Wonderful Town : อดีตกาลและเคหะสถาน
โดย คันฉัตร รังษีกาญจน์ส่อง
ในช่วงปีสองปีนี้เราจะได้ดูภาพยนตร์สองเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สึนามิ เรื่องแรกก็คือ Wonderful Town ของอาทิตย์ อัสสรัตน์ ส่วนอีกเรื่องก็คือ หนังของทรนง ศรีเชื้อ
โดยปกติแล้วหนังที่ว่าด้วยเหตุการณ์โศกนาฏกรรมอาจแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ แบบแรกคือ หนังที่เล่าถึงเหตุการณ์นั้นโดยตรง ถ้าเทียบตัวอย่างจากเหตุการณ์เครื่องบินชนตึกเวิลด์เทรด ก็เช่น World Trade Center หรือ United 93 ซึ่งหนังของคุณทรนงจัดอยู่ในประเภทนี้ (อย่างไรก็ดีทราบช่าวมาว่าหนังจะพูดถึงเหตุการณ์ในอนาคต คือ ปี 2022)
แบบที่สองคือ หนังที่กล่าวถึงสภาพหลังจากเหตุการณ์นั้น เช่น 25th Hour ของสไปค์ ลี ที่เล่าถึงชายคนหนึ่ง (เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน) ที่เดินท่องไปทั่วนิวยอร์ค ก่อนที่ตัวเองจะต้องเข้าไปอยู่คุก หนังประเภทนี้มักให้ไม่กล่าวถึงโศกนาฎกรรมนั้นๆ อย่างตรงไปตรงมา แต่อาจบอกเล่าเพียงเล็กน้อย อย่างในหนังเรื่องนี้ก็มีฉากที่ตัวละครมองผ่านหน้าต่างห้องไปยังบริเวณ Ground Zero (ซากปรักหักพังของตึกเวิลด์เทรด)
Wonderful Town มีลักษณะคล้ายกับ 25th Hour หนังใช้เหตุการณ์สึนามิเป็นฉากหลังของเรื่องอย่างบางๆ ตัวละครในเรื่องพูดถึงเหตุการณ์อย่างผ่านๆ และไม่ใช้น้ำเสียงที่ฟูมฟาย ราวกับว่ามันเป็นเรื่องที่ผ่านมานานแล้ว แต่ก็ยังคงติดตรึงอยู่ในความทรงจำ
เนื้อเรื่องหลักของหนังเล่าถึง ต้น (ศุภสิทธ์ แก่นเสน) สถาปนิกหนุ่มจากกรุงเทพที่เข้ามาดูแลไซต์ก่อสร้างรีสอร์ทที่ตะกั่วป่า จ.พังงา เขาเลือกพักในโรงแรมโทรมๆ แห่งหนึ่ง และได้พบกับเจ้าของโรงแรมที่ชื่อ นา (อัญชลี สายสุนทร) ทั้งสองพัฒนาความสัมพันธ์ใกล้ชิดมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ดูเหมือนว่า วิทย์ (ดล แย้มบุญยิ่ง) น้องชายของนา จะไม่ค่อยพอใจนักต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
Wonderful Town มีโครงสร้างคล้ายหนังยุโรปที่เล่าเรื่องอย่างช้าๆ และเต็มไปด้วยฉากที่ไม่ได้ส่งผลต่อเนื้อเรื่องมากนัก (เช่น กิจวัตรต่างๆ ของนา) หนังใช้นักแสดงสมัครเล่น ซึ่งก็สามารถทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี องค์ประกอบที่แข็งแรงของหนังยังอยู่ที่การถ่ายภาพอันสวยงาม และเพลงประกอบจากฝีมือของ Koichi Shimizu และ Zai Kunning
ลักษณะร่วมของหนังหลายๆ เรื่องของอาทิตย์ยังคงปรากฏในหนังยาวเรื่องนี้เช่นเดิม ประการแรกคือ ความสำคัญของ สถานที่ อาทิตย์ให้สัมภาษณ์ว่าหนังของเขา สถานที่มักมาก่อนเนื้อเรื่องเสมอ เราจึงเห็นความสำคัญของมันในหนังสั้นของเขา เช่น หมู่บ้านใน มอเตอร์ไซต์, ตึกร้างใน Boy Geniues 2 หรือกระทั่งบ้านของเขาของเองใน 705 สุขุมวิท 55 ส่วนกรณีของ Wonderful Town อาทิตย์บอกว่าเขาคิดเนื้อเรื่องขึ้นมาได้หลังจากเดินทางไปยังตะกั่วป่า
สถานที่ในหนังมีบทบาทค่อนข้างมาก (ก็ขนาดพระเอกยังมีอาชีพเป็นสถาปนิกเลย) ประกอบกับเทคนิคการถ่ายภาพที่ดี ทำให้มันไม่เป็นเพียงฉากหลัง แต่ยังขับเน้นบรรยากาศของเรื่องไปด้วย เช่น ภาพเมืองอันเงียบเหงาบอกเล่าถึงความซบเซาหลังเกิดเหตุการณ์สึนามิ หรือฉากห้องนอนของพระเอกที่ดูอบอุ่นดี แม้จะอยู่ในโรงแรมโทรมๆ ก็ตาม
มีสองฉากสำคัญที่สถานที่แทบจะกลายเป็นพระเอกของหนัง ฉากแรกคือ ตอนที่ต้นเข้าไปสำรวจรีสอร์ทร้างข้างๆ (ที่คนงานบอกว่าผีดุ) ฉากนี้เป็นฉากที่ลึกลับและน่ากลัวเอามากๆ เพราะมันเป็นฉากที่ต้นได้สำรวจถึงบาดแผลและความเจ็บปวดของคนที่นี่ คนที่มาตะกั่วป่าหลังเกิดสึนามิหมาดๆ อาจได้พบเห็นศพนอนเกลื่อนหาด แต่สำหรับคนอย่างต้นที่มาทีหลัง สิ่งที่เขาจะได้เห็นก็คงเป็นซากปรักฟักพังแบบนี้แหละ
อีกฉากหนึ่งคือ ช่วงหลังเหตุการณ์ไคลแม็กซ์ ในตอนนี้หนังจะตัดภาพบ้านเรือน/รีสอร์ท/โรงแรมที่พังทลายให้เราดูต่อๆ กันไปหลายช็อต วิธีการแบบนี้คล้ายกับหนังเรื่อง The Eclipse (1962) ของ มิเกลอันเจลโล แอนโตนิโอนี่ ที่หลังจากพระเอกนางเอกกอดล่ำลากันแล้ว ผู้กำกับก็นำภาพตึกและโรงงานมากมายมาแทรกในหนัง (จนแทบทำให้หนังเปลี่ยนแนวจากหนังดราม่าเป็นหนังไซไฟ)
ในขณะที่แอนโตนิโอนี่ใช้ทัศนียภาพเหล่านั้นทำนาย อนาคต ว่าต่อไปผู้คนก็ต้องทนทุกข์กับบ่วงกับดักของทุนนิยมและความศิวิไลซ์ แต่อาทิตย์ใช้ภาพเหล่านั้นเพื่อบอกเล่าถึง อดีต โดยนอกจากจะพูดถึงความเจ็บปวดหรือความเสียหายแล้ว เขายังพูดถึงการที่ตัวละครในหนังของเขาจะต้องติดอยู่ในอดีต (หรือบาดแผล) แห่งนี้ด้วย
แท้จริงแล้ว Wonderful Town อาจไม่ใช่เรื่องของ ความรักหลังสึนามิ แต่เป็นเรื่องของ ผู้คนที่ติดอยู่ในอดีตของตัวเอง มากกว่า ดูได้จากพฤติกรรมหรือคำพูดของตัวละครในเรื่อง เช่น
- เรามักเห็น นา ทำกิจวัตรเดิมๆ ทุกวัน (เปลี่ยนผ้าปูเตียง / เก็บผ้า), เธอพูดว่าตัวเองต้องคิดอยู่ที่นี่ไปไหนไม่ได้ เพราะ ข้างหนึ่งก็ภูเขา อีกข้างก็ทะเล
- วิทย์ เป็นหัวหน้าแก๊งอันธพาล ในฉากหนึ่งเขาพูดกับพี่สาวว่าตัวเองคงดีกว่านี้ไม่ได้แล้วล่ะ เขาคงเป็นได้แค่นี้
- หนังมีฉากซ้ำๆ หลายฉาก เช่น อาเจ็กลืมไม้กวาด, ฉากต้นพยายามช่วยนาตากผ้า ฯลฯ
มีเนื้อเรื่องส่วนเดียวเท่านั้นที่พอจะไปข้างหน้าได้ นั่นคือความสัมพันธ์ของต้นกับนา โดยต้นอาจจะเป็นคนแปลกหน้าสำหรับนา แต่เขาก็เป็น คนใหม่ ที่เข้ามาในชีวิตของเธอด้วย ทั้งสองอาจจะไม่ต้องถึงขั้นหนีออกไปจากเมืองนี้ด้วยกัน เพียงแค่พวกเขาสานสัมพันธ์กันไปเรื่อยๆ ก็สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับชีวิตของทั้งคู่ได้มากแล้ว แต่สุดท้ายต้นก็เลือกจะกลับไปหาอดีตของตัวเองเช่นกัน (เขาโทรหาแฟนเก่า)
วิทย์ยังเป็นตัวละครที่รับไม่ได้อย่างมากกับความเปลี่ยนแปลง เขามองต้นเป็นสิ่งแปลกปลอมในครอบครัว (และอาจจะเมืองทั้งเมือง) นอกจากวิทย์ไม่คิดจะเปลี่ยนตัวเองแล้ว เขายังไม่ต้องการในคนรอบข้าง (นา) เปลี่ยนด้วย เขาต้องการยึดในแบบแผนชีวิตเดิมๆ อย่างแท้จริง
น่าสนใจที่ฉากสำคัญของหนังเกิดขึ้นที่ แม่น้ำ ซึ่งไหลไปทางเดียว (ราวกับจะพาบางสิ่งออกไปนอกเมือง) แต่หลังจากนั้นหนังก็มีภาพ ทะเล เป็นเวลานาน คิดดูแล้วก็เหมือนเป็นเรื่องตลกร้าย เพราะชีวิตของตัวละครใน Wonderful Town ก็เหมือนทะเล นั่นคือไม่ว่าคลื่นจะซัดมาไกลถึงฝั่งแค่ไหน แต่สุดท้ายคลื่นนั้นก็จะลากลงกลับสู้ท้องน้ำอยู่ดี
ตัวละครของต้นยังสะท้อนลักษณะเด่นประการที่สองในการทำหนังของอาทิตย์ นั่นคือ การมองชนบทด้วยมุมมองของคนเมือง ต้นอาจจะไม่ได้มีท่าทางเป็นคนเมืองอย่างชัดเจน แต่วิธีคิดของเขามันก็ฟ้องอยู่ดี อย่างเช่น ตอนที่นาพูดว่าชาวบ้านเริ่มนินทาเรื่องของเราสองคนแล้วนะ ต้นบอกว่า ช่างเขาเถอะ เขาก็พูดไปเรื่อยแหละ แสดงให้เห็นว่าต้นไม่คิดจะทำความเข้าใจถึงวิถีชีวิตหรือระบบของที่นี่สักเท่าไร (ซึ่งเขาก็คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องจำเป็น)
ต้นยังเป็นตัวแทนพวกคนกรุงที่มักมีคำพูดยอดฮิตติดปากหลังจากเหตุการณ์สึนามิผ่านไปแล้วว่า เดี๋ยวทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง เขาพูดแบบนี้กับนา และคิดว่าการมาช่วยงานสร้างรีสอร์ทเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่จะทำให้เมืองนี้กลับไปเป็นเหมือนเดิมโดยเร็ววัน ทั้งที่เขาอาจจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับที่นี่เลยก็ได้
อย่างที่เห็นว่าสิ่งที่ต้นทำก็ไม่ได้มีอะไรมากนักนอกจากเดินไปมา (เขาพูดออกมาเอง) ไม่มีหลักประกันอะไรว่าโครงการของเขาจะไม่พบจุดจบแบบเดียวกับรีสอร์ทร้างข้างๆ ต้นมาดูแลรีสอร์ทที่นี่เพียงเพื่อจะเห็นมันเสร็จ แล้วก็จะกลับกรุงเทพไป คล้ายกับที่เขาพร้อมจะไปจากนาไปทุกเมื่อ เพื่อกลับไปหาแฟนเก่า
น่าคิดเหมือนกันว่าความฉาบฉวยแบบนี้ ได้เกิดขึ้นกับการบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากพายุนาร์กิส แผ่นดินไหวที่จีน หรือกระทั่งเรื่องของการประท้วงของทิเบต ด้วยหรือเปล่า
Create Date : 28 พฤษภาคม 2551 |
|
38 comments |
Last Update : 28 พฤษภาคม 2551 7:21:07 น. |
Counter : 14558 Pageviews. |
|
|
|
It may sound out of the topic. But I have to confess that I was so depressed by this kratoo
คนไทยช่างฆ่ากันง่ายดายเหลือเกิน, ประสบการณ์ตรงจาก 25 พฤษภาคม 2551