|
|
|
- อาทิตย์ จันทร์ เมฆา และวายุ...
- ... กินเจปี’52 ฯ โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ...
- ... ขนมไหว้พระจันทร์ปีนี้ ยอดขายดีกว่าปีก่อน...โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย...
- ... สภาพคล่องในงบดุลของธนาคารพาณิชย์ไทย ส.ค. 52 … เพิ่มขึ้น โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย....
- ... กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ... ผลกระทบต่อธุรกิจกองทุนรวม ...
- บริการคงสิทธิเลขหมาย…กระทบผู้ให้บริการ หลังเปิดใช้ 3G โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
- ภาวะเงินเฟ้อติดลบใกล้สิ้นสุด ...
- ... ส่งออกรถยนต์ไทยครึ่งหลัง 2552 มีสัญญาณดีขึ้น โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ...
- . . . Digital Content Industry . . .โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
- ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 : ผลกระทบต่อหลากธุรกิจ โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
- ... . ตลาดหนังสือปี’52 : อัตราขยายตัวชะลอลง...สำนักพิมพ์ต้องเร่งปรับตัว โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย.
- ...พันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็ง ... ผลต่อสภาพคล่องและดอกเบี้ยแบงก์ โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย...
- ... ยางธรรมชาติครึ่งหลังปี 52 โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย...
- การจัดสรรเงินออม...ภายใต้ปัจจัยเสี่ยงในช่วงครึ่งหลังของปี’52 โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
- ... แนวโน้มธุรกิจครึ่งปีหลัง 2552 ... โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
- ... แนวโน้มเงินบาทครึ่งหลังปี 2552 ...
- ... กรมธนารักษ์เปิดจ่ายแลกเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนชุดใหม่ครบทุกชนิดราคา ...
- ... ท่องเที่ยวครึ่งหลังปี 2552...มีโอกาสฟื้นตัวปลายปี....
- ตัวเลขเศรษฐกิจไทยเดือนพฤษภาคม 2552
- ธนาคารกรุงไทยจัด 2 โปรโมชั่นกระตุ้นการใช้จ่าย
- ...วิกฤตการณ์ทางการเงินของโลก : เงินทุนต่างชาติชะลอตัว... ผลต่ออสังหาริมทรัพย์ไทย...
- ... ส่งออก-ลงทุน-ท่องเที่ยว ไทย-จีน : มีทิศทางปรับดีขึ้น โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ...
- ... ตัวเลขว่างงานเดือนเมษายน 2552 พุ่งขึ้น 49.7% ...
- คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยน่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.25%
- การส่งออกไม่รวมทองคำในเดือนพฤษภาคมหดตัว 27.3%
- ...เศรษฐกิจไทยมีโอกาสฟื้นตัวเพิ่มมากขึ้น... แต่...
- กฎหมายกู้เงินฉุกเฉิน 4 แสนล้านบาท … เปิดทางกระตุ้นเศรษฐกิจ โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
- .... ทำไม ต้องทำประกัน???.... (ด้วยคะ)........
- ราคาน้ำมัน และอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรระยะยาว : ความท้าทายของเศรษฐกิจไทย
- การนำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศมาใช้
- การส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์: ฟื้นตัวแล้ว?
- เงินบาทแข็งค่าสูงสุดในรอบ 8 เดือน
- . . . .กระแสรักสวย-รักงาม...ยังคงทำให้ธุรกิจขยายตัว . . . .
- เศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 2/2552 อาจยังคงหดตัวลงอย่างต่อเนื่อง
- เศรษฐกิจไทยอาจฟื้นตัวชัดเจนขึ้นในครึ่งปีหลัง … แต่ยังมีปัจจัยที่ต้องระวัง
- . . .ราคาน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้นลิตรละ 80 สตางค์ ส่วนดีเซลเพิ่มขึ้นลิตรละ 60 สตางค์ วันที่ 21 พ.ค.นี้
- ตัวเลขว่างงานเดือนกุมภาพันธ์ 2552 ... ลดลงเพราะผลจากฤดูกาล
- . ตลาดหุ้นไทยร่วง 26 จุด - บุหรี่ในขึ้น 10-13 บาท บุหรี่นอก 15-17 บาท
- ผู้บริโภคร้องเรียนร้านค้ากักตุนบุหรี่กว่า 200 ราย
- . . . กระทรวงการคลัง เตรียมเสนอ ครม. ตัดสินขึ้นภาษีที่ดิน . . .
- . . . ข่าวดี ที่เกิดขึ้น ก่อนวันพระ หนึ่งวัน . . .
- . . .ขึ้นภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย . . .
- ครม.ไฟเขียวให้ลูกจ้าง-นายจ้างลดส่งเงินสมทบกองทุนประกันสังคมเหลือ 3% จาก 5%
- . . .อัตราเงินเฟ้อเดือนเมษายน52 ...ติดลบเป็นเดือนที่ 4 . . .
- ขึ้นน้ำมันทุกชนิดลิตรละ 1.55 บาท ยกเว้นอี 85 มีผลวันที่ 1 ก.พ.นี้
- ครม.มีมติเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมันทั้งเบนซิน-ดีเซล มีผลวันที่ 1 ก.พ. นี้
- คลังเตรียมพิจารณากฎหมายเพื่อเก็บภาษีที่ดิน-สิ่งปลูกสร้าง รวมถึงภาษีมรดก
- เตือนภัยหญิงไทยที่ติดต่อชาวต่างชาติผ่านทางระบบ Internet ระวังถูกหลอกให้เสียเงินจากการรับสินค้า
- 7 มาตรการทางภาษีเพื่อสนับสนุนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ-- ปิดปั๊มหลังเที่ยงคืน 31 ม.ค.ก่อนขึ้นราคาน้ำมัน
- กรมสรรพากรชี้แจงเงื่อนไขหักลดหย่อนภาษีเบี้ยประกันชีวิต สำหรับกรมธรรม์ที่ทำหลังวันที่ 1 ม.ค.52
- ราคาก๊าซรถยนต์(แอลพีจี)อาจเพิ่มขึ้น 2 บาทต่อกก.-กระทรวงแรงงานจัดงาน “ตลาดนัดแรงงาน” ทุกวันเสาร์. . .
- กนง. ลดดอกเบี้ยร้อยละ 0.75 เหลือร้อยละ 2.00 -- รมว.แรงงานแจงช่วยค่าครองชีพจ่าย 2,000 บาท ครั้งเดียว
- ครม.อนุมติงบกลางปี 1.15 แสนล้านบาท กระตุ้นเศรษฐกิจ 18 โครงการ
- ต่ออายุ 6 มาตรการฝ่าวิกฤติ - นัดพบแรงงานทุกวันเสาร์ - อนุมัติงบช่วยเหลือผู้ว่างงาน
- ขึ้นราคาน้ำมันลิตรละ 60 สตางค์ 7 ม.ค.นี้
- เงินเฟ้อปี 51 - 5.5% --- หุ้นวันแรกบวก 28 จุด -- ตรึงราคาก๊าซแอลพีจี และเอ็นจีวี. . .
- ราคาน้ำมันปีหน้า มีแนวโน้มทรงตัว แต่ค่าไฟฟ้าช่วงครึ่งปีแรกจะปรับขึ้น
- นายกเตรียมปรับลดใช้น้ำฟรีเหลือ 30 หน่วยต่อเดือน - สายด่วนประกันภัย 1186
- ราคาน้ำมันลดลงลิตรละ 60 สตางค์ 26 ธ.ค.นี้
- ราคาที่ดินลาดพร้าวปรับเพิ่ม 65% -- รัฐเตรียมช่วยคนซื้อบ้านใหม่ปีหน้า -- ค่าไฟฟ้าขึ้นหน่วย 14 สตางค์
- ตัวเลขการส่งออกเดือนพ.ย. หดตัวสูงถึง 18.6%
- รถไฟฟ้าบีทีเอสขยายเวลาเปิดให้บริการคืนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ถึง 02.00 น.
- ธปท.เตือนประชาชนระวังธนบัตรปลอมระบาด--รฟท. เพิ่มขบวนรถไฟ 18 ขบวน
- ปตท.เตรียมขึ้นราคาก๊าซเอ็นจีวีจาก 8.50 บาท เป็น 11 บาท มีผล 1 ม.ค.52--ลดค่าโดยสารขสมก.-บขส.
- ลดราคาดีเซลลิตรละ 0.50 บาท - เก็บเงินเบนซิน 95 เข้ากองทุนน้ำมันลิตรละ 3 บาท - รัฐบาลใหม่
- คาดเฟดลดดอกเบี้ย 0.5% - โอเปกประชุม 17 ธ.ค.นี้ - ราคายางตกต่ำสุดในรอบ 10 ปี
- บขส-รถร่วมเตรียมลดค่าโดยสาร--แบงก์ออมสินลดดอกเบี้ย--ปีใหม่ แบงก์หยุด 5 วัน. . .
- อีก 5 ปี . . . ประชาชนจะกลายเป็นมนุษย์ไฮเทค . . .
- แนวโน้มยอดขายรถยนต์ในประเทศ : ชะลอลงต่อเนื่องถึงปีหน้า
- น้ำมันลดลง 60-80 สตางค์ต่อลิตร--ปีหน้าว่างงาน 9 แสนคน--เบียร์ช้างชะลอเข้าตลาดหุ้น--คลังหนุนปรับภาษี
- เงินบาทแตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 22 เดือน ที่ 35.83 / หุ้นปิดที่ 392 แนวต้าน 400 แนวรับ 380
- สุวรรณภูมิพร้อมเปิดเต็นรูปแบบ 5 ธ.ค.นี้ 11.00--บขส.เปิดจองตั๋วล่วงหน้าช่วงปีใหม่-น้ำมันลด 40-60 สต.
- เปิดใช้สนามบินดอนเมือง 4 ธ.ค.-สุวรรณภูมิ 5 ธ.ค.--กนง.ลดดอกเบี้ย 1%--น้ำมันถั่วเหลืองลดราคา 3.50 บาท
- สนามบินสุวรรณภูมิเปิดรับส่งสินค้าทางอากาศได้แล้ว ตั้งแต่วันที่ 2 ธ.ค.
- น้ำมันลดลงลิตรละ 0.40 บาท-- เงินเฟ้อเดือนพ.ย.2.2% ต่ำสุดรอบ 14 เดือน--สนามบินยังปิดอยู่...
- ผลกระทบการปิดสนามบินสุวรรณภูมิ
- ..วิกฤติเศรษฐกิจโลก-วิกฤติเศรษฐกิจไทยปี 2552 - ท่องเที่ยว-โรงแรมยอดขายลด 10-15% -- หุ้นบวก 5.73 จุด.
- ราคาน้ำมันลดลงอีก 60-80 สตางค์ต่อลิตร มีผลวันที่ 25 พ.ย.นี้
- ค่าบาทอ่อน - ตลาดหุ้นแนวโน้มทดสอบ 384 - น้ำมันลด 60-0 สตางค์ -ทองคำพุ่ง 400 บาท -คนตกงานกว่า 4 แสนคน
- ผลการประชุม กรอ.- กระทรวงคลังเตรียมปรับลดภาษี
- จีเอ็มลดคนงาน-คำสั่งซื้อยานยนต์ลดลง-ธกส.พร้อมจ่ายเงินรับจำนำข้าว-หุ้นปิดที่ 408.51 ลดลง 11.46 จุด
- เสนอครม.ลดภาษีนิติบุคคลลง 5% - ขึ้นภาษีสินค้าฟุ่มเฟือย - ปรับเกณฑ์ซีลลิ่ง-ฟลอร์หุ้นใหม่ 2 ธ.ค.นี้
- ราคาน้ำมันลดลงลิตรละ 40-80 สตางค์-ซิตีกรุ๊ปประกาศปลดคนงาน 53,000 คนทั่วโลก
- ก.แรงงานรับวิกฤติคนตกงาน-รถติดตั้งแก๊สลดฮวบ ตามราคาน้ำมัน-เผยแพร่ทีโออาร์เช่ารถเมล์ผ่านเว็ป
- เงินบาทอ่อนค่าลง ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงทั้งสัปดาห์
- ขึ้นราคาก๊าซก.ก.ละ 6 บาท-เตือนธุรกิจเกษตร, ส่งออก, เอสเอ็มอีรับผลกระทบปีหน้า
- ลอยกระทงกันดีกว่า เมี๊ยวๆ...
- ราคาน้ำมันเบนซินลด 80 สตางค์--กกร.เสนอลดภาษี--แนวโน้มตกงานเพิ่ม--การใช้พืชพลังงานลดลง
- โอบามา-ผลกระทบต่อไทย
- แก๊สโซฮอล์-เบนซนลด 60-80 สตางค์-
- เงินเฟ้อต.ค.3.9%ต่ำสุดรอบ 10 เดือน--รัฐกู้เงินรับจำนำข้าว--หุ้นฟื้น 32 จุด--จดทะเบียนแรงงานต่างด้าว
- เงินบาทอ่อนค่าสุดในรอบ 19 เดือน-ตัวเลขเศรษฐกิจเดือนก.ย.ส่งสัญญาณชะลอตัว
- เฟดลดดอกเบี้ย 0.5%-- หุ้นขึ้นพ้น 400 --เว้นเกณฑ์ silent period--กองทุนยางพารา
- น้ำมันดีเซลลง 60 สตางค์--หุ้นตก 13 จุด--หม่อมอุ๋ยแนะเอาเงินฝากแบงก์เล่นหุ้น--SMEควบบสย.
- ขยายเวลาค้ำเงินฝาก 3 ปี-จำนำข้าวโพด-มันสำปะหลัง--TDRI--สศค.
- เซอร์กิตเบรกเกอร์ (circuit breaker)หยุดซื้อขายหุ้นครั้งที่ 3 -ดัชนี 387 ต่ำสุดรอบ 5 ปี-ยอกตกงาน 6แสน
- งดขายทองคำแท่งเสาร์-อาทิตย์--โอเปคลดการผลิต--หุ้นต่ำสุดรอบ 5 ปี--คาดเฟดลดดอกเบี้ยอีก
- ข้าวแกงลดราคา -- กบง.เก็บเงินเพิ่มเข้ากองทุนน้ำมัน -- เบียร์ช้างเข้าตลาดหุ้น -- รถไฟฟ้ารอเข้าครม.
- กระทรวงการคลังเสนอแนวคิดขยายเวลาค้ำเงินฝากทั้งจำนวนอีก 3 ปี - กดค่าบาทให้อ่อนลงอีก 5% อุ้มส่งออก
- แนวโน้มอุตสาหกรรมไทยท่ามกลางมรสุมเศรษฐกิจโลก
- น้ำมันลดลง 10%--ค่าโดยสารรถ-เรือเตรียมปรับลงตาม--ยางพาราราคาตก 43%
- ราคายางลดลงเร็วที่สุดเป็นประวัติการณ์ : สาเหตุ ผลกระทบ และทางออก
- วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ - วิกฤติการเงินไทยปี 2540 - ผลกระทบที่แตกต่าง - 6 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไทย
- ราคาน้ำมันดีเซล-เบนซิน-แก๊สโซฮอล์ ลดลงลิตรละ 1 บาท 15 ต.ค.นี้
- ผู้ค้าน้ำมันประกาศลดราคาเบนซิน 40 สต.-ดีเซล 80 สต.พรุ่งนี้
- ไอซ์แลนด์ยึดแบงก์โคปทิง--สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ยืนยันฐานะมั่นคง--ธ.กลางทั่วโลกลดดอกเบี้ย...หุ้นฟื้น 1%
- ทำไมเราต้องดูจิต, วิธีการ "ดูจิต", วงจรกระแสจิต, อานิสงส์ของการแผ่เมตตา, วิธีแผ่เมตตา...
- ลดราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 60 สตางค์ --หุ้นหลุด 500
- ภาคเอกชนเป็นห่วงสถานการณ์ความรุนแรงทางการเมืองส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทุกภาคส่วน
- ราคาน้ำมันทุกประเภทลดลง 20-80 สตางค์---หุ้นตกต่ำสุดรอบ 5 ปี--กกร.เสนอ 7 มาตรการเร่งด่วน. . .
- ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาด กนง. คงอัตราดอกเบี้ย 3.75%
- รอลุ้นแผนกูวิกฤติการเงินสหรัฐฯ
- ธุรกิจสถานีบริการก๊าซ LPG ปี51--เงินเฟ้อเดือนก.ย.แนวโน้มชะลอลง
- เงินเฟ้อก.ย.6.0%-ปตท.คาดน้ำมันดิบแกว่งตัว 90-100 USD/Barrel. . .
- กินน้อยตายยาก กินมากตายง่าย
- เศรษฐกิจเดือนส.ค.สะท้อนสัญญาณชะลอตัว
- Emergency Economic Stabilization Act of 2008 (link to full and summary in pdf file)
- โครงการที่น่าติดตามภายใต้รัฐบาลสมชาย 1
- วิกฤตการเงินในสหรัฐฯ ... ผลกระทบต่อภาคการเงินไทย
- ความเชื่อมั่นธุรกิจประกันภัยในประเทศไทย--กรุงไทยขายกรมธรรม์ประกันภัยรูปแบบใหม่. . .
- เชลล์ขึ้นราคาน้ำมัน 60 สตางค์--คลัง แบงก์ชาติ คปภ มั่นใจสภาพคล่องการเงิน--รายชื่อครม.สมชาย1. . .
- มาตรการกู้วิกฤติการเงินสหรัฐวงเงิน 7 แสนล้านดอลลาร์
- กระทรวงพาณิชย์อาจนำทองคำเป็นสินค้าควบคุม--กินเจ 29 ก.ย.- 7 ต.ค.ผักแพง--พันธบัตรคลังปี 52. . .
- นักวิชาการเตือนรับมือวิกฤติเลห์แมน--เก็บเงินกองทุนน้ำมันเพิ่ม--ยอดขายรถยนต์ลด--ธอส.ลดดอกเบี้ย. . .
- Resolution Trust Corporations (RTC) โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
- ---ผักแพง-ทองขึ้น-ค่าไฟฟ้า-วิเคราะห์วิกฤติเลห์แมน--กินเจปีนี้---
- . . . น้ำมันลด 60 สตางค์-ทองพุ่ง 13,550 บาท--หุ้นผันผวน--รถไฟหยุดวิ่งน้ำท่วม . .
- . . . เฟดคงอัตราดอกเบี้ยที่ร้อยละ 2.00 และให้ความช่วยเหลือด้านเงินกู้แก่ AIG . . .
- . . . วิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐฯ ... อาจยังไม่ยุติ โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย . . .
- . . . น้ำมันลง 50 สตางค์--
- . . . หุ้นตก-เลห์แมนฯล้มละลาย--แนะซื้อทองต่ำกว่า 13,000.--จำนำข้าว . . .
- . . . คาดเฟดคงดอกเบี้ย 2.00%--รถไฟเปิดให้บริการ 240 ขบวน--ราคาทองกระเตื้องเล็กน้อย. . .
- . . . ทองแท่งเหลือบาทละ 12,650 บาท--ดีเซลลดอีก 60 สตางค์--ดอกเบี้ยพันธบัตร3ปี 4.65% . . .
- ธอส. เชิญชวนเล่านิทานลงเทปหรือแผ่นซีดีมอบให้มูลนิธิช่วยคนตาบอดฯ
- . . . ครม.แต่งตั้งปลัด-อนุมัติ 3 G -งบจัดซื้ออาวุธ-สร้างรัฐสภาใหม่. . .
- . . . แนวโน้มธุรกิจค้าปลีกครึ่งปีหลังชะลอตัว . . .
- . . . อาหารสัตว์เลี้ยง : เติบโตต่อเนื่อง...หลากปัจจัยหนุน . . .
- . . . แนะคลายเครียด เสพข่าวการเมือง . . .
- . . . ข่าววันที่ 4 ก.ย.51 . . .
- ราคาน้ำมันดีเซลลดลงลิตรละ 60 สตางค์ วันที่ 4 ก.ย.
- . . . อนุมัตินมกล่อง-น้ำมันถั่วเหลืองขึ้นราคา--เลื่อนหวยบนดิน--หุ้นตก--บาทอ่อน. . .
- Bangkok under state of emergency
- . . . เงินเฟ้อเดือน ส.ค.ลดลงเหลือ 6.4% จาก 9.2% ในเดือนก.ค. . . .
- --- ทิศทางตลาดหุ้นไทย...ยังเผชิญแรงกดดันจากหลายปัจจัย ---
- --- ภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนกรกฎาคม 2551 ---
- ---กนง.ขึ้นดอกเบี้ยเป็น 3.75%--ธอส.ให้กู้ซื้อบ้าน 1.5 ล้านบาท--บสย.--ไทยแอร์เอเซีย . . .
- . . . ถึงเพื่อนที่มีพันธะ ต่อกัน... ถึง พันธมิตร . . . จาก พรรคพลังไข่. . .
- . . . หุ้นไทยร่วง 2% หลังเปิดตลาดในภาคเช้า . . .
- . . . สภาพัฒน์ฯ คาดเศรษฐกิจปีนี้โต 5.2-5.7% . . .
- . . . พรบ.ผู้บริโภค เริ่มใช้ 25 ส.ค.51--กกร.ประชุมเรื่องราคาสินค้า---บขส.เปิดเส้นทางกทม.-สมุย. .
- . . .ธปท.-คลังน้อมรับกระแสพระราชดำรัส--ส่งออก 7 เดือนโต 26% . . .
- . . . 23 สิงหานี้ บังคับใช้กฎหมายจัดเก็บข้อมูลคอมพิวเตอร์ --- คาดการณ์เศรษฐกิจไตรมาส 2 โต 5.8% . . .
- . . . น้ำมันจะลดลงอีก--ค่าบาทอ่อนสุดรอบ 9 เดือน . . .
- Rose Rose i love you
- . . . นั่งรถไฟฟรี เชียงใหม่, อุบลฯ, หนองคาย, และสุไหงโกลก----ทองคำขาดตลาด . .
- ...ปลากัดเตือน...
- . . . รถใช้ก๊าซต้องแจ้งตรวจสภาพ--สมัครคนเดินโพยหวยบนดินวันแรก-กราฟราคาทอง. . .
- . . . เพิ่มเงินสมทบกองทุนน้ำมัน--สมัครคนเดินโพย 18 ส.ค.--ราคาทองคำลด--บาทอ่อน . . .
- . . . Storm surge มหันตภัยร้ายแห่งท้องทะเล . . .
- . . . ธุรกิจเดลิเวอรี่สินค้าอาหาร เติบโต 15% . . .
- . . . ตรึงราคาสินค้าถึงสิ้นปี--น้ำมันลดราคา--ทองคำต่ำสุดรอบ 7 เดือน. . .
- . . . เตรียมประกาศห้ามใช้สารตะกั่วเชื่อมต่อหม้อก๋วยเตี๋ยวเป็นการถาวร . . .
- . . . รถติดก๊าซ NGV ต้องมีใบรับรองเติมก๊าซ--ราคาน้ำมันลดลงอีก 60-80 สตางค์. . .
- . . . เงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่อง . . .
- . . . นมกล่อง จะขึ้นราคา อีก 1-2 บาท . . .
- . . . ม.หอการค้าคาดเศรษฐกิจปีนี้ โต 5.5-6.0%---สศช.ระบุสัดส่วนผู้สูงอายุจะเพิ่มเป็น 25%ในอีก 20 ปี .
- . . . ลดราคาดีเซลลิตรละ 1 บาท - เบนซินลิตรละ 50 สตางค์ ---
- . . . ครม.อนุมัติขึ้นภาษีเหล้า-บุหรี่--โครงข่ายโทรศัพท์ 3 จี---กรมศุลการกร เปิดประมูลรถยึด. . .
- . . . หวยออนไลน์ 1 ต.ค.51 . . .
- . . . ลดราคาดีเซลลิตรละ 60 สตางค์ พรุ่งนี้-- คาด FED คงดอกเบี้ย 2.00% . . .
- . . . เงินเฟ้อดือน ก.ค.9.2%--ทีมเศรษฐกิจใหม่--รถเมล์ รถไฟ ฟรี . . .
- . . . 1 ส.ค.เริ่มใช้ 6 มาตรการ 6 เดือน -- ดีเซลลดลง 50 สตางค์ -- เลื่อนพิจารณาราคาสินค้า. . .
- . . . พรบ.สถาบันคุ้มครองเงินฝาก -- กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ - Sovereign Wealth Fund (SWF) . . .
- . . . สรุปผลการสัมมนาทางวิชาการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง 5/2551 . . .
- . . . ลดราคาน้ำมันเบนซิน 91 และแก๊สโซฮอล์พรุ่งนี้(30 ก.ค.) . . .
- . . . ปตท.-เชลล์ ปรับลดราคาดีเซลอีกลิตรละ 80 สตางค์ . . .
- . . . ราคาน้ำมันลดลงลิตรละ 3.50-4.70 บาท --- ทางด่วนขึ้น 5 บาท ---- น้ำมันพืชขึ้นอีก 5 บาท . . .
- . . . ปรับโครงสร้างราคาก๊าซแอลพีจี ( LPG ) ควรลอยตัว หรือแบ่ง 2 ราคา . . .
- . . . ตัวเลขการส่งออก มิ.ย.51 ขยายตัว 27.4% . . .คาดทั้งปี 15% . . .
- . . . 11 ส.ค. 51 เริ่มใช้ พ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงินฝาก . . .
- . . . ลดราคาน้ำมันเบนซินลิตรละ 1 บาท และดีเซลลิตรละ 80 สตางค์ . . .
- . . . ตลาดรถจักรยานยนต์ครึ่งปีแรกขยายตัว 3% . . .
- . . . ทิศทางค่าเงิน และ ตลาดหุ้น สัปดาห์นี้ (21-25 ก.ค.) . . .
- . . . กลุ่มใต้ดินรวมภาคใต้ . . .ประกาศหยุดยิง . . .
- . . . ปตท.ลดราคาน้ำมัน ลิตรละ 60 สตางค์ . . .
- . . . กนง.ปรับขึ้นดอกเบี้ยร้อยละ 0.25 ตามคาด . . .
- . . . 6 มาตรการ 6 เดือน ฝ่าวิกฤติค่าครองชีพสูง . . .
- . . . รัฐบาลเตรียมแถลงมาตรการช่วยเหลือประชาชน หลังการประชุม ครม. วันที่ 15 ก.ค.นี้ . . .
- . . . กรมสรรพากรเตือนประชาชนระวังถูกมิจฉาชีพหลอก เรื่องคืนภาษีและขอรับบริจาค . . .
- . . . ลดราคาเบนซิน พรุ่งนี้ . . .
- . . . ปตท.ลดราคาเบนซินลิตรละ 60 สตางค์ . . .
- . . . เล่นเกมส์ sudoku กันดีกว่า . . .
- . . . ส่งเสริม E85 เป็นวาระแห่งชาติ . . . /. . . นำเข้า LPG เดือนนี้อีก 1 แสนตัน . . .
- . . . เอ็นจีวี ( NGV ) หรือ แอลพีจี( LPG ) . . .ที่รัฐควรส่งเสริม . . .
- . . . แท็กซี่ยังขึ้นราคาค่าโดยสารไม่ได้ . . .
- . . . เงินเฟ้อ 7.6 ---> 8.9 ---> 9.0 ----> 10 . . .ทั้งปี 2551 เฉลี่ย 8%??...
- . . . เงินเฟ้อเดือน มิ..ย. ... 8.9% . . .
- . . . เด็ดดอกไม้ สะเทือนถึงดวงดาว . . .(อาการภูมิแพ้)
- . . . ลอยตัวราคาก๊าซ LPG วันที่ 1 ก.ค.นี้ . . .
- . . . บางจาก-คาลเท็กซ์-ระยองเพียว ประกาศปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมัน . . .
- . . . หุ้นไทยภาคเช้าดิ่งลงกว่า 20 จุด . . .
- . . .หวั่นการเมืองรุนแรง ตลาดหุ้นร่วง1.04% . . .
- . . . ตลาดหุ้นร่วง กังวลข่าว รัฐประหาร . . .
- . . . หุ้นไทยมีแนวโน้มปรับตัวผันผวน . . .
- . . . อียูเตรียมลดภาษีมูลค่าเพิ่ม ช่วยผู้มีรายได้น้อยจากภาวะน้ำมันแพง. . .
- . . . ชวนคนมีฝีมือ ส่งผลงาน ประกวดออกแบบสลากออมสิน . . .
- . . . เงินบาทอ่อนค่าสุดในรอบ 5 เดือน . . .
- . . . ธ.ก.ส.เผยยอดซื้อสลากทวีสินเดือนเดียว เฉียด 2 หมื่นล้าน . . .
- . . . ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า ทางเลือกใหม่สร้างความมั่นคงเกษตรกร . . .
- . . . เงินบาทอ่อนค่าหลุดแนวรับ 33.00 แตะระดับต่ำสุดรอบกว่า 4 เดือน . . .
- . . . ธนาคารกรุงไทยปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินฝาก-เงินกู้ร้อยละ 0.375-1.25 . . .
- . . . มาเลเซียประกาศลอยตัวราคาน้ำมันเชื้อเพลิง-ยกเลิกห้ามขายน้ำมันให้ต่างชาติ . . .
- . . . จับ กระเทียม . . .
- . . . NGV ปีหน้าราคาอาจจะขึ้นเป็น 12 บาท . . .
- . . . ธนาคารกรุงไทย เตรียมขึ้นค่าธรรมเนียมกด ATM ต่างแบงก์ . . .
- . . .ธนินท์ เจียรวนนท์ เจ้าสัวใหญ่ ซีพี แนะใช้ทฤษฎี 2 สูง . . .
- . . . เงินเฟ้อเดือน พ.ค. ... พุ่งสูงสุดในรอบเกือบ 10 ปี . . .
- เงินบาทสัปดาห์นี้ยังมีโอกาสอ่อนค่าลงได้อีก
- ...o...
- ... แนวโน้มเศรษฐกิจในปี 2551 ...
- ... แนะนำงาน Money X-pro ...
- ...อยู่รอดให้ได้...ภายใต้ภาวะผันผวน...
- ...Value Averaging...
- ...ซื้อกองทุนรวมรับของแถม?...
- ...ลงทุนทุกเดือนสม่ำเสมอ...
|
|
|
|
|
วิกฤตการเงินในสหรัฐฯ ... ผลกระทบต่อภาคการเงินไทย
. . .
วิกฤตการเงินในสหรัฐฯ ... ผลกระทบต่อภาคการเงินไทย โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
เพียงแค่เดือนกันยายนเดือนเดียว ก็ได้ปรากฏหลากหลายเหตุการณ์ที่ตอกย้ำถึงความเสี่ยงจากวิกฤตการเงินในสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นการที่สถาบันการเงินขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ หลายแห่งต้องเข้าสู่กระบวนการล้มละลาย ประกาศขายกิจการ และ/หรือจำเป็นต้องเข้ารับความช่วยเหลือทางการเงินจากทางการสหรัฐฯ
นอกจากนี้ แม้ว่า ล่าสุดในวันที่ 19 กันยายน 2551 ที่ผ่านมา ทางการสหรัฐฯ จะประกาศแผนให้ความช่วยเหลือภาคการเงินแบบเบ็ดเสร็จที่อาจมีมูลค่าถึง 7 แสนล้านดอลลาร์ฯ แต่เนื่องจากความสำเร็จของแผนดังกล่าวยังต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ จึงทำให้ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยยังเผชิญความเสี่ยงจากปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินในสหรัฐฯ ครั้งนี้อยู่ ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงได้ประเมินความเสี่ยงและผลกระทบที่เป็นไปได้ จากวิกฤตการณ์ดังกล่าวต่อภาคการเงินไทย ดังนี้
การระดมทุนในต่างประเทศอาจมีความยากลำบากมากขึ้น ขณะที่ การลงทุนในต่างประเทศอาจได้รับแรงจูงใจลดลง สำหรับด้านการระดมทุนนั้น ในช่วงที่ผ่านมา ปัญหาการเมืองไทย ผนวกกับปัญหาวิกฤตการเงินในสหรัฐฯ ที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของสถาบันการเงินและนักลงทุนในตลาดการเงินโลก ได้ส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมเงินของไทยในตลาดต่างประเทศปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังจะเห็นได้จากการเพิ่มขึ้นของ Risk Premium โดยใช้มาตรวัดจาก Credit Default Swap (CDS) ประเภทอายุ 5 ปี
( Credit Default Swap (CDS) เป็นอนุพันธ์ทางการเงิน ซึ่งเป็นเครื่องมือในการป้องกันความเสี่ยงของตราสารทางการเงินต่อกรณีที่เกิดเหตุการณ์สำคัญ ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของผู้ออกตราสาร ตลอดจนการผิดนัดชำระดอกเบี้ยของตราสารนั้นๆ ดังนั้น ความเคลื่อนไหวของ CDS จึงสามารถใช้สะท้อนถึงความเสี่ยงของปัจจัยแวดล้อมที่อาจส่งผลกระทบต่อสถานะของผู้ออกตราสาร ตลอดจนความต้องการแบกรับความเสี่ยงของผู้ให้บริการอนุพันธ์ทางการเงินนั้นๆ )
ของไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 54.833 จุด ณ สิ้นปี 2550 มาที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 164.006 จุดในวันที่ 16 กันยายน 2551 หลังจากมีข่าวการล้มละลายของบริษัทวาณิชธนกิจขนาดใหญ่เป็นอันดับสี่ของสหรัฐฯ อย่าง Lehman Brothers ในวันที่ 15 กันยายน ขณะที่ ณ วันที่ 22 กันยายน 2551 ที่ผ่านมา Risk Premium ดังกล่าว ได้ขยับลดลงมาอยู่ที่ 148.949 จุด
ทั้งนี้ ต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้นแล้วดังกล่าว และโอกาสที่อาจยังคงขยับขึ้นอีกในอนาคต หากวิกฤตการณ์ในครั้งนี้ยาวนานและยืดเยื้อออกไป อาจทำให้ต้องมีการทบทวนแผนการก่อหนี้ต่างประเทศของภาครัฐ รวมถึง การกู้ยืมเงินจากต่างประเทศของภาคเอกชนไทยซึ่งมีค่าเฉลี่ยในช่วงปี 2548-2550 จำนวนประมาณ 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ ต่อปี (5.2 แสนล้านบาท) อันอาจส่งผลตามมาให้ทั้งทางการและภาคเอกชนไทยจำต้องหันมาเพิ่มน้ำหนักให้กับการระดมทุนในประเทศเพิ่มมากขึ้น
สำหรับด้านการลงทุนในต่างประเทศ ก็อาจได้รับผลกระทบเช่นกันจากความผันผวนในตลาดการเงินโลกที่เพิ่มขึ้น อันอาจส่งผลต่อพฤติกรรมการลงทุนให้มีความโน้มเอียงไปในลักษณะที่หลีกเลี่ยงความเสี่ยงมากขึ้น และมีนัยในเชิงลบต่อความต้องการลงทุนของนักลงทุนสถาบันในสินทรัพย์ต่างประเทศ หรือความต้องการลงทุนของนักลงทุนรายย่อยในกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (Foreign Investment Funds: FIF) ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงปี 2550 ต่อเนื่องถึงช่วง 8 เดือนแรกของปี 2551 ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม สำหรับกองทุนรวม FIF ที่ได้ออกไปแล้วนั้น คาดว่าผลกระทบคงอยู่ในขอบเขตที่ค่อนข้างจำกัด เนื่องจากกองทุนรวม FIF ที่ลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 72.5% ของกองทุนรวม FIF ทั้งหมดนั้น คาดว่าส่วนใหญ่มีกำหนดระยะเวลาการไถ่ถอนที่ชัดเจน และไม่สามารถไถ่ถอนก่อนกำหนดได้ แต่ประเด็นที่น่าติดตามและมีความท้าทาย คือ การนำเสนอกองทุนรวมใหม่ เพื่อมาทดแทนกองทุนรวม FIF เดิมที่น่าจะครบกำหนดไถ่ถอนจำนวนมากในปีหน้า อันจะช่วยประคับประคองให้มูลค่าทรัพย์สินภายใต้การจัดการของ บลจ.ยังคงขยายตัวได้ต่อเนื่อง
ทั้งนี้ หากสถานการณ์ในต่างประเทศปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น การสรรหากองทุนใหม่เพื่อเสนอขายต่อนักลงทุนดังกล่าว ก็คงอยู่ในวิสัยที่สามารถดำเนินการได้ไม่ยาก แต่หากสถานการณ์ในต่างประเทศยังคงมีความซับซ้อนและวิกฤตการเงินในสหรัฐฯ ยังยืดเยื้อออกไป บลจ.ต่างๆ คงจะเผชิญกับความท้าทายในการนำเสนอช่องทางการลงทุน โดยเฉพาะในตลาดต่างประเทศ
ตลาดตราสารหนี้อาจได้รับผลกระทบ ผ่านการปรับตัวของอัตราผลตอบแทน โดยแม้ว่าความต้องการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในสินทรัพย์สกุลเงินบาท ซึ่งรวมถึงการลงทุนในตราสารหนี้ อาจได้รับผลกระทบจากวิกฤตการเงินในสหรัฐฯ แต่ผลกระทบต่อตลาดตราสารหนี้จากปัจจัยดังกล่าว คาดว่าจะอยู่ในขอบเขตที่จำกัด เนื่องจากบทบาทของนักลงทุนต่างชาติในตลาดรองตราสารหนี้ไทยนั้น มีสัดส่วนเพียง 1.7% ของยอดคงค้างตราสารหนี้เท่านั้น อย่างไรก็ตาม อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลไทยที่มักถูกใช้เป็นหนึ่งในมาตรวัดสำคัญ (Benchmark) สำหรับทิศทางอัตราดอกเบี้ยในประเทศนั้น คงจะได้รับผลกระทบจากความผันผวนของอัตราผลตอบแทนในตลาดต่างประเทศอย่างสหรัฐฯ ที่มีความสัมพันธ์ (Correlation) ระหว่างกันสูงถึง 78% ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2551 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ สำหรับแนวโน้มอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ แม้มีโอกาสขยับขึ้น เพื่อรับข่าวปริมาณอุปทานพันธบัตรที่มีโอกาสสูงขึ้น หากแผนการให้ความช่วยเหลือทางการเงินโดยทางการสหรัฐฯ ผ่านการอนุมัติ และนำมาสู่การก่อหนี้เพิ่มเติมโดยรัฐบาลสหรัฐฯ แต่เมื่อข่าวดังกล่าวได้รับรู้ไปแล้ว ตลาดอาจกลับมาให้น้ำหนักกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่มีโอกาสทรงตัว หรือปรับตัวลดลง สอดคล้องกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยโลกในปี 2552 และมุมมองของตลาด Interest Rate Futures ที่เริ่มโน้มเอียงไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งทั้งหมดนี้จะขึ้นกับผลสัมฤทธิ์ของแผนกอบกู้ภาคการเงินของทางการสหรัฐฯ ตลอดจนทิศทางของเครื่องชี้เศรษฐกิจและข่าวการปรับตัวในภาคการเงินสหรัฐฯและในตลาดโลก ว่าจะออกมาน่าผิดหวังหรือไม่ และมากน้อยเพียงใด
ด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยนั้น มีโอกาสที่จะเคลื่อนไหวผันผวนตามอัตราผลตอบแทนในสหรัฐฯ นอกจากนี้ ปัจจัยที่จะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนขยับลดลงได้แก่ มุมมองอัตราดอกเบี้ยขาลงในตลาดโลกและเงินเฟ้อในประเทศที่คาดว่าจะผ่อนคลายลงชัดเจน ขณะที่ปัจจัยที่จะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอาจดีดตัวขึ้น คือ ข่าวปริมาณอุปทานพันธบัตรในประเทศ โดยเฉพาะอุปทานใหม่ ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากการขาดดุลงบประมาณประจำปีงบประมาณ 2552 ซึ่งจะเพิ่มขึ้นจาก 1.65 แสนล้านบาทในปีงบประมาณ 2551 มาที่ 2.495 แสนล้านบาท และความสำเร็จของรัฐบาลในการผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งอาจช่วยหนุนการคาดการณ์ในเชิงบวกเกี่ยวกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในประเทศ ทั้งนี้ ความผันผวนของอัตราผลตอบแทนในประเทศ อันได้รับผลกระทบทางอ้อมจากวิกฤตการเงินในสหรัฐฯ ดังกล่าว อาจเป็นอุปสรรคต่อการวางแผนธุรกิจและการระดมทุนของภาคเอกชนไทยทั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้ ต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า
ความเสี่ยงด้านสภาพคล่องยังเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากสาเหตุหลายประการ คือ ประการแรก การเคลื่อนย้ายเงินทุนออกจากประเทศไทยที่อาจจะยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตาม นับตั้งแต่ข่าวเกี่ยวกับปัญหาซับไพร์มปรากฏขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 3/2550 ที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหุ้นไทยประสบกับแรงเทขายรุนแรงหลายครั้ง ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากสถาบันการเงินต่างชาติที่ประสบปัญหาทางการเงินที่ต้องการนำสภาพคล่องกลับไปชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้น โดยเมื่อพิจารณาเฉพาะจากปริมาณการขาย/ซื้อสุทธิสะสมของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งขจัดผลด้านราคาแล้ว จะได้ว่า ณ วันที่ 25 กันยายน 2551 ปริมาณการซื้อสุทธิสะสมจะมีสัดส่วนประมาณ 53.1% ของระดับสูงสุดในเดือนกรกฎาคม 2550 จึงทำให้ยังเหลืออีกประมาณ 46.9% (ประมาณ 261 ล้านหุ้น) ที่เผชิญความเสี่ยงจากแรงเทขายของนักลงทุนต่างชาติ หากวิกฤตสถาบันการเงินในสหรัฐฯ ยังคงยืดเยื้อ อย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม คือ มาตรการให้ความช่วยเหลือทางการเงินมูลค่า 7 แสนล้านบาทของทางการสหรัฐฯ ว่าจะสัมฤทธิ์ผลในการเยียวยาความเสียหายในตลาดการเงินสหรัฐฯ หรือไม่ โดยหากมาตรการดังกล่าวประสบผลสำเร็จในการรับซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพจากสถาบันและบริษัทการเงินในสหรัฐฯ ในราคาที่ไม่ต่ำจนเกินไป ก็อาจทำให้สถาบัน/บริษัทการเงินดังกล่าวมีสภาพคล่อง อีกทั้งมีความจำเป็นลดลงในการเทขายสินทรัพย์ในต่างประเทศ รวมถึงหุ้นไทย อันจะผ่อนคลายแรงกดดันในตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลกลงไปได้บ้าง แต่ทั้งนี้ คงต้องยอมรับว่า ผลต่อสภาพคล่องของระบบการเงินโลกอาจไม่ได้บรรเทาลงอย่างฉับพลัน เนื่องจากบทบาทการดึงดูดสภาพคล่องจากระบบการเงินโลก จะถูกเปลี่ยนมือจากภาคเอกชนสหรัฐฯ มาเป็นรัฐบาลสหรัฐฯ ที่จำเป็นต้องกู้เงินจำนวนมากผ่านตลาดพันธบัตร ประการที่สอง ปริมาณเงินทุนไหลเข้ามีโอกาสชะลอลง อาทิ เงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ โดยเฉพาะเม็ดเงินลงทุนใหม่ ซึ่งอาจได้รับปัจจัยลบจากทั้งปัญหาในตลาดการเงินโลกและปัญหาการเมืองในประเทศที่ยังคงมีโอกาสยืดเยื้อ นอกจากนี้ ทั้งทางการและภาคเอกชนไทยยังอาจเลือกก่อหนี้ต่างประเทศลดลงด้วย หลังต้นทุนการกู้ยืมขยับตัวสูงขึ้นดังที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ ซึ่งปัจจัยต่างๆ ดังกล่าว น่าจะทำให้ปริมาณเงินทุนไหลเข้าในภาพรวม มีโอกาสปรับตัวลดลงได้ ส่งผลตามมาให้ทางการไทยอาจต้องหันมาพึ่งพิงแหล่งเงินทุนในประเทศสำหรับโครงการลงทุนต่างๆ มากขึ้น ขณะที่ ธุรกิจเอกชนอาจต้องใช้แหล่งเงินทุนจากการออกตราสารหนี้ หรือกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์แทน จนอาจมีผลต่อสภาพคล่องในระบบการเงินไทย
ภายใต้สภาวะดังกล่าว สภาพคล่องของระบบการเงินไทยจึงยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ตราบใดที่วิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐฯ ยังคงไม่ถึงจุดต่ำสุด อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นเกี่ยวกับความเพียงพอของสภาพคล่องในระบบการเงินไทย คือ ธปท.ยังคงมีกลไกในการดูแลที่น่าจะสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่เงินทุนเคลื่อนย้ายอาจเคลื่อนไหวผันผวนได้ ผ่านเครื่องมือทางการเงินต่างๆ เช่น การ Unwind พันธบัตร ธปท. (ซึ่งในระหว่างเดือน กันยายน-ธันวาคม 2551 จะมีพันธบัตร ธปท.ประเภทอายุมากกว่า 14 วันครบกำหนดอีกประมาณ 2.9 แสนล้านบาท) รวมถึงการให้กู้ยืมเงินผ่าน Bilateral Repo เป็นต้น
ผลกระทบต่อธุรกิจในภาคการเงินไทยอาจยังคงมีอยู่ แม้ผลกระทบจะอยู่ในขอบเขตที่จำกัด ปัญหาความมั่นคงของสถาบันการเงินและบริษัทประกันชีวิตขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ ที่ผ่านมา โดยเฉพาะในกรณีของบริษัท Lehman Brothers และบริษัท American International Group Inc. (AIG) ถือเป็นตัวอย่างสำคัญที่ชี้ว่าธุรกิจในภาคการเงินไทย ทั้งธนาคารพาณิชย์และบริษัทประกันชีวิต ก็ได้รับผลกระทบทางตรงและทางอ้อมจากวิกฤตการเงินในสหรัฐฯ เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ในกรณีของธุรกิจประกันชีวิต คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้ชี้แจงว่า บริษัทประกันต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่เข้มงวด อาทิ สัดส่วนเงินกองทุนตามกฎหมาย ข้อกำหนดเกี่ยวกับการลงทุน การคำนวณผลกำไรเพื่อจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้น หรือการส่งกำไรสะสมให้แก่สำนักงานใหญ่ ดังนั้น ความเสี่ยงของบริษัทประกันในประเทศไทยที่เป็นบริษัทลูกของบริษัท AIG จึงอยู่ในขอบเขตที่จำกัด ส่วนในกรณีของธนาคารพาณิชย์นั้น ก็ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การกำกับดูแลที่เข้มงวดของ ธปท.เช่นกัน
นอกจากนี้ จากการประเมินของ ธปท. พบว่า เงินลงทุนของธนาคารพาณิชย์ไทยในบริษัท Lehman Brothers และการปล่อยกู้ให้กับบริษัทลูกของ บริษัท Lehman Brothers มีจำนวนเพียงประมาณ 6 พันล้านบาท ขณะที่ ข้อมูลรายธนาคารชี้ว่ายังมีการลงทุนในตราสารประเภท Collateralized Debt Obligations (CDOs) อีกประมาณเกือบ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งรวมกันแล้ว ถือว่ามีปริมาณไม่มากนัก หรือเพียงประมาณ 0.19% ของสินทรัพย์รวมเท่านั้น นอกจากนี้ การปล่อยกู้ให้กับบริษัท Lehman Brothers ของธนาคารพาณิชย์ไทยดังกล่าว มีหลักทรัพย์ค้ำประกันเต็มจำนวน และยังคงจัดชั้นเป็นหนี้ปกติ ส่วนการลงทุนในตราสาร CDOs นั้น มูลค่าส่วนใหญ่ได้ทำการประเมินมูลค่าตามราคาตลาด (Mark-to-Market) แล้ว ดังนั้น จึงทำให้ ณ ขณะนี้ ธนาคารพาณิชย์น่าจะเหลือภาระในการตั้งค่าเผื่อการด้อยค่า หรือรับรู้ความเสียหายจากเงินลงทุนในบริษัท Lehman Brothers อีกเพียงบางส่วนเท่านั้น ทั้งนี้ แม้ว่าการพิจารณาข้อมูลเงินลงทุนของธนาคารพาณิชย์ไทยชี้ว่า เงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่เป็นสกุลเงินต่างประเทศมีจำนวนไม่มากนัก หรือประมาณ 10% เมื่อเทียบกับเงินลงทุนทั้งหมด อีกทั้งส่วนใหญ่ในจำนวนนี้น่าจะเป็นการลงทุนในตราสารที่ค้ำประกันโดยรัฐบาลต่างประเทศ หรือตราสารที่มีความมั่นคงสูง แต่ประเด็นที่ยังคงต้องติดตาม คือ สถาบันการเงินไทย บริษัทการเงินต่างๆ อย่างบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม ตลอดจน บริษัทเอกชนขนาดใหญ่อื่นๆ ยังเหลือการลงทุนในตราสาร หรือธุรกรรมทางการเงิน อาทิ การทำธุรกรรมสัญญาแลกเปลี่ยนล่วงหน้า ซึ่งอาจมีความเกี่ยวข้องกับสถาบัน/บริษัทการเงินต่างประเทศที่ถูกกระทบจากปัญหาซับไพร์ม รวมถึงการปล่อยกู้ของสถาบันการเงินในไทย ให้กับบริษัทลูกที่ถือหุ้นโดยสถาบันการเงินเหล่านั้น ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่ามีมูลค่ามากน้อยเพียงใด
โดยสรุปแล้ว ถึงแม้ว่าทางการสหรัฐฯ ประกาศเจตนารมย์ที่จะเข้าให้ความช่วยเหลือผ่านการอัดฉีดเม็ดเงินถึง 7 แสนล้านดอลลาร์ฯ แต่เนื่องจากแผนการให้ความช่วยเหลือดังกล่าว ยังคงรอการอนุมัติจากสภาคองเกรสอยู่ในปัจจุบัน อีกทั้ง ผลสัมฤทธิ์จากมาตรการให้ความช่วยเหลือดังกล่าวยังคงต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ ขณะที่ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าอาจต้องใช้เวลา 6 เดือนเป็นอย่างน้อยกว่าที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ และปัญหาในภาคการเงินจะถึงจุดต่ำสุด ก่อนที่จะเริ่มคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น
ดังนั้น ในระหว่างช่วง 6 เดือนนี้ คาดว่าตลาดเงินและตลาดทุนโลก ไม่ว่าจะเป็นอัตราผลตอบแทน อัตราแลกเปลี่ยน ตลอดจนดัชนีตลาดหุ้น คงจะแกว่งตัวตามการเปิดเผยเครื่องชี้เศรษฐกิจและข่าวในภาคการเงินสหรัฐฯ ที่ออกมา โดยยังมีความเป็นไปได้ว่า อัตราการว่างงานในสหรัฐฯ จะยังคงเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับราคาอสังหาริมทรัพย์และเครื่องชี้ในภาคเศรษฐกิจจริงของสหรัฐฯ ที่อาจยังคงชะลอลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทั้งหมดนี้ อาจส่งผลกระทบต่อเนื่องมายังไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยนอกจากจะออกมาในรูปของความผันผวนในตลาดเงินตลาดทุนแล้ว เศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มเติบโตชะลอลง อาจมีผลให้การส่งออกมีทิศทางที่ลดลงตามไปด้วยในปีหน้า เช่นเดียวกับ ความเสี่ยงต่อการระดมทุน การลงทุนจากต่างประเทศ การลงทุนของนักลงทุนไทยในต่างประเทศ ธุรกิจในภาคการเงิน และสภาพคล่องในระบบการเงินที่อาจยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ช่วยคลายความกังวลสำหรับกรณีของประเทศไทย คือ ทางการไทยน่าจะมีความพร้อมที่จะรับมือกับสถานการณ์ความไม่แน่นอนต่างๆ ได้ โดยเฉพาะความสามารถที่จะดูแลและประคับประคองเสถียรภาพในระบบการเงินไทย ผ่านกลไกการบริหารจัดการสภาพคล่องของ ธปท. และการตรวจสอบสถาบันการเงิน/บริษัทการเงินอย่างใกล้ชิดของทั้ง ธปท.และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะทำให้สามารถรับรู้โอกาสเกิดปัญหาได้ตั้งแต่เนิ่นๆ
นอกจากนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า ปัญหาจากความปั่นป่วนในตลาดการเงินสหรัฐฯ ในรอบนี้ น่าจะแตกต่างไปจากช่วงวิกฤตการณ์ทางการเงินในปี 2540 เนื่องจากปัญหาในครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยเอง ขณะที่ ในรอบนี้ ประเทศไทยเป็นเพียงผู้ได้รับผลกระทบจากการเคลื่อนย้ายเงินทุน ที่ต่อเนื่องมาจากวิกฤตสถาบันการเงินในสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า การดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและภาคการเงิน ผ่านมาตรการการเงินและการคลัง จึงยังคงมีความสำคัญ ท่ามกลางความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจและการเงินโลกที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว โดยนโยบายการคลังแบบขยายตัวยังคงเป็นสิ่งที่จำเป็นในภาวะการชะลอตัวทางเศรษฐกิจเช่นนี้ ในขณะที่นโยบายการเงินคงต้องมุ่งเน้นในการดูแลปริมาณความเพียงพอของสภาพคล่องในระบบ และเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนเป็นสำคัญ ซึ่งเมื่อสถานการณ์ในต่างประเทศคลี่คลายลง ก็คาดว่าเศรษฐกิจไทยก็คงจะสามารถกลับมาขยายตัวในอัตราที่ใกล้เคียงกับศักยภาพของประเทศได้ตามเดิม
. . .
Create Date : 28 กันยายน 2551 |
|
4 comments |
Last Update : 28 กันยายน 2551 16:50:30 น. |
Counter : 810 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: news IP: 58.137.155.65 28 กันยายน 2551 19:23:40 น. |
|
|
|
|
|
|
|
ตลาดหุ้นไทยขาลงในไตรมาส 3/2551 อาจบ่งชี้ถึงแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า
โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
ในปัจจุบัน สถานการณ์การลงทุนในตลาดหุ้นโลกต่างได้รับผลกระทบจากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและปัญหาสถาบันการเงินในสหรัฐฯ ที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากวิกฤตสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่ปล่อยกู้ให้กับลูกหนี้ที่มีความน่าเชื่อถือต่ำ (วิกฤตซับไพร์ม) ที่เริ่มมีปัญหามาตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3/2550 และได้ลุกลามไปสู่สถาบันการเงินหลายแห่ง อาทิ Bear Stearns, Merrill Lynch, AIG, และ Lehman Brothers รวมถึง Fannie Mae และ Freddie Mac ที่ต่างประสบกับปัญหาการขาดสภาพคล่อง และมีเงินทุนไม่พอจนบางแห่งต้องเข้าสู่ภาวะล้มละลาย หรือต้องหาผู้ร่วมทุน หรือขอรับความช่วยเหลือจากทางการสหรัฐฯ
ซึ่งปัญหาดังกล่าว ได้สร้างความกังวลในภาคการเงินทั่วโลก และกระตุ้นให้นักลงทุนลดการถือครองสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง ตลอดจนกดดันให้สถาบันการเงินที่ประสบปัญหาทางการเงินต้องเร่งระบายทรัพย์สินในตลาดอื่นๆ เพื่อนำมาชดเชยความเสียหาย
ทั้งหมดนี้นำมาสู่การเทขายหุ้นอย่างหนักในตลาดหุ้นทั่วโลก ทำให้ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจนถึงวันที่ 25 ก.ย. 2551 ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ของสหรัฐฯ ทรุดตัวลงแล้วกว่าร้อยละ 16 เมื่อเทียบกับระดับปิดที่ 13,264.82 จุด ณ.สิ้นปี 2550 และส่งผลกระทบต่อไปยังตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาค อาทิ ดัชนี NIKKEI ของตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับลดลงร้อยละ 21.5 ดัชนี HSKI ของตลาดหุ้นฮ่องกงก็ปรับลดลงกว่าร้อยละ 31 เช่นเดียวกับดัชนี SET ของไทยที่ร่วงลงกว่าร้อยละ 27 จากสิ้นปี 2550 ที่ผ่านมา ขณะที่ตั้งแต่วันที่ 1-25 กันยายน 2551 นักลงทุนต่างชาติได้เทขายสุทธิในหุ้นไทยไปแล้วกว่า 25,303.02 ล้านบาท ในเดือนนี้เพียงเดือนเดียว
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีมุมมองต่อประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการปรับตัวของดัชนีหุ้นไทย แนวโน้ม ตลอดจนความสัมพันธ์ที่เกี่ยวเนื่องมายังการขยายตัวของเศรษฐกิจ โดยสรุปดังนี้
การเปลี่ยนแปลงของดัชนี SET มีความสัมพันธ์กับตลาดหุ้นในต่างประเทศค่อนข้างสูง ดังจะเห็นได้จากค่าความสัมพันธ์ทางสถิติ (Correlation) ของการเคลื่อนไหวระหว่างดัชนี SET กับดัชนีตลาดหุ้นในต่างประเทศในช่วงวันที่ 2 ม.ค. 2541 ถึงวันที่ 24 กันยายน 2551 มีเครื่องหมายเป็นบวกและอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง ซึ่งหมายถึง การเคลื่อนไหวระหว่างดัชนีหุ้นไทยกับดัชนีหุ้นในต่างประเทศเป็นไปในทิศทางเดียวกันค่อนข้างมาก โดยดัชนี SET มีความสัมพันธ์กับดัชนีตลาดหุ้นฮ่องกงสูงถึงร้อยละ 78 กับดัชนีตลาดหุ้นสิงคโปร์ร้อยละ 69 และกับดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร้อยละ 65 ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า ความเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นในตลาดต่างประเทศย่อมมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงของดัชนี SET อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
การปรับตัวของดัชนีหุ้นในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ยังมีแนวโน้มผันผวนในช่วงขาลงอาจทำให้ดัชนี SET มีแนวโน้มยังตกอยู่ภายใต้แรงกดดัน โดยแม้ว่า ล่าสุดสภาคองเกรสกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาแผนการให้ความช่วยเหลือภาคการเงินของสหรัฐฯ ที่มีมูลค่า 7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ด้วยการรับซื้อสินทรัพย์ที่มีปัญหาเกี่ยวเนื่องกับภาคอสังหาริมทรัพย์สหรัฐฯ รวมไปถึงการที่วาณิชธนกิจอันดับหนึ่งอย่างบริษัทโกลด์แมน แซคส์ ได้รับเงินสนับสนุนแผนเพิ่มทุนมูลค่าราว 7.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนหนึ่งจากนายวอร์เรน บัฟเฟตต์ ซึ่งนับเป็นข่าวในเชิงบวกสำหรับตลาดการเงิน แต่นักลงทุนก็ยังคงมีความกังวลว่าแผนการกอบกู้วิกฤตการเงินมูลค่า 7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ของทางการดังกล่าว (หากได้รับการอนุมัติ) จะมีผลสัมฤทธิ์ในการเยียวยาปัญหาครอบคลุมทั้งภาคการเงินของสหรัฐฯ ได้มากน้อยเพียงไร โดยคาดว่าอาจต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อยประมาณ 6 เดือนกว่าที่ปัญหาวิกฤตการเงินของสหรัฐฯ จะถึงจุดต่ำสุด และเริ่มคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น
นอกจากนี้ ผลพวงของปัญหาในภาคการเงินยังอาจทำให้สหรัฐฯ เผชิญกับภาวะการว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้น และกระทบต่อแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้ต่อเนื่องถึงช่วงครึ่งแรกของปี 2552 เป็นอย่างน้อยด้วย
ทั้งนี้ แม้ว่าแผนการให้ความช่วยเหลือ 7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ น่าจะผ่านสภาคองเกรส แต่ปัญหาความปั่นป่วนของตลาดการเงินสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะยังคงยืดเยื้อ นอกจากจะกดดันตลาดหุ้นสหรัฐฯ แล้วก็ย่อมจะส่งผลกระทบลุกลามไปสู่ภาวะตลาดการเงินทั่วโลก รวมถึงตลาดการเงิน และตลาดหุ้นของไทยอย่างยากที่จะหลีกเลี่ยง เนื่องจากการขายทรัพย์สินเพื่อที่จะบรรเทาภาวะสภาพคล่องที่ตึงตัวในตลาดการเงินสหรัฐฯ ตลอดจนการก่อหนี้ที่เพิ่มขึ้นของรัฐบาลสหรัฐฯ ตามแผนการช่วยเหลือดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม การที่ค่าความสัมพันธ์ระหว่างตลาดหุ้นสหรัฐฯ กับตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมายังไม่ถึงระดับร้อยละ 100 แม้จะค่อนข้างสูง นั่นก็หมายความว่ายังคงมีปัจจัยอื่นๆ ที่อาจมีผลต่อความเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้น อาทิ ปัจจัยพื้นฐานของประเทศ และผลกำไรของบริษัทจดทะเบียน ดังนั้น แม้ว่าเศรษฐกิจและภาคการเงินของสหรัฐฯ อาจยังมีแนวโน้มผันผวนต่อไปอีกระยะ แต่ดัชนี SET ก็ยังมีโอกาสจะกลับมาฟื้นตัวได้ในระยะข้างหน้าหากนักลงทุนมองว่าปัจจัยพื้นฐานภายในประเทศและผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนยังคงมีความน่าดึงดูดให้เข้ามาลงทุน รวมทั้งหากปัญหาการเมืองในประเทศสามารถจะคลี่คลายได้ เพราะราคาหุ้นของไทยก็นับว่ายังมีระดับที่ค่อนข้างถูก และอัตราผลตอบแทนก็ยังอยู่ในระดับที่น่าพอใจ
ดัชนี SET เป็นดัชนีชี้นำ (Leading Indicator) การขยายตัวของจีดีพีประมาณ 2 ไตรมาส ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาความสามารถในการคาดการณ์เศรษฐกิจของดัชนี SET ตามวิธีทางเศรษฐมิติ (Granger Causality Test) จากข้อมูลในอดีต (ในช่วงไตรมาส 1/2541- ไตรมาส 2/2551) แล้วพบว่า ดัชนี SET มีอิทธิพลต่อการขยายตัวของจีดีพีในระยะ 2 ไตรมาสข้างหน้าที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95 แต่การขยายตัวของจีดีพีไม่มีอิทธิพลต่อดัชนี SET เลยไม่ว่าเวลาจะห่างออกไปกี่ไตรมาสก็ตาม ซึ่งผลการศึกษานี้ อาจบ่งชี้ว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์มักมีการปรับตัวเพื่อตอบรับกับข่าวหรือตัวแปรต่างๆ ที่มีอิทธิพลต่อภาวะเศรษฐกิจไปล่วงหน้า ในขณะที่บรรยากาศหรือความเชื่อมั่นที่สะท้อนผ่านความเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นอาจนำมาสู่การใช้จ่าย และการลงทุนที่เกิดขึ้นจริงในระบบเศรษฐกิจ เมื่อเวลาผ่านไปหลังจากนั้นระยะหนึ่ง
นอกจากนี้ ยังมีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่าความสามารถของดัชนี SET ในการคาดการณ์การขยายตัวของจีดีพีจะเพิ่มขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจบางไตรมาสอยู่ในภาวะชะลอตัวและดัชนี SET อยู่ในภาวะหมี (ไตรมาส 1/2541-ไตรมาส 4/2546) โดยดัชนี SET สามารถชี้นำเศรษฐกิจได้ตั้งแต่ไตรมาสแรกที่ระดับความเชื่อมั่นประมาณร้อยละ 90 และดัชนี SET มีอิทธิพลต่อจีดีพีเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในระยะ 2 ไตรมาสถัดไปที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95
การร่วงลงของดัชนี SET ในไตรมาส 3/2551 และแนวโน้มที่ยังไม่แน่นอน อาจชี้ถึงความเสี่ยงที่จีดีพีจะชะลอตัวจนถึงช่วงไตรมาสแรกของปี 2552 จากผลการศึกษาของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น เมื่อนำมาผนวกเข้ากับการที่ในไตรมาส 3/2551 ดัชนี SET ได้ปรับตัวลดลงจนเข้าสู่ภาวะหมีตั้งแต่ช่วงต้นเดือนก.ค.ที่ผ่านมา และอาจยังคงมีทิศทางที่ไม่ชัดเจนในไตรมาส 4 ของปีนี้ ขึ้นกับสถานการณ์ทั้งในและต่างประเทศ นั่นหมายความว่าจีดีพีของไทยอาจมีแนวโน้มขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงในอีก 2 ไตรมาสข้างหน้าไปจนถึงประมาณช่วงไตรมาสแรกของปี 2552
อีกทั้ง เมื่อพิจารณาแนวโน้มภาพรวมปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ ได้แก่ แนวโน้มเศรษฐกิจโลก ซึ่งจากการคาดการณ์ของ IMF ล่าสุดในเดือน ส.ค. 2551 ระบุว่าเศรษฐกิจโลกในปีนี้อาจขยายตัวร้อยละ 3.9 และชะลอลงในปี 2552 มาที่ร้อยละ 3.7 ขณะที่เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ก็มีแนวโน้มชะลอลงเช่นกันจากร้อยละ 1.3 ในปี 2551 เหลือเพียงร้อยละ 0.7 ในปีถัดไป โดยการชะลอตัวของแนวโน้มเศรษฐกิจโลกดังกล่าว อาจส่งผลให้การส่งออกของไทยมีแนวโน้มเติบโตในอัตราที่ลดลงในช่วงที่เหลือของปีนี้และปีหน้า นอกจากนี้แล้ว ปัญหาทางการเมืองในประเทศหากยืดเยื้อก็ยังเป็นปัจจัยลบที่อาจส่งผลกระทบต่อการใช้จ่าย และการลงทุนในประเทศ
ทั้งนี้ ภาพรวมปัจจัยพื้นฐานดังกล่าวได้บ่งชี้ไปในทิศทางที่สอดคล้องกันกับข้อสรุปที่ได้จากผลการศึกษาของศูนย์วิจัยกสิกรไทยข้างต้นว่า เศรษฐกิจไทยอาจมีแนวโน้มขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงในระยะข้างหน้า โดยในเบื้องต้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยอาจขยายตัวประมาณร้อยละ 4.2-4.8 ในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่ต่ำกว่าระดับศักยภาพ รวมทั้งอาจจะชะลอตัวลงจากอัตราการขยายตัวร้อยละ 5.0 ในปี 2551 นี้
อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามความคืบหน้าของประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องอย่างใกล้ชิดต่อไป ทั้งปัจจัยภายในและนอกประเทศ โดยหากในระหว่างนี้ ปัจจัยลบต่างๆ มีทิศทางการปรับตัวไปในเชิงที่เป็นบวกมากขึ้น หรือมีข่าวดีออกมาในช่วงเวลาที่เหมาะสม อาทิ แผนการกอบกู้วิกฤตทางการเงินมูลค่า 7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สามารถมีประสิทธิภาพในการยับยั้งความเสียหายในภาคการเงินสหรัฐฯ และลดความจำเป็นของสถาบันการเงินสหรัฐฯ ในการเทขายสินทรัพย์ในต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันต่อตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงตลาดหุ้นไทยได้บ้าง ประกอบกับหากสถานการณ์การเมืองในประเทศปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้นแล้ว รวมทั้งหากรัฐบาลสามารถออกมาตรการเพิ่มเติมที่มีผลกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างชัดเจน ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ ก็อาจสนับสนุนให้บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มกลับมาสดใส และในท้ายที่สุดย่อมมีส่วนช่วยลดหรือบรรเทาระดับของการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 ลงไปได้ไม่มากก็น้อย
. . .