พบกันที่คาเฟ่
พบกันที่คาเฟ่

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"จอห์นนี่" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกของนักเที่ยวราตรี

ผมเป็นหนุ่มวัยใกล้ 40 มีการงานทำเป็นหลักเป็นฐาน ถึงแม้ว่าค่าครองชีพจะถีบตัวพรวดๆ ขึ้นทุกวัน เนื่องจากน้ำมันขึ้นราคาสูงลิ่วเป็นประวัติการณ์ แต่ผมก็ไม่เดือดร้อนเพราะยังดำรงสถานภาพชายโสดอยู่น่ะซีครับ!

แหม! ถ้ามีเมียมีลูกกำลังกินกำลังเล่น โดยเฉพาะอยู่ในวัยกำลังเรียนแบบเพื่อนรุ่นพี่อีกหลาย

คน...มีหวังประสาทไม่ค่อยเป็นปกติเหมือนกันละน่า

ตอนนี้ยังมีโอกาสก็ต้องหาความสุขใส่ตัวไว้ก่อน ใครจะว่าอะไรก็ช่าง

คิดดูซีครับ ถ้าเราห่วงอนาคต เขาก็ให้เราคิดถึงวันนี้เท่านั้น แต่พอเราทำตาม เขาก็บอกให้เราคิดถึงอดีตเอาไว้ จะได้ไม่ลืมตัว...อ้าว? พอเราคิดถึงอดีต เขาก็หาว่าเป็นคนคิดมากฟุ้งซ่าน...ขอให้คิดถึงปัจจุบันดีกว่า...ไม่รู้จะให้ทำยังไงกันแน่?

ฮะแอ้ม! ผมชอบคำคมที่ว่า...เรามีเวลาอยู่ในโลกนี้ไม่นานนัก จะกลัดกลุ้มเป็นกังวลไปทำไม หาเวลาหยุดดมดอกไม้ซะมั่งเถอะน่า!

ดอกไม้สุดโปรดของผม หาง่ายที่สุดเพราะเป็นดอกไม้ริมทางไงครับ

ไม่ต้องมีพันธะผูกพันใดๆ ดีไม่ดีจะกลายเป็นภาระหนักอึ้งที่หลัง...ก็เรายังไม่พร้อมนี่นา จะหาห่วงมาผูกคอทำไม? ผมเลยหาโอกาสเที่ยวเตร่ตามผับตามบาร์ คาเฟ่ หรือคาราโอเกะที่ผุดสะพรั่งเต็มบ้านเต็มเมืองเหมือนดอกเห็ดฤดูฝน

ต้องออกตัวว่าไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน รวมทั้งตัวเอง เพราะผมไม่ได้เที่ยวแบบสำมะเลเทเมา แต่เอาสนุกเข้าว่า ไม่ถึงกับบ่อยแบบคนติดเที่ยว แต่ระวังสุขภาพตามสมควร กับคอยดูเงินในกระเป๋าไว้ด้วย

ผมอยู่คนเดียวในบ้านแถวบางขุนนนท์ พ่อแม่ทิ้งไว้ให้ก่อนจะลาโลกไป แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไรเพราะมีเพื่อนบ้านช่วยดูแลเวลาผมไม่อยู่ อาหารการกินก็จัดการข้างนอกเรียบร้อย...นานๆ จะนึกครึ้มซื้อหาอะไรมากินเอง

ระยะหลังๆ มานี่ผมชอบเที่ยวคาเฟ่ครับ!

ไม่ว่าคาเฟ่ใหญ่ๆ อย่างกรุงธนคอมเพล็กซ์ หรือธนบุรีพลาซ่า นักร้องเกือบร้อยคนแน่ะครับ แถมมีนักร้องนุ่งบิกินี เซ็กซี่อย่าบอกใคร...ลงมาถึงระดับราคาย่อมเยาแถวย่านปิ่นเกล้าฯ ช่วงหลังนี่ผมไปปิ๊งนักร้องน้องรักที่นั่น จนเกิดเรื่องขนหัวลุกขึ้นมา...

"น้องอร" เคยร้องอยู่ตามคาเฟ่หลังพาต้ามาก่อน ผมรู้จักเธอที่นั่นแหละ ก่อนที่น้องอรจะย้ายไปอยู่คาเฟ่แถวถนนอรุณอัมรินทร์ ย่านใกล้ๆ กันนั่นเอง

ทำไมผมถึงปิ๊งน้กร้องน้องรักคนนี้เข้าเต็มเปาน่ะหรือครับ?

ขาว สวย หุ่นดีมาก พูดจาดี ไม่มีวี่แววว่าจะรอบจัดใดๆ โธ่! ผมเที่ยวราตรีมาเกือบ 20 ปีทำไมจะดูไม่ออกว่าใครเป็นยังไง? สาวสวยดูใสซื่อนี่สเป๊กผมจริงๆ เอ้า!

น้องอรย้ายคาเฟ่ ผมก็ย้ายที่เที่ยวตามเธอ เรื่องจะมีแฟนหรือแขกมาติดน่ะผมไม่สนให้เมื่อย ใครดีใครได้นะครับ เรื่องแบบนี้น่ะ

ผมแวะไปหาเธอ 2-3 ครั้ง น้องอรก็ปราดเข้ามานั่งโต๊ะด้วยทุกครั้ง นักร้องตั้ง 30-40 คน ไม่ต้องกลัวว่าแขกจะเหงาเพราะขาดเพื่อนคุย...ที่นั่นดีอย่างที่ไม่มีดริงก์มากวนใจแขก นอกจากตอนที่น้องหนูร้องเพลง เราก็ติดมาลัยน้ำใจทีละ 2-3 ร้อยบาท บางคนใจถึงติดแบงก์สีม่วงก็มี

เท่าที่เคยพบกันน่ะ น้องอรไม่ได้นั่งโต๊ะใครนอกจากผม...อาจจะเห็นว่าผมเที่ยวคนเดียว หรือถูกชะตาผมเป็นพิเศษก็ได้...เรื่องของคนกลางคืนน่ะ ไม่ว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น

คืนหนึ่ง ผมชวนเธอออกไปหาอะไรกิน น้องอรก็ออกไปด้วยตอนคาเฟ่เลิกตี 3 โดยไม่เปลี่ยนชุดยาวสีฟ้า ปักดิ้นเลื่อมพราวเชียว...ตอนลงจากรถเดินไปร้านข้าวต้มติงลี่เล่นเอาผู้คนที่นั่นหันมองเป็นตาเดียวกัน...

ตอนจบ เธอขอตัวกลับห้องเช่าในซอยแถวนั้น ผมก็ไม่ขัดข้องอะไร...

จนกระทั่งวันเสาร์ต่อมา ผมนั่งชงเหล้าอยู่ที่ระเบียงบ้านเตี้ยๆ ว่าจะไม่ออกไปไหนแล้วเชียวนา...มารู้ตัวอีกทีก็ไปนั่งซดเหล้ามองดูหน้าสวยๆ ของน้องอรที่มุมสลัวในคาเฟ่ซะแล้ว...ซักพักใหญ่ๆ เธอก็บอกว่าจะกลับไปเยี่ยมบ้านที่เชียงราย คงจะอยู่ที่นั่นหลายวัน

"เดี๋ยวเราออกไปเลยนะพี่ อรลาผู้จัดการเรียบร้อยแล้ว" เธอบอกให้ผมลิงโลดใจ...ไปกินข้าวต้มที่ติงลี่ตามเคย แค่คืนนั้นไม่มีใครสนใจเหมือนคืนก่อน...ผมขอไปส่งเธอที่ห้องแต่น้องอรบอกว่า...ขอไปค้างบ้านพี่ละกัน!

เรื่องแบบนี้เอาแน่ไม่ได้จริงๆ ครับ...ผมรีบพาเธอมาขึ้นแท็กซี่มุ่งหน้ากลับบ้านทันที...พอเข้าห้องนอนผมก็ใส่กลอนเรียบร้อย กลิ่นน้ำหอมอวลกรุ่นเย้ายวนใจสิ้นดี

เราโผเข้าหากันเหมือนถูกแม่เหล็กดึงดูด...ไม่ช้าก็ขึ้นไปคลุกเคล้ากันอยู่บนเตียง เสื้อผ้าหลุดกระเด็นไปไหนไม่มีใครสนใจอีกแล้ว นอกจากการกอดจูบอย่างเร่าร้อน อ้อมแขนสองคู่โอบกระหวัดรัดกันแนบแน่นเหมือนจะผนึกเป็นเนื้อเดียวกันตลอดกาล...

มาตื่นอีกทีก็สายมากแล้ว น้องอรไม่ได้อยู่บนเตียง...ในห้องน้ำก็ไม่มี ประตูห้องยังใส่กลอนเหมือนเดิม ผมเผ่นไปที่หน้าต่างทั้งหัวนอนและด้านข้าง...มันติดเหล็กดัดแน่นหนาจนไม่มีใครเล็ดลอดออกไปได้แน่ๆ ยกเว้นแต่ว่าน้องอรจะไม่ใช่คน!

คุณพระช่วย! เมื่อคืนผมนอนกับผีน่ะซี?

กลิ่นน้ำหอมของเธอยังอ้อยอิ่งอยู่ในห้อง เล่นเอาผมตาลายพร่า เย็นสันหลังวูบวาบ เข่าอ่อนจนต้องเซซังไปนั่งแหมะที่ขอบเตียง...สองหูอื้ออึง แต่ได้ยินเสียงใครถอนใจยืดยาวเหมือนคนเหน็ดเหนื่อยเต็มประดา...

คงไม่ต้องบอกนะครับ ว่าผมเลิกเที่ยวคาเฟ่ตั้งแต่นั้นมา!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEUzTVRJMU1BPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd055MHhNaTB4Tnc9PQ==



Create Date : 17 ธันวาคม 2550
Last Update : 17 ธันวาคม 2550 19:39:00 น.
Counter : 803 Pageviews.

0 comment
ต้นไทร ก.ม.11
ต้นไทร ก.ม.11

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"นายหนุ่ม"เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากใต้ต้นไทร

ผมเคยเล่าเรื่องผีลุงม้วนที่แผงลอยขายยาดองมาแล้ว เพื่อนซี้ของผมคือเจ้าหงกับเจ้าตี๋เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพราะมันไม่ได้นั่งคุยกับลุงม้วนเหมือนผม พอแกเห็นว่าพวกมันขี่รถมาก็เลยขอตัวไปก่อน เหลือแต่แก้วยาดองเปล่าๆ เป็นพยาน

ความที่เป็นหนุ่มโสดนักเที่ยว เสาร์อาทิตย์พวกเราก็นัดเจอกันแถวบ้านผม หลังสถานีรถไฟบางเขนมั่ง แถวชุมชนภักดีกับชุมชนสวนผักของเพื่อนเกลอทั้งสองมั่ง...เรียกกันติดปากว่าชุมชนก.ม.11

วันเกิดเหตุ เจอเรื่องขนหัวลุกก็เช่นกัน!

ผมบึ่งแมงกะไซค์คู่ชีพมาหาเพื่อนที่หน้าชุมชนภักดี ใกล้ๆ จะสุดทางที่เลียบทางรถไฟแล้วล่ะครับ เห็นเขาว่าจะตัดถนนไปออกบางซ่อน พอๆ กับจะสร้างโฮปเวลล์ต่อซะที เป็นเสาเป็นคานโด่เด่น่าเกลียดน่ากลัวมาตั้งสิบปีได้แล้วมั้ง?

เรานัดเจอกันที่ปากทาง แถวๆ ศาลปู่แก้วย่าพิมพา มีแผงขายผัดไทยป้าแดงกับข้าวแกงน้องเฟิร์น แต่พักหลังไม่ค่อยขาย ตกบ่ายๆ ก็กลายเป็นแผงขายผลไม้ พวกกล้วย ส้มเหมือนกับเพิงขายยาดองที่ขายมั่งไม่ขายมั่งตามใจชอบ

ราวหกโมงเย็นพวกเราก็พบกันตามนัด...เจ้าหงขี่รถให้เจ้าตี๋ซ้อนท้าย เราสวมหมวกนิรภัยเรียบร้อยครับ เพราะไม่ได้โฉบไปมาแถวใกล้ๆ บ้าน แต่ว่าจะไปหาอะไรกินกันแถวห้าแยกลาดพร้าวโน่นแน่ะ

แถวหลังเพิงขายยาดองมีทางให้ลัดเลาะข้ามทางรถไฟใกล้ๆ กับยกพื้นสถานีย่อยก.ม.11 ไปออกถนนกำแพงเพชร...หรือเรียกโก้ๆ ว่าโลคัลโร้ดนั่นประไร!

ก่อนจะข้ามทางรถไฟ ผมหันไปเห็นหนุ่มสาวคู่หนึ่งเดินเคลียคลอกันไปทางต้นไทรใหญ่ แผ่กิ่งก้านร่มครึ้ม รากห้อยระย้าน่าวังเวงใจ...ดูเหมือนจะเป็นห้องแถวไม้เก่าๆ ราว 3-4 ห้อง แต่ปิดเงียบเชียบหมดทุกห้อง

จนกระทั่งร้านอาหารที่เป็นจุดหมาย...

แหม! แถวใกล้ๆ ห้างเซ็นทรัล ไม่ว่ารถราหรือผู้คนขวักไขว่คึกคักกันทั้งวัน ยิ่งตอนเย็นๆ ค่ำๆ แบบนี้หายห่วง ทั้งคนทำงาน นักเรียนนักศึกษา หนุ่มสาวไม่รู้มาจากไหนคึ่กๆ ส่วนน้อยคงจะไปเดินห้าง แต่ส่วนใหญ่ก็มักจะรอรถเมล์กลับบ้าน

พวกเราเคยไปกินร้านนี้เมื่ออาทิตย์ก่อน "น้องสวย" สาวเสิร์ฟร้านนี้หน้าตาสะสวยสมชื่อ แถมหุ่นเซ็กซี่อีกต่างหาก เจ้าตี๋ถึงกับมองตาเยิ้ม พึมพำว่า...อกเป็นอก! สะโพกเป็นสะโพก เหลือกินเหลือใช้จริงๆ ว่ะ

ไม่ใช่เราโต๊ะเดียวหรอกครับ พวกไอ้หนุ่มโต๊ะอื่นๆ ก็เหล่เธอแทบเป็นตาเดียวกันทั้งนั้น...สงสัยเจ้าของร้านจะหัวแหลม จ้างน้องสวยไว้ล่อไอ้เข้แหงๆ

ได้เหล้าเข้าไปคนละ 2-3 แก้ว เราก็คุยเรื่องผีกัน!

เจ้าหงยอมรับว่าเชื่อแล้วที่ผมคุยกับผีลุงม้วน โดยไม่รู้ว่าแกโดนรถชนตายแหงแก๋อยู่ที่วัดเสมียนนารี เพราะคืนนั้นพวกเพื่อนบ้านที่ไปฟังสวดศพก็มีคนเห็นแกทำลับๆ ล่อๆ อยู่แถวหน้าโลงศพ

"ฟังสวดเสร็จพากันกลับ" มันเล่าเสียงตื่นเต้น "พอจะเดินไปที่รถแถวลานวัดอ้าว? ลุงม้วนแกเดินนำหน้าปร๋อเฉยเลย ป้าสายกับยายส่งถึงกับเป็นลม แต่ป้าดาอาการหนัก แกปล่อยซ่าออกมาตรงนั้นเอง! สาบานว่าไม่ได้ตั้งอกตั้งใจจริงๆ ไม่รู้ว่าหลั่งไหลออกมาได้ยังไง?"

"น้าอ๋อยขายลูกชิ้นปิ้งก็โดน" เจ้าตี๋เล่ามั่ง "ตอนนั้นยังไม่ทันจะค่ำ เพิ่งหาบผ่านพ้นต้นไทรมาเกือบถึงหน้าศาลปู่แก้ว ได้ยินเสียงเรียกอ๋อยๆ พอหันไปมองก็เห็นลุงม้วนยืนโบกมือเรียกอยู่หน้าเพิงยาดอง...คงอยากกินลูกชิ้นปิ้งแกล้มเหล้าละมั้ง?"

"แล้วน้าอ๋อยแกว่ายังไงวะ?" เจ้าหงถามเสียงหัวเราะ...มันคงรู้เรื่องดีอยู่แล้ว

"ไม่ว่าอะไรซักคำ แต่วิ่งหนีไม่คิดชีวิต หาบกระจายไปทางไหนก็ช่างมัน ร้องตะโกนแต่ว่า ผีหลอกๆๆ...เตลิดเปิดเปิงไปเกือบถึงสวนผักแน่ะ"

ผมอดหัวเราะไม่ได้...กระทั่งวิสกี้ยอดฮิตราคาย่อมเยาหมดขวด...เราทั้งอิ่มทั้งมึนกำลังดี พากันกลับทางเก่า...ถึง ก.ม.11 ผมจะเลยไปอยู่แล้ว แต่เจ้าหงชวนให้ข้ามทางรถไฟ บอกว่าไปทางตรงปลอดภัยกว่าเพราะถนนโล่งกว่าโลคัลโร้ดเป็นไหนๆ

พอข้ามไปเท่านั้น ผมก็เห็นหนุ่มสาวคู่หนึ่งกำลังเดินลับไปทางต้นไทร...แบบเดียวกับขามาไม่มีผิด!

"เอ๊ะ! หนุ่มสาวคู่เดิมที่ข้าเห็นตอนนั้นนี่หว่า..." ผมร้อง เจ้าหงหัวเราะ หาว่าผมเมาจนตาลาย ขี่รถมาถึงนี่น่าจะสร่างแล้วนะ! แต่ผมยืนยันว่าเห็นจริงๆ เราเลยเลี้ยวซ้ายไปดูกัน...

ตอนนั้นห้าทุ่มกว่าแล้ว นอกจากโครงเสาโฮปเวลล์ตั้งตระหง่าน กับเพิงขายของโกโรโกโส แผงลอยเก่าๆ ชุมชนแออัดดับไฟมืดเกือบหมดสิ้น เสียงหมาเห่าหอนเบาๆ มาจากด้านในน่าวังเวงใจสิ้นดี...

ใต้แสงไฟเยือกเย็น เราเห็นหนุ่มสาวคู่หนึ่งกำลังเดินช้าๆ ไปที่โต๊ะม้าหินบนลานกว้างหน้าห้องแถวทรุดโทรม...ผมพยักหน้าให้เจ้าหงกับเจ้าตี๋ดูให้เต็มตา

นรกเป็นพยาน! หนุ่มสาวคู่นั้นหยุดชะงัก อาจจะได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์ของเราก็เป็นได้ เลยหันมามองช้าๆ แต่ว่าใบหน้าขาวโพลนคู่นั้นว่างเปล่า ไม่มีนัยน์ตา จมูกและปากเหมือนคนธรรมดา ผมผงะหน้า แก้วหูลั่นเปรี๊ยะ ได้ยินเสียงเพื่อนเกลอร้องเฮ้ยๆๆ เหมือนดังแว่วมาจากที่ไกลแสนไกล

มือไม้สั่นเทาไปหมด ไม่รู้ว่าหักรถกลับได้ยังไง...แล่นเตลิดออกหน้า มีเจ้าหงกวดตามมาติดๆ ผ่านศาลปู่แก้วย่าพิมพา เตลิดเปิดเปิงไปถึงชุมชนสวนผักถึงได้ตั้งสติได้

คืนนั้น เราสามคนต้องอาศัยนอนมุ้งเดียวกับเจ้าตี๋ ไม่กล้ากลับบ้านเพราะกลัวเจอะเจออะไรที่น่าขนหัวลุกเข้าอีกน่ะซีครับ! บรื๋ออออ...

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEUwTVRJMU1BPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd055MHhNaTB4TkE9PQ==



Create Date : 14 ธันวาคม 2550
Last Update : 14 ธันวาคม 2550 19:45:33 น.
Counter : 738 Pageviews.

0 comment
ปอบจำแลง
ปอบจำแลง

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"มธุรดา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกของสาวใช้จากแดนไกล

"มีน" เป็นลูกพี่ลูกน้องของดิฉัน เธอสวยเหมือนตุ๊กตากระเบื้องที่น่าทนุถนอมมาตั้งแต่เด็กแล้ว แม้กระทั่งตอนนี้ อายุใกล้จะ 30 แล้วและมีลูก 2 คน เธอก็ยังดูเหมือนเดิมค่ะ

ลูกคนโตของมีนเป็นผู้ชาย ชื่อน้องม่อน อายุ 2 ขวบกว่า กำลังซน ส่วนคนที่ 2 เพิ่งจะคลอดมาดูโลกได้ไม่ถึงเดือน เป็นผู้หญิง ท่าทางจะสวยเหมือนแม่เพราะขาวผ่องเชียว มีนตั้งชื่อว่าน้องมด ตัวเธอเล็กนิดเดียว น่ารักน่าเอ็นดูเป็นที่สุด

เมื่อน้องมดเกิดมา มีนก็ต้องหาคนเลี้ยงเด็กเพิ่ม มันจำเป็นจริงๆ ค่ะ

ถึงแม้มีนจะอยู่บ้าน ไม่ได้ออกไปทำงาน ปล่อยให้คุณโชค - สามีหาเงินเข้าบ้านคนเดียวก็ตาม แต่ดังที่ได้บอกแล้วว่ามีนนั้นบอบบาง ทำงานบ้านไม่เป็น ถึงจะเลี้ยงลูกก็จริง แต่เธอหยิบจับอะไรไม่ค่อยถูก คุณป้าวลัย แม่ของเธอก็เป็นอัมพฤกษ์ ไม่สามารถจะมาช่วยเลี้ยงได้

ปกติมีนมีป้าจีบ - คนเก่าคนแก่ของคุณป้าวลัยมาช่วยเลี้ยงน้องม่อน และมีสาวไทยใหญ่เป็นคนรับใช้อยู่คนหนึ่ง ชื่ออุ้ม - แบบนางเอกน่ะค่ะ

การหาพี่เลี้ยงเด็กที่ยากน่าดู มีนไม่รู้จะไปหาที่ไหน ถ้าเอาเด็กจากศูนย์ก็จะต้องจ่ายแพง และรับประกันคุณภาพไม่ค่อยได้ สรุปแล้ว เธอตัดสินใจจ้างชาวต่างด้าวตามที่อุ้ม-สาวใช้คนโปรดนำเสนอ

วันที่เด้กใหม่เดินทางมาถึงบ้านมีนนั้น ดิฉันอยู่ด้วยพอดี!

พี่เลี้ยงคนใหม่มาจากชนบทอันไกลโพ้น...เธอข้ามมาจากพม่า แต่เป็นไทยใหญ่ อยู่บ้านเดียวกับอุ้ม หมู่บ้านที่อุ้มเคยเล่าฉอดๆ ว่ายากจน และผีดุจนเธอต้องหนีมาอยู่กรุงเทพฯ

เด็กใหม่นี่ผอม ดำ สูงราว 160 เซนติเมตร แต่ดูสูงมากเพราะผอมจนโย่งเย่งเก้งก้างพิกล หล่อนเดินหลังโก่ง ไหล่ห่อ ผมบางๆ ยาวเหยียดตรง และดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่เคยคิดรวบเกล้าให้เรียบร้อย ดิฉันมองหล่อนแล้วไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไหร่...ไม่ได้ดูถูกดูหมิ่นหรอกนะคะ แต่ถ้าคุณเห็นก็ต้องรู้สึกอย่างดิฉันเช่นกัน

ดิฉันจะบรรยายให้ฟังนะคะ

หล่อนมีใบหน้ากว้างเหมือนจะกลมแป้น แต่กลับมีเหลี่ยมที่ขากรรไกร โหนกแก้มสูง เห็นเป็นลูกคล้ายมีซาลาเปาอยู่ข้างใน ดั้งจมูกเหมือนแบนราบ แต่งอนตรงกลาย ดวงตาเล็กราวตาตัวตุ่น แต่มันมีแววจ้าแบบแปลกๆ

หล่อนจะมองหน้าเราแวบเดียวแล้วหลบลง มุมปากกระตุกยิ้มขันๆ เห็นแล้วน่าโมโห ไม่รู้จะขำอะไร?

อุ้มบอกว่าหล่อนเป็นคนข้างบ้าน กำลังอยากหางานทำ ให้เงินเดือนแค่สามพันก็อยู่ได้แล้ว และคงไม่ออกไปไหน...หนึ่งไม่ชอบเที่ยว สองยังไม่มีบัตร

ชื่อของหล่อนเหรอคะ? เรียกยากจริงๆ อุ้มออกเสียงคล้ายคำว่า "ซื่อ" แต่เป็นการพ่นลมขึ้นจมูก ลิ้นไทยๆ เราเรียกไม่ได้หรอกค่ะ ตกลงขอเรียกว่า "ส้ม" แล้วกัน ง่ายดี!

"เธอจะให้ยัยคนนี้เลี้ยงลูกเธอเรอะ?" ดิฉันกระซิบถามมีน เธอมองหน้า ทำตาบ๊องแบ๊ว ย้อนถามว่าจะให้ทำยังไงล่ะ?

มีนไม่ค่อยถูกชะตากับเด็กใหม่ และรู้สึกเช่นเดียวกับดิฉัน ..แต่หล่อนมาถึงนี่แล้วนี่คะ ถือถุงเสื้อผ้ามาใบเดียว ไม่ใช่กระเป๋านะคะ ข้อย้ำ! เป็นถุงพลาสติกก๊อกแก๊บ ดังนั้นจึงตกเป็นธุระของดิฉันหาเสื้อผ้ามาให้ และจัดการสัมภาษณ์ว่าเลี้ยงเด็กได้แน่ๆ ละหรือ? ถ้าเห็นท่าไม่ดีจะให้อุ้มเลี้ยงแทน และส้มไปทำงานบ้าน

บอกตามตรงว่า ถ้าหล่อนทำกับข้าวดิฉันคงกินไม่ลงแน่!

ส้มพูดไทยไม่ค่อยคล่อง แต่เธอยืนยันว่าเลี้ยงเด็กได้ เสียงพูดเธอเบาหวิวเหมือนลมพัดผ่านใบไม้

เด็กสาวมองน้องมด ตาวาวโรจน์...ดิฉันแน่ใจว่านั้นไม่ใช่แววรักเดด็ก เธอหันไปพูดกับอุ้ยเป็นภาษาพื้นเมือง และอุ้มพากษ์ไทยให้ฟัง

หล่อนพูดว่า...น่ากินจัง!!

นั่นไง! พอถึงตรงนี้ ดิฉันก็นึกออกว่าไอ้ที่ขุ่นๆ ใจอยู่น่ะ มันคืออะไร?

ดิฉันมองเด็กคนนี้ว่าเหมือนปอบค่ะ! บาปไม่บาปไม่รู้ล่ะ ดิฉันคิดอย่างนั้นจริงๆ และไม่สบายใจเลยที่มีนให้หล่อนเลี้ยงน้องมด...

เวลาผ่านไปเกือบเดือน สิ่งที่ดิฉันเสียวสยองก็ชักจะเข้าเค้า!

น้องมดไม่ค่อยแข็งแรงอย่างแรกเกิด แกซูบซีดและโยเย พอพาไปหาหมอก็ปรากฏว่ามีอาการโลหิตจาง และตับก็มีปัญหา

อีกอย่างหนึ่งคือป้าจีบ ซึ่งเป็นไม้เบื้อไม้เมากับส้มก็เจ็บออดๆ แอดๆ ทั้งที่เคยสุขภาพแข็งแรง...แกเล่าให้ฟังว่า สงสัยยัยสัมคนนี้จะเป็นปอบ!?

ตรงนี้ดิฉันต้องยืนยันว่าไม่เคยเอ่ยคำนี้กับป้าจีบเลย แต่แกเกิดคิดตรงกับดิฉันขึ้นมาซะงั้น! และอุ้มเอง ทั้งที่เป็นคนเอาส้มมา อุ้มก็เริ่มกลัวๆ เหมือนกัน

มีนฟังเรื่องทั้งหมดอย่างไม่สบายใจ แต่ก็ไม่กล้าเล่าให้สามีฟัง แถมไม่กล้าไล่ส้มออกด้วย...เธอไล่ใครไม่เป็น กลัวเขาจะโกรธ อีกอย่างหนึ่งส้มทำงานเรียบร้อย ดูแลน้องมดได้ดี

เมื่อไม่สบายใจมากขึ้นๆ ทุกที ดิฉันก็คิดหาทางออก แต่ยังไม่ทันไร ส้มก็ชิงลากลับบ้าน...เราถอนใจอย่างโล่งอก ป้าจีบให้ความเห็นว่า ปอบมันรู้ว่าเรารู้แล้วก็เลยอยู่ไม่ได้

ไม่ว่าจะอย่างไรก็แล้วแต่ น้องมดดีขึ้นหายเป็นปกติ ป้าจีบก็เช่นกัน

เรื่องนี้เป็นอุธาหรณ์ว่า ถ้าคิดจะรับสาวใช้จากชนบทที่ห่างไกล เราต้องพิจารณาดูให้รอบคอบ เรื่องความสะอาด อนามัย และ...ดูให้ดีว่าเธอเป็นผีปอบหรือเปล่านะคะ?!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEV6TVRJMU1BPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd055MHhNaTB4TXc9PQ==



Create Date : 13 ธันวาคม 2550
Last Update : 13 ธันวาคม 2550 19:52:03 น.
Counter : 728 Pageviews.

0 comment
ศาลาผีหลอก!
ศาลาผีหลอก!

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"ทองแดง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากศาลาท่าน้ำ

สมัยหนุ่มๆ ผมเคยอยู่หลังวัดกระโจมทอง ธนบุรี บรรยากาศสงบเงียบตามแบบของบ้านสวนทั่วๆ ไป ตกกลางคืนยิ่งเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว เสียงลมพัดลู่ไปตามยอดไม้ชวนให้วังเวงใจสิ้นดี!

ข้อสำคัญก็คือ ทำให้นึกถึงเรื่องผีๆ สางๆ อย่างช่วยไม่ได้ คนกลัวผีอย่างผมปอดกระเส่าน่าดู...แหม! เรื่องผีนี่ไม่เข้าใครออกใครนะครับ ขอบอก

ชาวบ้านที่จะออกไปทำงานก็ได้อาศัยรถสองแถว ที่มาสุดทางบริเวณลานหน้าวัดใกล้ๆ กับศาลาการเปรียญและเมรุเผาผี...ไปออกถนนจรัญสนิทวงศ์ 35 ระยะทางค่อนข้างไกลโข ขาไปไม่เท่าไหร่แต่ขากลับนี่ต้องแวะส่งผู้โดยสารตามรายทาง กล่าจะถึงหน้าวัดก็ปาเข้าไปตั้งครึ่งชั่วโมงกว่าแน่ะ

คนที่ต้องไปทำงานไกลๆ ถึงถนนราชวิถีอย่างผม ไหนจะต้องโหนรถเมล์สองต่อกว่าจะมาถึงปากซอยก็ตกค่ำแล้ว...สมัยนั้นยังไม่มีถนนสายใหม่บรมราชชนนีตัดผ่าน ให้รถราแล่นกันคึ่กๆ เหมือนทุกวันนี้นะครับ

ถึงแม้จะเจริญขึ้นก็จริง แต่มีพวกวัยรุ่นมาซิ่งรถกันสนั่น ชาวบ้านไม่เป็นอันหลับอันนอนกันล่ะ...ตำรวจมาดักจับได้ทีละ 20-30 คนเป็นประจำ

ข้างวัดมีคลองแคบๆ ค่อนข้างคดเคี้ยว ต้นไม้ร่มครึ้มแทบจะบดบังแสงแดดจนหมดสิ้น แต่ยังอุตส่าห์มีเรือหางยาวแล่นผ่าน ทะลุไปออกคลองบางกอกใหญ่ แต่ไม่ได้จอดที่ศาลาท่าน้ำของวัดหรอกครับ ผมเองก็ไม่เคยได้นั่งเรือสักที นอกจากตอนเช้าๆ เดินออกจากบ้านผ่านสวนกล้วยไม้ขนาดใหญ่ ข้ามสะพานเข้าเขตวัด มักจะเห็นเรือหางยางแล่นตะบึงจนน้ำกระจายผ่านไปบ่อยหน

บางวันกลับถึงบ้านเร็วหน่อย เจอะเจอกับการเผาศพที่เพิ่งจะเสร็จสิ้น แขกเหรื่อทยอยกันกลับ เอารถมาเองก็มี รอรถสองแถวก็มี ได้บรรยากาศน่ากลัวไปอีกแบบเหมือนกัน

เจ้าภาพยังตั้งวงเหล้ากันที่ศาลาท่าน้ำ อ้อยอิ่งอยู่จนมืดค่ำก็มี...บางทีมีคนรู้จักกันอยู่ก็ร้องเรียกให้ผมเข้าไปร่วมวงด้วย ขัดศรัทธาไม่ได้ก็แวะเข้าไปดื่ม 2-3 แก้วพอเป็นพิธี ก่อนจะเดินเลียบคลองไปขึ้นสะพานกลับบ้าน...โชคดีอย่างที่ผมไม่ได้เป็นนักเที่ยว ทำให้ไม่ต้องกลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ แถมรถราหายากอีกต่างหาก!

ว่าแต่คนที่กลับดึกๆ น่ะไม่กลัวผีมั่งหรือไง?

น่าแปลกตรงที่ลือว่าผีดุ แต่ไม่เคยมีใครถูกผีหลอกอย่างจังๆ สักที นอกจากเห็นเงาอะไรวูบๆ วาบๆ ซึ่งคิดว่าตัวเองตาฝาดหรือไม่ก็เกิดอุปาทานไปเอง เล่าให้ใครฟังเขาก็หาว่าเมาจนตาลายทั้งนั้นแหละครับ

มีอยู่รายชื่อพี่เสริม แกเล่าว่าเห็นใครนั่งชันเข่าอยู่ที่ศาลา สูบยาแดงวาบๆ แกเดินไปหันมองไปพลาง ตอนนั้นราวสามทุ่มกว่า...เอ๊ะ! ใครมานั่งสูบยาคนเดียวในที่เปลี่ยวๆ แบบนี้นะ? พอหันไปอีกทีก็ไม่เห็นเสียแล้ว ทั้งๆ ที่ไม่มีทางหลบไปไหนโดยแกไม่เห็นได้แน่ๆ เลย

ผีน่ะซี! พี่เสริมบอกตัวเอง แล้วก็โจนพรวดขึ้นสะพาน ไม่ตกน้ำตกท่าตายก็บุญแล้วนะ ผมว่า!

ในที่สุด ผมเองก็เจอดีเข้ากับตัวเองจังๆ

ตอนนั้นจำได้ว่าเปลี่ยนสัปเหร่อเป็นผู้หญิงพอดี...ไม่ใช่ใครอื่นหรอกครับ เขาว่าเป็นลูกสาวของสัปเหร่อคนเก่าน่ะแหละ สวยเสียด้วย พ่อแก่ตัวลงก็ให้ลูกสาวสืบอาชีพของตัวเองต่อไป พวกเราไม่เคยพบเห็นว่ามีสัปเหร่อผู้หญิงมาก่อน ก็เลยเห็นว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดไปเอง

วันนั้นเงินเดือนออก ผมกับเพื่อนๆ ก็หาอะไรกินแถวซังฮี้ตั้งแต่เย็นจนราวสองทุ่มก็ขอตัว พวกเพื่อนๆ ก็เข้าใจว่าบ้านผมต้องเข้าสวนเปลี่ยวลึกล้ำ ดีไม่ดีจะไม่ทันรถสองแถวเที่ยวสุดท้ายซะด้วยซ้ำ

มอเตอร์ไซค์รับจ้างน่ะ ถ้าไม่คุ้นกันจริงๆ ก็ไม่อยากเข้าไป ไม่ต้องพูดถึงแท็กซี่ก็ได้...พอเข้าซอยพ้นตึกแถวกับบ้านเรือนคึกคัก มีแต่เรือกสวนเปล่าเปลี่ยวก็มักจะถอดใจ ...จอดรถดื้อๆ บอกว่าขอส่งแค่นี้ละกัน...คงกลัวทั้งคน กลัวทั้งผีน่ะสิครับ!

ปรากฏว่าผมทันรถสองแถวเที่ยวสุดท้ายพอดี...มีคนลงเป็นระยะๆ จนสุดทางที่เหลือแต่ผมคนเดียว

รถตีวงกลับไปแล้ว ทิ้งให้ผมเดินดุ่มๆ ผ่านเมรุเผาผีที่โดดเด่นอยู่ทางขวามือเพียงเดียวดาย...หมาเจ้ากรรมก็โก่งคอหอนโหยหวนเยือกเย็น เขาว่ามันหอบเพราะเห็นผีไม่ใช่หรือคุณ?

แสงสว่างจากเสาไฟฟ้าดูแน่นิ่ง สรรถสิ่งเงียบเชียบ ลมไม่พัด ยอดไม้ไม่เกิดเสียงซู่ซ่า ยกเว้นแต่เสียงหมาหอนแล้วก็ไม่มีเสียงอะไรอีก...ผมรีบก้าวยาวๆ ไปตามทางเดินเลียบคลอง มุ่งหน้าไปที่สะพาน...แต่แล้วก็ต้องชะงักงัน

เสียงเรือหางยาวดังมาจากด้านซ้ายมือ!

เอ...กลางค่ำกลางคืนแบบนี้ไม่เคยมีเรือแล่นนี่นา? ผมสงสัยจนต้องหันไปดูก็เห็นศาลาท่าน้ำตั้งโดดเด่นอยู่ในม่านตา หลังคากระเบื้องเก่าแก่ผุกร่อน...แต่มีเสียงร้องขึ้นว่า ...มากินเหล้ากันก่อนสิเพื่อน! เล่นเอาสะดุ้งเฮือก จ้องมองให้แน่ใจก็เห็นภาพนั้นเข้าเต็มตา

คนกลุ่มหนึ่งกำลังล้อมวงกัน แต่หันมามองผมเป็นจุดเดียวพลางหัวเราะฮ่าๆๆ จนผมขนลุกซ่า...ใบหน้าดำเกรียม นัยน์ตาแดงจ้าเหมือนแสงไฟน่าสยดสยองสิ้นดี

ความมืดสาดพรึ่บเข้ามาเต็มหน้า ผมร้องเฮ้ย! เผ่นพรวดขึ้นสะพานแทบจะเหาะได้ วิ่งอ้าวไม่เหลียวหลังรวดเดียวจนถึงบ้าน หอบแฮ่กๆ ปิ่มว่าจะขาดใจ...ไม่ช้าผมก็มาเช่าห้องอยู่ใกล้ๆ ที่ทำงานเพราะไม่อยากโดนผีหลอกจนช็อกตายน่ะสิครับคุณ!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEV5TVRJMU1BPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd055MHhNaTB4TWc9PQ==



Create Date : 12 ธันวาคม 2550
Last Update : 12 ธันวาคม 2550 19:19:50 น.
Counter : 766 Pageviews.

0 comment
ศาลาหกเหลี่ยม
ศาลาหกเหลี่ยม

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"กลิ่นพิกุล" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากศาลาริมสนาม

ซุ้มศาลาไม้ทรงหกเหลี่ยมนั้นสวยสะดุดตาสะดุดใจดิฉันจริงๆ ตั้งแต่แรกเห็นที่ร้านต้นไม้แถวบางแค มันถูกใจจนต้องจอดรถลงไปเจรจากับเจ้าของร้าน...ในที่สุดมันก็ถูกยกมาไว้ที่บ้านแถวบางพลัด

"เหตุผลหนึ่งดิฉันอยากได้มันเหลือเกิน ก็เพราะปีนี้คุณแม่อายุครบ 60 ปี ท่านเคยพูดมานานแล้วว่าอยากมีศาลาเล็กๆ ตั้งริมสนาม เวลาแขกไปใครมาจะได้มานั่งคุยกันในที่โปร่งโล่ง...แทนที่จะอุดอู้อยู่ในห้องรับแขก

สนามหญ้าบ้านเรากว้างขวาง มีดอกไม้ปลูกไว้สะพรั่งเชียวค่ะ...

ต้นจำปีที่อยู่มาตั้งแต่สมัยคุณยาย ซึ่งก็เกือบ 50 ปีแล้ว...ก่อนดิฉันเกิดตั้ง 10 ปีแน่ะ ต้นสูงใหญ่ ออกดอกสะพรั่ง หอมกรุ่นขจรขจาย และให้ร่มเงาอย่างวิเศษ

มุมสนามด้านหนึ่งมีซุ้มนมแมว ส่งกลิ่นชื่นใจทุกค่ำคืน บางคนบอกว่ามันหอมแรงจนฉุนน่าเวียนหัว แต่ดิฉันชอบมาก มันได้บรรยากาศไทยๆ ดีออก

คุณแม่เป็นแบบฉบับผู้หญิงไทยเต็มตัว คือทำกับข้าวเก่งเช่นเดียวกับน้องสาวซึ่งยังเป็นโสด เธอใกล้ 30 แล้วค่ะ คิดว่าอยู่ตัวคนเดียวสบายกว่า เธอจะหาแต่หนุ่มๆ ที่สมบูรณ์แบบ...ชาตินี้ไม่ได้แต่งงานแน่ๆ

เมื่อทางร้านขนซุ้มศาลามาตั้งข้างซุ้มราชาวดี คุณแม่ก็ชอบอกชอบใจมาก...

ศาลาไม้หลังนี้สวยแปลกตาดีจริงๆ มีขอบเป็นไม้ที่ฉลุลวดลายเถาวัลย์ งดงามมาก ถ้าดูดีๆ จะเห็นว่าเขาแต่งเป็นฝูงนก ฝูงกระต่าย แฝงอยู่ในเครือเถาวัลย์นั้นด้วย

ศาลากลางสนามทั่วๆ ไปมักจะเป็นทรงกลม แต่หลังนี้เป็นหกเหลี่ยมขนาดกำลังดี นั่งได้สบายๆ สิบคน ตรงกลางอาจจะมีโต๊ะไม้เล็กๆ ไว้วางขนม วางอาหารได้ น้องสาวจัดแจงยกเตาบาร์บีคิวมาไว้ใกล้ๆ ให้เราฉลองศาลาในค่ำคืนแรก ด้วยการย่างเนื้อ ย่างกุ้ง นั่งกินกันเพลิดเพลิน...

ไม่กี่วันต่อมา มีเพื่อนคุณแม่มาหาที่บ้าน

ดิฉันเรียกท่านว่าคุณป้ารจิต อายุ 70 กว่าแล้วนะคะ แต่เก่งมาก คล่องแคล่ว คุยสนุก ยังขึ้นรถเมล์หรือซ้อนมอเตอร์ไซค์ได้ราวกับสาวๆชอบทำอาหารเหมือนคุณแม่...ด้วยความที่เป็นเชื้อสายตระกูลผู้ดีชาวรั้วชาววัง ท่านจึงมีความรู้เรื่องไทยๆ มาสอนพวกดิฉันเสมอ

พอคุณป้ารจิตเห็นศาลาหกเหลี่ยมริมสนามของเรา ท่านถึงกับชะงักและมองมันอย่างพิจารณา พลางถามเสียงเรียบๆ เย็นๆ ว่า "นั่นหนูได้มาจากไหน?"

ดิฉันเล่าให้ฟัง คุณป้ารจิตครุ่นคิดอยู่นาน พอคุณแม่ขอตัวเข้าครัว ท่านก็บอกว่า เดี๋ยวจะตามไป แต่ดึงมือดิฉันไปคุยด้วย

...เล่าว่าศาลานี้ท่านจำได้ไม่ผิดแน่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีกระต่ายตัวหนึ่ง ตรงหูมันหักไป! ท่านชี้ให้ดู และดิฉันก็ออกจะตกใจไม่น้อยเลย เพราะแสดงว่าคุณป้าจำไม่ผิด!

เดิมที ศาลานี้อยู่ที่บ้านผู้ดีเก่าท่านหนึ่ง มันเคยวางริมสนามแบบนี้ เคยเป็นที่สำราญใจของผู้คนมายาวนาน

แล้วทำไมเจ้าของถึงได้ขายมันล่ะ?

"ทำบุญนะหนู" คุณป้ากระซิบ "นิมนต์พระมาทำสังฆทานก็ได้...ทำซะนะ!"

ท่านย้ำแล้วย้ำอีก จนดิฉันสังหรณ์ใจว่าต้องมีอะไรแน่ๆ แต่ท่านไม่ยอมเล่า

ไม่ทราบว่าเพราะคิดฟุ้งซ่านหรือเปล่า? ดิฉันฝันว่าตัวเองไปอยู่ในบ้านใหญ่หลังหนึ่ง มีศาลาหกเหลี่ยมนี่ตั้งริมสนาม และมีงานเลี้ยงที่ติดไฟระยิบระยับไปหมด

ฉับพลัน มีแขกคนหนึ่งในงานล้มพับ และถูกหามมานอนบนม้านั่งในศาลา...ซึ่งนาทีนั้นเอง ชายสูงวัยที่ล้มนั่นก็กลายเป็นศพ และศพนั้นก็ลุกขึ้นหลอกหลอนอย่างน่ากลัว...แขกเหรื่อคนอื่นวิ่งหนีกันวุ่นวาย

เมื่อดิฉันโทรศัพท์ไปเล่าให้คุณป้ารจิตฟัง ท่านบอกว่า...นั่นแหละคือสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีต!

สุภาพบุรุษชราผู้หนึ่งหัวใจวาย และตายในศาลาหลังนี้ จากนั้นก็มีคนเห็นเขามานั่งอยู่ในศาลาแทบทุกคืน จนเจ้าของให้คนสวนกำจัดมันไป จะเอาไปขายหรือไว้ที่ไหนก็ตามใจ

สุดท้ายมันก็มาอยู่ที่บ้านดิฉัน!

น้องสาวกลัวมากค่ะ ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยกลัวผีสางนางไม้อะไรเลย คุณแม่เองก็ไม่สบายใจ ผลก็คือ ดิฉันไปติดต่อกับร้านที่ดิฉันซื้อมาและเล่าให้เขาฟังตามตรง...เขาขอโทษขอโพยและยอมรับซื้อคืน แถมยังเอารถมาขนกลับไปด้วย...

เขาเล่าว่ามีคนซื้อไป 2-3 ราย แล้วเอามาคืนแบบนี้ทุกคน ยังดีนะที่ดิฉันไม่โดนผีหลอกอย่างรายอื่น ซึ่งบางคนเห็นอย่างเต็มตา เป็นผู้ชายร่างผอม ผมขาว มานั่งสูบไปป์อยู่ในนั้นค่ะ!

ดิฉันถามเขาว่าเจ้าของร้านเคยเห็นไหม? เขาบอกว่าไม่เคย แต่มีอยู่วันหนึ่งที่เขาได้กลิ่นเน่าคละคลุ้ง และหาที่มาไม่ได้

น่าเสียดายจริงๆ แต่คิดๆ ก็ใจหายนะคะ

ศาลานี้มาอยู่ที่บ้านดิฉัน 2 คืน ไม่รู้สิ...ถ้าอยู่ต่อเราจะเจออะไรบ้าง?

อย่างไรก็ตาม ดิฉันหาศาลาริมสนามมาให้คุณแม่จนได้ เป็นซุ้มศาลาที่ทำใหม่ๆ เลยล่ะค่ะ ยังมีกลิ่นเล็กเกอร์อยู่เลยนะ...แต่นึกถึงศาลาหกเหลี่ยมหลังเก่าทีไร เสียวสันหลังทุกที!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEV4TVRJMU1BPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd055MHhNaTB4TVE9PQ==



Create Date : 11 ธันวาคม 2550
Last Update : 11 ธันวาคม 2550 19:32:34 น.
Counter : 1109 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  

iamZEON
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 111 คน [?]



ยินดีต้อนรับทุกท่านนะครับ ^^/

ข่าวสารการ์ตูนญี่ปุ่น
กับเกี่ยวข้องอย่างภาพยนตร์-เพลง
รายชื่อการ์ตูนออกใหม่-งานหนังสือ
เรื่องทั่วๆไปทั้งในและนอกประเทศก็มีบ้าง
New Comments
Group Blog
All Blog
MY VIP Friend