ดร. ธิดา สาระยา ให้ข้อมูลเกี่ยวกับปราสาทเขาพระวิหาร จ.ศรีสะเกษ ดังนี้ ในยุคโบราณ ระบบความเชื่อของมนุษย์อาจแยกได้เป็นสองแบบอย่างกว้างๆคือ
1.การนับถือผี การนับถือบรรพบุรุษ คนโบราณเชื่อว่าชีวิตยังคงอยู่หลังความตาย จึงหาทางเชื่อมโยงติดต่อระหว่างผู้ที่ตายแล้วกับผู้ทียังมีชีวิตอยู่ เพื่อให้พลังอำนาจของผู้ที่ตายไปแล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรพบุรุษมาช่วยเหลือคุ้มครอง
2.ความเชื่อเกี่ยวกับอำนาจเหนือธรรมชาติ มนุษย์เชื่อว่าสิ่งต่างๆนั้นมีวิญญาณที่เป็นอำนาจเหนือธรรมชาติสามารถดลบรรดาลให้ความช่วยเหลือคุ้มครองมนุษย์ได้ อำนาจเหนือธรรมชาติเหล่านี้มาจากสิ่งทีมีอยู่โดยธรรมชาติและมีลักษณะโดดเด่นเป็นพิเศษ เช่นป่าทึบ เขาใหญ่ ต้นไม้สูงอายุนาน และสิ่งถูกสร้างขึ้นเป็นสัญญลักษณ์เช่นก้อนหิน เนินดิน
เป้าหมายของการนับถือสิ่งเหล่านี้คือความต้องการให้เกิดความอุดมสมบูรณ์เพื่อให้คนดำรงชีวิตอยู่ใด้ ลัทธิที่เกี่ยวกับความอุดมสมบูรณ์จึงมีมาก่อนศาสนาหลัก เช่น ฮินดู และ พุทธศาสนาเข้ามาผสม ต่อมาเมื่อมีการนับถือพระศิวะในฐานะพระเป็นเจ้าสูงสุดแห่งสากลจักรวาล แต่ละท้องถิ่นต่างรับนับถือพระศิวะแตกต่างกันไป พระศิวะอาจอยู่ในฐานะเจ้าแห่งแผ่นดินและเจ้าแห่งภูเขาตามความเชื่อของคนพื้นเมืองก็ได้ มเหสีของพระองค์คือ อุมาเหมวตี ธิดาของหิมาลัย กลายเป็นปารวตีเทพีแห่งขุนเขาและสำหรับบางกลุ่มเธอคือ เทพีแห่งข้าว ชนชั้นปกครองได้พัฒนาความเชื่อเหล่านี้ให้เป็นพื้นฐานแห่งอำนาจตน เมื่อพวกจามนับถือพระศิวะและศิวะลึงค์ กษัตริย์ก็ตั้งตนเป็นผู้รับอำนาจจากพระศิวะผสานกับอำนาจของบรรพบุรุษ เห็นได้จากที่พระราชทานชื่อของตนเองเป็นส่วนหนึ่งของชื่อศิวะลึงค์ที่ทรงสถาปนา เช่น กษัตริย์ภัทรวรรมันสถาปนาศิวลึงค์ชื่อ ภัทเรศวร และกษัตริย์อินทรวรรมัน ทรงโปรดให้สร้างปราสาทพะโค บูชาบรรพบุรุษของพระองค์ตลอดทั้งพระเจ้าชัยวรมันที่2 และ พระมเหสี ทรงสถาปนาให้บุคคลเหล่านี้เป็นเทวะ ในรูปประติมากรรมขององค์ศิวะและเทวี นอกจากนั้นทรงโปรดให้สร้างปิรามิดแห่งบากอง เพื่อประดิษฐานศิวลึงค์ชื่อ อินทเรศวร เป็นต้น
ความเติบโตของชุมชน รอบเขาพระวิหารเห็นได้ชัดตั้งแต่สมัยพระเจ้าสุริยะวรมันที่ 1 พระองค์โปรดประทานผู้คนให้รับใช้เพาะปลูกทำนาเลี้ยงศาสนสถาน ผู้คนบางกลุ่มบางส่วนก็โยกย้ายไปอยู่ชุมชนใหม่ใกล้เคียงทำให้เกิดการขยายชุมชนในแถบนี้มาก การขยายตัวของชุมชนยุคนี้มีเมืองอวัธยปุระเป็นศูนย์กลาง จารึกได้บอกไว้ว่าข้าราชการแห่งเมืองอวัธปุระเป็นผู้ดูแลสิ่งของสำหรับเทวะแห่งเขาพระวิหาร ตามพระโองการ พระกัมรเตงอัญศรีปฤถิวีนทรบัณฑิต ซึ่งเป็นพระสภาบดีชั้นเอกแห่งเมืองกุติรุง ได้แจ้งพระบรมราชโองการแก่กำเสตงศรีสมเรนทราบดีวรมันแห่งเมืองอวัธยปุระ ซึ่งเป็นผู้ตรวจดูแลสิ่งของในกัมรเตงศรีศิขรีศวร เมืองใหม่ๆทีเติบโตขึ้นพวกขอมเข้าไปอยู่อาศัยมากขึ้น พลเมืองเดิมต้องย้ายไปอยู่ที่อื่นตามพระราช
โองการดังเช่น เมืองวิเภทะ ได้เปลี่ยนชื่อเป็นกุรุเกษตร ในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่1 พระองค์ประทานให้แก่ ศรีสุกรรมมากำสเตงิ ดูแล เดิมอยู่ภายใต้การดูแลของตระกูลพื้นเมืองผู้หนึ่งชือ วาบเมาแห่งเมืองวิเภทะ ซึ่งได้รับโองการให้ย้ายไปอยู่ที่รังโคลแทน ข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งที่ปรากฏในจารึกก็คือ ชุมนุมคนพื้นเมืองเดิมเป็นกลุ่มอำนาจทีสร้างความกังวลแก่พระองค์ ในจารึกเรียกกลุ่มนี้ว่า พวกกบฏดำ เป็นพวกตระกูล ปาสคะเมา พระกำเสตง ปาสคะเมา เป็นหัวหน้า พวกนี้ชอบใช้ความรุนแรง พระองค์มีรับสั่งให้ข้าราชบริพารคอยสอดส่องดูแลขัดขวางไม่ให้พวกปาสคะเมารวมตัวกัน พงศาวดารเขมรสมัยหลังเรียกบริเวณหนึ่งว่า เมืองที่อยู่แถวเขาพนมดงรัก เมืองทั้งหลายเหล่านี้พากันแข็งข้อ (น่าจะเป็นพวกบฎดำ )ทำไห้พระเจ้าสุริยะวรมันที่1ต้องใช้เวลาปราบอยู่ถึงสามปี
สมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่2 มีชุมชนสำคัญอยู่ไกล้เคียงกับเขาพระวิหารมากมายหลายชุมชน เห็นได้จากบรรดาปราสาทหินใหญ่น้อยรอบรอบบริเวณ ซึ่งมีปราสาทพระวิหารเป็นศูนย์กลาง เฉพาะร่องรอยที่พบได้แก่ ปราสาทหินสระกำแพงใหญ่ ปราสาทหินสระกำแพงน้อย ปราสาทบ้านปราสาท ปราสาทปรางค์กู่ ปราสาทสมอ ปราสาทภูฝ้าย ฯล ปราสาทเหล่านี้บ้างก็มีอายุอยู่ในรุ่นหลัง กระนั้นก็ดีสภาพเช่นนี้ชี้ให้เห็นการขยายตัวของชุมชนบ้านเมือง มีการรวมตัวของชุมชนสร้างศูนย์กลางความเชื่อขึ้นดังเช่น กัมรเตงชคต ศรีพฤทเธศวร เมืองสดุกอำพิล (จารึกวัดสระกำแพงใหญ่ ) มีข้อความอยู่ในจารึกบางหลักว่าบรรดาขุนนางผู้มีอำนาจรวมทั้งกษัตริย์ได้ถวายหมู่บ้านหลายแห่งแก่ กัมรเตงชคตศรีศิขเรศวร บ้างก็สร้างหมู่บ้านใหม่และขุดสระน้ำ บ้างก็ซื้อขายที่ดินเพิ่มเติม เมืองกว้างใหญ่ขึ้นจนมีการสร้างรูปเคารพประจำเมืองใหม่..ปรากฎว่าหลังจากมีการถวายเมืองพะนุรทะนง ให้เทวะศรีศิขรีศวรแห่งพระวิหาร ผู้ศรัทธาก็ซื้อที่ดินถวายเพิ่ม จนต้องสร้าง กัมรเตงชคตศิวะลึงค์แห่งพะนุรทะนง ประจำเมืองอีกรูปหนึ่ง