ภัยแห่งสังสารวัฏนั้น น่ากลัวยิ่งกว่าภัยอื่นใด - อัสติสะ
Group Blog
 
All blogs
 

๓๑๕ - ข่าวพระ




ช่วงนี้มีข่าวไม่ค่อยดีเกี่ยวกับการประพฤติของพระภิกษุสงฆ์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องยาเสพติด ในวัดก็ดี เรื่องการฉ้อโกงเกี่ยวกับเงินทำบุญก็ดี เรื่องเกี่ยวข้องกับสีกาหรือผู้หญิงก็ดี เรื่องการทะเลาะวิวาทระหว่างพระ หรือแม้กระทั่งการดื่มสุราของพระ มีให้เห็นและได้ยินเกือบทุกวัน บางรูปก็เป็นพระผู้ใหญ่มีคนศรัทธามากไม่น่าจะกระทำผิดได้

สิ่งเหล่านี้มันล้วนแต่มีมาแล้ว ไม่ว่าจะยุคใดสสมัยใด แม้ครั้งสมัยที่พระพุทธเจ้ามีพระชนม์ชีพอยู่ก็ตาม เพราะยังไงกิเลสของมนุษย์มันไม่เคยล้าสมัย มันตามเท่าทันความนึกคิดและตอบสนองความต้องการพื้นฐานของมนุษย์เสมอ

แม้ข่าวดังกล่าวจะถูกนำเสนอบ่อยจนเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปแล้ว ยังมีผลให้คนที่มีศรัทธาคลอนแคลนในศาสนา ก็หวั่นไหวไปตามกระแส หากแต่จะมองให้ดี มันก็มีความเป็นเช่นนั้นเอง พระสงฆ์ธรรมดาก็ไม่ต่างอะไรกับชาวบ้าน ผ้าเหลือง หรือผ้าขาวไม่ได้ทำให้กิเลสเราลดน้อยลงไป ยกเว้นแต่ผู้ที่บวชด้วยศรัทธาและมีสัมมาทิฏฐิจริง ๆ จึงจะสามารถวางใจได้ แต่นอกนั้นก็ยิ่งลำบาก เพราะสมัยนี้กระแสทางโลกมันรุนแรงมาก ยิ่งการสื่อสารที่รวดเร็ว ไม่ว่าจะคิดอะไร ทำอะไรอีกซีกโลกก็สามารถรรับรู้ได้ในเวลาเพียงเสี้ยววินาที นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่ากลัวมากทีเดียว ความรวดเร็วทำให้มนุษย์เราไม่เกิดความยั้งคิด ยิ่งกระแสสังคมนั้นล้วนมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของคนส่วนใหญ่ ส่วนมากจะไหลตามกันมากกว่า (โดยเฉพาะเรื่องที่ไม่ค่อยดีนัก)

ข้าพเจ้าเองก็รู้สึกว่าทุกครั้งที่เกิดเรื่องไม่ดีกับศาสนา เราทั้งหลายที่เป็นชาวพุทธก็ควรอย่างยิ่งที่จะต้องใช้สติในการพิจารณาไตร่ตรอง ไม่ใช้อารมณ์ด่วนตัดสินความถูกผิด การพิจารณาหาเหตุหาผลนั้นป็นพื้นฐาน ตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอนเอาไว้ เราเองก็ควรนำสิ่งนั้นมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นหลักการหาเหตุ ผลของทุกข์ตามอริยสัจ ๔ หรือ หากเป็นข่าวลือ ก็ต้องใช้หลักกาลามสูตรเข้ามาใช้ อย่าเอากิเลสของตัวเองเป็นหลักในการตัดสิน แม้บางครั้งสิ่งนั้นจะขัดต่อความรู้สึกหรืออารมณ์ของเราก็ตามที (ข้อนี้นักปฏิบัติธรรมจะเรียนรู้ และเข้าใจได้ดีที่สุด) หากทำได้สังคมเราก็คงน่าอยู่มากขึ้น

จึงอยากฝากให้ท่านทั้งหลายนำไปพิจารณาดู ข้าพเจ้าก็เป็นเพียงเสียงเล็ก ๆ ดั่งละอองฝนหยดเดียว ที่ไม่อาจจะทำให้ป่าทั้งป่าชุ่มชื้นได้ ที่ทำได้ก็เพียงเท่านี้ เขียนออกมาเพื่อเตือนสติตัวเองและคนที่สนใจอ่านบ้าง เพื่อไม่ให้หลง ถูกกิเลสของตัวเองหลอกจนเกินพอดี




 

Create Date : 24 กันยายน 2554    
Last Update : 24 กันยายน 2554 22:55:19 น.
Counter : 411 Pageviews.  

๓๑๔ - สุขทุกข์ที่ปลายจมูก



สุขหรือทุกข์นั่นอยู่ไกลเพียงไหน...? ข้าพเจ้าลองนึกถึงโอกาสที่จะได้ลาพักร้อนประจำปี การได้ท่องเที่ยวไปตามท้องถิ่นต่าง ๆ การได้ชื่นชมกับธรรมชาติ ป่าไม้ ฯ แค่นั้นก็ทำให้จิตใจได้รับความสดชื่นขึ้นมา เป็นตัวอย่างการจินตนาการความสุขที่คาดหวังว่าจะเกิดในอนาคต

เราใช้ธรรมชาติและสภาวะแวดล้อมเป็นตัวช่วยปรุงแต่งให้จิตใจเรามีความสุข รู้สึกผ่อนคลาย บางคนก็ออกไปเดินห้าง ดูหนัง ท่องเที่ยวในวันหยุดอย่างที่กล่าวมา ก็เพื่อให้จิตใจและกายเราได้รับการพักผ่อน โดยอาศัยเหตุปัจจัยเหล่านั้น แต่การพักผ่อนของผู้รักษาธรรมส่วนใหญ่คือการตรงเข้าไปที่จิตใจ ให้ได้รับความสงบสุขจากสมาธิ และการปล่อยวางความอยากชั่วครั้งชั่วคราวเพียงเท่านี้ ก็ทำให้จิตใจของเรามีความสุขขึ้นมา ไม่ต้องอาศัยการปรุงแต่งจากรูปภายนอกมากนัก แต่ทว่าสมาธิหรือฌาณที่ยังเป็นโลกีย์อยู่ก็ยังไม่พ้นไปจากการปรุงแต่งไปได้ หากแต่มีความปราณีตและละเอียดมากกว่า

สุขหรือทุกข์มันก็อยู่ใกล้ ๆ กับตัวเรานี่เอง จะนั่งอยู่นอนอยู่ เดินอยู่ หากเราสามารถทำใจให้สงบ ความสุขก็เกิดขึ้นได้ เช่นกัน ต่อให้เราอยู่ในโรงแรมหรู มีความสะดวกสบายพรั่งพร้อม แต่จิตใจมีแต่ความวุ่นวายกระหายอยาก สิ่งเหล่านี้ก็จะสร้างความทุกข์ให้กับเราได้ ทุกวันนี้เรามีเครื่องมืออำนวยความสะดวกมากมาย คนธรรมดา ๆ อย่างเรา ๆ นี้มีรถขับ มีเครื่องมือสื่อสารที่เพรียบพร้อม มีความสะดวกสบายในการซื้อหาของบำรุงร่างกาย เรียกได้ว่าสะดวกกว่าพระราชาในสมัยโบราณ หรือ ฮ่องเต้จอมจักรพรรดิ์เสียอีก แต่เราก็ยังมีความทุกข์กันมากมายใช่ไหม

พนักงานบริษัทหรือมนุษย์เงินเดือน ไม่มีใครบอกว่าเงินเดือนของตัวเองสูงเพียงพอแล้ว ไม่อยากได้เงินขึ้นอีกแล้ว ยิ่งมีเงินเดือนมากเพียงใดก็จะมีความต้องการที่มากขึ้นตามสัดส่วนนั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน รถ คู่ชีวิต และเครื่องใช้อำนวยความสะดวก หรือ เครื่องประดับประดาบารมี ทำให้หลาย ๆ ชีวิตแม้จะมีเงินเดือนแต่ละเดือนมากแต่ก็ยังมีเสียงบ่นว่า ไม่เพียงพออยู่ดี คุณคงเคยได้ยินเรื่องจำพวกนี้มาบ้างใช่ไหม..?

ความสุขไม่ได้มีอยู่แต่บนสวรรค์ ความทุกข์ก็ไม่ได้มีแต่ในนรก สุขหรือทุกข์บางครั้งพิจารณาดูดี ๆ ก็เป็นเพียงอารมณ์ที่จิตเราเสวย และได้รับความไม่รู้เข้าไปปรุงแต่ง และจับยึดกับอารมณ์นั้น ยิ่งเข้ายึดไว้นานเท่าไหร่ เราก็ถูกความทุกข์นั้นครอบงำมากขึ้นเท่านั้น

แต่ทว่าความสุขนั้น เรายึดไม่ได้เชียวหรือ...?
เพราะมากมายหลายคนต้องการที่จะมีความสุขอย่างนี้ไปนาน ๆ

แท้จริงแล้วความสุขนั้นมันก็เป็นเพียงรูปแบบหนึ่งของความทุกข์ เพราะมันมีความไม่เที่ยงแปรปรวนได้เสมอ ไม่สามารถคงทนอยู่ได้ด้วยนาน ไม่ว่าจะเป็นความสุขประเภทใดก็ตามที ด้วยเหตุของความไม่รู้ที่เข้าไปยึดเอาความสุขไว้นั้น และไม่เข้าใจทันต่อการเปลี่ยนแปลง พอความสุขนั้นเสื่อมสลายไป เราก็เสียน้ำตา ร้องไห้ คร่ำครวญ เช่น คนที่สูญเสียบุคคลที่เรารัก หรือวัตถุสิ่งของ ที่อยู่อาศัย ฯ ได้สูญหายพรากจากเราไป อารมณ์ที่ปรารถนาความสุขในครั้งก่อนก็จะย้อนกลับคืนมา แต่ไม่อาจจะคงรูปแบบเดิมได้อีกแล้วเฉกเช่นในอดีต ก็ทำให้เราเกิดความทุกข์ขึ้นมา...

หรือบางทีความสุขหรือทุกข์ที่เราไขว่ขว้าหากันมากมายนั้น มันไม่ได้อยู่ไกลอย่างที่เราคิด มันอาจจะอยู่ใกล้มากแค่ปลายจมูก ซึ่งหลายคนไม่เคยสังเกตุเห็นมัน จนกว่าเราจะลองหลับตาข้างหนึ่งดูเสียก่อน...




 

Create Date : 13 กันยายน 2554    
Last Update : 13 กันยายน 2554 22:30:50 น.
Counter : 534 Pageviews.  

๓๑๓ - เมื่อไม่มีไฟฟ้า




เมื่อวานก่อนได้มีโอกาสอ่านนิตยสารฉบับหนึ่ง เขาสัมภาษณ์ความรู้สึกของคนประมาณ ๖ – ๗ ว่าหากเราไม่มีไฟฟ้าใช้จะรู้สึกอย่างไร หลายคนบอกว่าคงอยู่ไม่ได้ ต้องหาน้ำมัน หรือโซล่าเซล เพื่อทดแทนไฟฟ้า บางคนถึงกับบอกว่าจะย้ายประเทศ ไปอยู่ประเทศที่มีไฟฟ้าใช้ บางคนบอกว่าไม่รู้จะใช้ชีวิตอยู่อย่างไร...

พลังงานไฟฟ้าในยุคปัจจุบันนี้มีผลกระทบต่อเรามากมาย เช่น หากเกิดไฟฟ้าดับเพียงสัก ๑ ชั่วโมงทุกคนที่อยู่ในสำนักงานก็จะรู้สึกอึดอัด และมีเสียงบ่นต่อว่าตามมามากมาย

เด็กยุคใหม่ที่เกิดมา เมื่อลืมตาดูโลกครั้งแรกก็มองเห็นแสงไฟฟ้า ไม่เคยได้สัมผัสกับแสงตะเกียงและความมืดมิด เหมือนทุกคนกำลังถูกหลอมเป็นหนึ่งเดียวกับพลังงานไฟฟ้าและเทคโนโลยี ซึ่งหากวันหนึ่งข้างหน้า เมื่อสิ่งเหล่านี้ขาดหายไป เราก็คงทำใจได้ยาก

แต่คุณเชื่อมั้ย เมื่อสมัยตอนที่เป็นเด็ก ข้าพเจ้ามักชอบตอนที่ไฟฟ้าดับมาก ข้าพเจ้ารู้สึกอุ่นใจและสนุกมากกว่าตอนที่มีไฟฟ้า ได้มองดูแมลงที่บินวนไปมารอบ ๆ เปลวเทียน ทุกคนในบ้านตั้งวงล้อมรอบเทียนเล่มเดียวเล่มนั้น และคุยเรื่องต่าง ๆ นา ๆ ที่เราไม่มีโอกาสได้คุยตอนมีไฟฟ้า เหมือนชีวิตเราได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นอบอุ่นมากขึ้น

สำหรับการมีไฟฟ้าและเครื่องมือสื่อสารที่ทันสมัย บางครั้งก็ทำให้รู้สึกเหมือนกันว่า สิ่งเหล่านี้ทำให้ชีวิตครอบครัวและความอบอุ่นจางหายไป ครอบครัวหนึ่งอาจจะมีโทรทัศน์สองเครื่อง สำหรับลูกและตัวเอง ซึ่งทำให้มีโอกาสในการทำกิจกรรมของครอบครัวน้อยลง เราคุยและอยู่กับโทรศัพท์และหน้าจอสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ มากว่าต้องการมองโลกที่สดชื่นกว้างใหญ่อย่างแท้จริง เราอยู่ในห้องประชุม รถไฟฟ้า รถเมล์ ซึ่งผู้คนมากมาย แต่บางคนกับสนใจเพียงสิ่งที่อยู่ในจอมือถือ

ข้าพเจ้าคิดว่าการที่เราไม่มีไฟฟ้าใช้บ้างสักระยะก็ดีเหมือนกัน เพราะจะได้ทำให้เราเรียนรู้เรื่องการใช้งานพลังงานอย่างคุ้มค่า รู้จักการประหยัด และที่สำคัญจะได้มีเวลาในการเรียนรู้ถึงความไม่มี ได้เรียนรู้สิ่งสำคัญว่าไม่มีอะไรที่อยู่กับเราเสมอไป เรียนรู้ว่าสิ่งทั้งหลาย มันต้องมีวันดับ เพราะเมื่อถึงเวลานั้นจริง ๆ เราก็จะสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและการสูญเสียในชีวิตได้

Thank you for pretty image from //4.bp.blogspot.com very much




 

Create Date : 05 กันยายน 2554    
Last Update : 5 กันยายน 2554 20:22:22 น.
Counter : 2281 Pageviews.  

๓๑๒ - ความปรวนแปรเปลี่ยนแปลง



ความโลภของสัตว์ทั้งหลายไม่มีวันสิ้นสุด แม้กาลเวลาได้พรากอัตถภาพการมีรูปร่างไปแล้ว แต่จิตสำนึกในการปรารถนารูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส นั้นยังมีอยู่ และไม่อาจจะวางลงเสียได้โดยง่าย

นั่นแล เหตุเพราะความไม่รู้เป็นหลัก เหตุเพราะความเข้าไปยึดถือตัวตนว่าเป็นของตน ยึดถือในรูปว่าเป็นรูป ยึดถือความคิดว่าร่างนี้ โลกนี้เที่ยง มองข้ามสัจธรรมอันเป็นความธรรมดาซึ่งเกิดดับอยู่เบื้องหน้า มองหาเพียงความสุขน้อยนิดแต่ความทุกข์ที่ติดตามมานั้นเยอะกว่ามาก

การเสพข้องทางอารมณ์นั้นเป็นเหตุให้มนุษย์มีความทุกข์มากว่าความสุข ไม่ว่าอารมณ์นั้นจะดี เลว ปราณีต หรือหยาบเพียงใด ผลลัพธ์ที่ได้ก็ไม่อาจจะทรงอารมณ์นั้นให้อยู่ได้นาน ไม่ช้าความทุกข์ก็จะค่อย ๆ เคลือบคลานมาเยือน

ส่วนความปรวนแปรเปลี่ยนแปลงนั้น เป็นสัจธรรมที่แท้จริง แม้แต่ร่างกายรูปร่างของเรา เมื่อพ้นไปในปีหนึ่ง ๆ ก็เปลี่ยนไป ยิ่งอายุมากขึ้นเท่าไร่ก็ยิ่งต้องดูแลมาก เพื่อหวังปรารถนาให้รูปร่างของตัวเองนั้นใกล้เคียงกับสมัยที่ยังเคยเป็นเด็กรุ่นหนุ่มสาว แต่ถึงแม้จะดูแลสักเพียงใดก็ไม่อาจจะเอาชนะกาลเวลาและความแก่ชราไปได้

จิตใจของเราเองก็เปลี่ยนไปเช่นกัน เช่นสมัยวัยรุ่นเรามีความชอบอย่างนี้ พอมีอายุขึ้นหน่อยความชอบในสิ่งเหล่านั้นก็จางหายไป ปรับเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นตามวัย
หรือ แม้กระทั่งความคิดของมนุษย์ซึ่งมักจะเปลี่ยนแปลงไปตามสิ่งเร้า สิ่งที่เข้ามากระทบผ่านทางอายตนะ แล้วก็มักจะหลงไหล มัวเมาไปตามกับสิ่งเหล่านั้น นี่คือความไม่เที่ยงแท้ทางด้านจิตสัมผัส

พุทธศาสนาเป็นศาสตร์ที่สอนให้เรารู้จักตัวเอง รู้จักเพื่อนคือกิเลสที่เกิดตามกับเรามา แต่ตอนตายมันกับไม่ได้ตายไปพร้อมกับสังขารของเราด้วย แต่มันยังคงฝังแน่นเพื่อรอการอุบัติเพื่อสร้างภพ สร้างชาติใหม่ และสร้างความทุกข์ในรูปแบบใหม่ แต่ให้ความเจ็บปวดเช่นดิม

พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้เราวางใจและเบื่อหน่ายในการเวียนว่ายตายเกิด เพราะต่อให้เราเกิดใหม่ในสังสารวัฎนี้อีกสักกี่ครั้ง ถึงแม้จะได้เกิดเป็นพระราชาหรือ พระเจ้าจักพรรดิ์ สักหนึ่งร้อยหรือหมื่นชาติ แต่ก็ไม่อาจจะหนีพ้นจากความทุกข์ไปได้



ขอขอบคุณรูปภาพจาก //www.photonovice.com มากมายจริง ๆ ครับ




 

Create Date : 31 สิงหาคม 2554    
Last Update : 31 สิงหาคม 2554 8:52:14 น.
Counter : 500 Pageviews.  

๓๑๑ - ธรรมชาติของใบไม้



เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาข้าพเจ้าไปทำบุญที่วัดใกล้บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นไปตามปกติในวันหยุด ด้วยอาการซึม ๆ นิดหน่อย เพราะยังค้างกับการนอนดึกอยู่ ก็เลยหาที่นั่งใต้ต้นไม้ไกลสายตาคนหน่อย (เผื่อว่าจะเพลอหลับไป จะได้มีคนสังเกตุเห็นน้อย +555) พอหลับตาคลื้ม ๆ ได้สักพักก็มีอะไรบางอย่างหล่นมาใส่หัว ทำให้ตกใจ แต่พอลืมตามาดูเป็นเพียงใบไม้เท่านั้นก็เลยเบาใจ สงสัยเทวดาแถวนี้จะลงโทษ เพราะมาวัดทั้งที กลับมานั่งแอบงีบซะอย่างนั้น

เหม่อมองขึ้นไปบนต้นไม้ ใบไม้ทุกใบก็ยังเขียวสดอยู่ อีกทั้งช่วงนี้ก็เป็นฤดูฝนทำให้ต้นไม้ดูร่มรื่นเป็นพิเศษ พอหยิบใบไม้ที่หล่นขึ้นมาดูพบว่า มันเป็นใบไม้สด ที่ครึ่งหนึ่งของใบถูกเชื้อรากัดกิน จนไม่อาจจะเกาะกับกิ่งก้านได้อีกต่อไป ทำให้ต้องร่วงหล่นไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก

“อนิจจา...ใบไม้ยังหนุ่มแท้ ๆ กลับต้องร่วงหล่นก่อนเวลาอันควร”

ชีวิตของคนเราคงไม่ต่างกัน บางคนมีอายุเติบโตมาได้เพียงแค่วัยเยาว์ก็ต้องจากโลกนี้ไปเสียก่อน ไม่ว่าจะด้วยโรค อุบัติเหตุก็ตามที ใช่ว่าทุกคนจะแก่ตายไปเสียทุกคน ดังนั้นเราเองจึงไม่ควรประมาทต่อชีวิต อย่าเห็นชีวิตนี้เป็นเรื่องล้อเล่นหรือเรื่องสนุกสนาน เพราะหากเมื่อใดที่ความตายมันกลับมาทวงคืน ความสนุกสนานที่ผ่านมาในอดีต ก็จะกลับไร้คุณค่าไปในทันที

การเกิดเป็นมนุษย์นั้นเป็นไปได้โดยยาก แต่ความตายความพลัดพราก ก็ทำได้ง่าย ไม่ต่างอะไรกับเด็ดกิ่งไม้ทิ้งฉันนั้น

ใบไม้ที่ล่วงหล่นเป็นวาระเตือนแห่งสัจจธรรม ไม่ว่าสิ่งใด ล้วนมีความเสื่อมเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา ใบไม้อื่นก็ตามที แม้วันนี้มันจะยังยืนใบอยู่ได้ แต่ในกาลข้างหน้าก็ไม่แน่ว่ามันจะล่วงหล่นลงมาเวลาใด...

ชีวิตของมนุษย์จึงไม่ควรประมาท แม้เพียงวินาทีสุดท้ายที่เราจะมีลมหายใจอยู่บนโลกนี้

ขอขอบคุณ รูปภาพงาม ๆ จาก //www.highresolution-wallpapers.comมากมาย ครับ




 

Create Date : 23 สิงหาคม 2554    
Last Update : 23 สิงหาคม 2554 19:31:43 น.
Counter : 618 Pageviews.  

1  2  

อัสติสะ
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ทุกข์ใดจะทุกข์เท่า การเกิด
ดับทุกข์สิ่งประเสริฐ แน่แท้
ทางสู่นิพพานเลิศ เที่ยงแท้ แน่นา
คือมรรคมีองค์แก้ ดับสิ้นทุกข์ทน






Google



New Comments
Friends' blogs
[Add อัสติสะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.