|
๑๓๕-ยางเหนียวหนืด
วันหนึ่ง(ประมาณปลายปี ๒๕๕๐) ได้มีโอกาสไปทำบุญที่วัดแห่งหนึ่ง ระหว่างทางเดินไปพบควายตัวหนึ่ง มันกำลังนอนกลิ้ง เล่นอยู่ในบ่อโคลนไปมา ดูท่าทางมันคงสนุกของมัน จึงได้ย้อนกลับมาถามตัวเองว่า ให้เราไปลงนอนกลิ้งเล่นในบ่อโคลนอย่างนั้นเราจะเอาไหม หรือถูกจับลงโยนลงในบ่อโคลนนั้นเราจะชอบใจไหม
แน่นอนคำตอบคือ ต้องไม่ชอบอยู่แล้ว นั่นเพราะเรารู้ เราเห็นแล้วว่าโคลนนั้นสกปรก เลอะเทอะเพียงใด ฉันใดก็ฉันนั้น บุคคลผู้รู้แล้ว พิจารณาแล้ว เห็นแล้วซึ่งโทษแห่งกามราคะทั้งหลาย อันเป็นไปโดยความหยาบ เป็นไปโดยความสกปรก เป็นเชื้อต่อเติมตัณหา ต่อเติมชาติภพให้ยาวนานขึ้น บุคคลนั้นย่อมพิจารณาเห็นอยู่เนือง ๆ ตามโทษที่พระศาสดาทรงตำหนิ
จุดประสงค์ที่อยากจะกล่าวถึงในข้อนี้คือ สังโยชน์ ๑๐ ประการ และ หนึ่งในนั้นคือ กามราคะสังโยชน์ คือ ความยินดีและปรารถนาในกามารมณ์ ตัวใหญ่ที่สุดคือเมถุนธรรม หรือความกำหนัดยินดีในเรื่องเพศ ซึ่งเป็นตัวบั่นทอนให้สมณะทั้งหลาย ต้องพ่ายแพ้ต่อสัจจะ คือ ความตั้งใจจะทำที่สุดแห่งกองทุกข์นี้ให้หมดไป
อารมณ์ความยินดีในเมถุนธรรมดังกล่าว มันไม่ต่างอะไรกับยางเหนียวหนืด ที่ปกคลุมอยู่ทั่วร่างกาย แม้จะรู้ชัดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นโทษ เป็นตัวขัดขวางทางแห่งการทรงคุณธรรมชั้นสูง แต่ก็ไม่อาจจะสลัดหรือทำลายความสะอาดจิตให้ผ่องใส ปราศจากกามราคะนี้ได้เสียที แต่อย่างน้อยที่มันมากระทบ ก็ยังมีสิ่งที่ตามทันนั่นคือสติ ของเราเอง แม้บางครั้งจะพลอยยินดี เคลิบเคลิ้มไปกับมันบ้าง แต่บทสรุปมักจะจบลงด้วยความไม่เที่ยงแห่งสังขารร่างกายเสมอ มันเป็นอย่างนี้ทุก ๆ ครั้ง พยายามหาอุบาย ร้อยเล่ห์มาสกัดเอายางเหนียวหนืดนี้ออกไป แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะใช้วิธีไหนที่เป็นทางที่ถูกต้อง ทุกวันนี้จึงได้แต่ลองผิดลองถูกไปเรื่อย ๆ โดยใช้สติตามรู้ตามดูไปอย่างนั้น
เรื่องที่ข้าพเจ้าเขียนมานี้ ค่อนข้างจะบรรยายสวนทางกับความรู้สึกของคนทั่วไป เคยนำเรื่อง ความสุขจากการปล่อยวาง ความสุขจากการหนีไปจากเรื่องกามคุณ และอธิบายกันอย่างเป็นขั้นเป็นตอนให้เพื่อนคนหนึ่งของข้าพเจ้าฟัง เป็นอันว่าตั่งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้เป็นเวลาเกือบ ๖ เดือนแล้วที่เราไม่ได้คุยกันอีกเลย ในสายตาของเขา คงมองข้าพเจ้าเป็นคนบ้าแน่ ๆ ยังหนุ่มยังแน่นแท้ ๆ จะมาอธิบายชักชวนไม่ให้เสพกาม มันเป็นเรื่องที่ค้านต่อความรู้สึก และเป็นไปได้ยาก
ข้าพเจ้ามาตรึกนึกดูภายหลัง จึงรู้ว่าตนเองนั้นพลาดไปเสียแล้ว เอาเรื่องที่เป็นของยาก เป็นเรื่องที่อยู่เหนือวิสัยของคนปกติ และเขาผู้นั้นก็ยังไม่ปรารถนาจะละ แล้วมันจะได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา ธรรมดาเพียงการให้ทาน รักษาศีล เขาก็ยังทำกันลำบาก
ดังนั้นเรื่องจำพวกนี้ข้าพเจ้า จึงยินดีที่จะนำไปสนทนากับพระภิกษุนักปฏิบัติมากกว่า ซึ่งดูจะเหมาะสมพอสมควร แต่ก็สนทนากันโดยอ้อม ๆ เป็นหลักเป็นธรรม ไม่ได้เซ้าซี้จนดูเกินวิสัยนัก หรือแสดงความน่าเกลียดให้ท่านเห็น เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องละเอียดมาก ๆ หากเราพูดเรื่องจริง เรื่องถูกต้อง แต่ผิดสถานที่ ผิดวิสัยบุคคล แม้เรื่องที่นำมาอธิบายให้ฟังจะเป็นเรื่องจริง แต่จะกลายเป็นสิ่งที่ไร้เป็นประโยชน์ไปเลยในสถานการเช่นนี้
นอกจากนั้นอาจจะทำให้เพื่อนของข้าพเจ้าคนนั้น รู้สึกกลัวที่จะเข้าใกล้พุทธศาสนา เพราะเขาก็จะมีอคติไปว่า สิ่งที่ศาสนาสอนนั้น มันไม่ถูกกับจริต ถูกนิสัยของตัวเอง และจะเลิกศรัทธาพระ ทำตัวเบนออกไปจากศาสนาเรื่อง ๆ ซึ่งก็คงจะเป็นสิ่งที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง
แต่เรามักจะมีคำถามที่คอยทำให้พระและนักปฏิบัติทั้งหลาย ส่ายศีรษะและไม่อยากจะตอบคำถามนัก และเมื่อท่านไม่ตอบ ก็นึกเอาเอง ทักเอาเองว่า ตัวเรามีทัศนคคติที่ถูกต้องแล้ว ศาสนาที่คิดไว้แต่แรกว่าสอนแต่เรื่องจริง แต่ไม่สามารถหาคำตอบให้เราเข้าใจได้ ดังนั้นเราจึงไม่ควรเชื่อในสิ่งที่ศาสนาพุทธสอน ซึ่งหากใครมีทัศนคติไปทางแนวนี้ก็น่าสียดายอย่างมาก จะขอยกตัวอย่างคำถามโลกแตก ที่เรามักจะย้อนถามกันอยู่เสมอ ๆ
ถ้าไม่เสพกาม หรือ พ่อแม่ไม่มีเพศสัมพันธ์กัน แล้วเราจะเกิดมาได้อย่างไร มนุษย์ก็จะสูญพันธ์ไปหมดโลก
นะสิ คำถามเหล่านี้แทงใจนักปฏิบัติธรรม ที่มุ่งต่อมรค ผล นิพพาน ไม่น้อยทีเดียว หนึ่งในคำตอบในใจของผู้ปฏิบัตินั้นคือ
ก็เราไม่ได้ปรารถนาการเกิดอีก แล้วจะสนใจว่ามนุษย์จะสูญพันธุ์ไปทำไม ถ้าพูดกับนักปฏิบัติด้วยกันเอง ก็เป็นอันเข้าใจง่าย ๆ พับเสื่อกลับบ้านได้เลย
แต่สำหรับบุคคลทั่วไป ต้องอธิบายต่อกันอีกยาว เพราะผู้คนเหล่านี้ยังไม่ทราบว่า การเกิดนั้นเป็นทุกข์ได้อย่างไร ทำไมเราต้องไปนิพพานกัน แม้จะอธิบายกันยาวยืดเพียงใด ก็ยากที่จะเข้าใจกัน พระท่านจึงรู้สึกเหนื่อย ละที่จะอธิบายต่อ สู้เอาน้ำมนต์พรมหัว ให้ศีล ให้พร แล้วก็ไล่กลับบ้านไป ดูจะสบายใจกนทั้งสองฝ่าย นานวันเข้า คำสอน คำอธิบายเรื่องการเกิดนี้เป็นทุกข์ ก็เริ่มเสื่อมสลายหายไปทุก ๆ วัน
ข้าพเจ้าตรึกนึก พยายามใคร่ครวญหาคำตอบเป็นเวลาหลายเดือน ถ้าทุกคนบนโลก ต่างถือศีล ๘ งดเว้นเสียซึ่งการเสพกามคุณ หรือ ประพฤติอันเป็นไปเพื่อความกำหนัดยินดีในเรื่องเพศ แล้วโลกนี้จะเป็นอย่างไร เราจะตายกันหมดหรือไม่
ไม่น่าเชื่อว่าคำตอบที่ได้รับ และยังใช้เป็นอารมณ์พิจารณามาตลอดสองปีนี้ สิ่งที่ได้นี้เกิดการศึกษาตำรา เกิดจากการปฏิบัติ และปรับความเข้าใจต่อชีวิต ต่อโลก จึงได้มั่นใจว่า เรานั้นจะไม่อดตาย และมนุษย์ก็จะไม่สูญพันธุ์ โลกจะสงบร่มเย็นอย่างแน่นอน ข้าพเจ้าขอเอาศรีษะ และชีวิตนี้เป็นดิมพัน หากสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นไม่เป็นความจริง ส่วนเหตุผลว่าทำไมมนุษย์ไม่สูญพันธ์นั้น จะไม่ขออธิบายตอนนี้ เพราะค่อนข้างผิดวิสัย และจริตของชาวโลกดิจิตอล เอาเป็นว่ารู้แต่เท่าที่จำเป็นนั้น ก็เพียงพอก่อน
แต่ก็อย่างนั้นเอง อุตส่าห์มั่นใจเอาชีวิตของตัวเองเป็นเดิมพัน แต่ไม่ชี้แจงหาเหตุหาผลให้ฟัง มันคงจะดูเป็นเรื่องที่ขัดกับความรู้สึกสักหน่อย แต่ข้าพเจ้าก็ขอสัญญาว่าจะค่อย ๆ นำเรื่องนี้มาอธิบายให้เข้าใจกัน ในบันทึกธรรมบทต่อ ๆ ไป ซึ่งรับรองว่ามีอีกมากมายที่เราต้องพิสูจน์และใช้สติ ปัญญา พิจารณากัน
Create Date : 13 มีนาคม 2552 |
Last Update : 13 มีนาคม 2552 8:30:30 น. |
|
9 comments
|
Counter : 440 Pageviews. |
|
|
|
โดย: ก.ก๋า (กะว่าก๋า ) วันที่: 13 มีนาคม 2552 เวลา:10:13:04 น. |
|
|
|
โดย: พี่ Beee เองจ้า (Beee_bu ) วันที่: 13 มีนาคม 2552 เวลา:16:13:00 น. |
|
|
|
โดย: พี่ Beee เองจ้า (Beee_bu ) วันที่: 13 มีนาคม 2552 เวลา:17:44:20 น. |
|
|
|
โดย: มินทิวา วันที่: 13 มีนาคม 2552 เวลา:20:46:30 น. |
|
|
|
โดย: พลังชีวิต วันที่: 13 มีนาคม 2552 เวลา:21:49:34 น. |
|
|
|
โดย: ก.ก๋า (กะว่าก๋า ) วันที่: 14 มีนาคม 2552 เวลา:8:24:46 น. |
|
|
|
โดย: กิ่งไม้ไทย วันที่: 15 มีนาคม 2552 เวลา:1:38:51 น. |
|
|
|
โดย: Nissan_n วันที่: 15 มีนาคม 2552 เวลา:19:28:59 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 16 มีนาคม 2552 เวลา:8:01:44 น. |
|
|
|
| |
|
|
ว่าจะค่อยๆอ่านครับ
รอวันเสาร์ว่างๆ
แล้วก็อ่านรวดเดียวเลยดีกว่า