Group Blog
 
<<
กันยายน 2551
 
25 กันยายน 2551
 
All Blogs
 

ความเชื่อมั่นธุรกิจประกันภัยในประเทศไทย--กรุงไทยขายกรมธรรม์ประกันภัยรูปแบบใหม่. . .

. . .

ความเชื่อมั่นธุรกิจประกันภัยในประเทศไทย

จากปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินที่เกิดขึ้น ในประเทศสหรัฐอเมริกา ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจประกันภัย นั้น AIG กลุ่มธุรกิจการเงินขนาดใหญ่ขาดสภาพคล่องเฉพาะในส่วนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และหลักทรัพย์

สำนักงาน คปภ. ได้ติดตามอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อธุรกิจประกันภัยในประเทศไทย จากภาพรวมธุรกิจประกันภัยนับตั้งแต่ต้นปี 2551 ถึงไตรมาสที่ 2 ของปี 2551 ตัวเลขของธุรกิจประกันภัยมีอัตราเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดย มีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวมทั้งสิ้น 155,719 ล้านบาท มีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 10.64 เมือเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2550 โดยธุรกิจประกันชีวิต มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.56 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2550 และธุรกิจประกันวินาศภัย มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.36 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2550 สำนักงาน คปภ. ได้คาดการณ์ว่า ไตรมาส 4 ของ ปี 2551 ธุรกิจประกันวินาศภัย จะมีอัตราขยายตัว 7.36 และธุรกิจประกันชีวิต จะมีการขยายตัว 14.10 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2550

นางจันทรา บูรณฤกษ์ เลขาธิการสำนักงาน คปภ. ได้กล่าวถึง การที่ผู้เอาประกันภัยจะ ทำการยกเลิกกรรมธรรม์ก่อนครบกำหนดสัญญา ต้องมีความสร้างความเข้าใจก่อนว่า มูลค่าเวนคืนกรมธรรม์ที่ผู้เอาประกันภัยจะได้รับคืนมีมูลค่าเท่ากับ จำนวนเงินสะสมของเบี้ยประกันภัยที่ผู้เอาประกันภัยจ่ายไปหักค่าใช้จ่ายและค่าความคุ้มครองชีวิตโดยจำนวนเงินสะสมนี้จะเพิ่มขึ้นทุกปี ดังนั้น หากผู้เอาประกันภัยยกเลิกกรมธรรม์ ในช่วงปีแรกๆ ของสัญญาประกันภัย จำนวนเงินที่ได้รับจะน้อยกว่าเบี้ยประกันที่ส่งไป สำนักงาน คปภ. อยากให้ผู้เอาประกันภัยได้ตระหนักถึงผลดีผลเสียที่จะได้รับ เพื่อป้องกันไม่ให้ท่านต้องเสียสิทธิประโยชน์ หากมีข้อสงสัยโปรดติดต่อ ฝ่ายกำกับผลิตภัณฑ์ประกันภัย 02-547-4994 หรือ สายด่วนประกันภัย 1186
. . .



กรุงไทยขายกรมธรรม์ประกันภัยรูปแบบใหม่

ธนาคารกรุงไทยจับมือทิพยประกันภัย เสนอกรมธรรม์ประกันภัยแบบ Instant Card ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุดในวงการประกันไทย ให้ความคุ้มครองทันที เมื่อลูกค้าลงทะเบียนผ่าน Call Center มีให้เลือก 3 แบบ ทั้งแบบวัยใส แบบคลาสสิค และแบบทรัพย์สิน

นายสหัส ตรีทิพยบุตร รองกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารสายงาน สายงานบริหารผลิตภัณฑ์และการตลาด บมจ.ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยเกี่ยวกับโครงการ Bancassurance ซึ่งธนาคารร่วมกับ บมจ.ทิพยประกันภัย นำผลิตภัณฑ์ประกันวินาศภัยมาจำหน่ายให้ลูกค้าผ่านสาขาทั่วประเทศ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายตามวิสัยทัศน์การเป็น The Convenience Bank หรือธนาคารแสนสะดวกว่า ล่าสุดธนาคารได้ให้บริการจำหน่ายบัตรกรุงไทย-ทิพยสมาร์ท (KTB-TIP Smart) ซึ่งเป็นกรมธรรม์ประกันภัยแบบใหม่ล่าสุด อาศัยเทคโนโลยี Instant Card ลูกค้าจะได้รับความคุ้มครองทันที หลังแจ้งการลงทะเบียนผ่าน Call Center โทร.0-2660-3455 โดยไม่ต้องรอการพิจารณารับประกันภัยจากบริษัท และไม่ต้องรอการจัดส่งกรมธรรม์เหมือนในอดีต

บัตรกรุงไทย-ทิพยสมาร์ท หรือ KTB-TIP Smart ที่ธนาคารจำหน่าย มี 3 รูปแบบ คือ

“KTB-TIP Smart วัยใส” สำหรับผู้มีอายุ 5-30 ปี คุ้มครองเสียชีวิตและอวัยวะจากอุบัติเหตุ ทุนประกัน 200,000 บาท คุ้มครอง 6 เดือน ราคาขายต่อบัตร 650 บาท และทุนประกัน 200,000 บาท คุ้มครอง 1 ปี ราคาขายต่อบัตร 1,200 บาท

“KTB-TIP Smart คลาสสิค” สำหรับผู้มีอายุ 5-70 ปี รับเงินชดเชย 2 เท่ากรณีพิการถาวร หรือสูญเสียอวัยวะ สายตา ทุนประกัน 200,000 บาท คุ้มครอง 6 เดือน ราคาขายต่อบัตร 650 บาท และทุนประกัน 200,000 บาท คุ้มครอง 1 ปี ราคาขายต่อบัตร 1,200 บาท

“KTB-TIP Smart ทรัพย์สิน” คุ้มครองอัคคีภัย ไฟไหม้ ฟ้าผ่า ระเบิด อากาศยาน ภัยจากน้ำ ลม พายุ การโจรกรรม และภัยน้ำท่วม ทุนประกัน 100,000 บาท คุ้มครอง 1 ปี ราคาขายต่อบัตร 700 บาท ทุนประกัน 300,000 บาท คุ้มครอง 1 ปี ราคาขายต่อบัตร 1,900 บาท และทุนประกัน 500,000 บาท คุ้มครอง 1 ปี ราคาขายบัตร 2,800 บาท

นายสหัส ตรีทิพยบุตร มั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้า เพราะเป็นนวัตกรรมใหม่แห่งการประกันภัย ซึ่งลูกค้าจะได้ความสะดวกรวดเร็ว ทำให้การประกันภัยเป็นเรื่องใกล้ตัว สามารถเข้าถึงได้ง่าย ลูกค้าที่สนใจซื้อได้ที่สาขาของธนาคารกว่า 790 แห่งทั่วประเทศ โดยคาดว่าภายในสิ้นปีนี้ ธนาคารจะสามารถจำหน่ายบัตรกรุงไทย-ทิพยสมาร์ทได้มากกว่า 100,000 ใบ

. . .



ประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2551 และ 2552 (ณ เดือนกันยายน 2551)


สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) คาดว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2551 จะขยายตัวดีขึ้นกว่าปีก่อน ที่ขยายตัวร้อยละ 4.8 ต่อปี มาอยู่ที่ร้อยละ 5.1 ต่อปี แต่ลดลงจากการประมาณการครั้งก่อนในเดือนมิถุนายน 2551 ที่ร้อยละ 5.6 ต่อปี เนื่องจากการใช้จ่ายภายในประเทศฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม ในขณะที่การส่งออก ซึ่งแม้ว่าจะยังขยายตัวในระดับสูงและช่วยประคับประคองเศรษฐกิจไทยโดยรวมให้ขยายตัวได้ดีกว่าปีก่อน แต่ก็มีแนวโน้มขยายตัวในอัตราที่ลดลงกว่าที่คาดการณ์เดิมตามความเสี่ยงของการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มขึ้น ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจในประเทศมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากที่คาดการณ์เดิม จากอัตราเงินเฟ้อในปี 2551 ที่คาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 6.3 ต่อปี จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 7.2 ต่อปี

ส่วนเสถียรภาพเศรษฐกิจนอกประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดีจากดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2551 ที่คาดว่ายังคงเกินดุลที่ร้อยละ 0.4 ของ GDP สำหรับเศรษฐกิจไทยในปี 2552 คาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 4.0 -5.0 ต่อปี โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการใช้จ่ายในประเทศที่น่าจะปรับตัวดีขึ้นจากฐานที่ต่ำในปีนี้ แต่การส่งออกในปีหน้าคาดว่าจะขยายตัวลดลงตามการชะลอตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจโลก ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2552 คาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 3.0-4.0 ต่อปี ตามราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงจากฐานที่สูงในปี 2551 ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2552 คาดว่าจะเกินดุลร้อยละ 1.0-2.0 ของ GDP โดยมีรายละเอียดสรุปได้ดังนี้


1. เศรษฐกิจไทยในปี 2551

1.1 ด้านการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
เศรษฐกิจไทยในปี 2551 คาดว่าจะขยายตัวได้ร้อยละ 5.1 ต่อปี ลดลงจากที่ประมาณการไว้เดิมที่ร้อยละ 5.6 ต่อปี โดยคาดว่า การบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนภาคเอกชนในปี 2551 จะขยายตัวที่ร้อยละ 2.8 และ 5.0 ต่อปี ตามลำดับ ซึ่งเป็นการฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้เดิมที่ร้อยละ 3.5 และ 8.5 ต่อปี เนื่องจากปัญหาเงินเฟ้อที่สูงขึ้นและความไม่มั่นใจในสถานการณ์ทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมาได้ส่งผลให้ผู้บริโภคและนักลงทุนชะลอการจับจ่ายใช้สอยและชะลอการตัดสินใจลงทุน สำหรับปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการในปี 2551 คาดว่าจะยังคงขยายตัวได้ในระดับสูงที่ร้อยละ 7.8 ต่อปี แต่ขยายตัวลดลงเล็กน้อยจากที่ประมาณการเดิมที่ร้อยละ 8.0 ต่อปี เนื่องจากการชะลอตัวกว่าที่คาดการณ์ของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากการประท้วงและการประกาศพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ในขณะที่ปริมาณการนำเข้าสินค้าและบริการคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 9.6 ต่อปี ลดลงเล็กน้อยจากที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 9.7 ต่อปี ตามอุปสงค์ภายในประเทศที่ฟื้นตัวช้ากว่าเดิม

1.2 ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ
เสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น จากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่คาดว่าจะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 6.3 ต่อปี จากที่คาดการณ์เดิมที่ร้อยละ 7.2 ต่อปี เนื่องจากมาตรการ 6 เดือน 6 มาตรการและราคาน้ำมันที่ลดลงกว่าสมมติฐานเดิม ในขณะที่เสถียรภาพภายนอกประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยดุลบัญชีเดินสะพัดคาดว่ายังคงเกินดุลที่ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ เกินดุลร้อยละ 0.4 ของ GDP แม้ว่าจะเป็นการเกินดุลที่ลดลงจากที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 1.4 ของ GDP เนื่องจากการขาดดุลการค้าอันเป็นผลมาจากมูลค่าสินค้านำเข้าที่ขยายตัวในอัตราเร่งถึงร้อยละ 29.8 ต่อปี ซึ่งสูงกว่ามูลค่าสินค้าส่งออกที่ขยายตัวร้อยละ 20 ต่อปี ในขณะที่ดุลบริการคาดว่าจะเกินดุลได้น้อยลง เนื่องจากรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะลดลงในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวในไตรมาสสุดท้ายของปี ซึ่งเป็นผลจากการประกาศภาวะฉุกเฉินในช่วงที่ผ่านมา

2. เศรษฐกิจไทยในปี 2552
2.1 ด้านการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
เศรษฐกิจไทยในปี 2552 คาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 4.0-5.0 ต่อปี โดยอุปสงค์ภายในประเทศมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากฐานที่ต่ำในปี 2551 ทั้งนี้ การบริโภคภาคเอกชนในปี 2552 คาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 3.0-4.0 ต่อปี เนื่องจากรายได้ที่แท้จริงของภาคประชาชนมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อที่น่าจะชะลอลงจากปี 2551 ในด้านการลงทุนภาคเอกชนในปี 2552 คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากปี 2551 มาอยู่ที่ร้อยละ 7.0-8.0 ต่อปี เนื่องจากการลงทุนที่ขยายตัวต่ำมากเป็นเวลาหลายปีประกอบกับอัตราการใช้กำลังการผลิตที่อยู่ในระดับสูงใกล้เต็มกำลังการผลิตมายาวนานจะมีโอกาสผลักดันให้มีการลงทุนใหม่เกิดขึ้น นอกจากนั้น การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาลภายใต้กรอบนโยบายการคลังที่ขาดดุลเพิ่มขึ้นที่ร้อยละ 2.5 ของ GDP ในปีงบประมาณ 2552 จะช่วยสนับสนุนให้อุปสงค์ภายในประเทศฟื้นตัวขึ้น โดยคาดว่าการบริโภคภาครัฐและการลงทุนภาครัฐในปี 2552 จะขยายตัวที่ร้อยละ 7.0-8.0 และ 8.0-9.0 ต่อปี ตามลำดับ อนึ่ง การเร่งการใช้จ่ายของภาครัฐให้เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะในโครงการลงทุนขนาดใหญ่ จะเป็นปัจจัยหลักสำคัญที่ช่วยดึงให้การลงทุนภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้นตามไปด้วย (Crowding-in Effect) ซึ่งจะเป็นแรงส่งสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจไทยมีโอกาสขยายตัวได้ในกรณีสูงของช่วงคาดการณ์ อย่างไรก็ตาม ปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการในปี 2552 คาดว่าจะขยายตัวน้อยลงจากปี 2551 มาอยู่ที่ร้อยละ 6.5-7.5 ต่อปี เนื่องจากเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มเผชิญความเสี่ยงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพมากขึ้น สำหรับปริมาณการนำเข้าสินค้าและบริการคาดว่าจะชะลอลงมาอยู่ที่ร้อยละ 6.5-7.5 ต่อปี ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจในภาพรวม

2.2 ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ
เสถียรภาพเศรษฐกิจในปี 2552 ยังน่าจะอยู่ในเกณฑ์ดี โดยดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2552 คาดว่าจะยังคงเกินดุลที่ร้อยละ 1.0-2.0 ของ GDP เนื่องจากการเกินดุลการค้าตามราคาสินค้านำเข้าที่คาดว่าจะลดลงมากกว่าราคาสินค้าส่งออก (Better term of trade) ทำให้มูลค่าการนำเข้าสินค้าขยายตัวชะลอลงมาอยู่ที่ร้อยละ 9.0-11.0 ต่อปี เทียบกับมูลค่าส่งออกสินค้าที่น่าจะขยายตัวอยู่ในช่วงร้อยละ 11.0-13.0 ต่อปี ประกอบกับดุลบริการคาดว่าจะกลับมาเกินดุลมากขึ้นจากรายได้การท่องเที่ยวที่น่าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้ในปี 2552 นอกจากนั้น อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2552 คาดว่าจะชะลอตัวลงมาอยู่ที่ร้อยละ 3.0-4.0 ต่อปี เนื่องจากแนวโน้มราคาน้ำมันดิบที่คาดว่าจะขยายตัวในอัตราชะลอลงจากปี 2551

. . .



รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนสิงหาคม 2551


นางพรรณี สถาวโรดม ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ได้แถลงข่าวรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนสิงหาคม 2551 ว่า เศรษฐกิจไทยมีการขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงจากจากการชะลอตัวของการใช้จ่ายภายในประเทศและการใช้จ่ายจากต่างประเทศ ในขณะที่เสถียรภาพเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น อันเนื่องมาจากอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวลดลงจากราคาน้ำมันที่ลดลงและผลของ 6 มาตรการ 6 เดือน ฝ่าวิกฤตเพื่อคนไทยทุกคน โดยมีรายละเอียดสรุปได้ดังนี้

1. การบริโภคภาคเอกชนในเดือนสิงหาคม 2551 ขยายตัวได้ต่อเนื่อง แต่เริ่มมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลง โดยเครื่องชี้การบริโภคจากภาษีมูลค่าเพิ่ม (ณ ราคาคงที่) ขยายตัวชะลอลงมาอยู่ที่ร้อยละ 9.5 ต่อปี ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 23.3 ต่อปี ในขณะที่ปริมาณการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคขยายตัวลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 14.8 ต่อปี ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 40.7 ต่อปี สำหรับเครื่องชี้การบริโภคสินค้าคงทนจากยอดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ขยายตัวที่ร้อยละ 4.6 ต่อปี หลังจากที่ขยายตัวในระดับสูงในเดือนก่อนหน้าที่ร้อยละ 16.3 ต่อปี สะท้อนการใช้จ่ายของประชาชนในเขตภูมิภาคที่ชะลอลง เช่นเดียวกันกับปริมาณจำหน่ายรถยนต์นั่งที่ขยายตัวชะลอตัวที่ร้อยละ 20.3 ต่อปีในเดือนสิงหาคมจากที่ขยายตัวร้อยละ 27.5 ต่อปี ในเดือนก่อน สำหรับเครื่องชี้แนวโน้มการบริโภคในอนาคตอันได้แก่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวมในเดือนสิงหาคมปรับตัวลดลงอยู่ที่ระดับ 70.5 จุด จากระดับ 71.8 จุดในเดือนก่อนหน้า โดยมีปัจจัยจากความวุ่นวายทางการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2551 กระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค

2. การลงทุนภาคเอกชนในเดือนสิงหาคม 2551 ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าอย่างชัดเจน โดยเครื่องชี้การลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรจากปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนชะลอตัวลงมากขยายตัวเพียงร้อยละ 1.8 ต่อปี จากที่ขยายตัวร้อยละ 28.4 ต่อปี ในเดือนก่อนหน้า ในขณะที่เครื่องชี้การลงทุนจากปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ในเดือนสิงหาคมหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกันที่ร้อยละ -25.7 ต่อปี โดยเป็นการหดตัวของรถบรรทุกและรถปิคอัพเป็นหลัก สำหรับเครื่องชี้การลงทุนภาคเอกชนด้านการก่อสร้างมีการขยายตัวลดลงเช่นกัน โดยภาษีธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ขยายตัวร้อยละ 7.8 ต่อปีในเดือนสิงหาคม 2551 หลังจากที่ขยายตัวในระดับสูงต่อเนื่องในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา (เดือนเมษายน – กรกฎาคม 2551) อันเป็นผลจากมาตรการลดหย่อนภาษีอสังหาริมทรัพย์เพื่อสนับสนุนธุรกรรมในภาคอสังหาริมทรัพย์

3. เครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจด้านการคลังในเดือนสิงหาคม 2551 พบว่ารายได้จัดเก็บของรัฐบาลสุทธิอยู่ที่ 181.4 พันล้านบาท โดยรายได้ภาษีจาก 3 กรมจัดเก็บภาษีเท่ากับ 181.0 พันล้านบาท หดตัวร้อยละ -14.9 ต่อปี เนื่องจากภาษีฐานรายได้หดตัวร้อยละ -21.8 ต่อปี ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 8.6 ต่อปี จากผลของวันยื่นชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลรอบครึ่งปีบัญชีตกอยู่ในวันที่ 1 กันยายน 2551 ขณะที่ภาษีฐานการบริโภค (ภาษีมูลค่าเพิ่ม) ขยายตัวร้อยละ 13.7 ต่อปี ชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 33.3 ต่อปี เนื่องจากภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากมูลค่าการนำเข้าที่ขยายตัวชะลอลงจากเดือนก่อนหน้า และระดับราคาที่ปรับตัวลดลงในเดือนสิงหาคม สำหรับรายจ่ายงบประมาณในเดือนสิงหาคม 2551 สามารถเบิกจ่ายได้รวมทั้งสิ้น 124.6 พันล้านบาท ขยายตัวในระดับต่ำที่ร้อยละ 1.5 ต่อปี โดยรายจ่ายประจำสามารถเบิกจ่ายได้จำนวน 107.8 พันล้านบาท ขยายตัวที่ร้อยละ 6.4 ต่อปี ในขณะที่รายจ่ายลงทุนสามารถเบิกจ่ายได้จำนวน 12.6 พันล้านบาท หดตัวที่ร้อยละ -27.0 ต่อปี เนื่องจากได้มีการเร่งเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนให้แก่ส่วนราชการ และโอนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในระดับสูงไปแล้วในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ รายจ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ 2551 ในช่วง 11 เดือนแรก (ตุลาคม 2550 – สิงหาคม 2551) ขยายตัวร้อยละ 4.7ต่อปี โดยสามารถเบิกจ่ายไปได้แล้ว 1,389.0 พันล้านบาท และคิดเป็นร้อยละ 83.7 ของกรอบวงเงินงบประมาณประจำปีงบประมาณ 2551 (1,660 พันล้านบาท)

4. มูลค่าการส่งออกในเดือนสิงหาคม 2551 เท่ากับ 15.9 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ ขยายตัวที่ร้อยละ 14.9 ต่อปี ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าขยายตัวในระดับสูงร้อยละ 43.9 ต่อปี โดยเป็นการขยายตัวของราคาสินค้าส่งออกที่ขยายตัวร้อยละ 15.6 ต่อปี ในขณะที่ปริมาณการส่งออกหดตัวที่ร้อยละ -0.6 ต่อปี ซึ่งปริมาณการส่งออกที่หดตัวมาจากสินค้าเครื่องอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นหลัก ในขณะที่สินค้าส่งออกประเภทยานยนต์และอุตสาหกรรมการเกษตรยังขยายตัวได้ดี สำหรับการนำเข้าในเดือนสิงหาคม 2551 เท่ากับ 16.7 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 26.9 ต่อปี แต่ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 55.1 ต่อปี โดยเป็นการขยายตัวด้านราคาสินค้านำเข้าที่ร้อยละ 16.6 ต่อปี ในขณะที่ปริมาณสินค้านำเข้าชะลอตัวลงที่ร้อยละ 8.8 ต่อปี ซึ่งการนำเข้าที่ชะลอตัวมาจากสินค้านำเข้าประเภทสินค้าทุนและเครื่องจักรเป็นหลัก ทั้งนี้ มูลค่าการนำเข้าที่สูงกว่ามูลค่าการส่งออกนั้น ทำให้ดุลการค้าในเดือนสิงหาคมขาดดุลที่ -0.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

5. สำหรับเครื่องชี้ในด้านอุปทานในเดือนสิงหาคม 2551 พบว่า ผลผลิตภาคการเกษตรยังขยายตัวได้ดี ในขณะที่ภาคอุตสาหกรรมขยายตัวชะลอลงจากเดือนก่อนหน้า โดยเครื่องชี้ภาคการเกษตรยังคงขยายตัวได้ดี โดยดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรเดือนสิงหาคมยังคงขยายตัวในระดับสูงที่ร้อยละ 10.9 ต่อปี จากการเพิ่มขึ้นของผลผลิตสินค้าเกษตรสำคัญเช่น ข้าวนาปี ข้าวนาปรัง มันสำปะหลัง ในขณะที่ผลผลิตยางพาราและปาล์มน้ำมันปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้า สำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมพบว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (เบื้องต้น) ในเดือนสิงหาคมขยายตัวที่ร้อยละ 4.5 ต่อปี ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวที่ร้อยละ 10.2 ต่อปี โดยอุตสาหกรรมสำคัญที่มีการชะลอตัวลง ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น

6. เสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยในด้านเสถียรภาพภายนอกนั้น ทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2551 อยู่ที่ 101.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งอยู่ในระดับสูงกว่าหนี้ต่างประเทศระยะสั้นกว่า 3.9 เท่า ในขณะที่เสถียรภาพภายในประเทศปรับตัวดีขึ้นจากความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อที่ลดลง โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนสิงหาคม อยู่ที่ร้อยละ 6.4 ต่อปี ปรับตัวลดลงจากร้อยละ 9.2 ต่อปี ในเดือนก่อนหน้าเนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง และผลของ 6 มาตรการ 6 เดือน ฝ่าวิกฤตเพื่อคนไทยทุกคนที่เริ่มดำเนินการตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกรกฎาคม นอกจากนี้ อัตราการว่างงานในเดือนกรกฎาคม 2551 อยู่ในระดับต่ำที่ร้อยละ 1.3 ของกำลังแรงงานรวม สำหรับสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ณ เดือนกรกฎาคม 2551 อยู่ที่ร้อยละ 35.4 ซึ่งยังคงต่ำกว่ากรอบความยั่งยืนทางการคลังที่ตั้งไว้ไม่เกินร้อยละ 50.0 ค่อนข้างมา
. . .





 

Create Date : 25 กันยายน 2551
3 comments
Last Update : 25 กันยายน 2551 15:29:54 น.
Counter : 784 Pageviews.

 

. . .

การเมืองฉุดยอดขายเครื่องหนังในประเทศเหลือ 5,000 ล้านบาท

นายธวัฒน์ จิว นายกสมาคมเครื่องหนังไทย กล่าวถึงรัฐบาลใหม่ว่า อยากฝากรัฐบาลเร่งสร้างภาพพจน์และแก้ไขปัญหาการเมือง ซึ่งภาคเอกชนต้องการให้การเมืองนิ่งจะได้ค้าขายได้ พร้อมทั้งกล่าวว่า 2 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมเครื่องหนังและรองเท้าประสบปัญหาการจำหน่ายในประเทศ ทั้งที่กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องหนังไทยเทียบเท่ากับอุตสาหกรรมต่างประเทศ โดยแต่ละปีมูลค่าการค้าเครื่องหนังและรองเท้านับหมื่นล้านบาท แต่ปีนี้เชื่อว่ายอดขายในประเทศจะเหลือแค่ 5,000 ล้านบาท

ส่วนการส่งออก ทางกลุ่มไม่วิตกกังวล เพราะขณะนี้อุตสาหกรรมเครื่องหนังไทยเทียบเท่าอุตสาหกรรมเครื่องหนังในประเทศอิตาลี จึงต้องเร่งพัฒนาคุณภาพสินค้าและการดีไซน์เพื่อจะได้แข่งขันได้ โดยปีนี้คาดว่าจะส่งออกเครื่องหนังและรองเท้าไม่ต่ำกว่า 2,000-3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการกระตุ้นยอดขายในประเทศ ทางสมาคมฯ จึงได้ร่วมกับกรมส่งเสริมการส่งออกจัดงานสัปดาห์เครื่องหนังไทย 2551 ระหว่างวันที่ 3-12 ต.ค.นี้ ณ อาคารแสดงสินค้ากรมส่งเสริมการส่งออก รัชดาภิเษก ซึ่งจะนำสินค้าแบรนด์เนมไทยมาลดราคา สำหรับปีที่ผ่านมาการจัดงานเครื่องหนังมียอดขายประมาณ 20-30 ล้านบาท และปีนี้คาดว่ายอดขายจะเท่าเดิม จึงอยากเชิญชวนให้มาเลือกซื้อสินค้าในวันดังกล่าว

. . .

 

โดย: loykratong 25 กันยายน 2551 15:44:08 น.  

 

. . .

ธ.ก.ส. เปิดรับฝากเงินเกษียณอายุ ให้ดอกเบี้ยร้อยละ 3.25-4.25

นางพูนสุข มุสิกลัด รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า ข้าราชการ พนักงานของรัฐ และหน่วยงานอื่น ประชาชนทั่วไปที่มีอายุ 55 ปีขึ้นไป สามารถฝากเงินในโครงการเกษียณอายุเปี่ยมสุข โดยเริ่มฝากได้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.-28 พ.ย.51 เงินฝากดังกล่าวมีระยะเวลา 4 ปี จากวันที่ 1 ตุลาคม 2551 - 30 กันยายน 2555 สำหรับผู้ฝากเงินต่ำกว่า 3 ล้านบาท ให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก 2 ปีแรก ร้อยละ 3.25 ต่อปี ปีที่ 3 ให้อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.75 และปีที่ 4 อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4.25

สำหรับการฝากเงินเกิน 3 ล้านบาทขึ้นไป ได้รับอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.75-4.50 ไม่เสียภาษีดอกเบี้ยเงินฝาก โดยผู้ฝากเงินจะได้รับดอกเบี้ยเฉลี่ยต่อเดือนประมาณ 10,000 บาท ให้เบิกถอนไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ในการฝากเงินต้องเปิดบัญชีไม่ต่ำกว่า 100,000 บาท และฝากครั้งต่อไปไม่กว่าต่ำกว่า 100,000 บาทเช่นกันคาดว่าจะมีผู้สนใจฝากเงินในโครงการดังกล่าวประมาณ 10,000 ล้านบาท

นางพูนสุข กล่าวว่าขณะนี้สถาบันการเงินจะแข่งขันระดมเงินฝากอย่างเข้มข้นด้วยการให้อัตราดอกเบี้ยสูง เพราะสถาบันการเงินแต่ละแห่งปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการรายเล็กรายใหญ่คิดดอกเบี้ยหลากหลาย จึงแบกรับต้นทุนที่สูงได้ โดยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเกษียณอายุเปี่ยมสุขน่าจะจูงใจผู้ฝากเงินกับ ธ.ก.ส. ประกอบกับ พ.ร.บ. สถาบันคุ้มครองเงินฝาก เริ่มมีผลบังคับใช้ ทำให้ประชาชนเริ่มให้ความสำคัญในการดูแลเงินฝากของตนเองมากขึ้น เพราะสถาบันการเงินของรัฐ เช่น ธ.ก.ส. ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ( ธอส.) และธนาคารออมสินซึ่งรัฐบาลค้ำประกันเงินฝากเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ จึงน่าจะแย่งชิงเงินฝากกับสถาบันการเงินต่างๆได้

. . .

 

โดย: loykratong 25 กันยายน 2551 15:49:25 น.  

 

I savour, cause I discovered just what I used to be looking for. You have ended my 4 day long hunt! God Bless you man. Have a great day. Bye
Louis Vuitton Sale //www.ristech.net/

 

โดย: Louis Vuitton Sale IP: 94.23.252.21 4 สิงหาคม 2557 2:30:08 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


loykratong
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]






ไม่มีอะไรขึ้นตลอด
ไม่มีอะไรลงตลอด
...ไม่มี the end of the world ...

Web Site Hit Counters

ราคาทองคำ
 

ราคาทองคำต่างประเทศ



Friends' blogs
[Add loykratong's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.