Group Blog
 
<<
กันยายน 2551
 
10 กันยายน 2551
 
All Blogs
 

ธอส. เชิญชวนเล่านิทานลงเทปหรือแผ่นซีดีมอบให้มูลนิธิช่วยคนตาบอดฯ

. . .

ธอส. เชิญชวนเล่านิทานลงเทปหรือแผ่นซีดีมอบให้มูลนิธิช่วยคนตาบอดฯกับ โครงการ 555 เสียงใสสร้างโลกสวยเพื่อผู้พิการทางสายตา


ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ครบรอบ 55 ปี เชิญชวนร่วมทำกิจกรรมดี ๆ อ่านนิทานบันทึกเทปหรือแผ่นซีดี ในโครงการ “555 เสียงใสสร้างโลกสวยเพื่อผู้พิการทางสายตา” เพื่อมอบให้กับมูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์และโรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ ถนนราชวิถี ทั้งนี้เพื่อเป็นการตอบแทนสังคมในการเสริมสร้างจินตนาการโลกสวยด้วยเสียงเพื่อผู้พิการทางสายตา ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในกิจกรรมดี ๆ ที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ได้จัดทำภายใต้แนวคิด “ธอส.สานฝันคนไทย”

นายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า เนื่องในโอกาสครบรอบ 55 ปี ของธนาคารในปี 2551 นี้ ธนาคารจึงได้จัดทำ “โครงการ 555 เสียงใสสร้างโลกสวย เพื่อผู้พิการทางสายตา” โดยการเชิญชวนลูกค้าประชาชน และพนักงานของธนาคารร่วมเล่านิทานอัดเทป หรือแผ่นซีดีจำนวน 555 เรื่อง มอบให้กับมูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์และโรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ ถนนราชวิถี สำหรับผู้พิการทางสายตาใช้ฟังเสริมความรู้และสร้างกำลังใจ

“ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ในฐานะองค์กรรัฐวิสาหกิจ สังกัดกระทรวงการคลัง มีนโยบายหลักในการให้บริการด้านสินเชื่อที่อยู่อาศัย เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชน และอีกนโยบายหนึ่งที่ธนาคารได้ให้ความสำคัญในการดำเนินกิจการควบคู่เสมอมา คือการยึดหลักจริยธรรม และการกำกับที่ดีควบคู่ไปกับการใส่ใจดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมเพื่อนำไปสู่การพัฒนาองค์กร และสังคมที่ยั่งยืน โดยธนาคารได้ดำเนินกิจกรรมสาธารณกุศลแก่ผู้ยากไร้ และผู้ด้อยโอกาสทางสังคมให้มีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นตามควรแก่อัตภาพ” นายขรรค์กล่าว

นายขรรค์ กล่าวในตอนท้ายว่า ธนาคารขอเชิญชวนผู้สนใจร่วมในกิจกรรมอันเป็นประโยชน์ในครั้งนี้ โดยสามารถส่งเทปหรือแผ่นซีดีที่ท่านได้เล่านิทาน เรื่องสั้นต่างๆ ทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ ฯลฯ ความยาวประมาณเรื่องละ 5 นาที ภายในวันที่ 30 ตุลาคมศกนี้ เพื่อธนาคารจะได้รวบรวมนำส่งให้กับมูลนิธิฯ ต่อไป ซึ่งกิจกรรมดี ๆ ในครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งของกิจกรรมที่ธนาคารมุ่งมั่นในการตอบแทนสู่สังคม อีกทั้งยังเป็นการมอบโอกาสให้กับผู้พิการทางสายตาให้สามารถจินตนาการและสัมผัสเห็นโลกสวยผ่านเสียงของผู้มีจิตศรัทธาทุกท่านต่อไป สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ส่วนกิจกรรมพิเศษ ฝ่ายสื่อสารองค์กร โทร.0-2202-1980-6

ฝ่ายสื่อสารองค์กร

10 กันยายน 2551

. . .




 

Create Date : 10 กันยายน 2551
10 comments
Last Update : 10 กันยายน 2551 13:34:05 น.
Counter : 602 Pageviews.

 

. . .

กรุงไทยจัดงาน KTB NPA Grand Sale ทั่วประเทศ


ธนาคารกรุงไทยจัดงาน KTB NPA Grand Sale ครั้งที่ 3 นำทรัพย์ขายลด 10- 40% ผ่านสาขาทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 15-26 กันยายนนี้ เผย 8 เดือนขายทรัพย์ได้เกือบ 6,000 ล้านบาท ช่วงที่เหลือเร่งระบาย NPA ต่อเนื่อง เน้นขายตรงให้กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย

นายสายัณห์ สตางค์มงคล รองกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารสายงาน สายงานบริหารทรัพย์สินและงานกฎหมาย บมจ.ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารเตรียมจัดงาน KTB NPA Grand Sale ครั้งที่ 3 ขึ้นระหว่างวันที่ 15-26 กันยายน 2551 โดยนำทรัพย์ทำเลดีทั่วประเทศกว่า 9,000 แปลง มูลค่า 5,000 ล้านบาท จำหน่ายให้กับผู้สนใจผ่านสาขากว่า 780 แห่งทั่วประเทศ

“ธนาคารคัดเลือกทรัพย์นำออกจำหน่ายหลากหลายประเภท เพื่อให้เหมาะกับลูกค้าแต่ละกลุ่ม ได้แก่คอนโดมิเนียม อาคารชุด ทาวน์เฮ้าส์ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด เพื่อเป็นที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน อาคารพาณิชย์ อพาร์ทเมนท์ โกดัง โรงงาน โรงพยาบาล โรงแรมในทำเลดีเหมาะแก่การลงทุน ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างและที่ดินเปล่า สำหรับอุตสาหกรรมหรือเกษตรกรรม รวมทั้งที่ดินเพื่อการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์”

ธนาคารให้ส่วนลดพิเศษจากราคาปกติ 10-40% รวมทั้งยกเว้นค่าธรรมเนียมการประเมินราคาหลักทรัพย์ เสียค่าโอนกรรมสิทธิ์ขั้นต่ำเพียง 0.005% และหากใช้บริการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย จะได้รับวงเงินสูงสุดถึง 110% คิดอัตราดอกเบี้ยปีแรก 0% หลังจากนั้นคิด MLR-0.25% ปัจจุบัน MLR เท่ากับ 7.25%ต่อปี ผู้สนใจดูรายละเอียดทรัพย์ที่ //www.ktb.co.th สาขาทั่วประเทศบริเวณ KTB NPA Corner ที่อาคารสุขุมวิท หรือสอบถามเพิ่มเติมที่ฝ่ายบริหารทรัพย์สินพร้อมขาย โทร.0-2208-8330, 8332, 8334-8

นายสายัณห์ สตางค์มงคล กล่าวในตอนท้ายว่า การจัดงานครั้งนี้คาดว่าจะสามารถขายทรัพย์ได้ไม่ต่ำกว่า1,000 ล้านบาท โดย 8 เดือนที่ผ่านมา สามารถจำหน่าย NPA ได้เกือบ 6,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ช่วงครึ่งหลังของปีนี้ธนาคารยังคงเร่งระบาย NPA อย่างต่อเนื่อง ทั้งจัดงานมหกรรมร่วมกับสถาบันต่างๆ รวมทั้งจัดทีมงานขายตรงให้กับข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ พนักงานธุรกิจเอกชน ตลอดจนนักลงทุน และนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ซึ่งในปีนี้ธนาคารมีเป้าหมายขาย NPA จำนวน 15,000 ล้านบาท

ฝ่ายสื่อสารการตลาดและประชาสัมพันธ์
โทร. 0-2208-4174-7
10 กันยายน 2551

. . .

 

โดย: loykratong 10 กันยายน 2551 13:41:42 น.  

 

. . .

ประเมินผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมืองต่อเศรษฐกิจไทย


จากสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองที่มีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น จนนำมาสู่การประกาศใช้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และการชุมนุมของกลุ่มที่มีความคิดเห็นตรงกันข้ามกับรัฐบาลได้ขยายวงกว้างไปในพื้นที่หลายจังหวัด รวมทั้งยังมีผลกระทบไปถึงการเดินทางผ่านสนามบินของจังหวัดท่องเที่ยวที่สำคัญ สถานการณ์เช่นนี้ได้สร้างความกังวลให้แก่หลายฝ่ายถึงผลกระทบที่จะมีต่อเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งความรุนแรงของผลกระทบจะมากหรือน้อยเพียงใดนั้น ย่อมแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงและระยะเวลาของสถานการณ์การเผชิญหน้าของฝ่ายต่างๆ ที่มีความขัดแย้งทางความคิดทางการเมือง จึงเป็นการยากที่จะประเมินสถานการณ์จากมุมมอง ณ ขณะนี้ ที่ยังไม่สามารถคาดการณ์ถึงจุดสิ้นสุดของวิกฤตการณ์ทางการเมืองในครั้งนี้ได้

อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจ ภายใต้ข้อสมมติสถานการณ์ในสองกรณี คือ กรณีพื้นฐาน เป็นกรณีที่สถานการณ์ยุติลงโดยเร็ว และกรณีเลวร้ายที่สุด เป็นกรณีที่สถานการณ์รุนแรงและยืดเยื้อ โดยคาดว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยน่าจะอยู่ระหว่างสองกรณีนี้ ทั้งนี้ เงื่อนไขข้อสมมติของทั้งสองกรณีมีดังนี้

 กรณีพื้นฐาน (Base Case) เหตุการณ์ความไม่สงบยุติลงได้โดยเร็ว และรัฐบาลยกเลิกการใช้ พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ในกรณีนี้ ภาคการท่องเที่ยวอาจจะได้รับผลกระทบในระยะเวลา 1 เดือน คือช่วงเดือนกันยายน ที่เหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นส่งผลลบต่อความเชื่อมั่นของชาวต่างชาติ และสร้างความกังวลต่อนักท่องเที่ยวที่มีแผนการที่จะเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย ซึ่งแม้ว่าสถานการณ์ยุติได้เร็ว แต่ภาพเหตุการณ์ที่เผยแพร่ออกไปสู่ต่างประเทศ รวมทั้งการที่ประเทศต่างๆ มีการเตือนประชาชนให้ระมัดระวังต่อการเดินทางเข้ามาในประเทศไทย ก็อาจเป็นผลทำให้นักท่องเที่ยวยังรอดูสถานการณ์ต่อไปอีกระยะหนึ่ง ขณะที่การลงทุนของภาคเอกชนอาจมีการชะลอออกไปบ้าง แต่สถานการณ์ต่างๆ จะสามารถกลับมาใกล้เคียงกับภาวะปกติได้ในช่วงไตรมาสที่ 4 หลังสถานการณ์คลี่คลายลง ส่วนการใช้จ่ายของภาครัฐ โดยเฉพาะในด้านงบลงทุนอาจมีความล่าช้าในการเบิกจ่ายงบประมาณบ้าง เนื่องจากข้อติดขัดในกระบวนการทำงานของรัฐบาล สำหรับในด้านการบริโภคของภาคเอกชน อาจได้รับผลกระทบจากการยกเลิกการจัดงานประชุมสังสรรค์ต่างๆ รวมทั้งประชาชนออกมาทำกิจกรรมนอกบ้านน้อยลง (เช่น ด้านบันเทิง สันทนาการ หรือการเดินทางท่องเที่ยว)

 กรณีเลวร้ายที่สุด (Worst Case) สถานการณ์การเผชิญหน้ามีความรุนแรง ครอบคลุมพื้นที่จังหวัดท่องเที่ยวสำคัญ ทำให้นักท่องเที่ยวไม่มั่นใจต่อสถานการณ์ความปลอดภัย และยกเลิกการจองล่วงหน้าสำหรับการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในช่วงไตรมาสที่ 4 ซึ่งเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวที่สร้างรายได้มากสุดของแต่ละปี ขณะเดียวกัน ความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยืดเยื้อและขยายวงกว้างนั้นอาจส่งผลต่อการลงทุน เนื่องจากนักลงทุนยังไม่แน่ใจต่อทิศทางการเมือง และนโยบายของรัฐบาลในระยะต่อไป ทำให้มีการชะลอการลงทุนออกไปตลอดช่วงระยะที่เหลือของปี สำหรับในด้านการบริโภคของภาคเอกชน นอกเหนือจากการลดกิจกรรมการจัดงานประชุม งานเลี้ยงสังสรรค์ การทำกิจกรรมนอกบ้าน และการเดินทางแล้ว ผู้บริโภคอาจมีความกังวลต่อความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ทำให้ยิ่งระมัดระวังการใช้จ่าย ลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เพื่อออมเงินไว้ในยามหากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน

ทั้งนี้ ในกรณีพื้นฐาน คาดว่าประเทศไทยอาจสูญเสียรายได้การท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในช่วงเดือนกันยายน ประมาณ 9,000-15,000 ล้านบาท การบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชน ตลอดจนการใช้จ่ายของรัฐบาลอาจสูญหายไปในช่วงเวลาดังกล่าว อย่างไรก็ตาม เมื่อเหตุการณ์สงบลง กิจกรรมเศรษฐกิจต่างๆ ก็อาจจะกลับมาสู่ภาวะปกติ และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติก็อาจจะกลับเข้ามาท่องเที่ยวในช่วงเดือนต่อๆ ไป ซึ่งผลกระทบโดยสุทธิแล้ว อาจทำให้มูลค่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจในปีนี้ลดลงประมาณ 20,000-36,000 ล้านบาท ส่งผลให้เศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2551 ขยายตัวประมาณร้อยละ 4.2-4.4 และอัตราการขยายตัวตลอดทั้งปีอยู่ที่ร้อยละ 4.9-5.0 ต่ำกว่าค่ากลางของประมาณการเดิมของศูนย์วิจัยกสิกรไทยที่ร้อยละ 5.3

สำหรับกรณีเลวร้ายที่สุด สถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองที่ยืดเยื้อไปจนถึงปลายปี อาจทำให้ภาคการท่องเที่ยวโดยรวมสูญเสียรายได้ประมาณ 50,000-70,000 ล้านบาท และถ้ารวมกับผลกระทบที่มีต่อภาคการบริโภค การลงทุนของภาคเอกชน และการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐบาลแล้ว ผลกระทบโดยสุทธิอาจทำให้มูลค่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจในปีนี้ลดลงประมาณ 109,000-149,000 ล้านบาท ส่งผลให้เศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2551 ขยายตัวประมาณร้อยละ 1.5-2.4 และมีอัตราการขยายตัวตลอดทั้งปีอยู่ที่ร้อยละ 3.6-4.0

นอกเหนือจากผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับภาคเศรษฐกิจจริงแล้ว สถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองยังส่งผลกระทบต่อเนื่องไปอีกหลายด้าน การสูญเสียรายได้เงินตราต่างประเทศ โดยเฉพาะในด้านการท่องเที่ยวจะส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดมีฐานะเกินดุลที่ลดลง ขณะที่ในสภาวะที่มีเงินทุนต่างประเทศไหลออกจากตลาดเงินตลาดทุน จะยิ่งทำให้สถานะดุลการชำระเงินอ่อนแอลงมากขึ้น ทิศทางดังกล่าวอาจส่งผลให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงไปอีก ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงแม้ว่าจะเป็นผลดีต่อภาคการส่งออก และในอีกด้านหนึ่งอาจส่งผลให้ไทยไม่ได้รับประโยชน์เท่าที่ควรจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง ที่จะไปมีผลช่วยลดแรงกดดันเงินเฟ้อภายในประเทศ

นอกจากนี้ ความเสี่ยงที่มีเพิ่มขึ้นต่อการลงทุนในไทย จะส่งผลให้การระดมทุนในตลาดเงินตลาดทุนของไทยมีต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น เนื่องจากนักลงทุนมีความสนใจลงทุนในสินทรัพย์ของประเทศไทยลดน้อยลง ขณะเดียวกัน ภาวะเงินทุนไหลออก จะส่งผลให้สภาพคล่องในระบบลดลง ซึ่งถ้ามีเงินทุนไหลออกในปริมาณที่มากจนทำให้สภาพคล่องในระบบตึงตัวมากขึ้น อาจมีผลต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ยภายในประเทศอีกทางหนึ่งด้วย

โดยรวมแล้ว ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยน่าจะอยู่ระหว่างสองกรณีที่วิเคราะห์ไว้ข้างต้น โดยได้ปรับประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2551 นี้ ลงมาที่ร้อยละ 3.6-5.0 ต่ำกว่าประมาณการเดิมที่ร้อยละ 5.0-5.5 โดยการปรับลดประมาณการลงครั้งนี้เป็นผลจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากผลกระทบจากปัญหาทางการเมือง เป็นสำคัญ

ทั้งนี้ สถานการณ์ที่วิเคราะห์ข้างต้น เป็นการประเมินผลกระทบในกรณีที่สถานการณ์อาจเลวร้ายจนส่งสร้างผลกระทบที่รุนแรงต่อเศรษฐกิจโดยรวม อย่างไรก็ตาม อาจมีความเป็นไปได้ที่อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจจะกลับมาดีกว่าที่ประเมินไว้นี้ ถ้าหากสถานการณ์คลี่คลายลงโดยเร็ว และรัฐบาลสามารถกลับมาสร้างความมั่นใจให้แก่ภาคธุรกิจ นักลงทุน และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ รวมทั้งเร่งดำเนินนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจและเร่งการเบิกจ่ายของภาครัฐ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะเวลาที่เหลือของปี 

. . .

 

โดย: loykratong 10 กันยายน 2551 13:45:30 น.  

 

. . .

ปัจจัยราคาน้ำมันส่งผลรถครอบครัวเติบโต 8%
ผลักดันตลาดรวมรถจักรยานยนต์เดือน ส.ค. ขยายตัวต่อเนื่องโดยฮอนด้าค่ายผู้นำตลาดกระตุ้นแรงซื้อด้วยรถหัวฉีดประหยัดสูง


ตลาดรถจักรยานยนต์ในช่วงเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา ยังคงมีอัตราการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ด้วยปริมาณยอดจดทะเบียนโดยรวมทั้งสิ้นสูงเกินกว่า 1.43 แสนคัน ทั้งนี้เป็นผลมาจากการผลักดันของกลุ่มรถแบบครอบครัวที่เติบโตเพิ่มขึ้นถึง 8% ซึ่งเป็นเพราะคุณสมบัติโดดเด่นในด้านความประหยัด สอดรับกับสถานการณ์ราคาน้ำมันผันผวน แม้ว่าจะมีการปรับตัวลดลงมาบ้างแล้วก็ตาม แต่ก็ยังอยู่ในระดับราคาสูง จึงส่งผลให้กลุ่มผู้ใช้รถมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับความประหยัด ในขณะที่ค่ายผู้นำตลาด คือ ฮอนด้า เร่งตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค หลังจากที่วางจำหน่ายรถรุ่นใหม่ถึงสองรุ่นที่ติดตั้งระบบจ่ายน้ำมันแบบหัวฉีด PGM-FI อันเป็นผลให้ประหยัดน้ำมันมากยิ่งขึ้นนั้น ด้วยกลยุทธ์การจัดกิจกรรมเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้ พร้อมขยายเป้าหมายให้มีวงกว้างมากยิ่งขึ้น

นายธีระพัฒน์ จิวะพงศ์ กรรมการบริหารส่วนงานขาย บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด เปิดเผยถึงสภาพตลาดรถจักรยานยนต์ในช่วงเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา ปรากฎว่าปริมาณการจดทะเบียนป้ายวงกลมรถจักรยานยนต์โดยรวมมีทั้งสิ้น 143,095 คัน เมื่อเปรียบเทียบกับในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่มีจำนวน 136,838 คันแล้ว มีปริมาณการจดทะเบียนเพิ่มขึ้น 6,257 คัน หรือมีอัตราการขยายตัว 5% โดยนับเป็นการขยายตัวต่อเนื่องถึง 7 เดือนติดต่อกัน หรือตั้งแต่เดือน ก.พ. ของปีนี้เป็นต้นมา

ทั้งนี้เป็นผลมาจากการเติบโตเพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมากของกลุ่มรถจักรยานยนต์แบบครอบครัว อันเป็นส่วนสำคัญที่ผลักดันให้ตลาดโดยรวมมีการขยายตัว ซึ่งปัจจัยที่ทำให้รถแบบครอบครัวเติบโตเพิ่มขึ้นนั้น เป็นเพราะพฤติกรรมของกลุ่มผู้ใช้รถที่มุ่งเน้นให้ความสำคัญในด้านความประหยัด อันเนื่องมาจากสถานการณ์ของราคาน้ำมันที่มีความผันผวนมาตลอดตั้งแต่ต้นปี แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะมีการปรับลดราคาลงมาบ้างแล้วก็ตาม แต่ก็ยังคงอยู่ในระดับราคาสูง โดยรถจักรยานยนต์แบบครอบครัวนั้น นับเป็นรถที่มีคุณสมบัติโดดเด่นด้านการประหยัดน้ำมัน จึงตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี รวมทั้งยังได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้ใช้รถเป็นอย่างมาก

โดยในช่วงเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา รถแบบครอบครัวมีอัตราการเติบโตเพิ่มมากขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าถึง 8% ด้วยปริมาณการจดทะเบียน 76,506 คัน เทียบเท่าสัดส่วนจากตลาดโดยรวม คือ 53% ในขณะที่รถแบบ เอ.ที. (Automatic Transmission) หรือแบบเกียร์อัตโนมัติ มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพียง 2% เท่านั้น จากยอดการจดทะเบียน 61,110 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 43%

ส่วนรถจักรยานยนต์แบบครอบครัวกึ่งสปอร์ต และแบบสปอร์ต มีอัตราการเติบโตสวนกับทิศทางตลาด คือ เติบโตลดลงถึง 12% และ 10% โดยมีปริมาณการจดทะเบียน 3,859 คัน และ 884 คัน เทียบเท่าสัดส่วนตลาด 3% และ 1% ตามลำดับ ในขณะที่รถจักรยานยนต์ประเภทอื่นๆ มียอดการจดทะเบียน 736 คัน

นอกจากนั้นแล้ว จากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับความประหยัด ส่งผลให้ค่ายผู้นำตลาด คือ ฮอนด้า เร่งตอบสนองความต้องการของกลุ่มผู้ใช้รถ หลังจากที่เพิ่งวางจำหน่ายรถจักรยานยนต์รุ่นใหม่ถึงสองรุ่นด้วยกัน ได้แก่ ฮอนด้า CZ-i 110 และ ฮอนด้า Click-i และได้รับการติดตั้งระบบจ่ายน้ำมันแบบหัวฉีด PGM-FI (Programmed Fuel Injection) อันส่งผลให้มีความประหยัดน้ำมันมากยิ่งขึ้นนั้น ด้วยการจัดกิจกรรม “PGM-FI Bikes Show” เพื่อสร้างการเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภค ตลอดจนเป็นการขยายกลุ่มเป้าหมายให้มีวงกว้างมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งกิจกรรมนี้จะเน้นการจัดให้มีขึ้นในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ในช่วงเดือน ก.ย. นี้ โดยจะเป็นส่วนช่วยกระตุ้นให้เกิดแรงซื้อ รวมทั้งสร้างความตื่นตัวให้กับตลาด

สำหรับปริมาณยอดจดทะเบียนสะสมในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ คือ นับตั้งแต่เดือน ม.ค. – ส.ค. นั้น มีจำนวนโดยรวมทั้งสิ้น 1,176,096 คัน และเมื่อเปรียบเทียบกับในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้านี้แล้ว มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้น 5%

. . .

 

โดย: loykratong 10 กันยายน 2551 13:47:00 น.  

 

. . .

การเทคโอเวอร์ แฟนนี เม และ เฟรดดี แมค ...
ช่วยลดความเสี่ยงในภาคการเงินลงบางส่วน


เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2551 ที่ผ่านมา กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ได้ประกาศว่า สำนักงานการเงินการเคหะของรัฐบาลกลาง (The Federal Housing Finance Agency: FHFA) ซึ่งเป็นหน่วยงานควบคุมกฎระเบียบแห่งใหม่สำหรับสมาคมการจำนองแห่งชาติของรัฐบาลกลาง (แฟนนี เม) และบรรษัทจำนองสินเชื่อบ้านของรัฐบาลกลาง (เฟรดดี แมค) ได้นำ แฟนนี เม และเฟรดดี แมค เข้าสู่แผนพิทักษ์กิจการ (Conservatorship) ของรัฐบาลกลาง เพื่อพลิกฟื้นความเชื่อมั่น และเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน หลังจากสถานการณ์ของปัญหาที่สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ทั้งสองแห่งต้องเผชิญได้เลวร้ายลงยิ่งขึ้น ซึ่งมาตรการกอบกู้กิจการ แฟนนี เม และ เฟรดดี แมค ในครั้งนี้ อาจถือเป็นหนึ่งในมาตรการกอบกู้กิจการครั้งใหญ่ที่สุดเป็นประวัติการณ์ของรัฐบาลสหรัฐฯ และการดำเนินการของทางการสหรัฐฯ เพื่อเข้าช่วยเหลือสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ด้านสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยดังกล่าว ย่อมสร้างภาระทางการคลัง ซึ่งในที่สุดแล้วย่อมจะตกไปยังประชาชนผู้เสียภาษีของสหรัฐฯ ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้รวบรวมประเด็นเกี่ยวกับมาตรการกอบกู้กิจการ แฟนนี เม และ เฟรดดี แมค ตลอดจนประเด็นแวดล้อมอื่นๆ ดังนี้

มาตรการกอบกู้กิจการ แฟนนี เม และ เฟรดดี แมค
ภายใต้มาตรการกอบกู้กิจการ แฟนนี เม และ เฟรดดี แมค ที่ประกาศโดยกระทรวงการคลังสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2551 ประกอบไปด้วยมาตรการย่อยหลายมาตรการ ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับฐานะทางการเงินของทั้งสองบริษัท พร้อมๆ ไปกับการดูแลสถานะของสภาพคล่องให้เพียงพอต่อการดำเนินกิจการภายใต้สภาวะซบเซาของตลาดสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และการถดถอยลงอย่างต่อเนื่องของตลาดอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯ โดยมาตรการหลักที่มีความสำคัญ ได้แก่

 การเข้าถือครองหุ้นบุริมสิทธิกลุ่มใหม่ (Senior Preferred Stock) ที่มีการจ่ายดอกเบี้ยที่ 10% ทั้งนี้ กระทรวงการคลังสหรัฐฯ จะเข้าถือครองหุ้นบุริมสิทธิดังกล่าว 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในแต่ละบริษัทหลังการประกาศเทคโอเวอร์ แฟนนี เม และ เฟรดดี แมค ไม่กี่วัน และการถือครองหุ้นบุริมสิทธิดังกล่าวอาจเพิ่มขึ้นไปถึง 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อบริษัทหากมีความจำเป็น เมื่อการตรวจสอบงบการเงินของผู้สอบบัญชีรายไตรมาสพบว่า ความมั่นคงของเงินกองทุนของแต่ละบริษัท มีระดับที่ต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนด

 ได้รับใบสำคัญแสดงสิทธิในหุ้น (Warrant) ที่สะท้อนถึงความเป็นเจ้าของหุ้นสามัญ 79.9% ของแต่ละบริษัท โดยมีราคาใช้สิทธิน้อยกว่า 1 เหรียญต่อหุ้น

 การเข้าซื้อหลักทรัพย์ที่ค้ำประกันด้วยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Mortgage-Backed Securities: MBS) ที่ออกโดย แฟนนี เม และ เฟรดดี แมค ทั้งนี้ มีการคาดการณ์กันว่า กระทรวงการคลังสหรัฐฯ จะเริ่มเข้าไปซื้อหลักทรัพย์ที่ค้ำประกันด้วยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของแฟนนี เม และ เฟรดดี แมค มูลค่าประมาณ 5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในเดือนนี้ โดยการดำเนินมาตรการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยหนุนตราสารเหล่านี้ ตลอดจนเพื่อช่วยให้กระบวนการปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงินต่างๆ เริ่มกลับมาดำเนินการ และเพื่อช่วยลดแรงกดดันที่มีต่อต้นทุนของการกู้ยืมที่ลูกหนี้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยลง ซึ่งจะส่งผลไปช่วยเสริมสร้างเสถียรภาพให้กับตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐฯ ในท้ายที่สุด

 จัดสรรเงินทุนระยะสั้น ให้กับ แฟนนี เม เฟรดดี แมค และ federal home-loan banks อีก 12 แห่ง โดยมีธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขานิวยอร์ก ทำหน้าที่เป็นตัวแทนสำหรับ Lending Facility โดย แฟนนี เม และเฟรดดี แมค สามารถนำเอาหลักทรัพย์ที่ค้ำประกันด้วยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยมาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้ยืมได้

 เพิ่มระดับของเพดานการถือครองสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและหลักทรัพย์ที่หนุนหลังด้วยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย โดยอนุญาตให้ แฟนนี เม และเฟรดดี แมค สามารถถือครองหลักทรัพย์ดังกล่าวไว้ในบัญชีรวมกันไม่เกิน 1.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ จนถึงสิ้นปี 2551 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเพดานเดิมที่ 1.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มบทบาทให้ แฟนนี เม และเฟรดดี แมค สามารถช่วยพยุงตลาดสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย

เบื้องหลังของปัญหา แฟนนี เม และเฟรดดี แมค
แม้การเทคโอเวอร์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ จะไม่ใช่มาตรการที่สร้างความประหลาดใจให้กับตลาดการเงิน เนื่องจากเป็นสิ่งที่ตลาดการเงินได้คาดการณ์กันมาระยะหนึ่งแล้ว แต่การเข้าดำเนินการในครั้งนี้นั้นถือเป็นการส่งสัญญาณที่ดีให้กับตลาดการเงิน และเป็นการบ่งชี้ถึงความพยายามของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการแก้ไขปัญหา และเสริมสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุนว่าทางการสหรัฐฯ พร้อมที่จะดำเนินการเพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาลุกลามออกไปจนสร้างความเสี่ยงให้กับระบบการเงินโดยรวมของสหรัฐฯ ทั้งนี้ การดำเนินการของทางการสหรัฐฯ ดังกล่าวทำให้เห็นได้ว่า ขนาดของปัญหาของ แฟนนี เม และเฟรดดี แมค นั้น ใหญ่เกินกว่าที่ทางการจะยอมปล่อยให้สถาบันการเงินทั้งสองเผชิญกับภาวะวิกฤตได้ (Too Big to Fail) เนื่องจากความเรื้อรังของปัญหาอาจนำไปสู่ผลกระทบในวงกว้างทั้งต่อตลาดการเงิน รวมทั้งต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลต่อเนื่องไปสร้างความผันผวนให้กับระบบการเงินของโลกอย่างยากที่จะหลีกเลี่ยง ทั้งนี้ ประเด็นเบื้องหลังที่นำไปสู่การเข้าดำเนินมาตรการกอบกู้กิจการ แฟนนี เม และ เฟรดดี แมค อาจมีที่มาจากหลายประเด็น อาทิ

 การขาดทุนเรื้อรัง สภาวะย่ำแย่ของตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐฯ ได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของ แฟนนี เม และเฟรดดี แมค ทั้งนี้ แฟนนี เม และเฟรดดี แมค ต้องเผชิญกับภาวะขาดทุนสุทธิรวมกันประมาณ 1.49 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ในช่วง 4 ไตรมาสล่าสุด และยังคงมีแนวโน้มที่จะเปิดเผยผลขาดทุนอย่างต่อเนื่องในไตรมาสถัดๆ ไป

 ความเพียงพอของเงินกองทุน / ปัญหาสภาพคล่อง การเสื่อมถอยลงของคุณภาพสินทรัพย์ที่มีความเกี่ยวข้องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่ แฟนนี เม และเฟรดดี แมค ถือครอง ตลอดจนต้นทุนทางการเงินที่ทั้งสองบริษัทต้องเผชิญภายใต้สภาวะตึงตัวของตลาดสินเชื่อ ทำให้นักลงทุนต่างพากันกังวลว่า แฟนนี เม และเฟรดดี แมค อาจประสบกับปัญหาความเพียงพอของเงินกองทุน นอกจากนี้ ตลาดการเงินก็ยังมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับความสามารถในการชำระคืนหนี้ของสถาบันการเงินทั้งสองแห่ง โดยตราสารหนี้ระยะสั้นของสถาบันการเงินทั้งสองแห่ง ที่กำลังจะครบกำหนดไถ่ถอนภายในสิ้นไตรมาส 3/2551 มีมูลค่าสูงถึงประมาณ 2.23 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ

 การเสื่อมค่าของตราสาร ปัญหาของแฟนนี เม และเฟรดดี แมค เป็นปัจจัยสำคัญปัจจัยหนึ่งที่ถ่วงให้เสถียรภาพของตลาดหุ้นกู้ที่มีสัญญาจำนองค้ำประกัน ถดถอยลงอย่างต่อเนื่อง และหากปัญหาความอ่อนแอของฐานะทางการเงินของ แฟนนี เม และเฟรดดี แมค ไม่ได้รับการแก้ไขภายในเวลาอันรวดเร็ว อาจส่งผลต่อเนื่องทำให้ความเชื่อมั่นที่มีต่อตราสารทางการเงินที่ออกโดยสถาบันการเงินทั้งสองแห่งซึ่งนับว่าเป็นตราสารที่มีอันดับความน่าเชื่อถือสูงเสื่อมถอยลงและยากที่จะฟื้นกลับคืนมา ยกตัวอย่างเช่น ธนาคารกลางรัสเซีย ซึ่งถือครองทุนสำรองระหว่างประเทศและทองคำเป็นอันดับที่สามของโลกมูลค่าถึง 5.825 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ (ณ 29 ส.ค. 2551) นั้น ได้ออกมากล่าวภายหลังข่าวการเข้าเทคโอเวอร์ แฟนนี เม และเฟรดดี แมค ของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ว่า รัสเซียได้ทำการปรับลดการถือครองตราสารที่ออกโดย US Agencies มาอย่างต่อเนื่องในปีนี้ และยังมีแนวโน้มจะปรับลดการถือครองตราสารดังกล่าวลงอีกในระยะถัดไป โดยการถือครองตราสารดังกล่าวได้ลดลงมาแล้วประมาณ 40% สู่ระดับต่ำกว่า 6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ


การตอบรับของตลาดการเงิน

การเข้าควบคุมกิจการ แฟนนี เม และ เฟรดดี แมค ไม่เพียงหนุนความเชื่อมั่นในตลาดสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ตลอดจนภาคการเงินของสหรัฐฯ ให้ฟื้นตัวขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยบรรเทาความกังวลต่อวิกฤตตลาดสินเชื่อทั่วโลกลง ซึ่งผลที่เกิดขึ้นก็คือ การทะยานขึ้นอย่างถ้วนหน้าของตลาดหุ้นเอเชีย ยุโรป และสหรัฐฯ โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มการเงิน ในวันที่ 8 กันยายน 2551 ที่ผ่านมา ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ ปรับตัวในทิศทางที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินยูโร และเมื่อเทียบกับตะกร้าเงินสกุลหลัก อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบวกที่มีต่อตลาดหุ้น และค่าเงินดอลลาร์ฯ ได้จางหายไปในวันทำการถัดมา (9 กันยายน 2551) เมื่อตลาดหุ้นทั่วโลก ตลอดจนค่าเงินดอลลาร์ฯ เผชิญแรงเทขายเพื่อทำกำไร ขณะที่ความวิตกเกี่ยวกับความสามารถในการเพิ่มทุนของของเลห์แมน บราเธอร์ส กระตุ้นให้ตลาดการเงินเกิดความวิตกอีกครั้งเกี่ยวกับภาคการเงินโดยรวม โดยสามารถสรุปการเคลื่อนไหวของตลาดการเงินโดยสังเขปดังนี้

 ตลาดหุ้น
ในวันที่ 8 กันยายน 2551 (วันทำการแรกหลังการประกาศเข้าเทคโอเวอร์ แฟนนี เม และ เฟรดดี แมค) ตลาดหุ้นสหรัฐฯ พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากนักลงทุนคาดหวังว่า มาตรการของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการกอบกู้ แฟนนี เม และ เฟรดดี แมค ซึ่งเป็นเสาหลักของตลาดสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย จะสามารถช่วยสร้างเสถียรภาพให้กับภาคที่อยู่อาศัยของสหรัฐฯ และช่วยลดความกังวลในภาคการเงินทั่วโลกลง โดยดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดพุ่งขึ้น 289.78 จุด สู่ระดับ 11,510.74 ขณะที่ ตลาดหุ้นสำคัญทั่วโลกก็ได้รับอานิสงส์จากปัจจัยบวกนี้ด้วยเช่นกัน ต่อมาในวันที่ 9 กันยายน 2551 แรงหนุนจากความหวังที่มีต่อ แฟนนี เม และ เฟรดดี แมค ที่จะเข้าพยุงภาวะความซบเซาของตลาดที่อยู่อาศัยนั้นได้จางหายไปเกือบทั้งหมด เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับความสามารถในการเพิ่มทุนและความเป็นไปได้ที่อาจจะมีการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของเลห์แมน บราเธอร์ส ซึ่งเป็นวาณิชธนกิจอันดับ 4 ของสหรัฐฯ ได้กระตุ้นให้ตลาดการเงินกลับมาให้ความสนใจเกี่ยวกับความเสี่ยงของภาคการเงินโดยรวมอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดดิ่งลง โดยดัชนี S&P 500 ต้องเผชิญกับการร่วงลงที่เลวร้ายที่สุดในรอบ 1 ปีครึ่ง หลังจากดัชนี S&P หุ้นกลุ่มการเงินดิ่งลงถึง 6.6%
การเคลื่อนไหวของหุ้น แฟนนี เม และ เฟรดดี แมค ในวันที่ 8 กันยายน 2551 ราคาหุ้นของ แฟนนี เม ดิ่งลงประมาณ 90% สู่ระดับ 73 เซนต์ ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2525 ขณะที่ ราคาหุ้นของ เฟรดดี แมค ดิ่งลง 83% สู่ระดับ 88 เซนต์ ซึ่งนับเป็นระดับที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่มีการซื้อขายหุ้นสามัญของบริษัทในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา โดยมูลค่าตลาดของแฟนนี เม อยู่ที่ 785 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงจาก 3.89 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ณ สิ้นปี 2550 ขณะที่ มูลค่าตลาดของเฟรดดี แมค อยู่ที่ 569 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงจาก 2.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ณ สิ้นปี 2550

 ตลาดอัตราแลกเปลี่ยน
เงินดอลลาร์ฯ ดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งเพื่อรับข่าวการเข้าเทคโอเวอร์ของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นปัจจัยบวกสำหรับตลาดสินเชื่อ ท่ามกลางความหวังว่ามาตรการช่วยเหลือนี้จะช่วยทำให้กลไกต่างๆ ในตลาดสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยสามารถกลับมาทำงานได้ เพื่อให้สภาพคล่องคืนสู่ระบบการเงินของสหรัฐฯ เนื่องจากบริษัทการเงินจำนวนมากได้ถือครองตราสารหนี้ และหลักทรัพย์สินเชื่อจำนองที่ค้ำประกันโดย แฟนนี เม และ เฟรดดี แมค ทั้งนี้ เงินดอลลาร์ฯ พุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 1 ปีเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงิน และทะยานขึ้นแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 11 เดือนเมื่อเทียบกับเงินยูโรที่ระดับ 1.4049 ดอลลาร์ฯ ต่อยูโร ในช่วงการซื้อ-ขายตลาดเอเชียของวันที่ 9 กันยายน 2551

อย่างไรก็ตาม ความเชื่อมั่นดังกล่าวเป็นไปในช่วงสั้นๆ เท่านั้น และได้จางหายไปอย่างรวดเร็ว เมื่อความกังวลต่อความสามารถในการเพิ่มทุนเพื่อรับมือกับแนวโน้มการขาดทุนที่เกี่ยวโยงกับสินเชื่อจำนองของเลห์แมน บราเธอร์ส ได้ทำให้ตลาดการเงินกลับมาให้ความสนใจกับความเสี่ยงในภาคการเงินของสหรัฐฯ และสิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนก็คือ แรงเทขายเงินดอลลาร์ฯ เพื่อตอบรับกับข่าวในแง่ลบของ เลห์แมน บราเธอร์ส โดยเงินดอลลาร์ฯ อ่อนค่าลงจากระดับแข็งค่าสุดในรอบ 11 เดือนเมื่อเทียบกับเงินยูโร นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ฯ ปรับตัวในทิศทางที่อ่อนค่าลงเช่นกันเมื่อเทียบกับเงินเยน เนื่องจากข่าวร้ายต่างๆ ในภาคการเงินทำให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงการถือครองสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง

 ตราสารของแฟนนี เม และ เฟรดดี แมค
ราคาหลักทรัพย์ที่ค้ำประกันโดยสินเชื่อจำนอง และราคาตราสารหนี้ของแฟนนี เม และเฟรดดี แมค ดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งในวันที่ 8 กันยายน 2551 ซึ่งนับเป็นการดีดตัวขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติการณ์ เพื่อสะท้อนความเสี่ยงของการผิดนัดชำระหนี้ที่ลดลง หลังการเข้าเทคโอเวอร์ของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ราคาตราสารเหล่านั้นได้ปรับตัวลงในวันที่ 9 กันยายน 2551 ซึ่งเป็นวันทำการถัดมา โดยถูกกดดันจากแรงเทขายเพื่อทำกำไรของนักลงทุน

 อัตราดอกเบี้ยจำนอง
การนำ แฟนนี เม และเฟรดดี แมค เข้าสู่แผนพิทักษ์กิจการของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ นั้น ก่อให้เกิดผลดีต่อลูกหนี้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย เนื่องจากจะทำให้อัตราดอกเบี้ยจำนองปรับตัวลง ซึ่งก็เป็นนัยว่า ต้นทุนของสินเชื่อจำนองที่ลูกหนี้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยต้องเผชิญในระยะถัดไปนั้น อาจมีแนวโน้มปรับลดลง โดยล่าสุดวันที่ 9 กันยายน 2551 อัตราดอกเบี้ยจำนองแบบคงที่ 30 ปีของสหรัฐฯ ปรับตัวลงสู่ระดับ 5.88% เทียบกับระดับ 6.26% ในช่วงสัปดาห์ก่อนหน้าก่อนการประกาศแผนพิทักษ์กิจการ แฟนนี เม และเฟรดดี แมค และเทียบกับระดับสูงสุดในรอบ 6 ปีที่ 6.51% ซึ่งทำไว้เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2551 นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยจำนองแบบคงที่ 15 ปี ซึ่งเป็นที่นิยมมากสำหรับการรีไฟแนนซ์สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ก็ได้ปรับตัวลงมาด้วยเช่นกัน โดยล่าสุดอยู่ที่ระดับ 5.49%


มุมมองของศูนย์วิจัยกสิกรไทย

สถาบันการเงินชั้นนำอย่าง แฟนนี เม และเฟรดดี แมค ถือเป็นเสาหลักในตลาดสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย โดยมีบทบาทสำคัญในการแปลงสินเชื่อที่อยู่อาศัยให้เป็นหลักทรัพย์ (Mortgage-Backed Securities) ทั้งนี้ ยอดสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ได้รับการค้ำประกันหรือถือครองโดยสถาบันการเงินทั้งสองมีมูลค่ารวมสูงถึงประมาณ 5 ล้านล้านดอลลาร์ฯ หรือมีมูลค่า 42% ของยอดคงค้างของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยทั้งหมดของสหรัฐฯ ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 12 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ดังนั้น ปัญหาที่ลากยาวออกไปของแฟนนี เม และเฟรดดี แมค อาจนำไปสู่ความปั่นป่วนวุ่นวายอย่างรุนแรงต่อตลาดและระบบการเงิน ตลอดจนระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และทั่วโลก ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมีมุมมองว่า การที่สำนักงานการเงินการเคหะของรัฐบาลกลาง (FHFA) ซึ่งเป็นหน่วยงานควบคุมกฎระเบียบสำหรับสถาบันการเงินทั้งสองแห่ง ได้นำ แฟนนี เม และเฟรดดี แมค เข้าสู่แผนพิทักษ์กิจการของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ไปเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2551 นั้น นับได้ว่าเป็นการดำเนินการที่สามารถเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคการเงินได้ในระดับหนึ่ง แม้ว่ามาตรการกอบกู้กิจการ แฟนนี เม และ เฟรดดี แมค ในครั้งนี้ อาจไม่สามารถสะท้อนสัญญาณว่า ปัญหาความอ่อนแอของสถาบันการเงินและความปั่นป่วนต่างๆ ในภาคการเงิน โดยเฉพาะในตลาดสินเชื่อ ได้หมดลงไปแล้วก็ตาม

และเนื่องจากสถานการณ์และระดับความรุนแรงของปัญหาที่สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ทั้งสองแห่งต้องเผชิญ อาจทำให้มาตรการกอบกู้กิจการ แฟนนี เม และเฟรดดี แมค ในครั้งนี้ นับเป็นครั้งที่ใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติการณ์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาระทางการคลังที่เพิ่มสูงขึ้น และอาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนการกู้เงินของทางการสหรัฐฯ ให้ปรับเพิ่มสูงขึ้นในระยะถัดไป ทั้งนี้ อดีตเจ้าหน้าที่ของธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ประเมินว่า ภาระที่อาจเกิดขึ้นจากการเข้ากอบกู้ แฟนนี เม และเฟรดดี แมค ในรอบนี้ อาจมีมูลค่าสูงถึง 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ และในท้ายที่สุดภาระเหล่านี้ย่อมจะตกไปยังประชาชนผู้เสียภาษีของสหรัฐฯ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นอกจากนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมีความเห็นว่า เมื่อประเมินถึงสาระสำคัญของการนำ แฟนนี เม และเฟรดดี แมค เข้าสู่แผนพิทักษ์กิจการนั้น อาจทำให้เสาหลักของตลาดสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยสามารถกลับมาดำเนินงานได้อย่างน้อยก็ในระดับหนึ่ง หลังจากที่สถานะทางการเงินกลับมามีความเข้มแข็งเพียงพอ และความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อสถาบันการเงินทั้ง 2 แห่งนี้ ค่อยๆ ฟื้นกลับคืนมา ซึ่งผลที่อาจเกิดขึ้นในลำดับถัดไปนั้น อาจออกมาในรูปของการคลายความตึงตัวของตลาดสินเชื่อ ซึ่งอาจทำให้สถาบันการเงินสามารถปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยให้กับลูกหนี้ด้วยอัตราดอกเบี้ยจำนองที่ลดลง (อาจทำให้ความสามารถในการซื้อบ้านเพิ่มมากขึ้น) หรือเริ่มเจรจารีไฟแนนซ์สินเชื่อจำนองกับลูกค้าเดิม (อาจช่วยลดอัตราการผิดนัดชำระหนี้และการยึดทรัพย์จำนอง) โดยกระบวนการเหล่านี้อาจช่วยชะลอ/เสริมสร้างเสถียรภาพให้กับตลาดที่อยู่อาศัยอีกต่อหนึ่ง และเมื่อปัญหาของตลาดที่อยู่อาศัย และตลาดสินเชื่อเริ่มคลายตัวลงแล้ว กระแสการปรับลดมูลค่าในบัญชีของภาคธนาคารก็อาจชะลอลงตามไปด้วย และในท้ายที่สุดก็อาจช่วยบรรเทาผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐฯ ที่กำลังเผชิญกับภาวะซบเซา

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การนำ แฟนนี เม และเฟรดดี แมค เข้าสู่แผนพิทักษ์กิจการของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ นั้น ถือเป็นก้าวสำคัญของการดำเนินมาตรการช่วยเหลือตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐฯ ซึ่งหากปราศจากมาตรการเข้ากอบกู้กิจการในครั้งนี้ อาจทำให้ระบบสินเชื่อของสหรัฐฯ สั่นคลอนอย่างหนัก และไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ปัญหาความปั่นป่วนและความยุ่งยากต่างๆ ซึ่งยากที่จะควบคุม ก็อาจเกิดขึ้นตามมา ดังนั้น การเข้าเทคโอเวอร์สถาบันการเงินทั้งสองแห่งของทางการสหรัฐฯ ในรอบนี้ อาจมีเป้าหมายในการแก้ไขโจทย์เฉพาะหน้า เพื่อให้แน่ใจว่าโครงสร้างพื้นฐานของระบบการปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยสามารถดำเนินการได้ต่อไป และในท้ายที่สุดก็อาจส่งผลให้จำนวนบ้านที่ค้างสต็อกปรับลดลงและเสริมสร้างเสถียรภาพให้กับตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม เป็นความจริงที่ว่า ตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐฯ กำลังได้รับแรงหนุนจากรัฐบาล แต่มาตรการกอบกู้ แฟนนี เม และเฟรดดี แมค ในครั้งนี้ อาจช่วยบรรเทาความเสี่ยงในภาคการเงินลงบางส่วนเท่านั้น ทั้งนี้ เนื่องจากปัญหาที่ยืดเยื้อมานานทำให้ขนาดความรุนแรงของปัญหาเพิ่มมากขึ้น ขณะที่ การนำ แฟนนี เม และเฟรดดี แมค เข้าสู่แผนพิทักษ์กิจการ ก็อาจไม่ใช่คำตอบที่เบ็ดเสร็จในการแก้ไขวิกฤตการเงินและเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในรอบนี้ เนื่องจากยังคงมีอีกหลายปัจจัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงื่อนไขที่จำเป็นยิ่งสำหรับการฟื้นตัวก็คือ พลวัตรของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งในขณะนี้ กำลังเผชิญกับแนวโน้มการปรับขึ้นของอัตราการว่างงาน และอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องไปกดดันกำลังซื้อของประชาชนในระยะถัดไป ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า หากประเมินภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในขณะนี้ จะพบว่า ยังคงไม่มีหลักประกันที่ทำให้สามารถเชื่อมั่นได้ว่า ปัญหาทั้งหมดที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ต้องเผชิญตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมานั้น จะคลี่คลายไปได้อย่างรวดเร็ว แม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ทำการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงิน พร้อมๆ ไปกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และการเข้าช่วยเหลือสถาบันการเงินที่ประสบปัญหาของทางการสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมาก็ตาม โดยข่าวร้ายของภาคการเงิน ปัญหาสินเชื่อที่ตึงตัว และการเสื่อมค่าของมูลค่าทางบัญชีของสถาบันการเงินสหรัฐฯ ที่ยังคงทยอยถูกเปิดเผยออกมานั้น อาจทำให้การฟื้นตัวของตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐฯ อาจต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งในการเยียวยา แต่อย่างน้อยการดำเนินมาตรการช่วยเหลือของทางการสหรัฐฯ น่าจะทำให้นักลงทุน รวมทั้งตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลกคลายความกังวลและมีความมั่นใจได้ระดับหนึ่งว่า ทางการสหรัฐฯ พร้อมที่จะเข้าไปกอบกู้สถานการณ์ และช่วยประคับประคองให้ทุกอย่างค่อยๆ กลับเข้าสู่ภาวะปกติ 

. . .

 

โดย: loykratong 10 กันยายน 2551 14:18:36 น.  

 


น่ารักที่สุด
คาหยันคอดๆๆๆๆๆๆๆๆ
ข่าวเพียบ
ไปแร่ะ

 

โดย: ป้าซ่าส์ 10 กันยายน 2551 15:13:44 น.  

 

...

ให้มีสุขสมหวังในทุกสิ่ง
ให้เป็นจริงในสิ่งที่ใฝ่ฝัน
ให้มีรักหล่อเลี้ยงชื่นชีวัน
ให้สุขสันต์ในวันคล้ายวันเกิดเธอ

...

ล่าช้าไปหลายวันหน่อยจ้า
ก็เค้าป่วยอ่ะนะ ...

 

โดย: lastmoon 10 กันยายน 2551 15:38:00 น.  

 

. . .

ป้าซ่าส์ จาไปซ่าส์ที่ไหนต่อจ๊ะ...

ขอบคุณจ้า lastmoon ขอให้หายป่วยไวๆนะ take good care jaa...

. . .

 

โดย: loykratong 10 กันยายน 2551 15:58:17 น.  

 

สวัสดีค่ะ

แวะมาทักทาย และขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ ที่นำมาฝากกันค่ะ สนใจเรื่องอ่านหนังสือให้คนตาบอดค่ะ และจะไปแนะนำเพื่อนๆ ต่อค่ะ

 

โดย: กิ่งลีลาวดี 10 กันยายน 2551 16:54:57 น.  

 

. . .

กลุ่มโอเปกมีมติลดการผลิตน้ำมันลง 5.2 แสนบาร์เรลต่อวัน


การประชุมรัฐมนตรีน้ำมันจาก 13 ชาติสมาชิกกลุ่มโอเปคในครั้งนี้ มีมติให้ลดกำลังการผลิตลง 520,000 บาร์เรลต่อวัน โดยทางกลุ่มตกลงจะผลิตน้ำมันที่ระดับ 28.8 ล้านบาร์เรล/วัน เพื่อปกป้องราคาน้ำมันไม่ให้ขยับลงไปมากกว่านี้ หลังจากที่ราคาน้ำมันดิบร่วงลงไปแล้วเกือบ 30% นับตั้งแต่ขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 147.27 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรลเมื่อวันที่ 11 ก.ค.ที่ผ่านมา

เมื่อวันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบเบรนต์ ตลาดลอนดอน ร่วงต่ำกว่า 100 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล เป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน โดยระหว่างการซื้อขายที่ตลาดลอนดอน น้ำมันดิบเบรนต์ทะเลเหนือ มีราคาร่วงลงมาแตะที่ระดับ 99.04 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ถือเป็นครั้งแรกนับจากวันที่ 2 เม.ย. ที่น้ำมันดิบเบรนต์มีราคาต่ำกว่า 100 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล แต่หลังจากนั้นราคาน้ำมันก็ดีดกลับขึ้นไปปิดที่ 100.34 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ลดลงจากวันก่อนหน้า 3.10 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล

ส่วนน้ำมันดิบไลต์สวีท ตลาดนิวยอร์ก งวดส่งมอบเดือน ต.ค. มีราคาร่วงลง 3.08 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ไปปิดที่ 103.26 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล

น้ำมันดิบเคยมีราคาพุ่งเกิน 147 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล เมื่อเดือน ก.ค. แต่หลังจากนั้นราคาก็ร่วงลงโดยตลอด และมีแนวโน้มจะร่วงลงมาอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 100 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล เนื่องจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ความต้องการใช้น้ำมันจึงมีน้อยลง

นักวิเคราะห์ยังเชื่อมั่นว่า ซาอุดีอาระเบีย ประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่สุดของโลก ต้องการให้น้ำมันดิบมีราคาเหลือไม่ถึง 100 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล เพื่อกระตุ้นให้เศรษฐกิจโลกขยายตัว หลังซบเซาอย่างหนักในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา.

ราคาทองคำวันที่ 10 ก.ย. 2551 ลดลงบาทละ 300 บาทจากวันก่อน ราคาทองคำแท่ง รับซื้อบาทละ 12,800 บาท ขายออกบาทละ 12,900 บาท ราคาทองรูปพรรณ รับซื้อบาทละ 12,613.12 บาท ขายออกบาทละ 13,300 บาท

. . .



กระทรวงพลังงาน เร่งรณรงค์ประหยัดพลังงานต่อเนื่อง แม้ราคาน้ำมันตลาดโลกเริ่มลดลง


นายทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงพลังงาน กล่าวว่า จากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง พบว่าหากราคาน้ำมันลดต่ำกว่า 100 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ก็คงจะเคลื่อนไหวลดต่ำลงไปอีก โดยแนวรับที่สำคัญจะไม่ต่ำกว่า 50 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล อย่างไรก็ตาม กระทรวงพลังงานจะมีการรณรงค์ประหยัดพลังงานอย่างต่อเนื่อง เพราะเกรงว่าในช่วงราคาน้ำมันลดต่ำลง อาจจะทำให้ประชาชนใช้พลังงานที่ฟุ่มเฟือยมากขึ้น

แหล่งข่าวจากวงการค้าน้ำมันกล่าวว่า ขอดูทิศทางราคาน้ำมันในตลาดเอเชียก่อน หากลดลงต่อเนื่องก็มีโอกาสที่ราคาน้ำมันในประเทศลดลงใน 1-2 วันนี้

อย่างไรก็ตาม อีกประเด็นที่ต้องจับตาคือ กระทรวงพลังงานจะเรียกเก็บเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นหรือไม่ เหมือนกับในช่วงที่ผ่านมาที่มีการเรียกเก็บ 55-60 สตางค์/ลิตรไปแล้ว โดยล่าสุดค่าการตลาดน้ำมันอยู่ที่ประมาณใกล้เคียง 2 บาท/ลิตร

นายวีระพล จิรประดิษฐกุล ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวว่า กระทรวงพลังงานยังไม่มีแผนการจัดเก็บเงินกองทุนเพิ่ม เนื่องจากขณะนี้ ครม.อยู่ในช่วงรักษาการ และตำแหน่งผู้ที่เป็นประธานคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ดังนั้น คงจะต้องรอความเรียบร้อยทางการเมืองก่อนพิจารณาประชุม กบง.

ดังนั้น คาดว่าใน 1-2 วันนี้หากราคาน้ำมันลดลงผู้ค้าคงจะตัดสินใจปรับลดราคาลงได้ อย่างไรก็ตาม จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงส่งผลทำให้ต้นทุนน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นเช่นกัน

. . .



รถติดLPGหลัง 19 เม.ย.52 ต้องขออนุญาต


กรมการขนส่งทางบก ออกกฎกระทรวง ควบคุมการติดตั้งก๊าซแอลพีจีในรถยนต์ หลังวันที่ 19 เม.ย.2552 รถที่จะติดตั้งต้องได้รับความเห็นชอบจากกรมฯก่อน

นายชัยรัตน์ สงวนชื่อ รักษาการอธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า กรมการขนส่งทางบกได้ออกมาตรการเพิ่มความปลอดภัยสำหรับรถใช้ก๊าซหุงต้ม หรือแอลพีจี เป็นเชื้อเพลิง โดยออกกฎกระทรวงให้ผู้ติดตั้งเครื่องอุปกรณ์ และส่วนควบสำหรับรถที่ใช้ก๊าซแอลพีจีจะต้องได้รับความเห็นชอบจากกรมการขนส่งทางบกก่อน มีผลตั้งแต่ 21 ตุลาคมนี้ เป็นต้นไป

นายชัยรัตน์ กล่าวว่า สำหรับรถยนต์ที่ยังไม่ได้รับความเห็นชอบ สามารถติดตั้งต่อไปได้จนถึงวันที่ 18 เมษายน 2552 และตั้งแต่วันที่ 19 เมษายน 2552 เป็นต้นไป ผู้ที่จะติดตั้งก๊าซแอลพีจีในรถยนต์ได้ จะต้องเป็นผู้ได้รับความเห็นชอบจากกรมการขนส่งทางบกแล้วเท่านั้น

โดยเจ้าของรถที่ประสงค์ติดตั้งเครื่องอุปกรณ์สำหรับใช้ก๊าซแอลพีจี เป็นเชื้อเพลิง จะต้องนำรถไปติดตั้งกับผู้ติดตั้งที่ได้รับความเห็นชอบจากกรมการขนส่งทางบกเท่านั้น โดยจะต้องติดตั้งอุปกรณ์ส่วนควบให้ถูกต้องครบถ้วน

ได้แก่ ถังก๊าซ ลิ้นบรรจุ ลิ้นระบายความดัน ลิ้นกันกลับ ลิ้นเปิดปิด อุปกรณ์วัดระดับก๊าซเหลว อุปกรณ์ป้องกันการบรรจุเกิน อุปกรณ์ระบายความดัน อุปกรณ์ควบคุมการเปิด-ปิดลิ้นระยะไกลพร้อมด้วยลิ้นป้องกันการไหลเกิน อุปกรณ์ทำไอก๊าซและปรับความดันก๊าซ อุปกรณ์ฉีดก๊าซ จ่ายก๊าซ หรือผสมก๊าซ อุปกรณ์รับเติมก๊าซ ตัวกรองก๊าซ ท่อนำก๊าซ เรือนกักก๊าซ ท่อระบายก๊าซ และข้อต่อต่าง ๆ ซึ่งอุปกรณ์ดังกล่าวจะต้องเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ด้วย

กรมการขนส่งทางบกฝากเตือนเจ้าของรถที่ใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิงให้หมั่นตรวจสอบความปลอดภัยในการใช้งานอย่างสม่ำเสมอ และควรนำรถเข้ารับการตรวจสอบอุปกรณ์อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

สำหรับผู้สนใจเป็นผู้ติดตั้ง หรือเป็นผู้ตรวจและทดสอบที่ได้รับอนุญาต สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ "ศูนย์ส่งเสริมสนับสนุนการใช้ NGV" หมายเลขโทรศัพท์ 0-2272 -5751-2 หรือทางเว็บไซต์ //www.dlt.go.th หรือรับฟังข้อมูลตลอด 24 ชั่วโมงได้ทาง Call Center หมายเลข 1584

. . .



ค่าไฟฟ้าเดือน ต.ค.จ่อปรับขึ้น 30-45 สตางค์ต่อหน่วย อ้างต้นทุนราคาก๊าซพุ่งตามน้ำมัน


นายสมบัติ ศานติจารี ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวว่า เรื่องของค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (เอฟที) งวดใหม่เดือนกันยายน 2551-มกราคม 2552 ซึ่งหากต้องมีการปรับขึ้นตามต้นทุน เนื่องจากราคาก๊าซธรรมชาติที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าได้ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันแล้ว จะต้องปรับ 30-40 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งถือเป็นการสร้างภาระต่อประชาชนสูงมาก

ดังนั้น คณะกรรมการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้า (เรกกูเลเตอร์) จึงพิจารณาเกลี่ยค่าไฟฟ้าไปบวกเพิ่มสำหรับค่าเอฟทีงวดต่อๆ ไป ซึ่งคาดว่าต้องใช้เวลาเกลี่ยให้นานกว่า 1 ปี หรือ 3-4 งวด ของค่าเอฟทีที่มีการปรับทุก 4 เดือน ซึ่งกรณีนี้ กฟผ.เห็นว่า เป็นเรื่องที่เหมาะสม เพราะมีการคาดการณ์ว่า ต้นทุนก๊าซธรรมชาติในอนาคตมีแนวโน้มลดลง เพราะราคาก๊าซผันแปรตามราคาน้ำมันย้อนหลัง 6 เดือน ซึ่งราคาก๊าซขณะนี้ผันแปรตามราคาน้ำมัน 6 เดือนก่อน ที่สูงกว่า 140 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล แต่ขณะนี้ราคาลดลงเหลือ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล และมีทิศทางว่าราคาน้ำมันจะปรับลดลงอีก ก็จะทำให้ราคาก๊าซในอนาคตลดลง การเกลี่ยค่าไฟฟ้าจึงเป็นแนวทางที่เหมาะสม โดยมีความเป็นไปได้ว่า ทั้ง กฟผ. และ ปตท. คงต้องรับภาระต้นทุนไปก่อน แต่จะแบ่งครึ่งกันรับภาระหรือรูปแบบใด ทางเรกกูเลเตอร์จะพิจารณา แต่ก็คงไม่แตกต่างจากในอดีต คือ 2 หน่วยงาน จะได้รับเงินคืนพร้อมดอกเบี้ยที่เหมาะสม

“การเกลี่ยค่าเอฟที จะลดภาระประชาชน และเป็นแนวทางที่ดี เพราะคาดว่าในอนาคตค่าก๊าซจะลดลงตามราคาน้ำมัน และยืนยันว่า กฟผ. มีสภาพคล่องเพียงพอในการรับภาระดังกล่าว” นายสมบัติ กล่าว

ก่อนหน้านี้ นายดิเรก ลาวัณย์ศิริ ประธานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (เรกูเลเตอร์) เปิดเผยถึงการพิจารณาอัตราค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) รอบเดือน ต.ค. 2551-ม.ค. 2552 โดยระบุว่า อยู่ระหว่างศึกษาตัวเลขต้นทุนเชื้อเพลิง ซึ่งยอมรับว่าราคาก๊าซธรรมชาติปรับสูงขึ้นมากตามราคาน้ำมัน และอาจส่งผลต่อค่าเอฟที งวดนี้ ต้องปรับขึ้นกว่า 10 สตางค์ต่อหน่วย แต่จะพยายามดูแลไม่ให้กระทบกับประชาชน

ทั้งนี้ ได้เตรียมแนวทางในการ บริหารค่าเอฟทีไว้หลายวิธี เนื่องจากราคาก๊าซได้ปรับสูงขึ้นมาก โดยขอให้ ปตท.จัดทำแนวโน้มราคาก๊าซฯ ในระยะยาว เพื่อนำมาคำนวณหาค่าเฉลี่ย ซึ่งอาจใช้วิธีการเฉลี่ยค่าเอฟทีที่จะปรับขึ้นไปอยู่ในรอบถัดๆ ไป เพราะไม่ต้องการให้ต้องมาแบกรับค่าเอฟทีในรอบเดียว

“คงต้องพิจารณาให้รอบคอบในเรื่องนี้ เพราะหากค่าเอฟทีปรับขึ้นมาก ก็อาจกระทบกับประชาชนได้ ซึ่งหาวิธีการลดผลกระทบไว้หลายแนวทาง ส่วนที่จะขอให้ทาง ปตท.และ กฟผ.ช่วยรับภาระต้นทุนเชื้อเพลิง ก็เป็นอีกแนวทางหนึ่ง โดยจะสรุปปลายเดือนนี้อีกครั้ง” นายดิเรก กล่าว
แหล่งข่าววงการพลังงาน กล่าวว่า จากการประเมินเบื้องต้น ค่าเอฟทีงวดนี้ อาจปรับขึ้นถึง 30-45 สตางค์ต่อหน่วย จากต้นทุนราคาก๊าซธรรม ชาติ ที่สูงระดับ 220-230 บาทต่อล้านบีทียู จากก่อนหน้านี้ 200 บาทต่อล้านบีทียู

. . .



ไทยเลื่อนอันดับเป็นประเทศที่ทำธุรกิจง่ายที่สุด อันดับ 4 ของเอเชีย และ อันดับ 13 ของโลก


IFC เผยผลสำรวจประเทศที่ทำธุรกิจง่ายที่สุดในโลก ไทยขยับเลื่อนขึ้นอยู่อันดับที่ 13 ของโลก และที่ 4 ในเอเชีย เผยปัจจัยมีการปรับลดเงื่อนไข และกฎระเบียบต่างๆ เอื้อต่อการทำธุรกิจ ระบุผลดังกล่าวไม่รวมปัจจัยด้านการเมือง ซึ่งนักลงทุนต้องประเมินด้วยตัวเอง

นางสาวกิริฎา เภาพิจิตร นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารโลกประจำประเทศไทย เปิดเผยว่า ธนาคารโลกและบรรษัทการเงินระหว่างประเทศ ( International Finance Corp) หรือไอเอฟซี (IFC) ได้แถลงผ่านระบบเทเลคอนเฟอร์เรนซ์ จากกรุงวอชิงตันดีซี ประเทศสหรัฐฯ มายังประเทศไทย จีน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ถึงการจัดอันดับความยากง่ายในการดำเนินธุรกิจ ประจำปี 2552 (Doing Business 2009) โดยระบุว่า จากข้อมูลเดือนกรกฎาคม 2550 – มิถุนายน 2551 ธนาคารโลก และไอเอฟซี จัดอันดับให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่สะดวกในการประกอบธุรกิจอันดับที่ 13 จาก 181 ประเทศทั่วโลก และเป็นลำดับที่ 4 ในเอเชีย

ทั้งนี้ อันดับดังกล่าว ดีขึ้นจากการสำรวจครั้งที่แล้วที่อยู่อันดับ 19 ขณะที่ประเทศสิงคโปร์ครองตำแหน่งประเทศที่ง่ายที่สุดต่อการทำธุรกิจ 3 ปีซ้อน อันดับ 2 นิวซีแลนด์ อันดับ 3 สหรัฐฯ อันดับ 4 ฮ่องกง กับจีน และอันดับ 5 เดนมาร์ก

นางสาวกิริฎา กล่าวว่า เหตุผลที่ประเทศไทยได้เลื่อนอันดับมา 6 ลำดับ เนื่องจากมีการยกระดับการให้บริการ ลดค่าธรรมเนียม และเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการยื่นเอกสารชำระภาษีทางอินเทอร์เน็ต ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทที่มีรายได้ 1.2 ล้านบาท หรือน้อยกว่า 1.2 ล้านบาท แก้ไข พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เพื่อป้องกันสิทธิ์ของผู้ถือหุ้นรายย่อย ลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์และลดภาษีธุรกิจบางประเภท จากร้อยละ 6.3 เหลือร้อยละ 1.1 การใช้ระบบ e-customs มาใช้กับการนำเข้าและส่งออกสินค้า ทำให้มีความรวดเร็วในระบบศุลกากรมากขึ้น

สำหรับการจัดอันดับดังกล่าว จัดขึ้นประจำทุกปี โดยมีดัชนีชี้วัด 10 ด้าน คือ การเริ่มต้นธุรกิจ การขออนุญาตก่อสร้าง การจ้างงานและเลิกจ้าง การจดทะเบียนทรัพย์สิน การได้รับสินเชื่อ การคุ้มครองผู้ลงทุน การชำระภาษี การค้าระหว่างประเทศ การบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลง และการปิดกิจการ

อย่างไรก็ตาม การจัดอันดับดังกล่าว ไม่ได้รวมผลกระทบจากปัญหาการเมืองของแต่ละประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่นักลงทุนจะเป็นผู้ตัดสินใจว่า จะมีผลต่อการลงทุนอย่างไร

นางสาวกิริฎา กล่าวว่า สำหรับประเทศจีนได้ปรับปรุงกฎระเบียบของภาครัฐมากมาย โดยเฉพาะการลดขั้นตอนการกู้เงินเพื่อทำธุรกิจ การชำระภาษี ขณะที่ประเทศไทย กัมพูชา และมาเลเซีย ก็มีการลดขั้นตอนทางธุรกิจ ทั้งการจดทะเบียนธุรกิจ จดทะเบียนอสังหาริมทรัพย์ ตามหลังประเทศจีนมาติดๆ สำหรับประเทศที่เป็นผู้นำของโลกในเรื่องการลดขั้นตอนทางราชการปีนี้ คือ อาร์เซอร์ไบจัน ปฏิรูปกฎระเบียบถึง 7 หมวด จากทั้งหมด 10 หมวด

. . .



ฟิทช์ฯ อาจลดอันดับเครดิตของไทยก่อนกำหนด หากปัญหาการเมืองยืดเยื้อหรือเกิดความรุนแรง


นายเจมส์ แม็ก คอร์แมก หัวหน้าฝ่ายจัดอันดับเครดิตประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บริษัทฟิทช์ เรทติ้งส์ จำกัด กล่าวในงานสัมมนาประจำปีของบริษัทฟิทช์ เรทติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ว่า พื้นฐานเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ใช้ได้

อย่างไรก็ตาม ในช่วงต่อไปเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลง เนื่องจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนอ่อนแอ การบริโภคในประเทศชะลอตัวลงต่อเนื่อง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อในระดับสูงบั่นทอนกำลังซื้อ

โดยฟิทช์ คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัวได้เพียงร้อยละ 4.6 จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวได้ร้อยละ 5
สำหรับสถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมือง มีผลกระทบโดยตรงกับภาวะเศรษฐกิจ และมีผลกระทบในทางลบต่อการแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย โดยปัจจัยทางการเมืองมีผลกระทบต่อนโยบายทางเศรษฐกิจมากขึ้นเรื่อย ๆ รวมทั้งมีผลกระทบโดยตรงกับการลงทุนของนักลงทุน และการใช้จ่าย ที่สำคัญ คือ ยังไม่เห็นทางแก้ไขให้สถานการณ์ทางการเมืองของไทยปรับตัวดีขึ้นได้ ซึ่งเรื่องนี้หากปล่อยให้ยาวนานจะมีผลต่ออันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ

“ขณะนี้ ฟิทซ์ ยังคงจับตาสถานการณ์ ยังไม่เปลี่ยนแปลงอันดับความน่าเชื่อถือของไทย เพราะเครดิตประเทศมีความทนทานต่อสถานการณ์การเมืองระดับหนึ่ง แต่หากไม่สามารถจบปัญหาทางการเมืองได้ ปล่อยให้ยาวนาน หรือมีเหตุการณ์รุนแรง ฟิทช์อาจจำเป็นต้องปรับอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยที่อยู่ระดับ BBB+ ก่อนกำหนดการปกติที่จะมีการประเมินอันดับความน่าเชื่อถือในต้นปี 2552” นายเจมส์ กล่าว

นายวินเซนต์ มิลตัน ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายสถาบันการเงินและกรรมการผู้จัดการของ ฟิทซ์ เรทติ้งส์ ประเทศไทย กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ไทยในปี 2551 คาดว่าจะยังคงแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่ผลการดำเนินงานในครึ่งหลังของปีนี้คาดว่าจะอ่อนตัวลงจากคุณภาพสินทรัพย์ที่อ่อนแอลงและส่วนต่างดอกเบี้ยที่ลดลง เนื่องจากต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นและการขยายตัวของสินเชื่อที่ลดลง

นอกจากนี้ หากปัญหาทางการเมืองยังคงยืดเยื้อหรือเศรษฐกิจชะลอตัวอย่างมาก อาจส่งผลต่อแนวโน้มอันดับเครดิตของธนาคารไทยในปี 2552 ได้
ตลาดอนุพันธ์เตรียมเปิดซื้อขายฟิวเจอร์สหุ้นรายตัวพ.ย.นี้ และเลื่อนซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์สไปต้นปีหน้า

. . .



ตลาดอนุพันธ์ประกาศรับสมาชิกใหม่ 9 ราย เริ่มซื้อขาย 22 ก.ย.นี้ เพิ่มช่องทางการซื้อขายแก่ผู้ลงทุน ปรับแผนเตรียมซื้อขายฟิวเจอร์สหุ้นรายตัว (Single Stock Futures) ปลาย พ.ย. และเลื่อนโกลด์ฟิวเจอร์สไปต้นปีหน้า


นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตลาดอนุพันธ์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TFEX เปิดเผยว่า คณะกรรมการ บมจ. ตลาดอนุพันธ์ฯ มีมติอนุมัติรับบริษัทสมาชิกใหม่ 9 บริษัท ได้แก่

บริษัทหลักทรัพย์ ไอร่า จำกัด (มหาชน)
บริษัทหลักทรัพย์ แอ๊ดคินซัน จำกัด (มหาชน)
บริษัทหลักทรัพย์ บีฟิท จำกัด (มหาชน)
บริษัทหลักทรัพย์ ฟาร์อีสท์ จำกัด
บริษัทหลักทรัพย์ฟินันซ่า จำกัด
บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด
บริษัทหลักทรัพย์ ไอ วี โกลบอล จำกัด (มหาชน)
บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และ
บริษัทหลักทรัพย์ ยูไนเต็ด จำกัด (มหาชน)

โดยทั้ง 9 บริษัท เริ่มซื้อขายในตลาดอนุพันธ์ได้ตั้งแต่วันที่ 22 กันยายน 2551 เป็นต้นไป ซึ่งเมื่อรวมกับจำนวนสมาชิกของตลาดอนุพันธ์ในปัจจุบันอีก 27 รายแล้ว ตลาดอนุพันธ์จะมีจำนวนสมาชิกทั้งสิ้น 36 ราย

นอกจากนี้ ตลาดอนุพันธ์ได้ปรับแผนการออกสินค้าใหม่ โดยเตรียมเปิดซื้อขายฟิวเจอร์สของหุ้นรายตัว (Single Stock Futures) ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้ แทนการซื้อขายทองคำล่วงหน้า (โกลด์ฟิวเจอร์ส) ที่จะเลื่อนไปต้นปีหน้า เพื่อให้ผู้ค้าทองได้มีเวลาในการศึกษาข้อมูล และเตรียมความพร้อมด้านต่าง ๆ ในการเข้ามาร่วมดำเนินธุรกิจโกลด์ฟิวเจอร์ส

“ที่ผ่านมาได้มีการประชุมหารือกับผู้แทนจากสมาคมค้าทองคำหลายครั้ง ซึ่งทุกฝ่ายได้ให้การสนับสนุนและเร่งดำเนินงานในการหาแนวทางให้ผู้ค้าทองคำเข้าร่วมดำเนินธุรกิจมาโดยตลอด โดยขณะนี้ TFEX อยู่ระหว่างเตรียมการรับผู้ค้าทองเข้ามาเป็นสมาชิก โดยคาดว่าผู้สมัครที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามเกณฑ์ของ TFEX จะสามารถเริ่มซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์สได้พร้อมกับสมาชิกปัจจุบันของ TFEX ซึ่งคาดว่าจะเป็นต้นปีหน้า” นางเกศรากล่าว

. . .




เปิดตลาดนัดสมอง ช็อปปิ้งทรัพย์สินทางปัญญา


กรมทรัพย์สินทางปัญญาจัดงาน “ตลาดนัดทรัพย์สินทางปัญญา” วันที่ 19-21 ก.ย. ณ เมืองทองธานี เปิดทางนำผลงานจากหิ้งสู่ห้าง

พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ รักษาการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 19-21 กันยายนนี้ กรมทรัพย์สินทางปัญญาร่วมกับภาคเอกชนเตรียมจัดงาน “ตลาดนัดทรัพย์สินทางปัญญา” ที่ ฮอลล์ 4 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพค เมืองทองธานี

เพื่อให้ประชาชนได้ชื่นชมพระปรีชาสามารถด้านทรัพย์สินทางปัญญาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในหลายรายการที่พระองค์ท่านเป็นผู้ประดิษฐ์งานต่างๆ ออกมามากมาย

นอกจากนี้ ภายในงานยังจะเป็นการสร้างโอกาส และช่องทางให้กับนักประดิษฐ์สร้างสรรค์ และเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาได้พบปะเจรจากับผู้ประกอบการอุตสาหกรรม หรือผู้ส่งออกเพื่อนำทรัพย์สินทางปัญญาไปพัฒนาหรือใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าและการส่งออกด้วยการพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการและผู้ส่งออกไทยให้มีการสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้าและบริการ

“อยากเชิญชวนประชาชนได้เข้ามาชมงานและศึกษารายละเอียดเพื่อที่จะได้ต่อยอดผลงานสิ่งประดิษฐ์ที่มีการคิดค้นมา เพราะหากดูสิ่งประดิษฐ์และคิดค้นของคนไทยมีอยู่จำนวนมากที่สามารถนำมาคิดค้นต่อยอด และพัฒนาในเชิงพาณิชย์ได้ พร้อมกันนี้จะเร่งรณรงค์สร้างจิตสำนึกให้ประชาชนและเยาวชนคนไทยในการไม่สนับสนุนไม่ผลิตไม่ซื้อ และไม่ขายสินค้าที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาอีกด้วย” พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ กล่าว

. . .



กรมส่งออกนำทีมผู้ส่งออกจับมือทูตพาณิชย์ยกทัพเจาะตลาดต่างประเทศ


นายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก เปิดเผยว่า ในการจัดงานแสดงสินค้า Bangkok Gems & Jewelry Fair 2008 ระหว่างวันที่ 11-15 กันยายน 2551 ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศจาก 56 สำนักงานทั่วโลก จะเดินทางมาปฏิบัติราชการในประเทศไทย ดังนั้น กรมส่งเสริมการส่งออกจึงถือโอกาสนี้ จัดโครงการ “Export Clinic” ผู้ส่งออกจับมือทูตพาณิชย์เจาะตลาดต่างประเทศให้ประสบความสำเร็จ”

ทั้งนี้ การจัดกิจกรรม Export Clinic ครั้งนี้เป็นการสนองนโยบายของกระทรวงพาณิชย์ และข้อเสนอแนะจากผู้ประกอบการภาคเอกชน ที่ต้องการให้ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ หรือทูตพาณิชย์ มีบทบาทสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศโดยทำหน้าที่เชื่อมโยงธุรกิจระหว่างภาคเอกชน และให้ข้อมูลเชิงลึกด้านการตลาด การค้า รวมถึงปัญหาและอุปสรรคต่างๆ แก่ผู้ประกอบการที่สนใจส่งออกหรือผู้ประกอบการที่มีความสนใจเข้าไปลงทุนในประเทศนั้นๆ

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากที่ผ่านมา กรมส่งเสริมการส่งออกได้มอบหมายให้ทูตพาณิชย์ดำเนินการเตรียมข้อมูลพื้นฐานของแต่ละประเทศ ซึ่งต้องเป็นข้อมูลที่ทันสมัยและพร้อมให้บริการแก่ผู้ประกอบการ เนื่องจากข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์อย่างแท้จริงสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการเจาะตลาดต่างประเทศ และเป็นฐานข้อมูลสำคัญสำหรับผู้ส่งออกที่ต้องการขยายตลาดต่อไป

สำหรับผู้สนใจเข้าร่วมโครงการ “Export Clinic” “ผู้ส่งออกจับมือทูตพาณิชย์เจาะตลาดต่างประเทศให้ประสบความสำเร็จ” สามารถ Download ใบสมัครเข้าร่วมกิจกรรมได้ที่ //www.depthai.go.th ในการเข้าร่วมโครงการไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน กรมส่งเสริมการส่งออก 1169 ภายในวันที่ 12 กันยายนนี้

. . .


 

โดย: loykratong 10 กันยายน 2551 18:27:28 น.  

 

. . .

ประชาชนแห่ซื้อทองคำหลังราคาทองคำถูกลง 300 บาท


นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า ในวันนี้ (10 ก.ย.) มีประชาชนจำนวนมาก ประมาณ 500 คน มาแห่ซื้อทองคำ โดยเฉพาะทองคำแท่ง จนต้องมีการแจกบัตรคิวให้กับลูกค้า เนื่องจากราคาทองคำแท่งปรับตัวลดลง จากบาทละ 13,200 บาท เป็น 12,900 บาท โดยราคาดังกล่าวถือว่าเป็นระดับต่ำกว่า 13,000 บาทในรอบ 1 ปี และ ทองคำรูปพรรณ จากบาทละ 13,600 บาท เป็น 13,300 บาท ซึ่งลดลงบาทละ 300 บาท หลังจากที่ราคาทองคำในตลาดโลกลดลง อยู่ที่ระดับ 772 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ จากเดิมราคาอยู่ที่ระดับ 777 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ เป็นผลมาจากราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลง

“หลังจากที่ประชาชนรู้ข่าว ทำให้มีการสั่งซื้อทองคำแท่งกันเป็นจำนวนมาก ส่งผลปริมาณทองคำแท่งไม่เพียงพอกับความต้องการของประชาชน ต้องแจกใบจองให้กับประชาชน สำหรับลูกค้าที่สั่งซื้อทองคำแท่งวันนี้จะรับทองได้ในอีก 7-10 วันข้างหน้า” นายจิตติ กล่าว

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าราคาทองคำยังลงได้อีก แต่คงไม่มากนัก เนื่องจากคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันคงจะปรับขึ้นหลังจากที่กลุ่มโอเปกประกาศลดกำลังการผลิตน้ำมันลง 520,000 บาร์เรล/วัน เพื่อดันให้ราคาน้ำมันสูงกว่า 100 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

. . .

 

โดย: loykratong 10 กันยายน 2551 18:30:40 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


loykratong
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]






ไม่มีอะไรขึ้นตลอด
ไม่มีอะไรลงตลอด
...ไม่มี the end of the world ...

Web Site Hit Counters

ราคาทองคำ
 

ราคาทองคำต่างประเทศ



Friends' blogs
[Add loykratong's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.