ธรรมะในการเอาชนะมารใจบาป...เคล็ดลับการอยู่คนเดียวในพุทธศาสนา
 
พระไพศาล วิสาโล---ให้ธรรมะการอยู่คนเดียว แบบพระพุทธศาสนาไว้ดังนี้  การมีสติเป็นเพื่อนก็เรียกว่าเป็นการอยู่คนเดียว ตามหลักพระพุทธศาสนา แม้จะอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายหรืออยู่ในเมือง แต่ถ้ามีสติเป็นเพื่อนแล้วก็ถือว่าอยู่คนเดียว เพราะช่วยให้ใจเกิดความสงบสงัด ในทางตรงกันข้ามหากอยู่คนเดียวอย่างมีสติแม้จะอยูในป่าหรือกลางทะเลทรายก็ย่อมรู้สึกอบอุ่นราวกับอยู่ท่ามกลางคนหมู่มาก...พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าอยู่คนเดียวเหมือนกับอยู่กับคนหมู่มากคือ อบอุ่น ไม่กลัว รู้สึกปลอดภัย และเวลาอยู่กับคนหมู่มากก็เหมือนกับอยู่คนเดียว คือว่าผู้คนจะส่งเสียงอึกทึกเราก็ไม่เดือดร้อนใจ ไม่หวั่นไหวขึ้นลง มีความสงบสงัดราวกับอยู่คนเดียว จิตเป็นปรกติไม่แปรผันใครเขาจะสรรเสริญอย่างไร ใจเราก็เป็นปรกติ เขาจะตำหนิเพียงใดใจก็ไม่หวั่นไหวนิ่งได้ อย่างนี้เรียกว่าแม้อยู่ท่ามกลางคนหมู่มากก็เหมือนอยู่คนเดียว.
 
               ข้าแต่พระโคตมะ, ผู้เป็นเหล่ากอแห่งพระอาทิตย์  ข้าพระองค์ ได้มาเฝ้าพระองค์ตามคำแนะนำของท่านอสิตดาบส ผู้เป็นลุงโดยแท้  เพราะเหตุนั้น ข้าพระองค์ขอทูลถามพระองค์ผู้ถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง  ขอพระองค์จงตรัสบอกความเป็นมุนีและปฏิปทาอันสูงสุดของมุนี  ของเหล่าบรรพชิตแก่ข้าพระองค์เถิด    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า  นาลกะ , เราจักบัญญัติปฎิปทาของมุนีที่บุคคลทำได้ยากให้เกิดยินดีโดยยากแก่ท่าน   นาลกะ , ท่านจงอุปถัมภ์ตนจงเป็นผู้มั่นคงเถิด  นาลกะ , พึงกระทำการด่าของคนชัง  และการไหว้ของคนชอบในบ้านให้เสมอกัน  มีค่าเท่ากัน  พึงรักษาใจมิให้อารมณ์ใดๆประทุษร้าย  พึงเป็นผู้สงบไม่มีความเย่อยิ่งเป็นอารมณ์  นาลกะ , อารมณ์ที่สูงๆต่ำๆ  มีอุปมาเหมือนเปลวไฟมาสู่ครองจักษุเป็นต้น  เหล่านารีย่อมเล้าโลมมุนีด้วยมารยาต่างๆ  นารีนั้นอย่าพึงโลมท่าน  คือว่าท่านอย่ายินดีในการเล้าโลมของนารีทั้งหลาย  พึงหลีกไปเสียจากการเล้าโลมทั้งปวง  มุนีละกามทั้งหลายทั้งที่ดีและไม่ดีแล้ว  เว้นขาดจากเมถุนธรรมไม่ยินดียินร้าย  ในสัตว์ทั้งหลายผู้สะดุ้งและมั้นคง  พึงทำตนให้เสมอในสัตว์ทั้งหลายว่า “ เราฉันใด สัตว์เหล่านี้ก็ฉันนั้น”
 
พระนางเขมาเถรีเอาชนะมาร : วันหนึ่ง พระเถรีนั้นนั่งพักกลางวันอยู่โคนไม้ต้นหนึ่ง มารผู้มีบาปแปลงกายเป็นชายหนุ่มเข้าไปหา เมื่อประเล้าประโลมด้วยกามทั้งหลาย ก็กล่าวคาถาว่า  แม่นางเขมาเอย เจ้าก็สาวสคราญ เราก็หนุ่มแน่น  มาสิ เรามาร่วมอภิรมย์กัน ด้วยดนตรีเครื่อง นะแม่นาง. นางเขมาเถรีนั้น ฟังคำนั้นแล้ว เมื่อประกาศความที่ตนหมด ความกำหนัด ในกามทั้งปวง ความที่ผู้นั้นเป็นมาร  ความไม่เลื่อมใสที่มีกำลังของตนในเหล่าสัตว์ผู้ยึดมั่นในอัตตา  และความที่ตนทำกิจเสร็จแล้ว จึงกล่าวคาถาเหล่านี้ว่า เราอึดอัดเอือมระอาด้วยกายอันเปื่อยเน่า กระสับกระส่าย  มีอันจะแตกพังไปนี้อยู่ เราถอนกามตัณหาได้แล้ว กามทั้งหลาย มีอุปมาด้วยหอกและหลาว มีขันธ์ทั้งหลายเป็นเขียงรองสับ  
        บัดนี้ ความยินดีในกามที่ท่านพูดถึงไม่มีแก่เราแล้ว  เรากำจัดความเพลิดเพลินในกามทั้งปวงแล้ว ทำลายกองแห่ง ความมืด [อวิชชา] เสียแล้ว ดูก่อนมารใจบาป ท่านจงรู้อย่างนี้ ตัวท่านถูกเรากำจัดแล้ว พวกคนเขลา ไม่รู้ตามความเป็นจริง พากันนอบน้อมดวงดาวทั้งหลาย บำเรอไฟอยู่ในป่าคือลัทธิ สำคัญว่าเป็นความบริสุทธิ์ ส่วนเราแลนอบน้อมเฉพาะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นอุดมบุรุษจึงพ้นแล้วจากทุกข์ทั้งปวง ชื่อว่าทำตามคำสั่งสอนของพระศาสดา.



Create Date : 19 ธันวาคม 2555
Last Update : 19 ธันวาคม 2555 16:39:33 น.
Counter : 3241 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

surya21
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 50 คน [?]



New Comments
ธันวาคม 2555

 
 
 
 
 
 
1
3
4
6
8
9
10
13
15
16
21
23
24
27
28
30
31
 
 
All Blog