โจทย์ตะพาบ ... เรื่องที่อยากเล่า
โจทย์ตะพาบครั้งนี้เป็นของ คุณต่อ
เรื่องที่อยากเล่า เรื่องอะไรนะที่เราอยากเล่า มันคงไม่พ้นเรื่องใกล้ตัวของเราเองแหละ
เพื่อนๆคงได้ยินเรื่อง โรคซึมเศร้า กันมาบ่อยๆแล้วนะคะ เราก็ได้ยินมานะ และเข้าใจในเรื่องแบบนี้ เริ่มแรกคนใกล้ๆตัว ( หมายถึงลูกชายของญาติผู้พี่) เป็น ได้ยินครั้งแรก ก็ตกใจ ไม่คิดว่าหลานจะเป็น เพราะเขาเป็นคนสนุกสนาน เฟรนลี่มากๆคนนึง ในหมู่ญาติ เ ขาเป็นคนพูดจาทักทายพูดล้อพูดเล่นตลอดเวลา การแสดงออกถึงความรักพ่อแม่พี่น้องด้วยการกอดเป็นการทักทาย เขาก็ทำอยู่สม่ำเสมอ
แม้กับเราที่เขาเรียกว่าว่า อา เขาก็จะกอดทักทายเป็นปกติ พอเขาไปเรียนที่มหาลัยเชียงใหม่ ปี 3 ช่วงใกล้วันสอบ เพื่อนๆเขาส่งข้อความมาหาแม่ของหลาน ถามว่าไม่เห็นฟลุ๊คมาสอบเลย ไม่มามหาลัยด้วย ทางแม่กับพ่อเขาก็ขับรถขึ้นไปเชียงใหม่เลย และไปพบว่าลูกชายนอนหมกตัวอยู่แต่ในหอพัก ไม่ออกไปไหนเลย พ่แม่เค้าเลยพาไปหาหมอ ที่โรงพยาบาลสวนดอก ก็ได้รู้ว่าเขาเป็น โรคซึมเศร้า หมอให้ยามากินและดร็อปการเรียนไว้
ดีนะที่พ่อกับแม่ไปไว ถ้าไปช้ากว่านี้ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขา ผ่านมา 2-3 ปี หลานก็ไม่ได้กลับไปเรียนที่เชียงใหม่อีกเลย เคยกลับไปครั้งนึง แต่ก็ไม่สามารถใช้ชีวิตแบบเดิมได้อีก เลยต้องหยุดเรียนไป ....
เมื่อปี 63 เขาได้ไปสมัครเรียนใหม่ที่วิทยาลัยพละอ่างทอง เขาเรียนได้มาถึงทุกวันนี้ล่ะค่ะ ถามแม่เขา แม่เขาบอก ถ้าลูกไม่คาดหวังกับเพื่อนๆที่จะปฎิบัติตัวอย่างไรกับเขา เขาก็จะใช้ชีวิตต่อไปได้ในมหาลัย
เหตุผลของโรค มาจากเขาคาดหวังให้คนรอบตัวแคร์เขาเหมือนที่คนในครอบครัวแคร์เขา เมื่อตอนอยู่โรงเรียนเขาเป็นที่รักของทุกๆคน แต่พอขึ้นมหาลัยสังคมเปลี่ยนไป การใช้ชีวิตก็ต่างออกไป ไม่มีใครมาแคร์ใครได้เหมือนเดิม ....
เรากำลังจะบอกว่า โรคนี้ มันรุนแรงเหมือนกันนะ มันเกิดจากปัจจัยหลายๆด้านเลยทีเดียว โรคนี้ไม่ใช่ว่าใครๆก็เป็นได้
มาถึงตรงนี้คือ ข้างบนก็แค่เกริ่นนำ เข้าเรื่องตัวเองค่ะ เมื่อปีที่แล้ว จริงๆอาจจะนานกว่านั้น แต่เราเพิ่งรู้ตัว
เราคุยกับลูกมาสักพักถึงอาการแปลกๆของเรา นน. ลด ไม่อยากกินข้าว นอนไม่หลับ ( ซึ่งปกติก็หลับยากอยู่แล้ว) มีอากาหงุดหงิดโมโหง่าย
ลูกให้เราไปพบหมอ แต่เราก็บ่ายเบี่ยงนะ เพราะไม่คิดว่าเป็นอะไร คิดว่า วัยทอง ล่ะมั้ง อายุเลยห้าแยกลาดพร้าวมาเยอะแล้วเนอะ
มีวันนึงหลานที่เป็นหมอไลน์มาถามอาการ หลานบอก : น้าควรไปพบจิตแพทย์นะ เดี๊ยวผมนัดให้
พอถึงวันนัด เราก็ไปพบหมอ ทำการประเมินสภาพจิตใจว่าอยู่ในเกณฑ์ไหน ของเรายังไม่ถึงขั้นคิดฆ่าตัวตายนะ แค่เบื่อหน่าย ไม่อยากพูดจา หรือเจอหน้าผู้คน มีอาการน้อยอกน้อยใจ ร้องไห้ได้เป็นวรรคเป็นเวรกับคำพูดเล็กๆน้อยๆ มีคำถามกับตัวเองบ่อยๆว่า ทำไมๆๆ และทำไม
พอได้พบหมอ หมอยิงคำถามเราเหมือนจี้ใจดำกันที่เดียว คำพูดที่ไม่เคยพูดกับใคร ไม่เคยบอกกับใครมันพรั่งพรูออกมาไม่เหลือสิ่งที่คาใจเลย
เรารู้สึกว่าสิ่งที่เราพูดไป เราไม่สามารถพูดกับใครได้ นอกจากคนที่พร้อมจะฟังเราโดยไม่มีข้อแม้ และเป็นกลางที่สุด แล้วอีกอย่างปัญหาภายในครอบครัวจะไปเล่าให้ใครฟังล่ะ จริงไหม?
ปัญหาของเรา อาจเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับคนอื่นที่ได้ฟัง ( มันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเรา)
บางคนอาจคิดว่ามันเป็นเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งนะ แต่สำหรับเราไม่ใช่ !
นั่นไง! เราถึงได้เป็นแบบนี้ ( รึเปล่า?)
ช่วงที่เรามีอาการ(น่าจะหนักของเรา)ในช่วงหนึ่ง เราคิดว่าถึงขนาดว่า ถ้าพ่อตาย พ่อคงมีความสุขกว่านี้ไหม?
ถามว่าทำไมเราคิดแบบนี้ เรามองว่า ไม่มีใครรักพ่อได้เหมือนที่เรารัก ไม่มีใครสนใจพ่อได้เท่าเรา เรามองว่า ทุกคนเห็นพ่อเป็นปัญหา ไม่ว่าพ่อจะทำอะไร มันคือปัญหาของทุกคน เรามองพ่อทุกวัน เห็นพ่อเศร้า เห็นพ่อเสียใจกับคำพูดคำจาของคนในบ้าน เราก็ได้แค่ปลอบใจพ่อ และบอกพ่อว่า อย่าคิดมาก เขาก็พูดไปแบบนั้นจริงๆทุกคนห่วงพ่อแหละ เวลาแม่พูดอะไรพ่อก็อย่าไปฟัง เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ซะ เราห่วงใยต่อพ่อในทุกๆด้าน ยิ่งด้านความรู้สึกแล้ว เราห่วงมาก เราดูแลพ่อในทุกๆอย่าง ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง เพื่อลบล้างสิ่งที่มากระทบใจพ่อ
จนพ่อพูดกับเราว่า :
ถ้าหนูไม่อยู่ หัวใจพ่อนี่แฟ่บเลย ถ้าหนูอยู่หัวใจพ่อพองนะ
เราเข้าใจความรู้สึกพ่อดีเลยแหละ เราเก็บงำทุกอย่างไว้ในใจ อย่างมากก็ระบายให้ลูกฟังบ้าง ลูกก็บอกว่า แม่ก็ดูแลพ่อใหญ่(ลูกเราเรียกตาว่าพ่อใหญ่)ไป ใครไม่ทำก็ช่างเขาเหอะ
เรื่องหลักๆของเราคือ ทำไมแม่ไม่รักพ่อ หรือไม่ดีกับพ่อ ให้มากกว่านี้ ทำไมพี่สาวน้องสาวถึงไม่ใส่พ่อให้มากกว่านี้
เราเล่าทุกอย่างให้หมอฟัง หมอบอกเราว่า
1 . คุณต้องไม่คาดหวังในคนอื่น ให้เขามาทำได้เหมือนคุณ 2 . พ่อแม่เขาอาจมีเหตุผลในการดูแลซึ่งกันและกัน และแม่อาจปล่อยวางการดูแลพ่อเพราะคิดว่ามีลูกดูแลอยู่แล้ว 3 . เราต้องรู้จักปล่อยวางจากสิ่งต่างๆที่เห็น ที่รับรู้ เราไม่สามารถไปกำหนดกฎเกณฑ์ให้ใครมาทำอะไรได้ในแบบที่เราทำ 4 . เราต้องรู้จักอดทนกับสิ่งรอบตัว และไม่ต้องไปหาเหตุผลในการกระทำนั้นๆของใคร
หมอบอกสิ่งสำคัญจริงๆเลยคือ การรู้จักปล่อย และวาง อย่าไปคิดทุกอย่าง ถ้าคิดทุกอย่างแบบนี้ คุณนั้นแหละที่เป็นทุกข์
อีกอย่างของอาการนี้ก็คือ การที่สารในสมองบางตัวมันหลั่งออกมามากเกินไป ทำให้สารใรสมองไม่สมดุล คนไข้โรคนี้เลยต้องพึ่งยา เพื่อให้สารที่หลั่งออกมามากผิดปกติ ให้ออกมาสมดุลตามปกติ
สรุปเราต้องกินยาค่ะ และต้องทำใจควบคู่กันไปด้วย
วันที่เราหาหมอครั้งแรก เมื่อตรวจเสร็จรับยา ยังไม่ทันกลับบ้าน เราโทรหาลูกสาวเลยค่ะ และการโทรครั้งนี้คือการโทรไปร้องไห้ไปของเรา เราก็พรั่งพรูคำพูดต่างๆออกมาให้ลูกรับรู้ ลูกเข้าใจเรานะ ลูกรับฟังทุกอย่าง พร้อมกับเป็นกำลังใจให้เราก้าวข้ามผ่านทุกอย่างไปได้จนถึงวันนี้
จริงๆแล้วหมอถามว่าคุณรู้สึกแบบนี้มานานรึยัง เราบอกว่า ตั้งแต่เราย้ายกลับมาบ้านเพื่อดูแลพ่อกับแม่ ช่วงแรกๆ เราต้องมาปรับตัว ตอนนั้นเราก็มี ปห นะ แต่ไม่คิดว่ามันเรื้อรังจนถึงตอนนี้ ตอนนั้นเราคิดว่า เราต้องมาเรียนรู้นิสัยใจคอของแม่พ่อน้องและหลานใหม่อีกรอบก็แค่นั้น
เราไปอยู่กับลูก 2 คนที่กทม .10 ปี ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป น้องและหลานโตขึ้น พ่อกับแม่แก่ลง นิสัยใจคอทุกคนเปลี่ยนไป เราก็แค่ปรับตัวเองให้อยู่ได้เหมือนเมื่อก่อนนั้นก็พอ เลยไม่ได้ปริปากบ่นอะไรกับใคร ได้แต่เก็บความรู้สึก ไม่ชอบ ไม่พอใจ เอาไว้ในใจ หลังๆมา เราโกรธ และเกรี้ยวกราดมากขึ้นกว่าเดิมนะ เรารู้ตัว และพยายามเก็บมันไว้ เมื่อถึงเวลาร้องไห้ ไม่พอใจ ก็จะร้องโฮๆๆในห้องน้ำคนเดียว (มิวสิคเพลงมาเลย )
ที่เขียนและเล่ามา เป็นแค่ช่วงแรกของการไปพบหมอค่ะ แต่อาการเราก็ดีขึ้นนะ หมอแนะนำให้เปลี่ยนสถานที่ไปพักผ่อน เอาจริงๆตอนแรกคิดว่า ถ้าเราไป เราก็ไม่มีความสุข เรายังห่วงพ่อ แต่เราต้องตัดใจ ออกไปบ้าง ออกไปจากตรงนี้สักพัก เราไปอยู่กับลูกสาวค่ะ และพอดีช่วงนั้นเราก็ไปช่วยหลานสะใภ้เลี้ยงลูกด้วย เลยได้ห่างๆไปสักพักกับสิ่งเดิมๆ ใจก็เริ่มเบาลงนะ
ในช่วงที่เราไม่อยู่ เราบอกให้น้องชายมาดูแลพ่อด้วย คือคนที่บ้านก็ดูแลนั่นแหละค่ะ แต่ก็แค่ทำไปวันๆ ในความคิดเรา เราคงเรื่องเยอะเองล่ะมั้ง
การที่เราจะดูแลพ่อแม่ ใช่ว่าเราจะหาข้าวหาขนมให้เขากิน 3 มื้อแล้วจบ มันไม่ใช่สำหรับเราไง ต้องดูแลถามไถ่เขาด้วย พูดคุยกับเขาบ้าง ไม่มากก็น้อย มีคำนึงกล่าวว่า พ่อแม่เราต้องเลี้ยงทั้งกายและเลี้ยงใจของเขาด้วย
หลังจากนั้นสองเดือนเรากลับไปพบหมออีก ปรากฎว่า อารมณ์เราเริ่มคงทีมากขึ้น หมอสั่งลดยา
และในอีกสองเดือนเรากลับไปพบหมออีก สรุปว่าครั้งนี้ อารมณ์เราไม่คงที่ค่ะ เรามีคำถามกับตัวเองอีก คำถามที่ว่า ทำไมๆๆ ทำไมต้องปิดประตูดัง ทำไมนั่นทำไมนี่ เหมือนพอลดปริมาณยา อาการของอารมณ์เริ่มจะหวั่นไหวขึ้นมาอีก หมอเลยให้กินยาเท่าเดิม และเราก็คงระดับยาไว้ตรงนี้มาสักพักแล้วค่ะ
ครั้งก่อนเราได้พบนักจิต คุยกับนักจิตเกือบ 2 ชม. เราก็ได้มุมมองใหม่ๆในชีวิตมานะ ไว้ค่อยมาเล่าในบล็อกถัดๆไปล่ะกันนะคะ เพราะเราคิดว่า เราอยากเขียนเรื่องนี้ไว้ในบล็อก เพื่อเตือนตัวเอง อาจเป็นประโยชน์กับใครสักคนที่อาจมี ปัญหาเหมือนๆเรา
กำลังใจของเราคือลูกสาวค่ะ เธอเข้าใจเรา เธอดูแลเราทุกอย่าง
ต้องขอบคุณคุณต่อกับโจทย์ตะพาบครั้งนี้ที่ทำให้เราได้เล่าในเรื่องที่อยากเล่า การที่เราได้เล่า ก็เท่ากับเราได้ระบายสิ่งต่างๆมันออกมา และเราสบายใจที่จะเล่าด้วยค่ะ
หลายครั้งที่ไม่อาจยอมรับตัวเอง มันทำให้เราทุกข์ เมื่อเราได้พบหมอ เรากลับได้มุมมองใหม่ๆกลับมา ทำให้เราใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น ไม่คาดหวังกับใครๆ ปล่อยและวาง ให้ทุกอย่างเป็นไปตามสิ่งที่ถูกกำหนดมา เราแค่ทำในส่วนของเราให้ดีที่สุดก็พอ ใครจะทำหรือไม่ทำนั่นก็อยู่ที่ตัวเขาแล้ว
การดูแลพ่อแม่ มันเป็นสิ่งที่ลูกทุกคนควรทำ เราคิดว่าใครทำดีคนนั้นก็จะได้ดี เราไม่ค่อยได้ไปวัดนะหลังๆ แต่ถามว่าไปไหมก็ไปนะ ตามความสะดวก
แค่เราดูแลใส่ใจพระในบ้านของเรานี่แหละ คือการทำบุญที่ยิ่งใหญ่ บุญนี้ใครทำใครก็ได้
จบล่ะนะโจทย์ เรื่องที่อยากเล่า
ขอบคุณเพื่อนๆที่แวะมาทักทาย และส่งกำลังใจนะคะ
ปล. อาจมีคนสงสัยว่า เราดูแลพ่อแบบนี้ แล้วแม่ล่ะ ? เราดูแลทั้งพ่อและแม่เหมือนกันค่ะ ทำทุกอย่างให้พ่vแม่เหมือนกัน ไม่ขาดตกบกพร่อง ถึงแม่จะไม่ใส่ใจพ่อ แต่เราก็ใส่ใจแม่เท่ากับพ่อนะ พ่อแม่เรามีลูก 4 คน พี่สาวแต่งงานไปก็อยู่กับแฟน ซึ่งเรามองว่า เค้าไม่ค่อยได้ใส่ใจพ่อแม่เท่าที่ควร (เราคิดเองอีก) น้องชายก็อยู่กับแฟน (น้องชายถึงจะอยู่กับแฟนแต่ก็มาดูแลพ่อกับแม่เสมอๆ) น้องสาวและหลานอยู่กับพ่อแม่ ( ซึ่งเขาค้าขายอยู่หน้าบ้าน แต่ก็สนใจแต่ทำมาหากิน สนใจดูแลพ่อน้อยกว่าแม่) ( นี่นเราก็คิดเองจากที่ได้อยู่กันมาหลายปี)
ในความคิดของเรา เกี่ยวกับแม่ที่มีต่อพ่อ ในที่นี้หมายถึง ไม่ต้องมาพูดค่อนแคะ กระแทกแดกดันพ่อ อย่าใช้คำพูดที่คอยแต่จะต่อว่าหรือถากถางพ่อ พูดถึงตรงนี้เราก็ได้แต่ถอนใจแหละ
ตั้งแต่เราไปพบหมอมา บรรยากาศในบ้านโดยรวมดีขึ้น แม่ไม่พูดอะไรจนเรารู้สึกไม่ดี แต่ก็ยังมี แต่พอรับได้สำหรับเรา น้องสาวก็ดูแลใส่ใจอาหารการกินของพ่อมากขึ้น มันแค่นี้แหละที่เราต้องการ เราต้องการให้คนในครอบครัวรักกัน แค่นั้นเอง
อาจมีคำถามว่า แล้วก่อนนั้นไม่พูดกันเหรอ ถ้าเราพูดคงไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ ไม่ใช่ค่ะ เราพูด แต่เมื่อเราพูดแล้ว เขาจะแปรไปอีกทาง แปรว่ารักพ่อมากกว่า ทำไมล่ะ พูดอะไรไม่ได้เลยรึไง พ่อมึงวิเศษขนาดไหนพูดว่าอะไรไม่ได้ นี่แหละคือสิ่งที่ได้รับการตอบกลับมาในสิ่งที่เราได้พูดไป สุดท้ายเราก็เลือกที่จะเก็บเงียบ ทุกข์และทน อยู่กับมัน สุดท้ายแล้วมันทำร้ายตัวเราเองค่ะ
เราไม่อยากให้ใครมีปัญหาแบบเรานะ จริงๆ อะไรที่คุยกันได้ก็คุยกันไปค่ะ เปิดอกกันไปเลย ....
คราวนี้จบจริงๆค่ะ
Create Date : 01 พฤษภาคม 2565 |
Last Update : 2 พฤษภาคม 2565 15:18:34 น. |
|
15 comments
|
Counter : 751 Pageviews. |
|
|
|
ผู้โหวตบล็อกนี้... |
คุณtoor36, คุณกะว่าก๋า, คุณไวน์กับสายน้ำ, คุณสองแผ่นดิน, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณเริงฤดีนะ, คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณ**mp5**, คุณThe Kop Civil, คุณปัญญา Dh, คุณโอน่าจอมซ่าส์, คุณโอพีย์, คุณมาช้ายังดีกว่าไม่มา, คุณnewyorknurse |
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 1 พฤษภาคม 2565 เวลา:18:07:43 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 1 พฤษภาคม 2565 เวลา:18:33:05 น. |
|
|
|
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 1 พฤษภาคม 2565 เวลา:20:46:55 น. |
|
|
|
โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 1 พฤษภาคม 2565 เวลา:23:26:57 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 2 พฤษภาคม 2565 เวลา:6:14:10 น. |
|
|
|
โดย: **mp5** วันที่: 2 พฤษภาคม 2565 เวลา:8:53:49 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 2 พฤษภาคม 2565 เวลา:15:46:23 น. |
|
|
|
โดย: ปัญญา Dh วันที่: 2 พฤษภาคม 2565 เวลา:22:44:52 น. |
|
|
|
โดย: โอพีย์ วันที่: 3 พฤษภาคม 2565 เวลา:2:00:50 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 3 พฤษภาคม 2565 เวลา:6:16:40 น. |
|
|
|
โดย: ปัญญา Dh วันที่: 3 พฤษภาคม 2565 เวลา:12:38:41 น. |
|
|
|
|
|
เดี๋ยวนี้ดีขึ้นครับมีพวกแบบทดสอบอาการต่างๆ ให้เราได้ทดลองทำดูก่อน แม้มันจะไม่สามารถยืนยันคสามแม่นยำของอาการได้ แต่มันก็ทำให้เราได้เห็นแนวโน้มว่าเราควรจะปฏิบัติตัวอย่างไรต่อไป
ในประเทศไทยมันมีมายคติอยู่อย่างตรงที่ การไปพบจิตแพทย์ = บ้า ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่มายาคติเหล่านั้นจะหมดไปเสียที ถ้าเป็นทางยุโรปไปหาจิตแพทย์คือเรื่องปกติครับ ของเราจะเป็นการไปหาหมอดูเสียมากกว่า
สิ่งที่น่ากลัวคือ มันไม่แสดงอาการออกมาให้เห็นแบบพวกตัวร้อน หรือเป็นผื่นขึ้น คือเรามองไม่ออกเลย มันลำบากตรงนี้ล่ะ
จากบล็อก
เรื่องโจทย์ ตามสบายเลยครับ ผมยังคงยึดมั่นตามแนวทางและนโยบายที่เป็ดสวรรค์ได้บรรญัติไว้ คือ เน้นสบายๆ ในการเขียน ก็แค่ห่วงว่าเพื่อนๆ ที่ร่วมเขียนจะรู้สึกเบื่อไปก่อนรึเปล่า เพราะคนกำหนดโจทย์มีแค่ 2 คน (ผมกับพี่ก๋า) ถ้ามีเพื่อนๆ ที่ร่วมเขียนบ่อยๆ ร่วมกำหนดบ้าง มันจะรู้สึกได้ถึงความแปลกใหม่ในโจทย์ แล้วจะทำให้รู้สึกสนุกกับการเขียนมากขึ้น ถ้ามีโอกาสหรือเปลี่ยนใจก็ ส่งโจทย์ที่อยากให้เพื่อนเขียนมาทางหลังไมค์ได้นะครับ คนที่ตั้งโจทย์ครั้งแรก ผมให้สิทธิ์ลัดคิวให้ทุกคนครับ (มันขายตรงแบบนี้เลย)
ที่คุยกัน
ถ้ามิเตอร์น้ำแบบนั้นแพงแน่นอนครับ ไม่แปลกที่จะบ่น ที่ผมนึกได้มีอีกเรื่องคือ มีจุดที่น้ำรั่วหรือไม่ ลองเช็คดุนะครับ ยังไงก็พยายามใจเย็นกับทั้งคุณพ่อและคุณแม่นะครับ