ภูเกล้าหรือ "ลิงคบรรพต"
ภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งดินแดนเศรษฐปุระหรือเจนละบก มาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 5
ปราสาทหิน “เทวาลัย” บนยอดเขาในยุคแรก ๆส่วนใหญ่จะเป็นปราสาทอิฐหลังเดี่ยว (Brick Tower) ใช้หินทราย(Sandstone) ซึ่งเป็นหินที่หาได้ง่ายในท้องถิ่นเป็นคานรับน้ำหนักไม่มีอาคารมณฑป (Mandapa) อยู่ด้านหน้า ปราสาทบนยอดเขาที่อาจจะ “เก่าแก่” ที่สุดของวัฒนธรรมเขมรอาจเป็นซากอาคารอิฐขนาดใหญ่ของ “ปราสาทวัดภู” (Wat PhouPr.) บนยอดเขา “ภูควาย” แขวงจำปาศักดิ์ศูนย์กลางแห่งเจนละบกในยุคก่อนเมืองพระนครเป็นปราสาทอิฐที่สร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 11 – 12 (ซึ่งต่อมาในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 16 และ พุทธศตวรรษที่ 17จึงมีการสร้างมหามณฑป (Mandapa) ด้วยหินทรายเชื่อมต่อที่ด้านหน้าของเรือนธาตุปราสาทอีกทีหนึ่ง
“พระเจ้ายโสวรมันที่ 1” (Yasovarman I) ในช่วงกลางพุทธศตวรรษ ที่15 ได้มีการดัดแปลงภูเขา “พนมบาแค็ง – วนำ กันดาล”(Phnom Bakheng – Vnam KantalMountain)ให้กลายเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งอาณาจักร ในชื่อของ “ศรียโสธรคีรี”(Sri Yasodharagiri) ประดิษฐานรูปศิวลึงค์ “ยโศธเรศวร” ขนาดใหญ่แทนความหมายขององค์พระศิวะ มีการสร้างพีระมิดขั้นบันไดแผนผังจักรวาล 4 เหลี่ยมจำนวน 5 ชั้นตามแผนผังแบบ “วงล้อมรอบจุดศูนย์กลาง” (Plan Centre) ขึ้นโดยการใช้หินส่วนยอดของภูเขาธรรมชาติเป็นแกนด้านในและสร้างปราสาทวิมานขนาดเล็กที่ประทับแห่งทวยเทพตามลำดับชั้นบนสรวงสวรรค์รายล้อมจำนวน 108 องค์ ซึ่งเป็นการจำลองภาพของระบบจักรวาลตามแบบ “ดาราศาสตร์ผสมผสานคติความเชื่อ” ของลัทธิฮินดูที่มีเขาพระสุเมรุเป็นจุดศูนย์กลางหรือ “แก่นจักรวาล”(Cosmic Axis) มีปราสาทเทวาลัยขนาดใหญ่เป็นประธานในความหมายของวิมานที่ประทับขององค์พระศิวะบนเขาไกรลาสที่จะตั้งอยู่สูงขึ้นไปจากเขาพระสุเมรุอีกทีหนึ่ง
“คติความเชื่อ”ใน คัมภีร์ปุราณะทั้งเรื่องของลำดับขั้นของสวรรค์ ที่ตั้งของวิมานเทพเจ้า ทิศของสวรรค์และยังเกี่ยวเนื่อง – เกี่ยวข้องกับอำนาจเหนือธรรมชาติในรูปของ “โหราศาสตร์” (Astrology)ที่จะมีอิทธิพลหรือส่งผลกระทบในด้าน “ความเชื่อ” ต่อ “ดวงพื้นฐาน– การเกิดเดือนเกิด ปีเกิด และการดับสูญ” ที่ต้องวาง “ยันตรมณฑล” (Yantra Mandala)ของกษัตริย์เทวราชผู้สถาปนาและพระญาติพระวงศ์ ผู้ร่วมในพิธีกรรม หรือผู้ทรงอำนาจให้ “ถูกโฉลก” และต้องนำมาซึ่ง “ความสุขความเจริญ อำนาจ เงินตรา ไพร่ทาสและความเป็นนิจนิรันดร์ แห่งปรมาตมัน” อีกด้วย
“ศิวลึงค์” (ShivaLingam)เป็นสัญลักษณ์ตัวแทนของพระศิวะ ซึ่งจะประดิษฐานอยู่ในห้อง”ครรภคฤหะ” (Garbhagrha)เพื่อเป็นประธานในเทวาลัย ซึ่งเปรียบความหมายของ “การปฏิสนธิ”ที่จะนำสู่การกำเนิดและความเจริญรุ่งเรือง ห้องครรภคฤหะจะเปรียบเสมือน “มดลูก” ของเทพสตรีในขณะที่ศิวลึงค์ ที่ตั้งตรงอยู่ จะแทนความหมายของ “อวัยวะเพศชาย” (ขององค์พระศิวะ)ที่ได้กำลังสอดใส่เข้ามาห้องหรือภายในมดลูกซึ่งเมื่อมีการกระทำบูชาในพีกรรมของไศวนิกาย – ปศุปตะ ขั้นตอนสำคัญตอนหนึ่งก็คือก็นำน้ำศักดิ์สิทธิ์หรือน้ำนมเนยจากวัวศักดิ์สิทธิ์มาเทลงบนยอดโค้งมนของ ศิวลึงค์ซึ่งนั่นก็หมายความถึง “จุดสุดยอดของการปฏิสนธิ” ที่จะเกิดการหลั่งน้ำออกจากยอดไหลลงมาสู่ฐานโยนีที่รองรับอยู่ด้านล่าง ผ่านทางช่องน้ำไหลลงไปทางด้านทิศเหนือและจะไหลออกจากคูหาครรภคฤหะทาง “ช่องรางโสมสูตร” ไปสู่ภายนอกน้ำที่ไหลผ่านรูปศิวลึงค์นี้จึงถือเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่จะนำพามาซึ่งความมงคลของการกำเนิด(ผู้คนพืชพรรณธัญญาหาร) การเติบโต และความเจริญรุ่งเรืองของชีวิตผู้คนบ้านเมืองและอาณาจักร
//www.oknation.net/blog/voranai/2012/07/02/entry-1