วิญญาณร้องไห้
วิญญาณร้องไห้

คอลัมน์ ขนหัวลุก

ใบหนาด



"น้ำหวาน" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากคลองรังสิต

ใครๆ ก็กลัวผีตาจักร! แกเป็นคนสวนของคุณตาคุณยายดิฉันเองค่ะ ตาจักรฆ่าตัวตายอย่างน่าสยดสยองเพราะน้อยใจยายอ้อน - เมียของแกที่ติดไพ่แก้ไม่หาย แกขอร้องแทบจะกราบกราน แต่ก็ไม่เคยได้ผลแม้แต่น้อย

คุณตาทำมาค้าขายเกี่ยวกับการส่งออกผลไม้ ฐานะร่ำรวยมาแต่ไหนแต่ไรเพราะเป็นเชื้อสายตระกูลเศรษฐีเก่า

บ้านของเรา...ดิฉันหมายถึงบ้านของคุณตาน่ะค่ะ อยู่แถวรังสิต ตั้งอยู่ในเนื้อที่กว้างขวางริมคลอง มีบริวารเยอะแยะ ทั้งคนรถ คนดูแลความสะอาดและคนสวน...คือตาจักรนี่เอง ส่วนยายอ้อนมีหน้าที่จ่ายตลาดมาทำกับข้าว

คนเหล่านี้ทำงานรับใช้คุณตาคุณยายมานาน มีเรือนแถวให้อยู่อย่างสบายทุกคน...ส่วนมากแต่งงานแต่งการและมีลูกหลานอยู่ที่นี่

สรุปแล้ว บ้านเราคึกคักไม่น้อยเลย ลูกๆ ของพวกเขาก็ใช่ย่อย อย่างอ้อย-ลูกสาวของน้าแถมคนขับรถน่ะ ดิฉันเห็นตั้งแต่เกิดจนป่านนี้จะเข้ามหาวิทยาลัยแล้วค่ะ

ดิฉันเองก็เด็กที่นี่ เติบโตที่นี่ แม่เป็นลูกสาวคนโตและเป็นสูตินารีแพทย์เช่นเดียวกับคุณพ่อดิฉันที่เป็นแพทย์ทางอายุรกรรม ดิฉันเองกำลังเรียนอยู่ปี 4 สาขาเศรษฐศาสตร์

เรื่องนี้คุณตาพอใจมาก ดิฉันเป็นหลานรักเชียวละ!

บ้านหลังนี้ฉันรักมาก เพราะสวยงาม อบอุ่น มีสนามให้วิ่งเล่น และมีศาลาท่าน้ำริมคลอง ดิฉันชอบนั่งชมทิวทัศน์ตอนเย็นๆ ข้ามคลองไปฟากโน้น ห่างกันไม่กี่วา เป็นที่ดินซึ่งเจ้าของปล่อยให้รกร้างมาหลายสิบปีแล้ว มันเลยดูเหมือนป่าละเมาะ และมีต้นไม้อยู่ตลิ่ง

ตอนกลางคืนมีหิ่งห้อยบินส่องแสงวิบวับ เวลาเดือนหงายเราชอบมานั่งเล่นที่นี่...เราจะดับไฟมืดนะคะ แสงจันทร์จะส่องทุกอย่างให้ดูกระจ่าง มลังเมลือง สวยกว่าไฟฟ้าเป็นไหนๆ

บ้านเราสงบสุขค่ะ ถ้าไม่มีเสียงทะเลาะของตาจักรกับยายอ้อน อย่างที่เล่ามาแต่แรก ยายอ้อนมักจะหายตัวไปตลอดคืน เพื่อเล่นไพ่กับเพื่อนบ้าน แกกินเหล้าด้วยซิคะ ตาจักรอับอายขายหน้ามาก บอกให้เมียแกทำตัวดีๆ แต่พูดทีไรก็ทะเลาะกันทุกที

นี่ถ้าไม่เกรงใจคุณตาละก็มีหวังบ้านเปิง

ยายอ้อนเคยเอาที่เขี่ยบุหรี่ขว้างหัวตาจักรหัวแตกด้วยละค่ะ!

จริงๆ แล้วตาจักรแกรักยายอ้อนมาก ทั้งคู่ไม่มีลูก ยายอ้อนเป็นหมัน แต่อยู่กันมาจนบัดนี้ตาจักรก็ไม่มีใคร ไม่เคยมีเมียน้อย ไม่เคยทำให้ยายอ้อนช้ำใจ

ตาจักรเป็นคนโรแมนติกมากนะคะ อารมณ์อ่อนไหวและขี้ใจน้อย!

วันที่เกิดเหตุ แกทะเลาะกับยายอ้อนด้วยเรื่องไพ่นี่แหละ ยายอ้อนถึงกับลุโทสะตบตีผัวและด่าทอเสียๆ หายๆ

เย็นนั้น ตาจักรพายเรือเล็กข้ามฟากไปฝั่งโน้น ยายอ้อนไม่สนใจ พวกเราก็เช่นกัน นึกว่าแกคงอยากไปนั่งร้องไห้คนเดียวเงียบๆ ให้ห่างผู้คน

ที่ไหนได้...รุ่งขึ้นมีคนพบศพแกแขวนต่องแต่ง ลิ้นจุกปาก ตาถลนอยู่กับต้นไม้ใหญ่ริมคลองต้นนั้น มองจากศาลาริมน้ำจะเห็นได้ชัดเจนเลยละ...แกตายประชดเมียแกค่ะ น่าสงสารที่สุด

ยายอ้อนไม่เป็นอันกินอันนอน ตอนมีชีวิตอยู่ด้วยกันแกไม่เคยเห็นคุณค่าของตาจักร แต่เมื่อสูญเสียไปแล้ว เรียกกลับคืนมาไม่ได้ ยายอ้อยก็เพิ่งได้สำนึก

คนทั้งบ้านสงสารและอาลัยตาจักรมากมาย พอๆ กับกลัวผีแกจับใจ!

ดิฉันเองไม่กล้าลงไปที่ศาลาท่าน้ำเลย ได้แต่มองไปจากหน้าต่างห้องนอน โอย...คุณคะ มันวังเวงน่ากลัวพิลึก แถมดิฉันยังอดมองไปที่ต้นไม้นั่นไม่ได้...โดยเฉพาะกิ่งที่ตาจักรผูกคอตาย...

มองทีไรก็พานเห็นร่างแกห้อยต่องแต่ง มันติดตาไม่ลบเลือนเลย!

ตั้งแต่วันที่แกตาย หมาหอนอย่างโหยหวนทุกคืน...เขาว่าหมาหอนเพราะมันวังเวงใจ หรือเห็นผีใช่ไหมคะ?

หมาบ้านเรา 5 ตัว โก่งคอหอนซะเราแทบไม่ได้หลับได้นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนตี 2 กว่าๆ ซึ่งเราคาดว่าตาจักรคงปลิดชีวิตตัวเองเวลานั้น ทุกคืน...พอได้เวลา หมาทางฝั่งโน้นจะเริ่มต้นโก่งคอ แล้วหมาตัวอื่นๆ ในละแวกนี้ก็จะหอนตามกันเป็นทอดๆ ดิฉันนอนห้องแอร์ เสียงยังลอดเข้ามาจนต้องอุดหู

ในเสียงหอนระงมนั้น หูดิฉันไม่ได้แว่วไปเองแน่...มันมีเสียงผู้ชายแก่ๆ ร้องไห้อยู่ด้วย...ผีตาจักรน่ะซีคะ! บรื๋ออออ....

ทุกคนในบ้านรวมทั้งคนแถวนี้ลือกันทั่ว ได้ยินกันทั้งนั้น...เล่นเอาขนลุกขนพองไปตามๆ กัน!

วันก่อน หลังจากตาจักรตายได้ราว 3 เดือน มีเด็กวัยรุ่นที่พายเรือผ่านตอนค่ำๆ เห็นร่างแกห้อยกับกิ่งต้นไม้ เด็กนั่นโวยวาย จับไข้ไม่สบายไปหลายวัน ละเมอเพ้อพกน่ากลัวมากเลยค่ะ

คุณตานิมนต์พระมาทำบุญหลายครั้ง เสียงร้องไห้ของผีตาจักรก็ยังไม่หายไปซะที แกคงจะทรมานมากนะคะ

จนกระทั่งคุณตาให้ยายอ้อนไปจุดธูปที่ต้นไม้นั่น แล้วสาบานว่าจะเลิกเล่นการพนัน เลิกดื่มเหล้า...เสียงร้องไห้ลึกลับยามราตรีก็ค่อยๆ เงียบหายไป

ผีตาจักรยังคงมาให้คนในบ้านเห็นอยู่เสมอ แกเป็นห่วงหลายอย่าง ไม่น่าด่วนฆ่าตัวตายเลยนะคะ....ดิฉันพูดกับลมกับแล้งเสมอให้แกไปสู่สุคติ อย่าอาภัพอย่างชาตินี้อีกเลย!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEV5TVRFMU1BPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd055MHhNUzB4TWc9PQ==



Create Date : 12 พฤศจิกายน 2550
Last Update : 12 พฤศจิกายน 2550 0:16:04 น.
Counter : 862 Pageviews.

0 comment
ผีเฝ้าบ้าน
ผีเฝ้าบ้าน

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"เพิ่มถาวร" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากข้างบ้าน

บ้านผมอยู่ในซอยแห่งหนึ่งแถวรังสิต ถิ่นที่อยู่อาศัยแถบนี้ไม่ใช่หมู่บ้านจัดสรรแต่เป็นที่ดินที่มีเจ้าของ ถ้าไม่ใช่ได้จากการซื้อขายก็เป็นมรดกตกทอด และต่างก็ปลูกบ้านอยู่กันมาเป็นเวลาอันยาวนาน ส่วนใหญ่นับอายุได้หลายสิบปี คือตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตาทวดโน่น

แน่ละครับ! ทุกๆ หลังย่อมจะต้องมีอดีตความทรงจำ ผ่านร้อนผ่านหนาวและเรื่องราวมากมาย!

ผมอยู่บ้านนี้มาตั้งแต่เกิด เพราะที่นี่เป็นบ้านของคุณตาคุณยาย แม่ผมแต่งงานแล้วก็ขอให้พ่อมาอยู่ด้วยเพราะไม่อยากจากไปไหน นับจากวันนั้นจนวันนี้ผมก็ออกมาดูโลก และเติบโตจนอายุ 20 ปีแล้ว เรายังอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาอย่างมีความสุข

บ้านนี้น่ะเหรอครับ? อายุเกือบ 40 ปีแล้ว!

ข้างบ้านผมก็เก่าแก่พอกัน...เจ้าของบ้านคือคุณจรุงกับคุณยายศรีเพชร น่ารักน่าเคารพทั้งคู่ เราเป็นเพื่อนบ้านที่สนิทกันมาก ไม่ใช่ญาติก็เหมือนญาติแหละครับ พูดไปอีกทีก็คือ...ถึงไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน แค่เรามีรั้วเดียวกัน...เป็นรั้วไม้ระแนงเตี้ยๆ ทำกั้นเขตบ้านไว้พอเป็นพิธี แถมยังเจาะเป็นประตูสวนบานเล็กๆ ให้เปิดถึงกันได้ซะอีกแน่ะ

ประตูนี้มีประวัติครับ คือเมื่อตอนที่แม่ผมยังเป็นเด็กเล็กๆ นั้น ลูกๆ ของคุณตาจรุงก็อยู่ในวัยไล่เลี่ยกัน ชอบเล่นด้วยกันมาก คุณตาเลยเจาะประตูให้ไปมาหาสู่กันสะดวกๆ ไม่ต้องปีนรั้ว...ผลพลอยได้อีกอย่างคือ คุณยายของเราทำกับข้าวส่งให้กันอย่างมีความสุข!

เวลาผ่านไปทำให้หลายสิ่งหลายอย่างต้องเปลี่ยนแปลง ทุกวันนี้ ลูกของคุณตาจรุงอยู่ที่บ้านนี้เพียงคนเดียว...คุณตามีลูก 3 คนนะครับ ผมรู้ว่าไปอยู่อเมริกากันเหลือแต่น้าพลอยเท่านั้นที่อยู่ทางนี้ เหมือนกับแม่ผมที่มีพี่น้อง 3 คนเช่นกัน ลุงต๋อยกับป้าตุ๊กแต่งงานแล้วก็แยกไปมีบ้านของตัวเอง เหลือแต่แม่อยู่กับคุณตาคุณยาย

หลายสิ่งเปลี่ยนไป แต่ประตูบานเล็กที่รั้วไม้ก็ยังอยู่เหมือนเดิม...ผมเดินเข้าเดินออกตามสบาย จริงๆ แล้วผมไปส่งขนมหรือไม่ก็กับข้าวคุณยายผมให้คุณยายศรีเพชรน่ะครับ บางทีก็ไปใช้อินเตอร์เน็ตของน้าพลอยค้นรายงาน เวลาที่เน็ตบ้านผมเจ๊ง

วันหนึ่ง ไม่นานมานี้เอง...คุณตาจรุงกับคุณยายและน้าพลอยต้องไปอเมริกา ไปเยี่ยมป้าแพรวที่ป่วยต้องผ่าตัด บ้านปิดเอาไว้เฉยๆ ไม่มีใครอยู่เลยตั้งเดือนหนึ่งแน่ะครับ

คุณยายศรีเพชรบ่นแบบคนห่วงหน้าห่วงหลัง คุณยายกับแม่ผมต้องบอกให้สบายใจ พวกเราจะดูแลบ้านให้ไม่ต้องห่วง! ท่านฝากกุญแจไว้กับแม่ผม เพราะจะมีคนมาทำความสะอาดอาทิตย์ละครั้ง เป็นคนรับใช้ของญาติ...ความจริงจะให้อ๋อย-เด็กบ้านเราไปช่วยกวาดถูก็ได้ แต่ท่านเกรงใจ บอกว่าแค่เป็นหูเป็นตาให้ก็บุญคุณเหลือหลายแล้ว

หลังจากนั้นราว 6-7 วันก็เกิดเรื่องน่าขนหัวลุกขึ้นมา!

คืนนั้นราวสัก 4 ทุ่มเห็นจะได้ เป็นคืนวันเสาร์ หมาบ้านเรา 3 ตัวพากันเห่าเสียงขรมอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน...เห่าเสียจนเราไม่สบายใจว่าอาจจะมีขโมยเข้าบ้าน

ผมลุกไปดูที่หน้าต่างแล้วก็เห็นพวกมันหันหน้าไปทางบ้านคุณตาจรุง ทุกตัวโก่งคอหอนเอาเป็นเอาตาย แต่ขณะเดียวกันก็ถอยหนี...พ่อผมใช้ไฟฉายส่องไปทางบ้านนั้น กราดไปทั่วๆ เราเห็นแต่ต้นไม้ ลานเทอเรซหน้าบ้าน เก้าอี้เหล็กดัด โต๊ะกระจกและเงาสะท้อนจากประตูกระจกบานเลื่อน...ดูจากภายนอกไม่มีอะไรผิดปกติ แต่หมาไม่หยุดเห่า

สักพักหนึ่ง อ๋อย-สาวใช้ในบ้านเราก็หน้าตาตื่นมาบอกแม่ผมว่า...เห็นใครก็ไม่รู้เดินวนเวียนอยู่ในบ้านคุณตาจรุง!

หน้าต่างห้องนอนของอ๋อยอยู่ในมุมและระยะที่ชะเง้อมองเข้าไปในบริเวณห้องนั่งเล่นหรือห้องรับแขกบ้านนั้นได้สบายๆ ม่านภายในรูดเปิดทุกด้าน ไฟถนนก็สว่างพอที่จะส่องให้เห็นทุกอย่างในห้องนั้นได้สลัวๆ

เราเข้าไปในห้องอ๋อย ปิดไฟเพื่อจะได้มองไปได้ชัดๆ

จริงๆ ด้วยซิครับ! ผมตกใจจนขนลุก เพราะเห็นเค้าโครงร่างของผู้หญิงคนหนึ่งรูปร่างสะโอดสะอง ผมยาวแค่บ่า ใส่ชุดหลวมๆ แบบชุดอยู่บ้าน เดินไปเดินมาคล้ายเก็บจานจากโต๊ะกินข้าวไปล้างที่ซิงก์ หยิบผ้ามาเช็ดถูกตามเคาน์เตอร์ เหมือนเธอทำงานบ้านปกติ...และทำอยู่ในความมืด เห็นแล้วน่ากลัวชะมัด

คนธรรมดาที่ไหนจะทำตัวน่ากลัวแบบนี้? อยู่ในบ้านตามลำพัง ปิดไฟมืด แต่ทำกิจวัตรเหมือนเป็นตอนกลางวันหรือไฟสว่างอย่างหน้าตาเฉย มันผิดธรรมชาติเอามากๆ

หลังจากเพ่งดูอยู่อึดใจ คุณยายก็จับแขนผมดึงออกมาจากหน้าต่าง มือนั้นเย็นเฉียบบอกอ๋อยด้วยเสียงแหบๆ ให้ปิดหน้าต่างบานนั้นแล้วเข้านอนซะ

"ไม่ต้องไปดูเขาอีกนะ! ไม่มีอะไรหรอก...ดีแล้ว สบายใจดีเหมือนกัน ไม่มีขโมยขโจรที่ไหนเข้าไปได้หรอก รับรอง!"

คุณยายกับคุณตามองหน้ากัน ส่วนแม่ผมทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ เอามืออุดปากตัวเองอย่างตกใจ พ่อถามว่ามีอะไรเหรอ? แม่ก็สั่นหัวเป็นเชิงว่ายังไม่อยากพูดตอนนี้...แม่ขนลุกเกรียว ตัวสั่นจนเห็นได้ชัด

ผมมารู้ภายหลังว่า ผู้หญิงที่เดินในบ้านมืดๆ นั่นที่จริงเป็นคนที่ตายไปแล้ว เธอคือคุณเพ็ญ-ลูกสาวคนโตของคุณตาจรุง เสียชีวิตเมื่ออายุ 25 ด้วยอุบัติเหตุรถคว่ำ เรื่องมันนานมาแล้วจนไม่มีใครพูดถึง และผมก็เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้ว่าคุณตาจรุงมีลูกสาว 4 คน ไม่ใช่ 3 คน

คุณเพ็ญคงมาเฝ้าบ้านให้พ่อแม่ ขณะที่ท่านไปเยี่ยมลูกคนอื่นๆ น่าขนลุกที่วิญญาณเธอยังอยู่ทั้งๆ ที่ตายมานานแสนนาน แถมยังรัก ยังเป็นห่วงเป็นใยจนเกิดปฏิกิริยาแบบนี้...ร่างกายสิ้นสลาย แต่ความรักยังอยู่เหมือนเดิมจริงๆ นะครับ!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEE1TVRFMU1BPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd055MHhNUzB3T1E9PQ==



Create Date : 09 พฤศจิกายน 2550
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2550 19:33:11 น.
Counter : 783 Pageviews.

1 comment
ไปขอหวย
ไปขอหวย

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"ชลาลัย" เล่าเรื่องขนหัวลุกเมื่อไปขอหวยจากคางคก

ดิฉันเป็นชาวดาวคะนอง ธนบุรี สงสัยว่าชื่อตำบลนี้เขียนอย่างไรแน่? เพราะมีทั้ง "ดาวคะนอง" และ "ดาวคนอง" เหมือนกับตำบลอื่นหลายแห่งในกรุงเทพฯ เช่น "ประดิพัทธ" ก็มี "ประดิพัทธ์" ก็มี ทั้งๆ ที่เป็นป้ายของทางราชการนะคะ

"แคราย" กับ "แคลาย" ควรจะเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง ระยะหลังนี้คำว่า "แคลาย" ค่อยๆ หายไปแล้ว เหลือแต่ "แคราย"

"สาทร" ก็เหมือนกันค่ะ! เคยใช้ "สาธร" มาแต่ครั้งปู่ย่าตายาย จู่ๆ ก็มาเปลี่ยนเป็น "สาทร" อ้างว่าเป็นชื่อที่ถูกต้องมาแต่เดิม เลยต้องกลับไปเขียนให้เหมือนของเก่า! ถ้างั้นทำไมไม่เปลี่ยนให้หมดทุกชื่อย่านตำบลเลยล่ะคะ?

"วัวลำพอง" เพี้ยนเป็น "หัวลำโพง" ก็ต้องกลับไปเขียนว่า "วัวลำพอง"

"สามแสน" เพี้ยนเป็น "สามเสน" เห็นจะต้องเขียนใหม่ว่า "สามแสน"

ถ้าคิดว่านอกเรื่องก็ขอกลับไปที่ดาวคะนองอีกครั้ง เพราะเกิดเรื่องขนหัวลุกเมื่อเดือนสิงหาคม ฤดูฝนที่เพิ่งผ่านไปหยกๆ นี่เอง

เพื่อนบ้านดิฉันสมัยก่อนกับสมัยนี้มีกิจกรรมพิเศษที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง คือชอบเล่นการพนัน โดยเฉพาะ "เล่นหวย" เป็นชีวิตจิตใจ ทุกลมหายใจเข้าออกดูเหมือนจะมีแต่คำว่า "เล่นหวย" โดยเฉพาะ "งวดนี้ตัวไหนจะมา?" กับ "หวยจะออกอะไร?"

ในหมู่บ้านมีต้นประดู่เก่าแก่อยู่ต้นหนึ่ง ขึ้นอยู่ข้างบึงน้ำเขียวๆ มีทั้ง ฉำฉา, พุทรา, มะขามเทศ กับไม้ล้มลุกอื่นๆ ขนาดกลางวันแสกๆ ก็ยังดูเปล่าเปลี่ยวไม่น่าเชื่อ

ชาวบ้านไปขอหวยที่ต้นประดู่กันค่ะ! ร่ำลือว่าให้หวยแม่นเป็นพิเศษ มีทั้งผ้าสีสวยๆ พันรอบโคนต้น กับตุ๊กตาไม้และดินเผาเกลื่อนกลาด ของแก้บนไงคะ!

นอกจากจะให้หวยแล้วยังขอให้ทุกอย่าง ไม่ว่าเจ็บไข้ได้ทุกข์ ผัวไปมีเมียน้อย หรือลูกชายจะไปเกณฑ์ทหาร แม้แต่ของหายก็บนกับต้นประดู่ คิดว่าได้ผลกันหลายรายแล้วถึงได้มีของแก้บนมากมาย

เกิดมาก็เพิ่งเคยเห็นนี่แหละค่ะ เพราะเคยมีแต่ต้นโพธิ์ต้นไทร อย่างเก่งก็ต้นตะเคียน เรียกกันว่าเจ้าพ่อโพธิ์ เจ้าพ่อไทร เจ้าแม่ตะเคียนทอง...แต่นี่เป็นต้นประดู่ อาจจะเป็นของใหม่หรือชื่อยาวไปก็ไม่ทราบ เลยเรียกว่า "เจ้าพ่อ" เฉยๆ

เขาว่าไม่มีใครจะอุตริ วิตถาร พิลึกพิเรนทร์เท่ากับพวกขอหวยอีกแล้ว!

จะต้องบุกป่าฝ่าดง เข้าไร่เข้าสวนเปลี่ยวแค่ไหนก็ไม่ย่อท้อ ขนาดต้องเข้าป่าช้ากลางดึกที่มีแต่คนส่ายหน้าสยดสยอง นักเลงหวยก็บุกบั่นเข้าไปหน้าตาเฉย ขอให้มั่นใจว่าจะได้หวยตัวเด็ดๆ มาแทงเถอะ

สมัยดิฉันยังเด็กๆ มีแต่เรือกสวนเป็นส่วนใหญ่ ผู้คนมีน้อย บรรยากาศเปล่าเปลี่ยว เสียงยอดมะพร้าวกวัดแกว่งซู่ซ่าน่าวังเวงใจ กลางคืนก็มีสายลมคร่ำครวญกับยอดไม้ นกเค้าแมวกับค้างคาวออกหากิน ชาวสวนต้องชักตะขาบไล่กันเกรียวกราวเป็นประจำ

พวกคอหวยบุกบั่นเข้าไปในป่าช้า เห็นว่าถูกผีหลอกจนต้องร้องเอะอะโวยวาย วิ่งกระเซอกระเซิง ล้มลุกคลุกคลานไปตามๆ กัน บางคนถึงกับพลัดหล่นลงไปในตู้เย็นเฉียบ วิ่งตะโพงอยู่ในน้ำ ร้องว่าผีหลอกๆ แทบจะขาดใจก็มีค่ะ

การขอหวยพิสดารสุดขีดเท่าที่เคยรู้เห็นมาก็คือ ขอหวยจากคางคก!

ไม่ใช่คางคกแปลกประหลาดชนิด 5 ขา 2 หัว หรือตัวเป็นคางคก แต่มีหัวเป็นหมู หางเป็นแมวนะคะ คางคกธรรมดานี่แหละ ก่อนถึงวันหวยออกราว 2-3 วันจะไปชุมนุมกันที่บ้านยายไล้แถวท้ายวัด ใกล้ๆ กับบึงร้าง แหนเขียวๆ แทบจะเน่า อยู่ใกล้กับต้นประดู่ ต้นฉำฉา มะพร้าว มะขามเทศนั่นแหละค่ะ

หลังบ้านยายไล้มีเล่าไก่เก่าๆ ใกล้พัง มีลานแคบๆ เคยเป็นที่ชุนแห ซักผ้า ฝูงไก่ คุ้ยเขี่ยหากินอยู่ราว 3-4 ตัว ถ้ามีลูกเจี๊ยบก็มากหน่อย

ยายไล้เป็นนักแสดงหวยตัวฉกาจประจำตำบล ไม่ว่าจะเห็นอะไรแกตีเป็นหวยหมด ทั้งขี้เถ้าธูปหงิกงอ น้ำตาเทียน หยดน้ำมนต์ จิ้งจกทัก ตุ๊กแกร้องหมากัดกัน...ถ้าเกิดฝันขึ้นมายายไล้เป็นเก็บเอามาตีหวยได้หลายๆ ตัว ถูกก็มี ผิดก็มี แต่ที่แน่ๆ คือผิดมากกว่าถูก

วันดีคืนดี ยายไล้ก็ริอ่านขอหวยจากคางคกขึ้นมา!

กรรมวิธีสุดแปลกพิสดาร ไม่เคยพบเคยเห็น แต่พวกคอหวยล้วนตื่นเต้นกันทุกคน

นั่นคือ ยายไล้ฝันเห็นคางคกยักษ์ที่โคนต้นประดู่ศักดิ์สิทธิ์ ตื่นขึ้นก็รีบไปดูจนเห็นเข้าจริงๆ แกเอาสุ่มครอบไว้แล้วมาเล่าให้เพื่อนบ้านฟัง...เมื่อไปดูก็เห็นคางคกตัวใหญ่ขนาดชามข้าว ผิวหนังขรุขระเหมือนคางคกทั่วๆ ไป

วันนั้นฟ้าครึ้มมาแต่บ่าย เมฆหนาทึบลอยต่ำ ลมพัดอู้ๆ แต่พวกนักเลงหวยที่เป็นผู้หญิงล้วนๆ ไม่แยแส ยายไล้มีกระป๋องนมใส่แป้งมาจากบ้าน สั่งให้คนอื่นๆ คอยล้อมคางคกไว้แล้วเปิดสุ่มออก จัดการเทแป้งลงบนหลังคางคกแล้วช่วยกันประแป้งให้มันอย่างรวดเร็ว

จุดหมายก็คือ เพื่อดูแลเลขเด็ดจากแป้งขาวๆ บนผิวหนังตะปุ่มตะป่ำของคางคกนั่นแหละค่ะ เสียงพึมพำดังแซดว่าเห็นเลขนั้นเลขนี้ ตั้งแต่ 0 ถึง 9 เห็นหมด

ทันใดนั้น ฟ้าแลบวาบ ยังไม่ทันตั้งหลักก็ผ่าเปรี้ยงลงมา 2 ครั้งติดๆ กัน รู้สึกเหมือนแก้วหูแทบแตก ตกใจจนหงายหลังตึง คางคกเจ้ากรรมพองอืดตัวเกือบเท่าแมวอ้วนๆ แผดร้องเสียงเหมือนคน...โอ๊ย!

เท่านั้นแหละค่ะ เผ่นกระเจิงกันไม่รู้เหนือรู้ใต้ บางคนผ้าผ่อนหลุดลุ่ย บางคนวิ่งวนอยู่รอบบึงร้าง เสียงแผดร้องโวยๆ เหมือนเจ๊กตื่นไฟ...จับไข้กันไป 2 คน ที่เหลือสาบานว่าจะเลิกเล่นหวยไปชั่วชีวิต...ยายไล้เองอาการหนัก นอนเพ้อถึงคางคกได้ไม่นานก็ขาดใจตาย!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEE0TVRFMU1BPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd055MHhNUzB3T0E9PQ==



Create Date : 08 พฤศจิกายน 2550
Last Update : 8 พฤศจิกายน 2550 19:37:19 น.
Counter : 680 Pageviews.

0 comment
ศพคนเป็น
ศพคนเป็น

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"เอกยุทธ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อมีคนน่ากลัวอยู่ในบ้าน

ต้อยเป็นเด็กสาวจากที่ราบสูง อายุแค่ 16 ปี หน้ากลม ตัวเล็ก เตี้ยนิดเดียว แต่ยิ้มแย้มแจ่มใสและขยันขันแข็ง เธอเป็นคนรับใช้บ้านเรา แม่ผมถูกอกถูกใจเธอมากจนไม่อยากให้หลุดไม้หลุดมือลาออกไปอยู่ที่อื่น

ด้วยเหตุนี้ วันหนึ่งจึงเกิดเรื่องขนพองสยองเกล้าขึ้นในบ้านผมเอง!

วันนั้น สาวต้อยผู้ร่าเริงกลับมีอาการหน้าดำคร่ำเครียด ไม่พูดไม่จา ทำท่าเหมือนคนยิ้มไม่เป็น ผิดจากต้อยคนเดิมไปเลย พอแม่ผมถามสาเหตุเข้าเท่านั้นแหละ น้ำตาเม็ดเป้งๆ ไหลพรูเหมือนไขก๊อกทันที...เธอบอกว่าต้องกลับบ้านนอกไปดูแลแม่ที่เจ็บออดๆ แอดๆ แม่ไม่สบาย ที่บ้านเธอตอนนี้ก็ไม่มีใครอยู่เลย! พี่สาวที่เคยดูแลก็เกิดได้งานในกรุงเทพฯ เสียแล้วโทร.บอกให้เธอกลับด่วน

เอาละซิ! แม่ผมถึงกับหน้าเสีย บ้านเรามีผู้ช่วย (แม่บ้าน) เพียงสองคน คือเจ้าต้อยคนนี้กับป้าไฝซึ่งเป็นแม่ครัว ปาเข้าไปหกสิบกว่าแล้ว แถมมาเช้าเย็นกลับ

แกมีหน้าที่จ่ายกับข้าว ทำกับข้าว ส่วนต้อยรับเหมาทุกอย่าง ตั้งแต่กวาดบ้านถูกบ้าน ซักรีดเสื้อผ้า ล้างถ้วยล้างจาน ถ้าขาดต้อยไป แม่ผมก็ต้องทำเองหมดจนกว่าจะหาคนใหม่ได้

แหม! หายากด้วยซิ สมัยนี้พวกหล่อนเรียกเงินเดือนแพงๆ สี่ซ้าห้าพันแน่ะ...คนใช้ลาออกทีไร แม่ผมความดันขึ้นทุกที ยิ่งเป็นต้อยด้วยแล้ว แม่ยิ่งทำท่าคล้ายจะเป็นลม!

พอตั้งสติได้ แม่ก็เจรจาหาทางออกกับต้อย ผมไม่ได้ฟังหรอกครับว่าพูดอะไรกันบ้าง แต่แค่ห้านาทีต่อมา ทั้งคู่กลับเปลี่ยนอารมณ์ตรงข้ามกับเมื่อครู่ก่อนอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งแม่และต้อยหัวเราะร่าเริงแจ่มใสเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ปัญหาหนักอกทั้งหลายอันตรธานไปในพริบตา!

ปรากฏว่าแม่บอกให้ต้อยพาแม่ของเธอมาอยู่ด้วยกันที่นี่เลย เพราะจริงๆ แล้วแกก็ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก แค่อ่อนเปลี้ยเพลียแรง ไม่กินข้าวกินปลา

แม่พูดกับผมว่าดีเหมือนกัน เผลอๆ แกมาอยู่กรุงเทพฯ ใกล้มดใกล้หมอ แกอาจจะแข็งแรงและหายเป็นปกติได้ ฟังจากที่ต้อยเล่าแกเพิ่งห้าสิบกว่าๆ อ่อนกว่าป้าไฝตั้งเยอะ

สามวันถัดมา ต้อยก็ขนสัมภาระแม่มาอยู่บ้านเราเรียบร้อย

นึกย้อนไปถึงวันที่แกมาแล้วขนหัวลุกครับ!

วันนั้นแกมาแต่เช้าราวแปดโมง ลงแท็กซี่ที่ประตูรั้วบ้าน ที่จำได้เพราะเป็นวันเสาร์ผมไม่ได้ไปโรงเรียน และเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด

แกไม่ยอมเข้าบ้าน ต้อยมาบอกให้แม่ผมลงไปช่วย เพราะแม่เธอให้แม่ผมบอกศาลพระภูมิก่อน แกถึงจะเข้าบ้านได้!

แม่ต้อยชื่อป้าแสงทอง ตัวเตี้ยพอๆ กับต้อย แต่ผอม ดำ หน้าแหลม ผมบาง สีเทาแกมดำดูสกปรก รวบเป็นมวยไว้หลวมๆ จุดเด่นคือดวงตาหรี่เล็กเหมือนคนตาแฉะ ไม่ยอมมองหน้าใคร หรือเวลาเหลือบมองทีก็ดูพิกล ปากสีดำคล้ำบางเฉียบ และชอบยิ้มมุมปากแบบคนเจ้าเล่ห์ยังไงอยู่

แกเดินไม่คล่อง ตัวแข็งๆ เหมือนข้อเกร็งไปซะทุกส่วน หมาบ้านผม 3-4 ตัวเห่าไปถอยไป แมวข้างบ้านที่ชอบมานอนบนหลังคา มันเห็นแกเข้าก็สะดุ้ง ผวาขึ้นยืนโก่งตัวทำขนพอง แยกเขี้ยวขู่ฟ่อ

ไม่รู้ว่าอุปาทานหรือเปล่า ทันทีที่แกย่างเท้าเข้ามา แสงแดดที่สดใสก็มัวซัวมืดครึ้มลงทันที เหมือนมีเงาประหลาดทาบเข้าไปทั่วบ้าน!

2-3 วันหลังจากนั้น ทุกคนในบ้านเงียบซึม มีบางอย่างค้างคาอยู่ในใจ ไม่รู้จะพูดออกมายังไงดี มันแปลกมากครับ แม้แต่ตัวผมเองก็ยังสงสัยว่าเราเป็นอะไรไปเนี่ย? มันหวาดระแวงไปหมด กระทั่งตอนนอนก็กลัวอะไรไม่รู้

แม่ผมมีท่าทางไม่สบายใจ ไม่รู้คิดผิดหรือเปล่าที่ชวนป้าแสงทองมาอยู่บ้านเราแบบนี้ ทีแรกนึกว่าคนเจ็บไข้ได้ป่วยธรรมดา แต่นี่...พูดตรงๆ ว่าเหมือนแกจะนำสิ่งอัปมงคลมาด้วยงั้นแหละ!

ป้าไฝซึ่งปากจัดอยู่แล้ว บ่นกระปอดกระแปดว่าเดินผ่านห้องต้อยแล้วเหม็นเน่า...แกฟ้องว่าป้าแสงทองจ้องแกอย่างน่ากลัวมาก

ต้อยเองก็สะดุ้งอย่างไม่มีเหตุผลอยู่บ่อยๆ ไม่ค่อยยิ้มแย้ม ขี้เล่นเหมือนเช่นเคย แถมออกจะกลัวๆ แม่ตัวเองอยู่ไม่น้อย...ผมสังเกตเห็นไฟห้องเจ้าหล่อนเปิดอยู่ตลอดคืนมาหลายคืนแล้วด้วย...

ในที่สุด เรื่องราวก็เฉลยออกมาแจ่มแจ้ง!

เมื่อพี่สาวต้อยมาเยี่ยม เธอแอบกระซิบแม่ผมว่า ป้าแสงทองนั้นอยู่ดีๆ ก็ล้มลงหมดสติเมื่อราว 2 เดือนก่อน พอไปดูก็พบว่าแกสิ้นลมหายใจ...แกตายแล้ว! ตายไปราวครึ่งวันก็ฟื้นขึ้นมาเองตอนพลบค่ำ แต่อากัปกิริยาไม่เหมือนเดิม

ทุกคนกลัวแก เด็กเล็ก หมูหมากาไก่ไม่ยอมเข้าใกล้ พี่สาวต้อยบอกทนไม่ได้ก็เข้ากรุงเทพฯ ทิ้งแกอยู่บ้านตามลำพัง แต่เมื่อโทร.บอกต้อยก็ทะเลาะกัน...เลยบอกว่า ถ้าห่วงนักก็ให้ต้อยมาดูแลแม่เอง

เป็นโชคดีของเราที่ผีดิบ...เอ๊ย! ขอประทานโทษ ผมหมายถึงป้าแสงทองอยู่บ้านเราไม่ได้นานนัก แกบอกเองว่าร้อน! พระพุทธรูปเยอะเหลือเกิน เจ้าที่ก็ดุ! แกขอกลับไปอยู่บ้านนอก ส่วนต้อยนั้นตกลงใจว่าไม่ไปดูแลแกหรอก แกอยู่คนเดียวได้

หลังจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้ราว 3 เดือน ป้าแสงทองก็ตายจากโลกนี้ไปจริงๆ ไปแล้วไปเลย...ทิ้งปริศนาให้เราขบคิดว่า แกเป็นผีดิบ! จริง...หรือมั่วนิ่ม? แต่ก็ขนหัวลุกละครับ!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEEzTVRFMU1BPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd055MHhNUzB3Tnc9PQ==



Create Date : 07 พฤศจิกายน 2550
Last Update : 7 พฤศจิกายน 2550 20:05:23 น.
Counter : 766 Pageviews.

1 comment
ผีย้ายวัด
ผีย้ายวัด

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"หนูแนน" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากวัดอินทารามวรวิหาร

หนูเป็นเด็กวัดกลางค่ะ หรือวัดอินทาราม ที่มีรูปพระเจ้าตากสินขี่ม้าชูดาบอยู่เหนือประตู ก่อนถึงวัดกลางจะเป็นวัดเวฬุราชิน ถ้าเลยบ้านหนูไปก็คือวัดจันทราราม พวกเราถึงเรียกว่าวัดกลางไงคะ

เรื่องนี้แปลกอย่างที่ญาติๆ หนูแถวภาษีเจริญเขาบอกไม่ใช่หรอก พวกเขาเรียกวัดอินทารามว่าวัดใต้ หนูก็งง ไม่รู้จะถามใคร

ชื่อนั้นสำคัญไฉน?

แม้เรียกกุหลาบว่าชื่ออื่น ดอกของมันก็ยังหอมใช่ไหมคะ!

หนูอ่านเจอในหนังสือน่ะค่ะ ไม่ใช่คิดเองหรอก เดี๋ยวจะเข้าใจผิด นิสัยหนูชอบอ่านภาษิตคำคม บางทีก็ต้องจดไว้กันลืม อย่างเช่น

"ถึงจะปิดทองหลังพระ ก็ทำให้ท่านเป็นสุขได้เหมือนกัน"

"ท้องทะเลมีขอบเขต แต่ความต้องการที่ลึกซึ้งไม่มีขอบเขตเลย"

"แพ้อย่างนักกีฬา ดีกว่าชนะอย่างอันธพาล"

"ฟ้าสูง แผ่นดินต่ำ จำไว้เท่านี้ก็พอ"

แหม...หนูก็เขียนเพลินไปหน่อย บังเอิญหนูชอบคำคมเอาไว้สอนใจตัวเองค่ะ บางทียังจดไปให้เพื่อนๆ แต่เขาไม่สนใจกันหรอก บางคนอ่านแล้วก็แค่ยิ้มๆ บางคนหัวเราะแบบขำกลิ้งเลย แต่บางคนบอกว่า ขอบใจย่ะ ยัยบ้า!

เพื่อไม่ให้เสียเวลากับเรื่องส่วนตัวของหนูเอง ขอเล่าประสบการณ์ขนหัวลุกให้ท่านฟัง (อ่าน) เลยนะคะ

เมื่อก่อนวันอินทารามบางยี่เรือผีดุมากที่สุด ไม่ว่าใครๆ เอ่ยถึงก็ทำท่าขนลุกขนพองกันทั้งนั้นแหละค่ะ คือมีประวัติว่าเขาเอาคนที่วางเพลิงเผาตลาดพลูมายิงเป้าที่หน้าวัดน่ะซีคะ มีตั้ง 2 คนแน่ะ เป็นพี่น้องหรือแซ่เดียวกัน พวกชาวบ้านอุ้มลูกจูงหลานมาดูกันมืดฟ้ามัวดินเลยละค่ะ

ตำรวจทหารก็มากันเต็ม คอยกั้นไม่ให้คนล้ำเข้าไปในเขตประหาร!

ทำไมเขาไม่ยิงเป้าในคุกบางขวางน่ะหรือคะ เขาบอกว่าต้องยิงเป้าให้ผู้คนในที่สาธารณะ พวกโจรผู้ร้าย ปล้น ฆ่า ข่มขืน วางเพลิง จะได้เกรงกลัว ไม่กล้าก่อกรรมทำเข็ญให้คนดีๆ ต้องเดือดร้อนอีกต่อไป

อาจจะได้ผลนะคะ เพราะผู้ร้ายยุคนั้นหัวหดไปตามๆ กัน ใครใส่ทองเดินฉุยฉายก็ไม่ต้องกลัวโดนกระชากหรือฆ่า สาวๆ เดินตามตรอกซอยกลางค่ำกลางคืนก็ไม่ต้องเหลียวซ้ายแลขวาว่าจะมีคนโรคจิตมาข่มขืน เรื่องไฟไหม้รับตรุษจีนก็เงียบหายไปเลย

ไม่เหมือนสมัยนี้นะคะ โจรผู้ร้ายชุกชุมยิ่งกว่าแมลงวันหน้ามะม่วงเสียอีก!

ไหนว่ายาบ้าลดลง หนูเห็นข่าวจับยาบ้าทีละเป็นพันเป็นหมื่นเม็ดทุกวัน ทำท่าว่าปราบเท่าไหร่ก็ไม่หมด คงพอๆ กับการพนันและหวยใต้ดินแหละนะคะ ตั้งแต่เลิกหวยบนดินมาได้ปีหนึ่งนี่ เจ้ามือหวยใต้ดินรวยกันใหญ่ ตำรวจก็พลอยรวยไปด้วย เอ๊ะ! ยังไง? มิน่าล่ะ ถึงไม่ยอมออกหวยบนดินซะที

อุ๊ย! ขอโทษค่ะ หนูกำลังเล่าเรื่องสยองขวัญแท้ๆ แต่กลับนอกเรื่องไปซะ...คือนักโทษประหารโดนยิงเป้าหน้ากำแพงวัด ชาวบ้านที่แห่มาดูเป็นลมเป็นสิบๆ คนแน่ะค่ะ

ญาติมารับศพไปแล้ว แต่เศษเลือดเศษเนื้อยังกระจายเต็มกำแพงวัด ที่มีรูกระสุนปืนด้วย พระเณรและเด็กวัดต้องออกมาช่วยกันเช็ดล้าง ทำความสะอาดจนเหงื่อตกไปตามๆ กัน

วิญญาณสองดวงก็สิงอยู่ที่นั่น!

แหม! ในวัดเองก็มีผีเยอะอยู่แล้ว มีคนโดนหลอกตอนเดินเข้าวัดแล้วเลี้ยวขวาไปทางโบสถ์วิหารที่มีรูปปั้นพระเจ้าตากสิน เสียงร้องเอะอะโวยวาย ตามด้วยเสียงวิ่งคึ่กๆ ออกมาถึงหน้าวัดแน่ะค่ะ ชาวบ้านแตกตื่นไปตามๆ กัน

ทีนี้มีวิญญาณผีตายโหงประจำการอยู่หน้าวัดอีก โอย...อะไรจะสยองปานนั้นล่ะคะ? เป็นหนูละไม่กล้าอยู่หรอก แต่ก็ยังมีร้านค้าหน้าวัดเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เท่ากับมีคนเห็นผีตัวโชกเลือดเดินโงนเงนตอนดึกๆ แถวที่โดนประหารนั่นแหละค่ะ บางคนขับรถมาเห็นเข้าเล่นเอาพุ่งออกข้างทาง ปางตายไปเลยก็มี

ที่ร้ายมากคือลุงจัด คนแถวบ้านหนูขับรถกลับบ้านตอนกลางคืน สมัยนั้นยังเปลี่ยวอยู่นะคะ ลุงจัดเห็นใครยืนขวางถนนตรงหน้าวัดก็บีบแตรให้รู้ อ้าว? กลายเป็นร่างสองร่างเดินทื่อเข้ามาหา ยื่นแขนมาข้างหน้าเหมือนผีในหนังจีน

แสงไฟหน้ารถส่องให้เห็นภาพนั้นเต็มตา!

สุดสยองที่สุดในชีวิต นักโทษประหารคู่นั้นเองค่ะ เลือดแดงเต็มอกเลย ลุงจัดจำได้แม่นเพราะแกไปยืนดูตอนเขายิงเป้าเหมือนกัน

ลุงจัดเล่าว่าหลับตาปี๋ กระทืบคันเร่งไม่รู้ตัว สองหูอื้ออึงแต่ได้ยินเสียงร้องโอ๊ย...รู้สึกเหมือนรถวิ่งทะลุก้อนน้ำแข็ง หนาวจนสะท้านไปทั้งตัว หัวใจยังไม่หยุดเต้นก็บุญโขแล้วค่ะ

รุ่งขึ้นแกเป็นไข้ นอนเพ้ออยู่หลายวันจนป้าสงัดต้องไปขอน้ำมนต์ในวิหารพระเจ้าตากมาให้กินถึงค่อยทุเลา

ต่อมามีคนเห็นผีหน้าวัดบ่อยๆ จนแทบจะชินชากันไปหมด ก็เห็นบ่อยนี่คะ หลอกได้หลอกไป ไม่กลัวซะอย่าง...ปรากฏว่าวิญญาณผีตายโหงค่อยๆ จางหาย แต่ไปโผล่ที่หน้าวัดจันทรารามน่ะซีคะ...พอคนที่นั่นเริ่มเฉยๆ ผีร้ายก็ย้ายไปหลอกหลอนแถววัดเวฬุราชินดื้อๆ

ปีนี้หนูอายุ 12 ปีเต็ม ย่าง 13 ปีแล้ว ต้องรออีกหลายปีกว่าจะมีสิทธิ์ไปเลือกส.ส.ได้...ถึงตอนนั้นไม่รู้ใครจะย้ายพรรคแบบวันเว้นวันย้ายทีเหมือนตอนนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้นะคะ! เฮ้อ...

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEEyTVRFMU1BPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd055MHhNUzB3Tmc9PQ==



Create Date : 06 พฤศจิกายน 2550
Last Update : 6 พฤศจิกายน 2550 19:35:04 น.
Counter : 777 Pageviews.

1 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  

iamZEON
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 111 คน [?]



ยินดีต้อนรับทุกท่านนะครับ ^^/

ข่าวสารการ์ตูนญี่ปุ่น
กับเกี่ยวข้องอย่างภาพยนตร์-เพลง
รายชื่อการ์ตูนออกใหม่-งานหนังสือ
เรื่องทั่วๆไปทั้งในและนอกประเทศก็มีบ้าง
New Comments
Group Blog
All Blog
MY VIP Friend