ภัยแห่งสังสารวัฏนั้น น่ากลัวยิ่งกว่าภัยอื่นใด - อัสติสะ
Group Blog
 
All blogs
 

๔๘๕ สิ่งดูดกลืนความสุข


เป็นเวลาอันยาวนานแสนนานที่ห่างจากการปรับปรุงเพิ่มเนื้อหาของ blog จริง ๆ ก็เกือบจะเลิกเขียนแล้ว สาเหตุก็มีหลายอย่าง อย่างหนึ่งเลยก็คือสมาธิ และเวลา แล้วก็อีกอย่างเริ่มรู้สึกว่าเขียนไปมากเท่าไหร่ รูปแบบการเขียนก็ยังคงวนเวียนอยู่กับที่ พูดง่ายก็คือหมดการพัฒนาทางการสื่อสารภาษาเขียน อีกอย่างคือตั้งแต่ออกจากงานประจำเมื่อห้าปีก่อน ก็ต้องทำงานหนักมาก ๆ ๆ ๆ ขึ้น เวลาที่ออกไปตามวัดวาก็น้อยลงอย่างน่าใจหาย

แต่ก็ไม่ได้ลืมธรรมะ ยังคงฟังธรรมบ้าง ปฏิบัติน้อยลงมาก เรียกถูกกิเลสเข้าครอบงำจนหมดสภาพทีเดียว แต่ก็พออ้างได้บ้างว่ายังอยู่ในสายธรรมเหมือนเดิม เพราะก็ยังนึกถึงพระพุทธเจ้าเสมอ อีกไม่กี่วันข้างหน้าก็จะเดินทางไปอินเดีย เป็นครั้งที่ ๔ ในรอบ สอง ปี ซึ่งก็ถือว่าเยอะสำหรับคนทั่ว ๆ ไป

ในใจอยากจะเขียนเรื่องราวของอินเดียเหลือเกิน แต่มันยังไม่มีเวลาลงตัว อยากจะจบ Blog ให้ถึง ๕๐๐ บท แล้วค่อยใส่บทเสริม อินเดียเข้าไปก็น่าจะดี แต่คงไม่ค่อยมีใครเข้ามาอ่าน ซึ่งก็เข้าใจดี เพราะข้อมูลทุกวันนี้มีเยอะมาก ๆ มีหลายต่อหลายคนก็เขียนรีวิวไว้อย่างดีแล้วก็เลยไม่รีบ แต่ขอบอกเลยว่าทำแน่นอน เพราะอินเดียมีเรื่องราวน่าสนใจมากมาย

โพสหัวเรื่องไว้ แต่สิ่งที่เกริ่นออกจะหลุดจากหัวเรื่องไปไกล เอาล่ะ กลับมาเข้าเรื่อง

ในหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา ลองถามตัวเองเสมอ ๆ ว่าความสุขของเราอยู่ในระดับไหน คำตอบกับรู้สึกลดลงกว่าสมัยก่อนมาก ๆ เรามีความสะดวกสบายทางการติดต่อสื่อสาร การหาข้อมูล อาหารการกิน แต่ทำไมความสุขมันดูหดลดน้อยลงล่ะ

ข้าพเจ้ามีหนังสือที่ซื้อดองไว้มากมาย แต่เกือบทุกเล่มไม่เคยได้หยิบมาอ่านอย่างจริงจัง จากแต่ก่อนเป็นคนชอบอ่านหนังสือมาก ๆ เคยถามตัวเองหลายครั้งว่ามันเกิดอะไรขึ้น ความสุขที่เราเคยมีในครั้งก่อนมันกำลังถูกดูดกลืนหายไปหรือเปล่า หรือ ว่าสิ่งเหล่านี้มันเป็นไปตามยุคสมัย ตัวข้าพเจ้าเองก็เสพสิ่งออนไลน์บ่อยมาก ๆ มากจนคิดว่า

“นี่มันอะไรกัน สิ่ง ๆ นี้ทำไมมันดึงดูดเราได้มากมาย ” บางทีก็เกิดคำถามบ่อย ๆ ว่า เราได้อะไรจากมันกันแน่ หรือว่าเรากำลังสูญเสีย สิ่งที่เรียกว่าความสุขในครั้งเก่า ๆ ที่งดงามไป

นึกถึงตัวเองมีความสุขกับการอ่านหนังสือพุทธประวัติเล่มโตริมระเบียงสมัยเมื่อ ๑๐ ก่อน มันมีความสุขมาก ไม่มีไลน์มากเด้งกวน หรือ เฟสบุ๊ค และอื่น ๆ
นี่คงเป็นสิ่งดูดกลืนความสุขของข้าพเจ้า คนอื่นอาจจะมีความสุขกับการได้เสพสิ่งออนไลน์เหล่านั้น

แต่เราลองคิดกันดี ๆ แล้ว มันก็คงเป็นดาบสองคมอย่างสำนวนโบราณว่าไว้ สิ่งใดมีคุณอนันต์ สิ่งนั้นก็มีโทษมหันต์ สุดท้ายมันก็คงอยู่กับตัวเราว่าจะยอมให้มันดูดกลืนต่อไป หรือจะพยายามงัดแงะเอาความสุขเก่า ๆ ออกมากัน... (รีบสรุปตัดบทเลย +555 บอกแล้วทักษะทางการเขียนเริ่มพัฒนาลงเรื่อย ๆ )




 

Create Date : 19 กุมภาพันธ์ 2563    
Last Update : 19 กุมภาพันธ์ 2563 22:09:10 น.
Counter : 480 Pageviews.  

๔๘๔ ดินแดนของผู้ชดใช้ (ตอนที่ ๒ จบ)


ชายนักเดินทางสะดุ้งตื่นกลางดึก เพราะได้ยินเสียงคล้ายหมาป่าหอนมาแต่ไกล มันทำให้กลางคืนที่ควรจะเงียบสงัดเกิดความวังเวงอย่างบอกไม่ถูก เขาลุกขึ้นจากที่นอน แสงไฟหรี่ ๆ ภายในบ้าน กับแสงจันทร์ในคืนเดือนหงายทำให้มองออกไปข้างนอกได้ค่อนข้างชัดเจน

‘คุณลุง...? ‘ เขาตรึกนึกถึงคุณลุงคนนั้น ลองเดินไปในบ้านก็ไม่พบใคร แสดงว่าคุณลุงออกไปข้างนอกตั้งแต่ตอนค่ำแล้วยังไม่กลับมา
ชายนักเดินทางรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างจากชายแปลกหน้าคนนั้น และมันก็ทำให้เกิดความระแวงมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเสียงหมาหอนดังถี่มากขึ้น

โดยปกติเขาใช้ชีวิตกินนอนอยู่ในป่าเป็นเรื่องปกติ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกกังวลได้มากเท่านี้ เขามองผ่านออกไปนอกหน้าต่าง เนื่องจากหางตาได้สัมผัสกับต้นไม้ที่ไหวเอนผิดธรรมชาติ มันบิดตัวหลบราวกับมีสัตว์ยักษ์ใหญ่ คลื่นไหวผ่าน การเคลื่อนที่ของมันไปทิศทางรอบ ๆ บ้าน

“อมนุษย์ ...” เขาคิดไม่ผิดแน่ ๆ สิ่ง ๆ นั้นต้องเป็นอมนุษย์ เพียงแต่ตอนนี้เขายังมองไม่เห็นตัวตนของมัน สักพักก็บังเกิดเสียงโหยหวน ด้วยความเจ็บปวด ดังสะท้านไปทั่วป่า ราวกับสัตว์ตนนั้นต้องทุกข์ทรมานในแดนนรก เป็นอย่างนี้ไปสักพักหนึ่ง ก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบสงบ พร้อมกับแสงรุ่งอรุณจากเช้าวันใหม่

ชายนักเดินทางลืมตาตื่นขึ้นมา แม้การนอนในค่ำคืนนั้นจะดูแสนสั้น
เสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งดังมาทางประตูหน้าบ้าน เดาไว้ก็คงไม่ผิดว่าต้องเป็นชายชราผู้นั้น ใบหน้าที่ดูยิ้มแย้มตัดกับสีหน้าที่ดูซีดเผือก บ่งบอกถึงความขัดกันอย่างสิ้นเชิง

“สวัสดียามเช้าครับ คุณลุง...” ชายนักเดินทางทักก่อน ทันทีที่ชายชราผู้นั้นเปิดประตูบ้านเข้ามา

“เป็นไงบ้าง พ่อหนุ่ม นอนหลับสบายไหม ...” ชายชราเอ่ยถาม

“สบายกว่านอนอยู่ในป่านะ เมื่อคืนคุณลุงไปไหนมาครับ...” ชายนักเดินทางถาม

“นี่พ่อหนุ่มไม่ได้ยินเสียงอะไรใช่ไหม...เมื่อคืน” ชายชราถามกลับ ทำให้ชายนักเดินทางลังเล ว่าจะตอบความจริงหรือบอกเป็นนัยดี

“ผมเห็นอมนุษย์ตนหนึ่ง คุณลุงรู้ใช่ไหม...” สายตาของชายนักเดินทางมองแบบเค้นหาคำตอบจากฝ่ายตรงข้าม

“ฮ่า ๆ ... ใช่ ๆ ลุงเอง...” เป็นคำตอบที่เปรยด้วยรอยยิ้มแห้ง ๆ หลังจากนั้นความเงียบของคู่สนทนาก็บังเกิดขึ้น ชายนักเดินทางเองไม่แน่ใจว่าจะถามคำถามอีกไหม เพราะเขาเองก็รู้โดยนัยอยู่แล้ว เนื่องจากการเดินทางที่ผ่านมาเขาได้เจอเรื่องราวประหลาด ๆ มากมาย

“พ่อหนุ่มมองไปนอกหน้าต่างนั่นสิ พระอาทิตย์กำลังขึ้นอยู่เหนือทิวเขา เช้าวันใหม่กำลังเริ่ม ชีวิตของลุงในแต่ละวันก็เช่นกัน กลางวันมีร่างกายเป็นมนุษย์ มีฤทธิ์สื่อสารกับเหล่าเทพได้ แต่กลางคืนต้องกลายร่างเป็นอสุรกายล่องหน ตาบอด เดินวนเวียนอยู่ในป่า น้ำลายที่กลืนกินเข้าไป กลายเป็นน้ำกรดที่กัดกินอวัยวะข้างใน ปวดแสบร้อนราวกับไฟนรกแผดเผากาย ชีวิตเป็นอย่างนี้นับร้อยนับพันปี แม้จะตายก็ตายไม่ได้ ลุงต้องใช้ชีวิตอย่างนี้จนกว่าจะหมดอายุขัย ซึ่งก็อีกยาวนานทีเดียว” ชายชราเล่าแบบย่อ นั่นก็พอที่จะทำให้ชายนักเดินทางเกิดเวทนาสงสาร

“เพราะกรรมใช่ไหม ลุง...” ชายนักเดินทางเปรยถามอย่างพอจะเข้าใจเรื่องราว

“นี่เป็นเพียงเศษกรรมของลุง กรรมหนักลุงชดใช้ไปแล้ว ” ชายชราตอบ
ชายนักเดินทางคิดว่า นี่ขนาดเศษกรรมยังมีผลร้ายแรงขนาดนี้ ไม่อยากจะถามเลยว่าลุงไปทำกรรมอะไรมา

“มีอะไรให้ผมช่วยได้ไหม...” ชายนักเดินทางถาม

“ไม่ต้องหรอกพ่อหนุ่ม ไม่มีอะไรช่วยลุงได้ตอนนี้ เพียงแต่อยากให้พ่อหนุ่มคิดไตร่ตรองการกระทำและผลของกรรมให้ดี ๆ ไม่อยากตกอยู่ในสภาพเดียวกับลุงนะ หากการเดินทางสำเร็จแค่คิดถึงลุงบ้างก็พอ ความทุกข์ในตอนกลางคืนคงจะพอบรรเทาลงได้บ้าง...” ชายนักเดินทางพยักหน้ารับ

ชายนักเดินทางถอนหายใจ รู้ปรงกับสภาพของคุณลุง และหวังว่าแกจะพ้นไปจากสภาพทุกข์นี้โดยไว

ทุกการเดินทาง ทุกชีวิต มีกรรมเป็นที่รองรับ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย สัตว์ทั้งหลายทำกรรมสิ่งใดไว้ ไม่ว่าชั่วหรือดี ก็จะได้รับผลของการกระทำเหล่านั้นในช่วงกาลเวลาหนึ่ง ๆ เหมือนดั่งบุรุษผู้โปรยผงฝุ่นขึ้นบนเหนือศีรษะ ไม่ช้าผงฝุ่นก็ตกลงมาเข้าตาบ้าง หล่นลงบนศีรษะบุรุษผู้นั้นบ้าง หรือ บุรุษผู้โปรยดอกไม้หอมขึ้นในอากาศ กลิ่นหอมจากดอกไม้นั้น ก็ตกลงสู่จมูกของบุรุษผู้นั้น กรรมหรือการกระทำจึงเปรียบเหมือนกฎสมดุลทางธรรมชาติ ซึ่งมีผลต่อที่ผู้ที่ยังข้องในวัฏสงสารนั้น ๆ




 

Create Date : 18 กุมภาพันธ์ 2563    
Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2563 22:27:13 น.
Counter : 384 Pageviews.  

๔๘๓ - ดินแดนของผู้ชดใช้ (ตอนที่ ๑)




ดูเหมือนว่าเส้นทางของชายนักเดินทางยังคงอยู่อีกไกลแสนไกล เขาเองก็ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าตัวเองได้เดินทางมาถึงไหนแล้ว และอีกไกลแค่ไหนที่จะถึงจุดหมายปลายทางคือ ดินแดนนิพพาน อย่างที่ตั้งใจไว้

การเดินทางที่ไม่มีทางรู้ได้ว่าจะถึงจุดหมายเมื่อไหร่ หรือเดินทางมาถึงไหนแล้ว และจะต้องเจออุปสรรคอะไรอีกบ้าง สิ่งเหล่านี้หากเกิดขึ้นกับคนทั่วไป คนเหล่านั้นย่อมเกิดการท้อแท้และคิดที่จะยกเลิกการเดินทางไปแล้ว ยิ่งระหว่างทางได้พบกับสิ่งล่อหลอกให้จิตใจเกิดความไขว้เขว หรือถูกข่มขู่หมายเอาชีวิต สำหรับคนที่มีศรัทธา ปัญญา ความเพียร เท่านั้นถึงจะผ่านเรื่องราวเหล่านี้ไปได้

การเกิดในวัฏฏะสงสารบ่อย ก็เป็นดั่งเช่นนักเดินทางที่ต้องเผชิญ เขาย่อมพบทุกข์สุขจากภพนั้น ๆ หากไม่สัญญาเดิมที่แน่วแน่ก็สามารถลืมการเดินทางได้โดยง่าย

ชายนักเดินทางเดินมาไกลมาก ๆ จากเมืองของพระราชาที่หมายเอาชีวิตของเขา เดินสลับวิ่ง รอนแรมห่างมาเป็นระยะเวลาเกือบ ๑ เดือน ซึ่งคาดว่าภัยอันตรายต่าง ๆ จากมนุษย์หรืออมนุษย์จะยุติลงบ้าง เขาทอดกายลงข้างลำธารเล็ก ๆ เอามือที่เหลือข้างเดียวกวักน้ำล้างหน้า เงาที่สะท้อนในน้ำ ทำให้เห็นใบหน้าที่เสื่อมโทรม ผมรุงรัง มีสีขาวแทรกมา แสดงถึงอายุที่ผ่านกาลเวลามานานพอสมควร

เขาตรึกนึกเกี่ยวกับร่างกายของตัวเองสักระยะหนึ่ง แล้วก็สลัดความคิดเสียดายในรูปนั้นทิ้งไปเสียแล้ว เขาเดินทางมาไกลขนาดนี้ ร่างกายก็จะเสื่อมโทรมอยู่เป็นธรรมดา

ภายใต้ร่มไม้อันร่มรื่น ข้างลำธาร ก็เป็นสถานที่อันรื่นรมย์ น่าพักกายลงนอนพักผ่อน เขาจึงเอนกายลงข้างต้นไม้ และหลับตาลงอย่างช้า ๆ

“เป็นอย่างไรบ้าง พ่อหนุ่ม ...” เสียงชายชราดังมากระทบโสต ทำให้ชายนักเดินทางสะดุ้งตื่นขึ้น

“ลุง ๆ เป็นใคร ? มาจากไหน... ” ชายนักเดินทางตะโกนถามทั้งที่ยังไม่ได้กวาดสายต่อพิจารณาคู่สนทนาอย่างละเอียด

“ฮ่า ๆ ลุงสิ ต้องถามพ่อหนุ่ม..” เสียงชายคนนั้นตอบกลับ
จากประสบการเดินทางของชายนักเดินทางทำให้เขาไม่สามารถเชื่อต่อสิ่งที่เห็นได้ หรือแม้แต่คนที่สนทนาด้วยจะเป็นมนุษย์

“ลุงเป็นคนจริง ๆ ใช่ไหม…” ชายนักเดินทางถามย้ำ

“ใช่ สิ ลุงเป็นมนุษย์ อยู่ในสถานที่แห่งนี้มานานแสนนานแล้ว มนุษย์ที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้มีอายุยืนยาว ลุงอยู่มาหกหมื่นปีแล้ว แต่ก็ว่าจะอยู่ต่ออีกสีหมื่นปี...” ชายชราพูดอย่างมั่นใจ

ชายนักเดินทางลุกขึ้นและรีบถอยหลังชนกับต้นไม้ ด้วยการตกใจ เพราะหากคุณลุงนี้ไม่ได้พูดโกหก เขาจะต้องเป็นอมนุษย์เป็นแน่ เพราะไม่มีมนุษย์คนใดจะอายุยืนยาวขนาดนั้น

“ดูจากรูปร่างของพ่อหนุ่มคงเดินทางรอนแรมมาไกลใช่ไหม ?... หน้าตาดูทรุดโทรมเกินวัย เอาอย่างนี้ไหม มากินอาหารที่บ้านลุงก่อน แล้วไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า พักผ่อนสักระยะ แล้วค่อยเดินทางต่อไปก็ได้” ชายชรามอบข้อเสนอ

ชายนักเดินทางที่ไม่ค่อยเชื่อใครโดยง่าย ก็เกิดความลังเลเป็นธรรมดา ยิ่งคู่สนทนา อยู่ ๆ ก็ใจดีเสนออาหารและที่พักให้ แล้วเขารู้ได้อย่างไรว่าจะต้องเดินทางต่อ โดยที่เขาไม่ได้บอกอะไรเลย

“ผมเป็นนักเดินทาง กำลังจะเดินไปดินแดน...”

“นิพพาน ... ลุงรู้ดี พ่อหนุ่มกำลังจะเดินทางไปที่แห่งนั้น มีเทพบุตรตนหนึ่งมีแจ้งข่าวลุงไว้หลายวันที่ผ่านมา” ชายชรารีบตอบ

“เทพบุตร หรือ สมุนของมารตนนั้น...” ชายนักเดินทางพูดพร้อม ๆ กับชายชราพยักหน้ารับ ทำให้เขายิ่งหวาดระแวงมากขึ้น

“ไม่ต้องกลัวหรอก เทพบุตรหรือมารตนนั้น สำนึกผิดแล้ว ก็เลยมาแจ้งข่าวเพื่อให้ลุงมาช่วยดูแลพ่อหนุ่มเป็นการไถ่โทษ ขึ้นชื่อว่าเทพบุตรบนสวรรค์ แม้จะมีความดีและไม่ดีบ้าง อิจฉาบ้าง แต่ก็ไม่มีใครอยากจะทำร้ายผู้อื่นจนให้ตัวเองตกลงนรกอเวจี เพราะเหตุนั้นไม่คุ้มค่ากันโดยสิ้นเชิง ยกเว้นคนที่จองเวรกันอย่างหนักแน่น” ชายชราอธิบาย ชายนักเดินทางพยักหน้ารับ ด้วยเหตุที่เขาเริ่มเชื่อว่าชายชราผู้นี้ไม่ได้โกหก แถมยังอายุยืน และคุยกับเทพเทวดาได้ด้วย ชายชราผู้นี้คงมีอะไรที่ไม่ธรรมดาแน่ บางทีอาจจะตอบคำถามเรื่องจุดหมายปลายทางของเขาได้ ดังนั้นเขาคิดว่าจะรับข้อเสนอของชายชราครั้งนี้

“ทำไมลุงถึงอายุยืนยาวราวกับพวกเทวดาล่ะครับ” ชายนักเดินทางถาม

“มันเป็นกรรมอย่างหนึ่งนะพ่อหนุ่ม กรรมที่ลุงต้องชดใช้ ถ้าเป็นไปได้ลุงก็อยากมีชีวิตเช่นพ่อหนุ่ม” ชายชราตอบด้วยแววตาอันเศร้า ยิ่งทำให้ชายนักเดินทางยิ่งงงฉงน ขึ้นชื่อว่ากรรมหรือการกระทำ มีทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว ลุงท่านนี้คงทำกรรมดีไว้มากเลยมีอายุยืนยาวราวกับเทพเทวา แต่เขาสังเกตแววตาของคุณลุงแล้ว ความร่าเริงเมื่อกี้เริ่มหายไป และเปลี่ยนเป็นแววตาที่เศร้ามาแทน หรือว่าชายนักเดินทางจะถามคำถามผิดไปแทงใจดำเขา

ชายชราพาเขามาที่บ้านพักที่อยู่ไม่ไกลจากลำธารมากนัก ในบ้านมีอาหารและเสื้อผ้า ที่นอนที่แสนนุ่ม ซึ่งชายนักเดินทางไม่ได้สัมผัสมานานแสนนาน
พระอาทิตย์เริ่มจะตกดิน แสงสว่างของกลางวันเริ่มเลือนหายไป

“พ่อหนุ่ม พักนอนหลับในบ้านหลังนี้นะ คืนนี้ลุงมีธุระต้องไปข้างนอก ถ้าได้ยินแสงอะไรแปลก ๆ พ่อหนุ่มไม่ต้องออกไปนะ ดินแดนนี้ยังมีอะไรที่พ่อหนุ่มไม่รู้อีกมาก เดี๋ยวเอาไว้ลุงจะอธิบายให้ฟังภายหลัง...” ชายชราพูดอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะกำชับให้ชายนักเดินทางห้ามออกไปข้างนอกบ้านในตอนกลางคืนอีกถึง ๓ ครั้ง ก่อนจะเดินหายไปในป่า พร้อมกับความมืดมิด ทิ้งปมความสงสัยไว้กับชายนักเดินทางอย่างมากมาย

ติดตามต่อตอนที่ ๒




 

Create Date : 30 ธันวาคม 2561    
Last Update : 30 ธันวาคม 2561 21:16:15 น.
Counter : 689 Pageviews.  

๔๘๒ - สายพานแห่งเวลา

วันเวลาผ่านไปเกือบสองปี ที่ไม่ได้ทำการเขียนข้อมูลใหม่ ๆ ลง blog เลย มันดูเหมือนเวลาช่างนานแสนนานในมิติของ bloggang หากแต่มองจากมิติของกิจกรรมอื่น ๆ ที่ต้องทำนั้น เวลามันผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ข้าพเจ้ากลับหวนกลับมาคิดถึงเรื่องราวใน Blog หลังจากได้พักผ่อน 2-3 วัน ก่อนขึ้นปีใหม่ 2562 อยากจะเขียนเรื่องราวประสบการณ์ที่พบเจอมาในช่วง 2 ปี แต่เหมือนความกังวลในหน้าที่การงาน จะดูดกลืนความรู้สึกนั้นไปเสียแล้ว บางทีวันก็น่าเสียดายมาก อยากให้ความรู้สึกดี ๆ เหมือนเดิมกลับมา แต่มันก็เหมือนจะทำไม่ได้

เส้นทางธรรม ยังคงดำเนินต่อไป หากแต่ไม่เข้มข้นเหมือนเดิม แม้ว่าปี 2561 จะไปแสวงบุญที่อินเดียถึง 2 หน และวางแผนจะไปอีกในต้นปี 2562 แต่นั่นก็ยังไม่ได้เติมเต็มความรู้สึกที่มันขาดแคลนธรรมะ และการฟังธรรมะลดน้อยลงมาก ๆ โชคดีที่ยังระลึกถึงทุก ๆ วัน การปฏิบัติสมาธิก็หย่อนยานอย่างที่สุด ทุก ๆ วัน กามกิเลสเข้ามาครอบครองหัวใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่การปฏิบัติรักษาศีลยังคงเหมือนเดิม ฟังเพลงมากขึ้น แต่ก็เป็นเพลงเก่า ๆ ความเครียดจากการทำงานเพิ่มเป็นทวีคูณ จากที่ผันตัวเองมาเปิดบริษัทรับเหมางานเองที่ช่วง 4-5ปีที่ผ่านมา นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เวลาสำหรับธรรมะลดน้อยลง แต่ก็อาจจะเป็นข้ออ้างก็ได้ กิเลสมันก็สามารถอ้างหรือแก้ตัวได้สารพัดอย่าง

เรื่องราวการไปแสวงบุญที่อินเดีย ได้จดบันทึก ถ่ายรูป วีดีโอ ไว้มากมาย แต่ก็ยังไม่ได้มีเวลาเรียบเรียงข้อมูลลง Blog แต่คิดว่าจะนำเสนอในเวบพันทิปมากกว่า ก็รอติดตาม คิดว่าภายในปี 2562 ก็น่าจะทำข้อมูลได้สำเร็จ

ข้าพเจ้ามักจะบ่นตัดท้อเรื่องราวของเวลาเสมอ เวลาเป็นสิ่งสมมติบ้าง เวลาเป็นฆาตกรบ้าง เวลาเป็นตัวละลายและสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ บ้าง และอื่น ๆ อีกมากมาย

สมมติว่าเวลาเป็นสายพานเลื่อน ที่มันเลื่อนไปข้างหน้าอย่างคงที่ เราต้องการถึงจุดหมายเร็วขึ้นก็เพียงวิ่งไปข้างหน้า แต่เราจะเหนื่อยและใช้พลังงานมาก เราไม่อยากถึงจุดหมายก็วิ่งไปตรงข้ามสายพาน แต่อย่างไรมันก็จะพาเราไปยังจุดหมายที่เราอาจจะไม่ต้องการเสมอ เราเร่งรัดสายพานให้มันช้าหรือเร็วได้ ไม่ว่าเราจะเคลื่อนที่เร็วหรือช้า สายพานที่เรายืนอยู่ก็จะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงที่เสมอ เหมือนกับความเร็วแสงในทฤษฏีฟิสิกส์ที่จะคงที่เสมอ ไม่ว่าเราจะเคลื่อนที่เข้าหาแหล่งกำเนิดแสง หรือ วิ่งออกห่าง

สายพานแห่งชีวิต มันชัดนำเราเคลื่อนที่ไปเรื่อย ๆ ซึ่งวันหนึ่งมันก็จะสิ้นสุด แล้วเราก็ต้องกระโดดขึ้นยังสายพานเส้นใหม่ นั่นหมายถึงวาระสุดท้ายของชีวิต และการเกิดในภพใหม่แบบทันที เป็นการนับหนึ่งของฐานเวลาใหม่ และเป็นเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ นี่เป็นวัฏฏะสงสารในมิติของเวลา หากเราได้พิจารณาอย่างรอบคอบ ก็สามารถเชื่อมโยงหาเหตุ เพื่อนำไปสู่ผล นำธรรมะของพระพุทธเจ้ามาใช้อธิบาย และประยุกต์ใช้จนเกิดความเข้าใจ ในกลไกของวัฏฏะที่หลอกลวงให้สัตว์ทั้งหลายติดข้องอยู่เป็นอันมาก




 

Create Date : 29 ธันวาคม 2561    
Last Update : 29 ธันวาคม 2561 21:19:54 น.
Counter : 414 Pageviews.  

๔๘๑ - เวลากับสิ่งเปลี่ยนแปลง



หลายต่อหลายครั้งที่เรารู้สึกเสียดายความรู้สึกดี ๆ ในวันเก่า ๆ ซึ่งเวลานั้นกลืนกิน จนไม่เหลือร่องรอยของสิ่งที่เป็นรูปธรรม เหลือเพียงความทรงจำที่เป็นนามธรรมให้เราหวนนึกถึงอยู่ และความทรงจำนี้ก็ไม่เที่ยงมันก็ค่อย ๆ เลือนหายไปตามสังขารร่างกาย

เวลาอาจเป็นเพชฌฆาตที่ดูดกลืนทุกอย่างเหมือนหลุมดำ แต่เวลาก็สร้างสรรค์สิ่งดีงามกับสิ่งเลวร้ายให้กับตัวเราเอง ก่อนที่สิ่งเหล่านั้นจะถูกทำลายลงและสร้างใหม่ วนไปเวียนมาอย่างไม่มีจบสิ้น

สำหรับข้าพเจ้า บางทีก็ทำตัวเองให้อยู่นิ่ง ๆ ปล่อยกาลเวลาให้เดินผ่านตัวเราไปช้า ๆ แม้ว่าการทำตัวเองให้หยุดนิ่ง จะเป็นเพียงการหลอกตัวเอง ใช้จินตนาการในความคิดอันดิ่งลงสุด สักระยะหนึ่ง เมื่อรู้สึกตัว เราก็ยังอยู่บนเส้นของกาลเวลา เวลาไม่ได้หยุดตามความคิดเรา เหมือนเช่นเรือที่กำลังแล่นไปในทะเลกว้างใหญ่ ต่อให้เราหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหวอยู่บนเรือ เรือก็ยังคงเคลื่อนที่ไปตามทางของมัน และพาเราเดินไปตามเส้นแห่งกาลเวลานั้น

วันหนึ่งหากสังขารคือร่างกายเราแตกดับลง กาลเวลานั้นจะยังคงอยู่หรือ...?

เวลาในฐานสมมติหนึ่งจะยังคงเดินทางของมัน ตัวเราเองก็อาจจะล่วงเข้าไปสู่อีกฐานสมมติหนึ่งที่มีเวลา และองค์ประกอบอื่นที่แตกต่างกันไป

สมมติมีเชือกเส้นใหญ่เส้นหนึ่ง ถูกทำให้สั่นด้วยความถี่ค่าหนึ่งตลอดเวลา ตัวเราเป็นอนุภาคที่เกาะเกี่ยว เดินอยู่บนเชือกเส้นนั้น และสั่นด้วยความถี่ที่ใกล้เคียงกัน เราจึงเกาะอยู่บนเส้นเชือกนั้นได้ วันหนึ่งเราไม่สามารถรักษาความถี่ภายในตัวเราเองได้ อนุภาคที่ประกอบเป็นตัวเราสั่นรุนแรงมากขึ้น หรือ อาจจะสั่นช้าลง เราก็จะหลุดจากเส้นเชือกเส้นนั้น แล้วก็ถูกดึงดูดโดยเส้นเชือกเส้นใหม่ที่มีความถี่ใกล้เคียงกับตัวเรา

ในที่นี้ เส้นเชือกนั้นเปรียบกับภพ(แดนเกิดของสรรพสัตว์) ถูกสั่นด้วยความถี่ หมายถึง ทุก ๆ อย่างมันมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป อยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) ภายใต้ฐานเวลาสมมติค่าหนึ่ง อนุภาค คือ องค์ประกอบที่กำเนิดเป็นตัวเรา ทำให้เรารู้สึกว่าเป็นเรา มีตัวตน การสั่นของอนุภาคที่เปลี่ยนไป เป็นการโยกย้ายภพภูมิ หมายถึงการตาย การเกิดใหม่

ตราบใดที่เรายังเกาะเกี่ยวกับอนุภาค(สังขาร) ที่มีความสั่นด้วยความถี่หนึ่ง ๆ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เราก็ไม่อาจจะหลุดพ้นไปจากเส้นเชือก ที่มีกระแสแห่งกาลเวลาไหลเวียนเป็นอนันต์ไปได้



thank you image from //www.erichernandezministries.com/wp-content/uploads/2015/04/darktime.jpg




 

Create Date : 24 มกราคม 2560    
Last Update : 24 มกราคม 2560 1:25:24 น.
Counter : 1161 Pageviews.  

1  2  

อัสติสะ
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ทุกข์ใดจะทุกข์เท่า การเกิด
ดับทุกข์สิ่งประเสริฐ แน่แท้
ทางสู่นิพพานเลิศ เที่ยงแท้ แน่นา
คือมรรคมีองค์แก้ ดับสิ้นทุกข์ทน






Google



New Comments
Friends' blogs
[Add อัสติสะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.