ล่าวิญญาณ
ล่าวิญญาณ

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"ป้า 75" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อยมทูตมาเยือน

มันดังขึ้นอีกแล้ว...คราวนี้ดังใกล้เข้ามาที่หน้าประตูบ้านของฉันเอง!

ดึกเปลี่ยว สรรพสิ่งเงียบเชียบเหมือนโลกนี้กลายเป็นโลกร้างไปโดยสิ้นเชิง ทั้งๆ ที่ย่านตลิ่งชันมีบ้านช่องหนาตา รถราและผู้คนเคยคึกคัก แม้แต่ในซอยบ้านของฉันเองก็ตามที

หรือว่าตอนนี้ตี 2 ตี 3 มันจะดึกดื่นเกินไป...

เสียงมอเตอร์ไซค์ของพวกวัยรุ่นกวนเมือง เคยดังกระหึ่มเข้ามาในซอย โดยเฉพาะคืนวันศุกร์วันเสาร์ แต่ตำรวจอาจจะปราบปรามเข้มงวด ได้ข่าวว่าเคยจับได้ถึงคืนละ 40-50 คนแน่ะ แต่ก็ยังไม่หมดสิ้นเสียทีเดียว พอๆ กับยาเสพติดนั่นแหละค่ะ

ช่างเถอะ! เรื่องอื่นๆ ไม่ว่าจะรุนแรงปานใดก็ไม่ใช่เรื่องของฉันโดยตรง ยกเว้นแต่เสียงอุบาทว์ที่เขย่าขวัญฉันมาหลายคืนติดๆ กัน!

เขาว่าคนสูงอายุมักจะนอนหลับยาก แต่ตื่นง่าย...เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วก็ตาสว่าง คิดนั่นคิดนี่เรื่อยเปื่อย ที่เขาเรียกว่าฟุ้งซ่านนั่นแหละ...วันนี้เรากินยาครบหรือยัง? ลืมยาก่อนนอนหรือเปล่า? วิตามินอีที่หมอเขาให้หยุดอาทิตย์ละ 2 วันน่ะ เรากินติดต่อกันมากี่วันแล้ว?

คราวนี้ก็ตาแข็งค้าง ชักแพรเพลาะขึ้นมาคลุมอก ลืมตาโพลงอยู่ในความสลัวลางเพียงเดียวดาย

คู่ชีวิตฉันตายจากไปหลายปีแล้ว ตอนแรกๆ ก็คิดนะว่าเขาอาจจะกลับมาหา...มาเยี่ยมเยือนเหมือนที่เราเคยสัญญากันไว้ ถ้าใครจากไปก่อนจะต้องกลับมาพบกัน มาบอกเล่าเรื่องราวของโลกหน้าว่าเป็นยังไง...ฟากโน้นจะมีอะไรรอคอยเราอยู่บ้างหนอ?

เปล่าเลย! เขาหายเงียบเหมือนจะสาบสูญไปจากฉัน ทิ้งไว้แต่ความทรงจำเก่าๆ ของเรา...ไม่รู้ว่าทุกข์สุขยังไง? หรือมีอะไรกีดขวางเราไว้ระหว่างสองภพไปตลอดกาล

กลัวตายไหม? ทำไมจะไม่กลัว! ทั้งๆ ที่เรารู้แน่ว่าวันหนึ่งต้องสิ้นลมหายใจ ร่างกายแน่นิ่งเหมือนท่อนไม้ ญาติเอาไปเผาหรือฝัง...กลายเป็นผงคลีดินเหมือนผู้คนรุ่นแล้วรุ่นเล่า! แต่เราก็ยังหวั่นกลัวความตายอยู่นั่นเอง

เพราะเราไม่รู้แน่นอนใช่ไหมว่าตายไปแล้วจะได้พบอะไร? โลกหน้าจะสดสวยสว่างไสว หรือมืดมนอนธการจนน่าตระหนกอกสั่นปานใด!

เราอยากมีชีวิตอยู่...ชีวิตที่เรารู้จักและคุ้นเคยมาช้านาน แม้ว่ากาลเวลาจะทำให้เราเหนื่อยล้า สังขารทรุดโทรมลงไปทุกที อาหารและยาดีๆ อาจจะช่วยเราได้ แต่ความเสื่อมถอยของอวัยวะทุกส่วนที่รับใช้เรามาเนิ่นนานก็บ่งบอกว่ามันอ่อนล้า ใกล้จะถึงวาระสุดท้ายอยู่แล้ว...

เสียงเคาะที่ประตูบ้านเงียบหายไป! แต่ฉันรู้ดีว่ามันยังอยู่ที่นั่น...

หลายคืนมาแล้วที่เสียงของมันดังแว่วมาเข้าหู...จากที่ไกลๆ เหมือนอยู่แถวถนนใหญ่ บอกไม่ถูกว่าเป็นเสียงอะไรแน่ แต่สัญชาตญาณบางอย่างของคนเราก็ทำให้ฉันรู้ดีว่าจุดหมายปลายทางของมันอยู่แห่งหนใด?

คืนต่อๆ มา เสียงนั้นก็ดังใกล้เข้ามาทุกที...จากปากซอยมาถึงกลางซอย ไม่ช้าและไม่รีบร้อน แต่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ อย่างแน่นอนเหนือสิ่งอื่นใด!

เสียงเท้ากระทบพื้น? หรือเสียงแสกสากคล้ายงูเลื้อยเข้าหาเหยื่อ? แหละหรือว่าเป็นเสียงลมที่พัดเอื่อยเฉื่อยเข้ามาหา กระซิบกระซาบอยู่ข้างหู เย้ยหยันจนน่าขนลุกขนพอง...

คืนก่อนนี้เองที่เสียงนั้นมาถึงหน้าบ้าน และฉันแทบจะกลั้นใจ...รอคอยให้มันผ่านเลยไป แต่ก็ไร้ผลโดยสิ้นเชิง...คุณพระช่วย! มันมาหยุดตรงประตูรั้วบ้านฉันนั่นเอง!

เหงื่อกาฬแตกซิกเต็มหน้า...แม้ว่าเสียงนั้นจะเงียบหายไปแล้ว...เงียบเกินไปจนน่าอกสั่นขวัญแขวน...บางคนอาจจะนอนใจหรือโล่งอกว่ามันผ่านไปแล้ว แต่คนที่เห็นโลกเก่าแก่ลูกนี้มาช้านานอย่างฉันน่ะ ไม่มีวันจะโดนหลอกได้ง่ายๆ แน่นอน

นั่นปะไร! คืนนี้เองฉันก็ได้ยินเสียงแปลกประหลาด...เสียงแห่งความเงียบที่ดังกระหน่ำเข้าไปถึงหัวอกหัวใจ เมื่อมันผ่านรั้วเข้ามาเคาะประตูบ้าน...กึกก้องเข้าไปดังกระหน่ำอยู่ในสมองจนฉันหนาวสะท้าน ปากคอแห้งผากเป็นผุยผงเหมือนกลืนทรายเข้าไปสักหนึ่งกำมือ

เสียงของยมทูต...เสียงของความตาย!

นรกเป็นพยาน! ความเงียบที่ดังกึกก้อง น่าสยดสยองกว่าเสียงใดๆ ที่เคยได้ยิน

นอกจากเสียงยมทูตที่หน้าประตู ฉันเพิ่งได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นแรง...แรงจนกระทบทรวงอก เจ็บเสียวหนักหน่วง ก่อนจะแผ่ซ่านไปทั้งร่างกายที่แข็งทื่อราวกับท่อนหิน...แต่ก็อยากรู้อยากเห็นความตายที่จะจู่โจมเข้ามาหา...

มันจะหมดจดงดงาม เรียบง่าย หรือว่าจะโหดเหี้ยมจนเป็นอำมหิต ก่อให้เกิดความเจ็บปวดรวดร้าวสุดขีดก่อนจะสิ้นใจ?

สรรพสิ่งยังเงียบเชียบ เปล่าเปลี่ยว ชวนให้เยือกเย็นไปทุกขุมขน...หัวใจวาบหวิวเจียนจะขาดรอนๆ เมื่อนึกว่า อีกไม่ช้าเจ้าของเสียงก็คงจะผ่านประตูบ้าน...ผ่านห้องรับแขก เข้ามาถึงห้องนอนฉันแน่นอน

เงียบเหลือเกิน...เงียบเหมือนความตาย!

คุณพระช่วย! ลูกหลานของฉันที่ชั้นบนล่ะ? คราวนี้หัวใจคล้ายจะหยุดเต้นเมื่อนึกถึงเลือดเนื้อเชื้อไข ลูกและหลานตัวเล็กๆ อีก 2 คน...ฉันอยากจะตะโกนให้ "เขา" ได้ยินว่าฉันอยู่ที่นี่! อย่าขึ้นไปเลย...มาที่ฉันเถอะ! มาเอาคนแก่ชราอย่างฉันไปเลย! ได้โปรดเถิด...แต่ทุกสิ่งดูเหมือนจะสายเกินไปแล้ว

แสงสว่างของยามอรุณเรื่อเองขึ้นนอกหน้าต่าง ฉันสลัดผ้าห่ม เผ่นลงจากเตียงถอดกลอนประตูมือไม้สั่น...ไม่มีใครอยู่ที่นั่น! ฉับพลันเสียงร้องไห้โหยหวนก็ดังมากระทบหู...บาดลึกลงไปถึงหัวใจ

...น้าสมทรงอายุเกิน 90 ปีอยู่ข้างบ้านฉัน นอนหลับตายจนลูกหลานร้องไห้โฮ! ฉันเซซังเข้าห้องนอน ลืมตาโพลงพลางทอดถอนใจ "ท่านเข้าผิดบ้านหรือ...เมื่อไหร่หนอพระองค์จะเสด็จมาหาหม่อมฉันเสียที..."

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEV3TVRJMU1BPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd055MHhNaTB4TUE9PQ==



Create Date : 10 ธันวาคม 2550
Last Update : 10 ธันวาคม 2550 19:22:13 น.
Counter : 681 Pageviews.

0 comment
ผีร้องไห้
ผีร้องไห้

ขนหัวลุก

"ใบหนาด"



"ดำปลอด" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากทุ่งพระเมรุ

ผมกล้าสาบานได้เลยว่า...ผมเป็นคนไม่กลัวผี!!

ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อว่าผีมีจริงนะครับ อย่าเข้าใจผิด! รับรองว่าเชื่อเต็มร้อยว่าโลกเรามีภูตผีปีศาจอยู่จริงๆ เหมือนมีมนุษย์มากมายแทบจะล้นโลกอยู่รอมร่อ มีสัตว์หลากหลายสายพันธุ์ สารพัดชนิด คละระคนปนเปกันอยู่คลั่กๆ

ในเมื่อมีคน มีสัตว์ แล้วทำไมจะมีผีไม่ได้ล่ะครับ? เมื่อคนและสัตว์ตายไปก็ต้องเป็นผีวันยังค่ำ คืนยังรุ่ง จริงมั้ยครับ?

แล้วทำไมผมไม่กลัวผี?

โธ่! ผีก็คือสิ่งที่ตายไปแล้ว ไม่มีลมหายใจซะอย่างจะต้องไปกลัวให้โง่ทำไมกัน?

คนที่เล่าว่าโดนผีหลอกจนร้องจ้า วิ่งหนีกระเซอะกระเซิง หรือแทบจะจับไข้หัวโกร๋นก็เพราะขวัญอ่อนแท้ๆ ถ้าเราไม่กลัวซะอย่าง อยากรู้นักว่าผีจะมาทำอะไรได้? อยากโผล่มาให้เห็นเรอะ...เชิญเลย! อยากมาร้องไห้คร่ำครวญนักหรือ? มาเถอะ...มาร้องให้พอ แต่ถ้ารำคาญนักก็ไล่ตะเพิดไปซะ!

เออ...ว่าแต่ทำไมถึงชอบเล่ากันว่าได้ยินเสียงผีร้องไห้ สะอึกสะอื้น ตามตรอกซอยเปลี่ยวๆ มีพงหญ้ารกครึ้ม หรืออย่างน้อยก็ที่นอกบ้าน แถวประตูหน้าต่างตอนค่ำคืน...ไม่ยักมีใครได้ยินเสียงผีหัวเราะ?

คนร้องไห้ยังไม่มีอะไรน่ากลัว แล้วจะไปกลัวผีร้องไห้ทำไม จริงมั้ยครับ?

คืนนั้น ผมไปเจอผีร้องไห้เข้าอย่างจังๆ

ทุ่งพระเมรุยามดึกแสนจะเงียบเหงา เปล่าเปลี่ยวสิ้นดี แม้ว่าจะมีแสงไฟส่องสว่างเยือกเย็น จิ้งหรีดกรีดปีกเสียงระงม ยอดมะขามกระซิบกระซาบพึมพำความลับต่อกัน...นานๆ จะมีรถแล่นผ่านไปมาสักคันแถวหน้าศาล ส่วนหน้าธรรมศาสตร์ที่เคยคึกคัก มีผู้คนทั้งหญิงและชายลับๆ ล่อๆ ไม่รู้ว่าหายหน้าหายตาไปไหนหมด...

หรือว่าดึกดื่นเกินไป จนพวกนักเที่ยวหมดเรี่ยวหมดแรง พวกสาวๆ ผีเสื้อราตรีที่คอยโฉบเข้าหาหน้าต่างรถยนต์ที่แวะจอด หรือชะลอเข้ามาหาคนถูกใจ...ก็เลยทยอยกันกลับรังนอนจนหมดสิ้น

ผมเดินทอดน่องจากหน้าโรงละครแห่งชาติไปเรื่อยๆ จนเสียงนั้นดังมากระทบหู!

เสียงสะอึกสะอื้นที่ล่องลอยมาตามลม...ตอนแรกผมนึกว่าเป็นเสียงยอดมะขามคร่ำครวญซะอีกแน่ะ แต่แล้วเสียงนั้นก็ดังชัดเจนขึ้นจนแน่ใจว่าไม่ใช่เสียงยอดไม้กับสายลมแน่ๆ แต่เป็นเสียงใครกลุ่มหนึ่งกำลังสะอึกสะอื้น คร่ำครวญหวนไห้ด้วยความทุกข์โศกเหมือนหัวใจกำลังแตกสลายลง...

แล้วผมก็ได้เห็นภาพนั้นเต็มตา!

ชายหญิงกลุ่มใหญ่นับสิบๆ กำลังนั่งทอดอาลัยตายอยาก บ้างก็ลงไปนอนแผ่บนพื้นหญ้า...แสงไฟสีเหลืองรัวส่องให้เห็นภาพที่น่าสยดสยองสิ้นดี

ทุกๆ ร่างมีเลือดอาบแดงฉาน ใบหน้าเหวอะหวะก็มี แขนขาขาดก็มี บ้างก็มีแค่ท่อนบน เห็นตับไตไส้พุงห้อยร่องแร่ง...ราวกับบริเวณนั้นกลายเป็นขุมนรกสุดโหด คนขวัญอ่อนมาเห็นเข้ามีหวังช็อกตายคาที่ได้อย่างง่ายดาย

ผมเดินเข้าไปหาช้าๆ เหมือนถูกมนต์สะกด!

ภูตผีที่เคยเป็นมนุษย์ผู้มีลมหายใจ เคยสุขเคยทุกข์ เคยหัวเราะและร้องไห้มาก่อนเช่นเดียวกับมนุษย์ทั่วๆ ไป แต่ความทุกข์โศกเดือดร้อนรุนแรงอะไรหนอ ที่ทำให้พวกเขาต้องปรากฏร่างในสภาพก่อนสิ้นลมปราณให้ผมได้พบเห็นอีกครั้ง...

ฉับพลัน เสียงพร่ำรำพันปนสะอื้นก็ดังแว่วมากระทบหู เพื่อหลั่งระบายความทุกข์ร้อนแสนสาหัสให้ผมฟัง!

"พวกเราเคยเป็นคน เคยอยู่ที่นี่มาก่อน จะทุกข์สุขแค่ไหนก็ไม่เป็นไร แต่วันนี้เราทนไม่ไหวอีกแล้ว! มันกลั่นแกล้งพวกเรา มันรังแกพวกเราเหลือเกิน..."

หนุ่มๆ อกพรุนด้วยรูกระสุนปืนเล่าว่าพวกตนถูกยิงตายกลางท้องสนามหลวง

ตาแก่ 4-5 คนบอกว่าถูกรถชนตาย กระเด็นขึ้นมาถึงโคนมะขาม

หญิงชรา 2-3 คนเล่าว่าแกเดินอยู่ดีๆ ก็เป็นลมตายที่นี่เอง!

"เราสิงสู่อยู่กันที่ที่มาช้านานแล้ว...มองดูทุ่งพระเมรุเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา จากความเปล่าเปลี่ยวมาเป็นมุมมืดสำหรับหนุ่มสาวพร่ำพลอดกัน คนจรจัดมาทิ้งตัวนอนด้วยความอ่อนล้า บางคนก็มาเช่าเสื่อนอนตากน้ำค้าง ชมดาว พวกโสเภณีสาวๆ ก็ถูกแมงดาคุมมาหาเหยื่อที่โคนมะขาม ขึ้นรถไปโรงแรมกับแขก แมงดาก็ขี่มอเตอร์ไซค์ตามไปคุม..."

อากาศยามดึกเย็นยะเยือก ผมเลยนั่งกอดเข่ามองดูเหล่าภูตผีที่กำลังร่ำไห้ฟายน้ำตา รู้สึกเวทนากึ่งรำคาญ

"อย่าบอกนะว่าพวกแกไม่ได้คอยหลอกหลอนผู้คนให้เขาขวัญหนีดีฝ่อไปน่ะ?"

ตาแก่ผมขาวทำตาพองจนแทบถลนออกมานอกเบ้า จมูกบานพะเยิบพะยาบด้วยความขุ่นเคือง แต่เมื่อเห็นผมจ้องตอบอย่างไม่พรั่นพรึงก็หลบตา กลืนน้ำลาย ก่อนจะตอบเสียงอ่อยๆ แทบไม่ได้ยิน

"ก็หลอก...แหม! เป็นผีมันก็ต้องหลอกคนซีคู้น! ไม่งั้นจะเป็นผีไปหาหอกอะไรล่ะ? ถามพิลึก"

"แล้วไง?" ผมสงสัยจริงๆ ด้วย "เดี๋ยวนี้ไม่มีใครโผล่มาให้หลอกหลอนแล้วใช่มั้ย ถึงได้ร้องห่มร้องไห้กันอยู่นี่น่ะ?"

พวกผีกลุ่มใหญ่มองสบตากันก่อนจะมีเสียงตอบเศร้าๆ

"ก็พอมี...แต่พวกเราจะย้ายจากที่นี่ เร่ร่อนไปหาที่อยู่ใหม่ตามยถากรรมแล้ว! โธ่...ตอนค่ำๆ ไม่รู้ใครต่อใครมันยกโขยงมาตะโกนปาวๆ แทบแก้วหูแตกอยู่ทุกคืน...ไอ้เวรพวกนั้นมันหลอกเก่งจนพวกเราขนหัวลุก ใครจะไปทนไหวล่ะ! โธ่..."

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEEzTVRJMU1BPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd055MHhNaTB3Tnc9PQ==



Create Date : 07 ธันวาคม 2550
Last Update : 7 ธันวาคม 2550 19:28:08 น.
Counter : 829 Pageviews.

1 comment
สัมผัสสยอง
สัมผัสสยอง

คอลัมน์ ขนหัวลุก

ใบหนาด



"หลานจุ๋ง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกในอพาร์ตเมนต์ผีสิง

อพาร์ตเมนต์ของพี่นกต้องมีอะไรผิดปกติอยู่แน่ๆ ฉันรู้สึกอย่างนั้น!

"รู้สึกยังไง? ไหนพูดออกมาซิ" พี่นก-สาวโสดวัย 35 สวยคม ผมยาว และมีหุ่นสวยเหมือนนางแบบถามยิ้มๆ

ไม่เอาละ! ขืนพูดออกไปเธอก็หาว่าฉันบ้าน่ะสิ! พี่นกเป็นญาติผู้พี่ของฉัน เธอทำงานเป็นช่างเสริมสวยฝีมือเยี่ยมอยู่ในห้างดังแถวราชดำริ อพาร์ตเมนต์ของเธออยู่สุขุมวิท ถิ่นที่น่าจะแพงน่าดู ทว่าพี่นกเช่าได้ในราคาถูกมาก เธอภูมิใจจนหน้าบานเชียวละ

พี่นกชวนฉันไปค้าง หรือจะอยู่ด้วยกันเลยก็ได้ เพราะฉันเรียนแถวกล้วยน้ำไทเวลาไปเรียนจะได้ย่นระยะทางได้เยอะ ความที่รักใคร่ สนิทสนมกลมเกลียวกันมาก ฉันจึงคิดจะไปอยู่กับพี่นก

"พูดออกมาเถอะ พี่ก็อยากฟังเหมือนกันว่าจุ๋งจะทายถูกมั้ย"

เธอคะยั้นคะยอให้ฉันพรรณนาโวหารถึงความรู้สึกสังหรณ์ มันฟังดูเพ้อเจ้อ แต่เอาเถอะ...ฉันจะพยายามเรียบเรียงคำพูดให้ตรงกับสิ่งที่ผ่านเข้ามาในความคิดที่สุด

"ห้องนี้ ตรงนี้!" ฉันยืนอยู่ท่ามกลางโซฟาและเก้าอี้รับแขก "ตรงจุดนี้เลยนะ...มันเศร้ามาก หดหู่มากเลย อารมณ์บีบคั้น อึดอัด หาทางออกไม่ได้..."

พี่นกพยักหน้า อมยิ้มขำๆ ฉันแทบหมดกำลังใจพูดต่อ แต่เธอโบกมือเป็นเชิงให้เล่าไปเรื่อยๆ เธอจะฟัง

ฉันกลั้นใจ ไม่อยากพูดประโยคต่อไปเลย...มันเหมือนฉันคิดไปเอง!

"ตรงนี้มีการฆ่าตัวตาย...เป็นผู้ชาย!" เสียงฉันเบาแทบไม่ได้ยิน พี่นกหุบยิ้ม ลุกขึ้นจากท่าเอนๆ เป็นนั่งตัวตรงอย่างสนอกสนใจ

ฉันรู้สึกเหมือนเข้าภวังค์ ขณะเดินออกจากตรงจุดนั้น เข้าไปในห้องนอนเล็กข้างๆ ปากของฉันอยากพูดๆๆ ห้ามตัวเองไม่ได้เลย...

"ตรงนี้มีความโกรธ ความเสียใจอย่างรุนแรง! มีคนสองคน...ผู้หญิงกับผู้ชาย...ผู้ชายที่ฆ่าตัวตายตรงโน้น เขารูปร่างท้วม ขาว สูงเหมือนลูกครึ่งจีน ผู้หญิงตัวเล็ก ผิวคล้ำ ผมยาว...เธอไม่ต้องการอยู่กับเขา..."

"จุ๋ง! เธอรู้ขนาดนี้ได้ยังไง?"

พี่นกถาม ไม่เหลือร่องรอยความขบขันอีกแล้ว

"ไม่รู้สิพี่นก" ฉันไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีสัมผัสพิเศษอะไรเลย "มันผ่านเข้ามาในหัวคิด เหมือนเราดูหนังเลยละ"

ฉันเห็นภาพผู้หญิงที่เดินฉับๆ ออกจากห้อง แต่ฝ่ายชายฉุดกระชากแขนเธอกลับไปอย่างรุนแรง

"ปวดท้อง...!" ฉันกุมลิ้นปี่ ตัวงอ มันวาบขึ้นมาเฉยๆ แต่ก็แวบเดียว ฉันเงยหน้ามองพี่นก เราทั้งคู่ตกตะลึง "ผู้หญิงคนนั้นถูกแทง..." ฉันคราง ภาพในหัวคิดเห็นเป็นหญิงสาวที่น่าสงสารถูกมีดพกเล่มเล็กๆ จ้วงแทงตรงลิ้นปี่ เธอตัวงอลงไป ร้องไม่ออก จุกเสียดหายใจไม่ได้...แล้วก็ตาย!

จากนั้น ฝ่ายชายก็ผงะ เซถอยหลังออกจากห้อง...

เขาหมุนคว้างอยู่กลางห้องรับแขก ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องนอนอีกที แล้วหยิบปืนจากลิ้นชักหัวเตียง เดินกลับออกมานั่งที่โซฟา ตัวเดียวกับที่พี่นกนั่งอยู่ขณะนี้! เขาคิดแล้วก็คิด...น้ำตาปริ่มแล้วก็ไหลพราก...

ทันใดนั้น เขายกปืนขึ้นจ่อใต้คางแล้วลั่นไกเปรี้ยง!

มันเร็วมาก ฉันสะดุ้งเฮือก...แล้วภาพทั้งหมดก็หายวับไป...

พี่นกพยักหน้า เธอเล่าว่า เจ้าของ อพาร์ตเมนต์ไม่ได้ปกปิดเลย สิ่งที่เจ้าของเล่านั้นตรงกับที่ฉันพูด เพียงแต่ไม่มีรายละเอียดถึงขนาดนี้

เมื่อสามปีก่อน มีคนพบศพสามีภรรยานอนตายที่นี่ คนเป็นภรรยาถูกแทงตายในห้องนอน ส่วนสามียิงตัวตายที่โซฟา จากนั้นมีคนมาเช่าอยู่ต่อหลายราย แต่อยู่ไม่ได้...จนถึงรายพี่นกนี่แหละ

พี่นกบอกว่าไม่กลัวผี ก่อนหน้านี้พี่นกอยู่มาเดือนกว่าๆ แล้วนะคะ เธอได้ยินเสียงแปลกๆ อย่างเสียงผู้ชายผู้หญิงโต้เถียงกัน ฟังเหมือนแว่วมาจากวิทยุที่ไหนสักแห่งในห้องนี้

แล้วพี่นกไม่กลัวเลยจริงๆ เหรอ?

เธอบอกว่าไม่หรอก...ผีก็อยู่ส่วนผี! เขาทำได้ก็แค่นั้น ซึ่งก็ไม่เป็นอันตรายกับเราสักหน่อย เว้นแต่เราจะขวัญอ่อน หวาดระแวงและคิดกลัวไปเอง

จริงของเธอ ฉะนั้นฉันเองก็จะลองแข็งใจอยู่ที่นี่ต่อไป

สรุปว่าจนบัดนี้ ฉันอยู่มาหลายเดือนแล้ว ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย เหมือนเมื่อเรารู้แล้วก็แค่นั้น วิญญาณสองสามีภรรยาไม่เคยมาหลอกเราเลยค่ะ

นานๆ ฉันจะรู้สึกเสียวสันหลังวูบวาบ เย็นเฉียบที่ต้นคอ ขนลุกซ่าไปทั้งตัว ทั้งที่ไม่ได้เห็นภาพหรือได้ยินเสียงอะไร...อาจจะเป็นอุปาทาน หรือสิ่งที่เขาเรียกว่า "มายา" นึกภาพสยองขึ้นมาหลอกหลอนตัวเองก็ได้ จริงไหมคะ?

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEEyTVRJMU1BPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd055MHhNaTB3Tmc9PQ==



Create Date : 06 ธันวาคม 2550
Last Update : 6 ธันวาคม 2550 19:42:02 น.
Counter : 735 Pageviews.

1 comment
ญาติมาเยี่ยม
ญาติมาเยี่ยม

คอลัมน์ ขนหัวลุก

ใบหนาด



"น้ำตาล" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากพะเยา

น้องแสงมาจากพะเยา ปีนี้เธออายุ 17 ปี จวนจะจบม.6 อยู่รอมร่อแล้ว เธอเข้ากรุงเทพฯ เมื่อ 3 ปีก่อน มาอยู่กับแม่ที่ทำงานเป็นแม่ครัว

เมื่อคืนนี้พระจันทร์เกือบเต็มดวง เป็นคืนก่อนวันลอยกระทง เรานั่งล้อมวงคุยเรื่องผีกัน มีดิฉันกับลูกชายวัยรุ่นสองคน เพื่อนของลูกที่มาค้างที่บ้าน ต้อมซึ่งเป็นแม่ของแสงและแสงเอง

เรานั่งที่โต๊ะหินข้างสนาม ไม่ได้เปิดไฟ แต่จุดเทียนหอม...ที่ออกมานั่งคุยจนดึกดื่นเที่ยงคืนแบบนี้ก็เพราะอากาศเย็นสบาย พระจันทร์ก็สวย ทุกอย่างดูสงัด นานๆ จะมีเสียงจุดพลุมาจากบ้านไหนก็ไม่รู้ ดังมาเป็นระยะๆ

มันเป็นบรรยากาศที่น่าเล่าเรื่องผีมากเชียวละ!

ลูกชายดิฉันเป็นคนเริ่มต้นก่อน แต่เรื่องผีที่เขาเล่าก็เป็นเรื่องแบบเดิมๆ ซึ่งมันมีแง่มุมที่แปลกอยู่อย่างหนึ่งคือ...เรื่องผีนี่เล่าซ้ำสักกี่ครั้งก็ยังฟังสนุกอยู่นั่นแหละ เสียแต่มันจืดไปนิดหน่อยเท่านั้น

ขณะกำลังอยากฟังอะไรที่มันใหม่ๆ น้องแสงก็เอ่ยขึ้นราวกับจะรู้ใจ

"แสงก็เคยเจอผีค่ะ" เธอเป็นคนหงิมๆ พูดอะไรก็พูดเสียงเบาๆ เรียบๆ เหมือนไร้อารมณ์ แต่คราวนี้เราทุกคนหูผึ่งไปตามๆ กัน

แสงเล่าว่า ตอนนั้นเธออายุเพียง 12 ปี ยังเด็กมาก ตัวกะเปี๊ยกเดียวและอยู่ที่บ้านของย่า ซึ่งเป็นบ้านไม้ 2 ชั้นหลังใหญ่ ย่ามีลูก 4 คน คนโตก็คือพ่อของแสง อีก 3 คนเป็นผู้หญิงทั้งหมด อาที่เป็นน้องรองจากพ่อชื่อสวย...ตายไปตั้งแต่แสงอายุได้ 5 ขวบ ส่วนอีกคนหนึ่งมาทำงานที่กรุงเทพฯ เหลือแต่อาสุดใจคนเดียว

ปกติลูกสาวคนเล็กของย่าจะนอนกับแสงที่ห้องชั้นล่างข้างบันได...ทว่าคืนที่เกิดเหตุนั้น อาสุดใจไม่อยู่บ้าน ไปค้างกับเพื่อน แสงก็เลยนอนคนเดียว

กลางดึก...แสงลืมตาตื่น ห้องมืดสนิท ดีนะที่มีแสงจันทร์ส่องมาทางหน้าต่าง...เธอพลิกตัวและหันหน้ามาทางประตูห้อง

ทันใดนั้น เธอเห็นว่าที่ประตูมีเงาของใครคนหนึ่งยืนทะมึนอยู่!

เงานั้นเป็นคนสูงใหญ่ และต้องเป็นผู้หญิงแน่ๆ เพราะแสงเห็นผมที่ยาวและฟูจนเป็นกระเซิง...

"เขายืนที่ประตูค่ะ ยืนเฉยๆ หนูก็จ้องใหญ่เลย คิดว่าใครกันนะมายืนอยู่มืดๆ"

เธอเด็กเกินกว่าจะกลัวว่าเป็นผู้บุกรุก หรือขโมยขโจร ในใจเต็มไปด้วยความงุนงงสงสัยว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร? มาทำอะไรอยู่ในห้องนอนนี้?

"หนูก็เลยไปหยิบไฟมาส่อง...พอส่องไปเงาก็จางจนหายไปหมด เห็นแต่ประตู พอปิดไฟฉายเขาก็ยืนตรงที่เดิมไม่ได้ไปไหน หนูเลยรู้ว่านั่นไม่ใช่คน! แล้วหนูก็ขนลุกซ่าไปทั้งตัวขึ้นมาเฉยๆ เลย"

พอถามว่ากลัวมากไหม? แสงตอบว่ากลัวมากอยู่เหมือนกัน คิดอยู่ตั้งนานว่าจะทำยังไงดี? ในที่สุด เธอก็ตัดสินใจได้ว่าจะไม่ขออยู่ร่วมห้องกับผีตัวนี้จนตลอดคืนหรอก

แต่จะทำยังไงดีล่ะ?

ผียืนทะมึนขวางประตูอยู่อย่างนั้น! จะปีนหน้าต่างออกไปก็ไม่ได้เพราะติดลูกกรงแน่นหนา...

แสงกดไฟฉาย เปิด ปิด-เปิด ปิด และเธอก็พบว่า ยิ่งทำอย่างนั้นมันก็ยิ่งเพิ่มความสยดสยองเข้าไปใหญ่ จะให้ลุกขึ้นเปิดไฟห้องนอนน่ะเหรอ? สวิตช์ไฟอยู่ตรงประตู...ผีมันยืนบังอยู่เต็มๆ เลยค่ะคุณ!

ในที่สุด แสงก็ลุกขึ้นอย่างกล้าหาญ แล้วเดินตัวตรงแน่วไปที่ประตูนั้น...

เปล่าค่ะ เธอไม่ได้เปิดไฟ แต่ไหนๆ ก็มาถึงนี่แล้ว เธอถอดกลอนประตูเพื่อจะออกจากห้องนี้ให้เร็วที่สุด

"ผียืนอยู่เหมือนเดิม หนูต้องเอามือลอดข้อศอกเขาไปเปิดกลอน เขาก็ก้มลงมองหนู โดยที่ตัวไม่ได้ขยับมาเลย เขาจ้องตาขาว ไม่เห็นตาดำ...จนหนูเปิดประตูออกไปได้...ตอนอยู่ใกล้ๆ เขา หนูขนลุก ผมตั้งเลยค่ะ"

แสงเดินขึ้นบันไดไปเรียกพี่ชายที่นอนอยู่หน้าห้องย่า พี่คนนี้เป็นลูกของอาคนที่มาทำงานในกรุงเทพฯ น่ะค่ะ เขาบวชเพิ่งสึกออกมา ผมยังเกรียนอยู่เลย

พี่ชายแสงเดินลงบันไดมา ชะโงกมองแล้วก็ถอยกลับอย่างเร็ว ก่อนที่จะเดินขึ้นบันไดไปในห้องพระ และอุ้มพระพุทธรูปจากหิ้งพระลงมา...เงานั้นก็หายไป

คืนนั้นแสงกลับเข้าห้อง ส่วนพี่ชายก็นอนในห้องนี้แหละ โดยวางพระไว้บนโต๊ะข้างประตู และผีก็ไม่มาปรากฏตัวอีก

ส่วนผีตนนั้น พี่ชายจำหน้าได้แม่นว่าคือ "อาสวย" ที่ตายไปเมื่อแสงอายุ 5 ขวบนั่นเอง เธอมาในสภาพของศพ คือห่อผ้าตราสัง มายืนเหมือนคนคลุมผ้าขาว ผมยุ่งเหยิงเป็นกระเซิง หน้าบวมอืด และมีแต่นัยน์ตาขาว...

ทำไมไม่ไปผุดไปเกิดก็ไม่รู้สิ?

แสงเล่าจบพวกเราก็เยือกไปทั้งสันหลัง...เธอเห็นผีจริงๆ น่ากลัวมากด้วย และนั่นเป็นครั้งเดียวที่แสงเจอผี...ตั้งแต่นั้นอาสวยไม่ได้มาหาอีกเลยค่ะ!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEExTVRJMU1BPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd055MHhNaTB3TlE9PQ==



Create Date : 05 ธันวาคม 2550
Last Update : 5 ธันวาคม 2550 18:19:09 น.
Counter : 778 Pageviews.

0 comment
ยาดอง ก.ม.11
ยาดองก.ม.11

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"นายหนุ่ม" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากเพิงขายยาดอง

ผมเป็นเด็กบางเขน บ้านอยู่หลังสถานีรถไฟนี่เอง มีเพื่อนสมัยเรียนหนังสือและตอนวัยรุ่นอยู่หลายคน ส่วนมากบ้านก็อยู่ในละแวกเดียวกัน บ้างก็อยู่แถววัดเสมียนนารี บ้างก็เลยไปแถวชุมชนสวนผัก, ชุมชนภักดี ก.ม.11 โน่นแน่ะ

ไม่มีเพื่อนเป็นลูกคนรวยอย่างบ้านกลางเมืองอะไรนั่นหรอกครับ ส่วนมากอยู่สลัมกันทั้งนั้น....แต่บางท่านอาจสงสัยว่าสลัมมีสภาพเป็นยังไง?

แหม! ลองนึกถึงบ้านเล็กเรือนน้อยที่ปลูกอยู่ในดงน้ำครำ ส่วนมากน่ะหาอะไรก็ได้มาปูพื้น กั้นฝา มุงหลังคาพอคุ้มแดดคุ้มฝนก็ดีถมเถไปแล้วละครับ บ้านไหนแกงอะไร? ผัวเมียคู่ไหนทะเลาะกัน หรือถึงกับลงมือลงไม้โครมครามน่ะ เพื่อนบ้านไม่อยากรู้ก็ต้องรู้จนได้

บ้านหรือกระต๊อบที่ใกล้ชิดติดกัน ขนาดเปรียบเทียบว่า...หลังคาก่ายเกยกันจนไก่แทบจะบินไม่ตกดิน!

เรื่องการพนัน ไม่ว่าไพ่ ไฮโล เล่นหวย หรือยาเสพติดอะไรนี่ ขอที...อย่าเอามาพูดให้สะเทือนใจกันเปล่าๆ ในกรุงเทพฯ ไม่ว่าตรอกไหนซอยไหนก็มีทั้งนั้นแหละครับ อยู่ที่ว่าจะมากหรือน้อยเท่านั้นเอง

เจ้าหงอยู่สวนผัก เจ้าตี๋อยู่ภักดี! สองคนนี่แหละเพื่อนซี้ของผม ไปมาหาสู่กันเป็นประจำ...เย็นๆ วันเสาร์อาทิตย์ ไม่รู้จะไปไหนก็โทร.หาเพื่อน ถ้ามันอยู่ก็บึ่งแมงกะไซค์ไปหา โจ้เหล้าโซดากันมั่ง ยาดองมั่ง...ตอนค่ำๆ แถวปากซอยภักดีน่ะมีต้นโพธิ์ใหญ่ แผ่กิ่งก้านสาขาร่มครึ้ม ชาวบ้านเชื่อกันว่ามีเจ้าพ่อศักดิ์สิทธิ์ตามฟอร์ม ไปขอหวยกันตรึมตามระเบียบ...แต่ผมเห็นแล้วนึกเสียวๆ ชอบกล ไม่รู้เป็นไง

แถวนั้นหรือเรียกกันติดปากมานานว่า ก.ม.11 ร่ำลือว่าผีดุนัก เพราะมีรถชนกันบ่อยครั้ง ไม่ว่าที่วิภาวดีฯ หรือถนนตัดใหม่ด้านใน เรียกกันซะหรูหราว่า "โลคัลโร้ด" หรือของจริงก็ถนนเลียบทางรถไฟน่ะแหละคุณ

มีทั้งด้านนอกและด้านในที่เลียบชุมชน แต่ว่าเป็นทางตันนะครับ ผมเห็นกลับรถกันมาหลายรายแล้ว

นอกจากรถชนสนั่น มีทั้งบาดเจ็บและล้มตาย เมื่อปีกลายก็มีรถเก๋งหรูหราของหนุ่มสาว 2 คู่เกิดอุบัติเหตุบวกกับปิกอัพ รถแหลกเละเหลือแต่ซากเหล็ก ตายคาที่ 2 ไปตายที่โรงพยาบาลอีก 2 ฝ่ายตำรวจนึกขลังยังไงไม่รู้ เอาซากรถไปตั้งหน้าป้อมตรงปากซอย 18 หน้ากรมการขนส่งทางบก...นัยว่าเตือนใจคนชอบซิ่ง!

อ๋อ...โดนผีหลอกจนเผ่นกระเจิงออกจากป้อมไปตามๆ กัน ตอนดึกน่ะเขาว่ากลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งเข้ามาในป้อม ใครจะไปทนอยู่ไหวล่ะ?

ตอนนี้ขนไปทิ้งแล้วครับ! เฮ้อ...

นอกจากตายเพราะอุบัติเหตุรถชนกัน แล้วยังมีการตายโหงเพราะรถไฟทับตายอีกล่ะ...แหม! รถไฟนี่ไม่ต้องทับหรอกครับ แค่ชนก็ตายแหงๆ อยู่แล้ว ถึงจะมีสถานีย่อยที่หน้าชุมชน แต่พวกรถเร็วรถด่วนไม่จอด นอกจากรถใกล้ๆ อย่างกรุงเทพฯ-บ้านภาชีตอนเย็นๆ

ไหนจะมีการตีรันฟันแทงกันตามระเบียบ ทั้งนักเลงทั้งวัยรุ่น กินเหล้าเข้าไปก็เห็นช้างเท่าหมูได้ง่ายๆ เจ้าหงกับเจ้าตี๋เคยเล่าว่ามีคนโดนผีหลอกวิ่งกระเจิงมาหลายรายแล้ว

เมื่อตะกี้ผมเล่าว่ากินยาดอง? แถวนั้นมีอยู่ 2 เจ้า ตั้งแผงอยู่ค่อนข้างห่างกัน แต่อยู่ด้านทางรถไฟทั้ง 2 แผง 2 เพิง ตกเย็นๆ มีลูกค้าเข้าไปอุดหนุนกันคึกคักพอสมควร มีตัวยาเด็ดๆ เขียนติดโหลเอาไว้ยั่วใจดีพิลึก

ม้ากระทืบโรง, พลังเสือโคร่ง, โด่ไม่รู้ล้ม, กลิ้งกลางดง...โอ๊ย! พวกผมยังหนุ่มพลังสูงแท้ๆ ยังอดลองมันซะทุกอย่างไม่ได้นี่นา

วันเกิดเหตุ ตอนเย็นผมนึกเปรี้ยวปากอยากกินยาดองขึ้นมาดื้อๆ เลยนัดแนะเพื่อนซี้ทั้งคู่ไปที่ร้านด้านใน ใกล้จะถึงทางตัน อากาศหน้าหนาวกำลังเย็นสบาย...ผมไปถึงก่อนก็เลยสั่งม้ากระทืบโรงมาอุ่นเครื่อง...ร้อนท้องซู่ซ่าอย่าบอกใครเชียว มีคนคุ้นๆ หน้ากันที่ร้านยาดองก็ยิ้มให้กันมั่ง ทักทายกันมั่ง

พี่ชิต เจ้าติ่ง ลุงม้วน...เราเคยเห็นกันบ่อยหน บางคนมาสั่งแค่ก๊งสองก๊งแล้วก็บึ่งรถไปมั่ง เดินไปมั่ง วันนั้นมีลุงม้วนคนเดียวที่ปักหลักคุยกับผมเอิ๊กอ๊าก... แกอายุ 40 เศษๆ ขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างอยู่ย่านนั้น หุ่นผอมดำ ผมหงอกประปราย ใครๆ เขาเรียกลุงๆ กันทั้งนั้น ผมก็เลยเรียกลุงมั่ง

รถไฟแล่นฉึกฉักผ่านทางหลังเพิงขายยาดองไป แสงสว่างชักเหลือน้อยลงทุกที!

ลุงม้วนถามถึงเจ้าหงกับเจ้าตี๋ ผมตอบว่าเดี๋ยวคงมาสมทบ คืนนี้ว่าจะไปต่อแถวย่านเกษตร-นวมินทร์กัน...ลุงม้วนก็เตือนว่าขับรถขับราระวังหน่อย เดี๋ยว จะพลาดพลั้งไป...

ว่าแล้วแกก็ขอตัวไปทำมาหากินต่อ...ผมหันไปโบกไม้โบกมือให้เพื่อนรุ่นน้า พอดีเห็นเจ้าหงบึ่งรถออกมา มีเจ้าตี๋ซ้อนท้าย...นั่งปุ๊บถามปั๊บถามว่าเมื่อตะกี้ผมโบกมือให้ใคร?

"ลุงม้วนไง" ผมตอบ "แกเพิ่งลุกไปหยกๆ พวกมึงก็มา"

"มึงกินเหล้ากับลุงม้วนเรอะ? โอ๊ย! ฮาแตกเลยกู แกเพิ่งโดนรถกระบะชนตายที่หน้าวัดเสมียนฯ เมื่อคืนนี้เอง"

เจ้าหงหัวเราะเยาะ หันไปมองสบตาเจ้าตี๋ แต่ ผมขนหัวลุกซ่า หน้าชาเห่อเหมือนกินว่าน ชี้มือสั่นระริกไปที่แก้วเหล้าเปล่าๆ ที่ยังตั้งอยู่ทนโท่ เล่นเอาเพื่อนทั้งสองอ้าปากค้างหน้าขาวซีดลงทันตาเห็น...

ลุงม้วนตายไปแล้วจริงๆ เพราะแกไม่ได้สวมหมวกนิรภัย แบบเดียวกับพวกที่ขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างตามตรอกซอย หรือถนนเล็กนั่นแหละครับ แถมยังมาร่ำลาและตักเตือนผมด้วย...บรื๋อส์!!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEEwTVRJMU1BPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd055MHhNaTB3TkE9PQ==



Create Date : 04 ธันวาคม 2550
Last Update : 4 ธันวาคม 2550 19:26:39 น.
Counter : 933 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  

iamZEON
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 111 คน [?]



ยินดีต้อนรับทุกท่านนะครับ ^^/

ข่าวสารการ์ตูนญี่ปุ่น
กับเกี่ยวข้องอย่างภาพยนตร์-เพลง
รายชื่อการ์ตูนออกใหม่-งานหนังสือ
เรื่องทั่วๆไปทั้งในและนอกประเทศก็มีบ้าง
New Comments
Group Blog
All Blog
MY VIP Friend