่สาวของเทอร์รี่) เธอมักพร่ำสอนกับลูกทั้งสองเสมอว่า เธอควรจะดีใจนะที่มีแม่ดีๆอย่างฉัน อีกหนึ่งประโยคประจำของเธอก็คือ ฉันรู้ดีน่ะว่าจะเลี้ยงลูกยังไง วิธีเลี้ยงลูกของเธอนะหรือ
พอตัวลูกสาวโกรธพ่อแม่หัวฟัดหัวเหวี่ยง ทำทีจะออกจากบ้าน เธอก็ซื้อรองเท้าสุดเก๋ที่ลูกสาวอยากได้ ซ้ำยังพูดว่า เด็กๆก็แบบนี้แหละ ซื้อของที่พวกเขาอยากได้ เดี๋ยวก็หายพยศ
กระบวนการเลี้ยงดูเหล่านี้ทำให้เทอร์รี่ ทำอะไรไม่เป็น (จนขนาดที่ว่า เมื่อเขาถูกโจรเรียกค่าไถ่จับตัวไปยังต้องให้พวกโจรทาเนยให้!) ตัดสินใจอะไรเองก็ไม่ได้เพราะว่าแม่บอกไว้อย่างนั้นอย่างนี้ ร้ายที่สุดคือเขาไม่มีเพื่อนเพราะเขาไม่เคยสนใจเรื่องของ คนอื่น เอาเสียเลย ตามคำสอนของแม่ว่า เรื่องของชาวบ้านอย่าไปยุ่ง
การเลี้ยงดูลูกของทั้งสองบ้านก็เข้าข่ายเรื่อง พ่อแม่รังแกฉัน ของบ้านเรา
แต่แม้เทอร์รี่จะเป็นลูกเศรษฐีมาจากไหน การที่อยู่ในห้อง ทับ 3 ก็ไม่วายโดนดูถูกอยู่ดี สิ่งที่ตามมาคือ การที่พ่อแม่มักจะเปรียบเทียบลูกตัวเองกับลูกคนอื่นที่ดีกว่า เราคงจำกันได้ว่าในวัยเด็กการที่พ่อแม่ทำแบบนี้ ทำให้เรา อับอายขายขี้หน้า และ เสียศักดิ์ศรี เป็นที่สุด (โดยเฉพาะถ้าคนที่เราถูกเปรียบเทียบด้วยนั้น เป็นไอ้บ้าที่เราเหม็นขี้หน้ามันสุดๆ) มันคือการทำลายความรู้สึกอย่างรุนแรง
สิ่งที่ทำให้เด็กทั้งสามต้องดักดานอยู่ห้อง ทับ 3 คงเพราะทัศนคติของผู้คนที่ว่าเด็กพวกนี้เกินแก้เสียแล้ว ครูคนหนึ่งบอกกับอาจารย์ประจำชั้นห้อง 3 ว่าอย่าไปเสียเวลากับเด็กพวกนี้ให้มากนักเลย อีกส่วนหนึ่งก็น่าจะเป็นระบบการศึกษาที่มีการแบ่งเด็กเป็นห้องตามระดับการเรียน หรือที่เราคุ้นเคยในคำว่า ห้องคิง และ ห้องโง่
ในความคิดของผมการแบ่งห้องแบบนี้ แม้จะทำให้ง่ายต่อการสอนของอาจารย์ แต่สำหรับนักเรียนล่ะ? เด็กห้องคิงยิ่งเรียนยิ่งฉลาด แต่เด็กห้องโง่ยิ่งเรียนก็ยิ่งโง่ เพราะอะไร
ก็เพราะสภาพแวดล้อมที่มีแต่เด็กที่ถูกตราหน้าว่าโง่มากระจุกตัวอยู่รวมกัน เด็กหน้าไหนมันจะมีกะจิตกะใจเรียน! ในอีกทางหนึ่งถ้าคุณเดินผ่านเด็กห้องคิงบรรยากาศนั้นแสนจะเย็นชา ทุกคนเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาทำการบ้าน-อ่านหนังสือ เพื่อไม่ให้ตัวเองตกชั้น ส่วนเด็กห้องโง่กลับส่งเสียงพูดคุยเฮฮาปาร์ตี้กันเจี๊ยวจ๊าว
นั่นหมายความว่า ระบบการศึกษา ที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นกระบวนการสร้างความรู้และกระบวนการขัดเกลาทางสังคมนั้น แท้จริงแล้วมันคือ กรอบ ที่บีบรัดเหล่าเด็กนักเรียนจนทำให้พวกเขาไร้ซึ่ง จินตนาการ หรือเปล่า?
มองกลับมาที่บ้านเรา ทุกคนคงจำตอนช่วงสอบเอ็นทรานซ์ได้ พนันได้เลยว่าช่วงนั้นคุณจะต้องเสียเซลล์สมอง เสียความรู้สึก เสียขวัญและกำลังใจ ไปถึงขั้นเสียสติ ไม่มากก็น้อย คนบางคนตั้งหน้าตั้งตาท่องหนังสือไปเข้าเพื่อได้เรียนในคณะที่พ่อแม่และสังคมรอบข้างคาดหวังจะให้เป็น คนบางคนเกิดคำถามแว่บเข้ามาว่าเรากำลังทำอะไรอยู่และทำเพื่อใคร แต่ทันใดที่มองปฏิทินแล้วเห็นว่าวันสอบงวดเข้ามาเต็มทีคำถามนั้นก็จางหายไป
สำหรับผมการเอ็นทรานซ์เป็นโซ่ตรวนเส้นใหญ่อีกเส้นหนึ่งในชีวิต และเมื่อหลุดพ้นจากโซ่เส้นนี้ได้ ก็หารู้ไม่ว่าโซ่เส้นใหญ่กว่าเดิมกำลังรอผมอยู่
อีกประเด็นหลักในหนังเรื่องนี้ น่าจะเป็นเรื่องของ วัฒนธรรมตะวันตกที่รุกล้ำเข้ามาในประเทศ
สิงคโปร์นั้นถือว่าเป็นประเทศที่มีการพูดสองภาษา (Bilingual) นั่นคือ ภาษาจีนและภาษาอังกฤษ แต่ทุกวันนี้ภาษาอังกฤษกำลังจะกลืนกินภาษาแม่ของประเทศไป หนังบอกเล่าถึงส่วนนี้จากหลายตัวละคร แม่ของเทอร์รี่พูดกับลูกและสามีเป็นภาษาอังกฤษ จนพ่อต้องมีแม่เลี้ยงชาวไต้หวันที่สอนภาษาจีนให้ลูก, พี่สาวของเทอร์รี่ไม่ยอมพูดภาษาจีนแต่กลับพูดภาษาอังกฤษในชั่วโมงเรียนจีน, เมื่อพ่อของก๊อกพินถามภรรยาว่าทำไมไม่สอนภาษาจีนลูก เธอตอบว่า ช่างมันก่อน ภาษาจีนน่ะเดี๋ยวค่อยไปเรียนทีหลังก็ได้ ตอนนี้ต้องเน้นภาษาอังกฤษกับเลขก่อน, บริษัทของพ่อก๊อกพินพูดคุย-ประชุมงานกันเป็นภาษาอังกฤษ รวมถึงการเข้ามาของฝรั่งหัวทองที่ทั้งเจ้าของบริษัทและลูกค้าดูเหมือนจะชื่นชมไอเดียของเขาเสียเหลือเกินเพียงเพราะว่าเขาเป็นชาวต่างชาติ! (นี่อาจจะสื่อถึงเรื่อง การรุกล้ำทางการค้าก็เป็นได้)
ส่วนหนังเรื่อง 15 เด็กที่อยู่ในโรงเรียนมีระดับกว่าจะพูดภาษาอังกฤษ ส่วนเด็กอีกกลุ่มที่ดูเหมือนเด็กเกพูดเป็นภาษาจีน จากนั้นทั้งสองฝ่ายมีเรื่องชกต่อยกันเพราะเรื่องภาษา ส่วนอีกฉากหนึ่ง ตัวละครเด็กหัวโจกคนหนึ่งเข้าไปหาเรื่องกับผู้หญิงที่พูดดูถูกพวกเขาเป็นภาษาอังกฤษ
ถ้าหันมามองเมืองไทยบ้าง ผมก็อยากจะถามว่าพวกเราไปเรียนกวดวิชาภาษาไทยกับ อ.ลิลลี่ หรือ อ.ปิง อย่างเอาเป็นเอาตายเพื่ออะไร
ก็เพื่อเอาไปสอบเอ็นทรานซ์น่ะสิถามได้! แล้วหลังจากนั้นเราก็ลืมมัน ทิ้งมัน และหมดเยื่อใยกับมันอย่างสิ้นเชิง (และอาจหมายรวมไปถึงวิชาอื่นๆด้วยก็ได้) ถ้าเป็นเช่นนั้นวิกฤตการณ์สูญเสียภาษาแม่ในบ้านเราก็คงไม่ต่างจากบ้านเขาไปสักเท่าไร แต่
เอ๊ะ! ทำไมไม่เห็นมีคนทำหนังที่แฝงประเด็นแบบนี้ไว้บ้างเลยล่ะ หรือว่าประเด็นเรื่อง ผี, ตลก และ กะเทย จะมีปัญหาร้ายแรงกว่านะ ถึงมีหนังเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เต็มไปหมด
นอกจากเรื่องราวที่กล่าวไปในข้างต้นแล้วหนังยังสอดแทรก ปม ของเรื่องไว้หลายอย่างชนิดพัวพันกันซับซ้อนทีเดียว เช่น พ่อของก๊อกพินกับเทอร์รี่ไม่ถูกกัน แต่ต้องดันมาทำธุรกิจด้วยกัน, แม่ของก๊อกพินกำลังป่วยหนักใกล้ตาย, พ่อของก๊อกพินจะต้องออกจากบริษัท, โรงงานของครอบครัวเทอร์รี่กำลังจะเจ๊ง, ความสัมพันธ์ของพ่อ-แม่-ลูกในทั้งสามครอบครัว และความสัมพันธ์ระหว่างเด็กทั้งสาม
ในส่วนของการ คลายปม ที่ผมประทับใจมากที่สุดคือ ในคู่ของก๊อกพินกับแม่ของเขา หลังจากเห็นว่าแม่ล้มป่วยอย่างหนัก เขาก็พยายามเคี่ยวเข็ญตัวเองอย่างเต็มที่เพื่อจะได้คะแนนมากกว่า 90 ตามที่สัญญาไว้ แต่ผลกลับออกมาว่าเขาได้คะแนนเพียง 51 เขาเดินร้องไห้ไปหาแม่ที่เตียงพร้อมกับพร่ำขอโทษทั้งน้ำตาว่า แม่ครับผมพยายามเต็มที่แล้ว แต่คะแนนก็ไม่ถึง 90 ครับ แต่แม่ของเขาพูดว่า ไม่เป็นไรหรอกลูก ถ้าลูกพยายามเต็มที่แล้ว แม่แค่ไม่อยากลูกด้อยสติปัญญา เพียงเพราะไม่ได้ใช้ความสามารถของตัวเองอย่างเต็มที่ จากนั้นคุณครูประจำชั้นของก๊อกพินก็เข้ามาบอกว่ารูปที่เขาวาดนั้นถูกส่งไปประกวด และได้รับรางวัล คุณครูเปิดรูปให้พ่อแม่ของก๊อกพินดู
รูปนั้นคือ ภาพก๊อกพินยามเติบใหญ่ในชุดรับปริญญา
เพราะฉากนี้นี่เองทำให้ผมต้องเสียน้ำตาไปพร้อมๆกับครอบครัวของก๊อกพิน
มีเสียงส่งออกมาจากภาพนั้น ก๊อกพินกำลังบอกพวกเราว่า ผมไม่โง่
แต่ถึงผมจะโง่ผมก็มีจิตใจ
จิตใจอันบริสุทธิ์ที่เราอาจหาไม่เจอในเด็กที่ห้องคิง เด็กที่ได้ชื่อว่าเด็ก ฉลาด!
-----------------------------------------------
หมายเหตุ ภาพยนตร์เรื่องนี้มีแผ่นลิขสิทธิ์จำหน่ายในบ้านเราจากค่าย อีวีเอส
Create Date : 29 ธันวาคม 2547 |
Last Update : 14 สิงหาคม 2550 5:20:06 น. |
|
5 comments
|
Counter : 3829 Pageviews. |
|
|
|
โดย: pvvvaj IP: 202.57.187.93 วันที่: 22 มกราคม 2548 เวลา:0:11:14 น. |
|
|
|
โดย: อ๋อง IP: 210.246.163.130 วันที่: 27 มกราคม 2548 เวลา:11:43:29 น. |
|
|
|
โดย: merveillesxx วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2548 เวลา:18:54:27 น. |
|
|
|
โดย: KaEw IP: 222.123.30.154 วันที่: 17 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:12:50:25 น. |
|
|
|
โดย: ... IP: 119.42.70.178 วันที่: 26 พฤศจิกายน 2551 เวลา:6:19:34 น. |
|
|
|
| |
แวะมาเยี่ยมครับ ผมเห็นหนังเรื่องนี้นานแล้ว แต่ยังไม่ได้เอามาดู กะว่ามีโอกาสจะต้องดูแน่ ๆ ครับ