ภัยแห่งสังสารวัฏนั้น น่ากลัวยิ่งกว่าภัยอื่นใด - อัสติสะ
Group Blog
 
All blogs
 
๔๑๘ - ลิ้นชักแห่งแรงปรารถนา(ตอนที่ ๑)



แสงไฟที่กระพริบอยู่เบื้องหน้าของชายนักเดินทาง ส่องสว่างระยิบระยับราวกับหิ่งห้อยนับล้าน ๆ ดวงมาอยู่รวมกัน สายตาของเขาเบิกโพลงแสดงถึงความอัศจรรย์ใจกับภาพที่ปรากฏเบื้องหน้า มันเป็นเมืองที่อยู่ท่ามกลางหุบเขา มีตึกสูงเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบ แต่ละตึกสูงมีชั้นเป็นจำนวนมาก มากจนเขาเองก็ไม่อาจจะคาดคะเนได้ ในแต่ละชั้นของตึกประกอบไปด้วยดวงไฟดวงเล็ก ๆ ที่กระพริบต่อกันอย่างไร้ระเบียบ สร้างความปวดหัวให้กับใครก็ตามที่พยายามจ้องดูมัน และเมื่อแสงไฟกระพริบดวงเล็ก ๆ มาอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก ก็บังเกิดแสงสว่างให้กับเมือง ๆ นี้ มีชีวิตชีวาราวกับว่า ณ ที่แห่งนี้ไม่เคยหลับใหลแต่อย่างใด

แม้ว่าชายนักเดินทางเองจะอยู่ห่างเมืองนี้ไกลนับสิบกิโลเมตร แต่ก็สามารถมองเห็นความเคลื่อนไหวของเมืองได้อย่างราวกับได้ไปอยู่ชิดใกล้ เขามองเห็นแสงสว่างในทุก ๆ ที่ แต่ทว่าไม่ปรากฏมีบุคคลอาศัยอยู่เลย นอกจากบุคคลร่างโตจำนวนมากนอกกำแพง หรือว่าแสงสว่างนั่น จะทำให้มนุษย์ธรรมดา ๆ ไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ ซึ่งความคิดของเขาก็ใกล้เคียงความถูกต้องมากขึ้น เมื่อเดินทางเข้าใกล้ประตูเมืองทุกขณะ

มียามรักษาการณ์ร่างยักษ์ยืนคุมกำแพงทางเข้าอยู่ ร่างกายของมันสูงเหนือต้นไม้ที่อยู่บริเวณรอบ ๆ อาจจะสูงกว่าต้นไม้ที่อยู่ในป่าที่เขาเดินผ่านมาเสียด้วยซ้ำ

ชายนักเดินทางรู้สึกลังเลเพราะไม่แน่ใจถึงภัยอันตรายอันใดที่รออยู่ข้างหน้า เขาเองอยากจะเดินถอยหลังและเลี่ยงไปอีกทางหนึ่ง แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเป็นตัวการสำคัญ ที่ทำให้เขาต้องเดินเข้าไปในประตูเมือง เพื่อตามหาที่มาของแสงสว่างนั่น

“มีมนุษย์อยู่ตรงนั้น…” เสียงยักษ์ทหารยามตาดีร้องดังออกมา เมื่อมันมองเห็นร่างของชายนักเดินทางแต่ไกล พร้อมกับกระทืบเท้าเป็นการให้สัญญาณอันตรายกับพรรคพวกของตน ไม่ช้าทหารยักษ์นับสิบตนก็กรูกันเข้ามาล้อมจับชายนักเดินทางเอาไว้ โดยที่เขาเองก็ไม่ทันได้ตั้งตัว

“มนุษย์น้อย…เจ้าเป็นใครกัน มาที่นี่ด้วยธุระอันใด” ยักษ์ตัวแรกตะโกนถาม ซึ่งแม้ว่าจะไม่ต้องตะโกน เขาเพียงได้ยินเสียงยักษ์ตนนั้นพูดเบา ๆ แก้วหูก็แทบสั่นสะท้านอยู่แล้ว


“ผม…ผมเป็นนักเดินทางครับ กำลังเดินทางไปยังดินแดนนิพพาน บังเอิญผ่านมาทางนี้ ไม่มีเจตนาบุกรุกที่หวงห้ามหรอกครับ…” ชายนักเดินทางสารภาพ แม้คำตอบตอนท้ายจะดูขัดกับความตั้งใจแรกก็ตาม

“ที่นี่ไม่มีนิพพง นิพพานอะไรทั้งนั้น เจ้ารีบไปซะ ไม่งั้นร่างของเจ้าจะต้องถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ แน่” ยักษ์ตนที่สองขู่ แต่ดูท่าทางพวกมันจะเอาจริง ทำให้ชายนักเดินทางรู้สึกตัวสั่นไปทั้งตัว เพราะเจ้ายักษ์ตนสองไม่พูดอย่างเดียว มันเอาหมัดอันใหญ่โตฟาดลงบนต้นไม้ต้นใหญ่ใกล้ ๆ ทำให้ต้นไม้นั่นหักโค่น ราวกับมนุษย์เราถอนหญ้าทิ้งก็ไม่ปราน

“เดี๋ยวก่อน ๆ สหาย เมื่อร้อยปีก่อน นายท่านเราสั่งว่าหากเจอคนที่พูดถึงดินแดนนิพพานให้แจ้งนายก่อน อย่าเพิ่งด่วนทำอะไร ข้าคิดว่ามนุษย์นี้ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา เรารีบแจ้งต่อเจ้านายกันก่อนเถอะ…” ยักษ์ตนแรกที่เป็นผู้เห็นชายนักเดินทางก่อนใครพูดเตือนสติ

“ท่านคิดมากไปหรือเปล่า คำสั่งของนายท่านผ่านมาร้อยกว่าปีแล้ว ข้าว่านายท่านคงลืมไปแล้ว อย่าเสียเวลาเลย ข้าว่าไล่เจ้ามนุษย์นี่ไปเสียดีกว่า ไม่งั้นเราจะโดนต่อว่าแน่ ๆ ” เจ้ายักษ์ตนที่สองยืนกรานไม่เห็นด้วย แต่เนื่องจากชุมนุมยักษ์นั้นมีอยู่หลายตน และยักษ์เสียงส่วนใหญ่ก็ระลึกคำสั่งของนายได้ จึงมีมติแจ้งเรื่องต่อเจ้านายผู้เป็นหัวหน้าใหญ่เสียก่อน

‘ธรรมดายักษ์นั้นมีนิสัยดุร้าย เกรี้ยวกราดง่าย มีอารมณ์ฉุนเฉียว การที่ใครก็ตามทำให้บรรดายักษ์รู้จักเหตุผลและเชื่อฟังคำสั่ง แสดงว่าต้องเป็นคนที่มีฤทธิ์มากเป็นแน่’ ชายนักเดินทางคิด ซึ่งความคิดของเขาก็ไม่ได้ไกลความจริงนัก เพราะไม่นานหลังจากได้รับแจ้งจากลูกสมุนนายทวารยักษ์ ก็มีคำสั่งให้นำตัวชายนักเดินทางเข้าพบนายผู้เป็นคุมกฎของดินแดนนี้ และเป็นผู้ที่มีอำนาจในการชี้เป็นชี้ตายต่อทุก ๆ ชีวิตในดินแดนนี้เลยทีเดียว

ชายนักเดินทางถูกนำตัวมายังห้องโถงที่กว้างขวางมาก ๆ มีเพดานสูงลิบตาจนมองแทบไม่เห็นเพดานอาคาร ในระหว่างที่เขาถูกนำตัวมา ทุก ๆ ที่เขาเดินผ่านจะมีแสงสว่างเล็ก ๆ คล้ายหลอดไฟกระพริบ ๆ อยู่โดยตลอด เขาสังเกตเห็นตึกสูงลิบหลายพันชั้น ปริมาณของตึกก็มหาศาลจนแทบบรรยายไม่ถูก

“นี่มันที่ไหนกันแน่…” ชายนักเดินทางร้องอุทานเบา ๆ และแล้วก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น

“สวัสดี…พ่อหนุ่มน้อย นักเดินทาง…” เสียงชายวัยกลางคนดังก้องรอบทิศ แม้น้ำเสียงนั้นฟังดูธรรมดา แต่แฝงด้วยอำนาจและพลังบางอย่าง จนทำให้ต้องขนลุกชัน

“ท่านเป็นใคร…” ชายนักเดินทางร้องถาม แม้ว่าจะยังไม่เห็นร่างของเจ้าของเสียง แต่ไม่นานนัก ร่างของบุรุษผู้หนึ่งก็ปรากฏขึ้น รูปร่างของชายผู้นั้นใหญ่โตมากกว่าบรรดายักษ์เฝ้าประตูนับสิบเท่า รอบ ๆ กายของบุรุษผู้นั้นมีควันจาง ๆ ลอยฟุ้งอยู่ตลอดเวลา ทำให้อนุมานเสื้อผ้าการแต่งกายลำบาก แต่ดูแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับชุดของกษัตริย์โบราณ ที่เขาเคยได้ยินมาจากคำบอกเล่าของคนรุ่นก่อน

“เราเป็นผู้คุมกฎที่นี่ เรารอพบคนเช่นเจ้ามานานนับร้อยปีแล้ว” ด้วยคำพูดนั้นทำให้ชายนักเดินทางรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็มีคำถามอื่นที่ต้องการคำตอบมากกว่า

“แล้วที่แห่งนี้คือที่ไหนกันครับ”

“ที่นี่ก็คือ ดินแดนเก็บความปรารถนาของสัตว์ในจักรวาลนี้…ไงล่ะ ฮึ ๆ ๆ ...” ชายผู้คุมกฎตอบ พร้อมกับเสียงหัวเราะในลำคอ ที่ก้องไปรอบทิศ

-จบตอนที่ ๑-

ขอบคุณรูปภาพจาก //www.dhammathai.org/articles/data/imagefiles/654.jpg มากมายครับ




Create Date : 13 มกราคม 2556
Last Update : 13 มกราคม 2556 22:37:18 น. 1 comments
Counter : 503 Pageviews.

 
ปรารถนา..จะไป..ใจกำหนด
ตั้งเป็นกฏ..ที่จิต..ติดเป็นผัง
ถึงดินแดน..จะไป..หลังกายพัง
คือไปยัง..แดนนิพพาน..นั่นยังไง


โดย: เฒ่าจอย วันที่: 14 มกราคม 2556 เวลา:22:04:59 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

อัสติสะ
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ทุกข์ใดจะทุกข์เท่า การเกิด
ดับทุกข์สิ่งประเสริฐ แน่แท้
ทางสู่นิพพานเลิศ เที่ยงแท้ แน่นา
คือมรรคมีองค์แก้ ดับสิ้นทุกข์ทน






Google



New Comments
Friends' blogs
[Add อัสติสะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.