Group Blog
 
<<
กันยายน 2551
 
1 กันยายน 2551
 
All Blogs
 

. . . เงินเฟ้อเดือน ส.ค.ลดลงเหลือ 6.4% จาก 9.2% ในเดือนก.ค. . . .

. . .

เงินเฟ้อเดือน ส.ค.ลดลงเหลือ 6.4% จาก 9.2% ในเดือนก.ค. ตามราคาน้ำมัน และมาตรการลดค่าครองชีพของรัฐบาล


อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา อยู่ที่ร้อยละ 6.4 ชะลอลงจากร้อยละ 9.2 ในเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นอัตราที่สูงสุดในรอบ 10 ปี อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในเดือนนี้ก็ชะลอลงมาอยู่ที่ร้อยละ 2.7 จากร้อยละ 3.7 ในเดือนก่อนหน้า ลงมาต่ำกว่ากรอบเป้าหมายเงินเฟ้อของธนาคารแห่งประเทศไทย (ที่ร้อยละ 0.0-3.5) หลังจากขึ้นไปสูงเกินกรอบดังกล่าวติดต่อกัน 2 เดือนระหว่างเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม สำหรับอัตราเงินเฟ้อ 8 เดือนแรกขยายตัวร้อยละ 6.7 จากระยะเดียวกันปีก่อน

นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า เหตุผลสำคัญที่ทำให้เงินเฟ้อลดลง คือ ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ลดลงต่อเนื่อง จากเฉลี่ย 125 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 113 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล รวมทั้งการดำเนิน 6 มาตรการ 6 เดือนของรัฐบาล ซึ่งช่วยลดค่าครองชีพ ประกอบกับการดูแลราคาสินค้าของกระทรวงพาณิชย์อย่างต่อเนื่อง

นายศิริพล กล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงยังไม่มีการปรับประมาณการเงินเฟ้อที่คาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 5.0-5.5 บนสมมติฐานอัตราแลกเปลี่ยน 32-33 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ราคาน้ำมันเฉลี่ย 105 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล แม้ว่าขณะนี้ราคาน้ำมันจะปรับสูงขึ้นกว่าสมมติฐานไปอยู่ที่ 113-115 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล หรืออัตราแลกเปลี่ยน 34 บาทก็ตาม

หากเงินเฟ้อเฉลี่ย 4 เดือนหลังของปีนี้อยู่ในระดับร้อยละ 6.5 ขึ้นไป ก็มีความเป็นไปได้สูงที่เงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปีจะอยู่ที่ร้อยละ 6.5-6.9 ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะติดตามราคาน้ำมันและอัตราแลกเปลี่ยนว่าจะมีความผันผวนมากกว่านี้หรือไม่ ก่อนจะพิจารณาปรับประมาณการเงินเฟ้อใหม่ในสิ้นไตรมาส 3

นายศิริพล กล่าวว่า แม้อัตราเงินเฟ้อในเดือนสิงหาคมมีแนวโน้มลดลง แต่ในหมวดอาหาร และเครื่องดื่มมีการปรับขึ้น เช่น หมวดผักและผลไม้ ซึ่งเป็นช่วงปลายฤดูกาล อาจจะมีการปรับราคาขึ้นตามฤดูกาล ดังนั้น จึงต้องจับตาอัตราเงินเฟ้อในเดือนกันยายนเป็นต้นไป เนื่องจากค่าทางด่วนปรับขึ้นเป็น 45 บาท และค่าโดยสารรถประจำทางปรับขึ้นไป ทั้งหมดนี้คาดว่าจะกระทบเงินเฟ้อร้อยละ 0.19 แต่เชื่อว่าเงินเฟ้อในเดือนกันยายนเฉลี่ยจะอยู่ที่ร้อยละ 6.5 ขึ้นไป

บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า อัตราเงินเฟ้อในเดือนกันยายนจะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 6.0-6.5 ใกล้เคียงกับในเดือนสิงหาคม และจะค่อยๆ ชะลอลงไปมีระดับต่ำกว่าร้อยละ 6 ในไตรมาสสุดท้ายของปี ซึ่งจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยของทั้งปี 2551 อาจต่ำลงไปที่ร้อยละ 6.3 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 2.5 โดยสูงกว่าค่าเฉลี่ยของปี 2550 ที่ผ่านมา ซึ่งเท่ากับร้อยละ 2.3 และ 1.1 ตามลำดับ

ประเด็นสำคัญที่ยังคงต้องติดตาม ก็คือ สถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลก ที่แม้ว่าจะได้ปรับตัวลงมาค่อนข้างมากในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา แต่ราคาน้ำมันดังกล่าวยังคงมีโอกาสผันผวน รวมทั้งราคาสินค้าผู้ผลิต (PPI: Producer Price Index) ที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมาก็อาจจะส่งผลต่อไปยังราคาสินค้าผู้บริโภค

นอกจากนี้ ยังคงต้องติดตามทิศทางราคาสินค้าเกษตร ซึ่งแม้ว่ามีแนวโน้มอ่อนตัวลงในระยะข้างหน้า ซึ่งเป็นฤดูกาลที่ผลผลิตของประเทศผู้ผลิตรายสำคัญจะออกสู่ตลาดมากขึ้น แต่หากเกิดสถานการณ์ภัยธรรมชาติที่สร้างความเสียหายแก่พืชผล ก็อาจเป็นตัวแปรให้ราคากลับไปมีระดับสูงขึ้นได้

. . .



ดัชนีความเชื่อมั่นเอสเอ็มอีเดือน ก.ค.เพิ่มขึ้น ผลจาก 6 มาตรการของรัฐบาล


สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการภาคการค้าและบริการกลุ่มขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) เดือน ก.ค.เพิ่มขึ้น และคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าก็ดีขึ้น เพราะผลจาก 6 มาตรการ 6 เดือน ฝ่าวิกฤติฯ

สสว. เปิดเผยถึงผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเดือนกรกฎาคม 2551 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา พบว่าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 38.5 จากระดับ 37.7 โดยมีผลมาจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของกิจการภาคการค้าปลีกและภาคบริการ ซึ่งอยู่ที่ 38.5 และ 39.0 จากระดับ 37.0 และ 38.3 ขณะที่ภาคค้าส่ง ค่าดัชนีปรับตัวลดลงอยู่ที่ 37.0 จากระดับ 38.1

ส่วนความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจประเทศและธุรกิจตนเอง ค่าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 33.4 และ 36.9 จากระดับ 29.7 และ 31.4 ตามลำดับ

สำหรับดัชนีที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมีผลมาจากการดำเนินนโยบาย 6 มาตรการฯ ของภาครัฐ ซึ่งส่งผลในด้านบวกต่อความมั่นใจในการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน ขณะเดียวกันต้นทุนในการประกอบกิจการของผู้ประกอบการในบางประเภทธุรกิจปรับตัวลดลง ส่งผลให้ระดับความเชื่อมั่นในด้านต่างๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้น

แต่เมื่อพิจารณาแยกเป็นประเภทกิจการ พบว่าในส่วนภาคการค้าปลีก ธุรกิจสถานีบริการน้ำมันมีค่าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นมากที่สุดอยู่ที่ 41.8 จากระดับ 36.9, ภาคบริการ ธุรกิจบริการก่อสร้างมีค่าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 35.9 จากระดับ 32.3 รองลงมาคือ บริการขนส่งอยู่ที่ 35.7 จากระดับ 33.8

การปรับตัวเพิ่มขึ้นของภาคธุรกิจดังกล่าวมีผลมาจากการประกาศใช้นโยบาย 6 มาตรการฯ โดยเฉพาะการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ประกอบกับราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลง ส่งผลให้ระดับราคาน้ำมันขายปลีกปรับตัวลดลง และช่วยให้อำนาจซื้อของประชาชนปรับตัวดีขึ้น ส่วนภาคการค้าส่ง ซึ่งเป็นภาคธุรกิจที่ค่าดัชนีปรับตัวลดลง โดยมีธุรกิจค้าส่งสินค้าเกษตร ค่าดัชนีปรับตัวลดลงมากที่สุดอยู่ที่ 37.2 จากระดับ 39.2

ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า ค่าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 43.8 จากระดับ 40.5 ในเดือนมิถุนายน และเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกประเภทกิจการ โดยภาคการค้าส่ง ภาคการค้าปลีก และภาคบริการ ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 41.9, 43.6 และ 44.6 จากระดับ 38.6 40.8 และ 41.0

อย่างไรก็ตาม ค่าดัชนีความเชื่อมั่นทั้งปัจจุบันและคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า แม้จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 50 แสดงว่าผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นในการประกอบธุรกิจในระดับที่ไม่ดีนัก โดยเห็นว่าปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการประกอบธุรกิจมากที่สุด ได้แก่ ราคาต้นทุนสินค้า และค่าแรงงานที่เพิ่มขึ้น รองลงมาคือ ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจของประเทศ อำนาจซื้อของประชาชน ระดับราคาน้ำมัน ค่าขนส่ง และภาวะการแข่งขันในตลาด

ทั้งนี้ ดัชนีเอสเอ็มอีรายภูมิภาค 5 ภูมิภาค เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนมิถุนายน พบว่าส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะภาคเหนือ ซึ่งมีค่าดัชนีเพิ่มขึ้นมากที่สุดอยู่ที่ 38.9 จากระดับ 36.0 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของภาคการค้าปลีกและภาคบริการ โดยเฉพาะกิจการสถานีบริการน้ำมัน และบริการด้านการก่อสร้าง ซึ่งมีผลมาจากการดำเนิน 6 มาตรการฯ และระดับราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลอย่างชัดเจนต่อยอดจำหน่ายน้ำมันของกิจการค้าปลีกน้ำมันในภูมิภาคนี้ ขณะเดียวกันก็สร้างความเชื่อมั่นในการบริโภคของประชาชน ส่งผลให้ยอดจำหน่ายสินค้าและบริการในภาพรวมของภูมิภาคนี้ปรับตัวดีขึ้น

รองลงมา คือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันตก เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 41.5 จากระดับ 40.3 ภาคใต้ เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 43.3 จาก 42.4 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพิ่มขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ 31.5 จากระดับ 31.4 มีเพียงกรุงเทพฯ ปริมณฑล ภูมิภาคเดียวที่ค่าดัชนีปรับตัวลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ 36.7 จากระดับ 37.6

. . .



ธนาคารทิสโก้เพิ่มดอกเบี้ยเงินฝาก


นายศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการอำนวยการสายธนกิจลูกค้ารายย่อย ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากการที่ธนาคารทิสโก้มีแผนรุกตลาดลูกค้ารายย่อยด้วยการเปิดบัญชีเงินฝาก "ซูเปอร์เซฟวิ่งส์" ซึ่งเป็นบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ที่ได้รับดอกเบี้ยสูงเหมือนฝากประจำ และ "ฝากประจำคุ้มครองสุขภาพ" บัญชีฝากประจำ 12 เดือนพ่วงคุ้มครองสุขภาพ
ล่าสุดธนาคารได้ปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก "ซูเปอร์เซฟวิ่งส์" จากเดิมร้อยละ 2.40 เป็นร้อยละ 2.75 และ "ฝากประจำคุ้มครองสุขภาพ" จากเดิมร้อยละ 3.00 - 3.50 เป็นร้อยละ 3.25 - 3.75 มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. เป็นต้นไป

นอกจากนี้ ธนาคารยังได้ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ได้แก่ เงินฝากกระแสรายวันพิเศษ 100,000 บาทขึ้นไป ปรับเพิ่มจากร้อยละ 2.125 - 2.50 เป็นร้อยละ 2.25 - 2.75

เงินฝากออมทรัพย์พิเศษ 100,000 บาทขึ้นไป ปรับเพิ่มจากร้อยละ 2.125 - 2.50 เป็นร้อยละ 2.25-2.75
เงินฝากประจำวงเงินต่ำกว่า 1 ล้านบาท ระยะเวลาฝาก 3 - 24 เดือน ปรับเพิ่มจากร้อยละ 3.00-3.75 เป็นร้อยละ 3.25-4.00
เงินฝากประจำวงเงิน 1 ล้านบาทขึ้นไป ระยะเวลาฝาก 3 - 36 เดือน ปรับเพิ่มจากร้อยละ 3.00-4.00 เป็นร้อยละ 3.25 - 4.00
ฝากประจำวงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ระยะเวลาฝาก 3 - 36 เดือน ปรับเพิ่มจากร้อยละ 3.25-4.25 เป็นร้อยละ 3.50 - 4.25
ตั๋วแลกเงินวงเงิน 1 ล้านบาทขึ้นไป ระยะเวลาฝาก 1 - 12 เดือน ปรับเพิ่มจากร้อยละ 3.00-3.75 เป็น ร้อยละ 3.25-4.25
และตั๋วแลกเงินวงเงิน 5 ล้านบาทขึ้นไป ระยะเวลาฝาก 1 - 12 เดือน ปรับเพิ่มจากร้อยละ 3.25-4.00 เป็นร้อยละ 3.50-4.25

. . .



สมาชิก กบข. ที่เกษียณอายุราชการปี 51 ยื่นเรื่องรับเงินคืนได้ตั้งแต่ 1 ต.ค. นี้เป็นต้นไป


สมาชิก กบข. ที่จะเกษียณอายุราชการปี 2551 นี้ สามารถยื่นเอกสารขอรับเงินคืนจาก กบข. ได้ตั้งแต่ 1 ตุลาคมนี้เป็นต้นไป

นายวิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยถึงการยื่นเรื่องขอรับเงินคืนจาก กบข. สำหรับสมาชิกที่จะเกษียณในปี 2551 นี้ว่าในปีนี้จะมีสมาชิก กบข. ที่เกษียณอายุราชการราว 11,000 คน คิดเป็นงบประมาณที่จะต้องจ่ายคืนแก่สมาชิกรวมประมาณกว่า 6,700 ล้านบาท โดยสมาชิกที่จะเกษียณในปีนี้ สามารถยื่นเรื่องขอรับเงินคืนผ่านส่วนราชการต้นสังกัดได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมเป็นต้นไป ซึ่งวันดังกล่าวถือเป็นวันที่คำสั่งมีผลบังคับใช้ และเป็นไปตามพระราชบัญญัติ กบข.มาตรา 44 ที่กำหนดว่า สมาชิกภาพของสมาชิกสิ้นสุดลงเมื่อผู้นั้นออกจากราชการ

จากฐานข้อมูลของ กบข. สมาชิก กบข. ที่เกษียณอายุในปีนี้แบ่งตามประเภทข้าราชการจำนวนมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ข้าราชการครู จำนวนประมาณ 5,700 คน ข้าราชการพลเรือน จำนวนประมาณ 2,500 คน และข้าราชการตำรวจ จำนวนประมาณ 1,000 คน

เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการจ่ายเงินคืนให้กับสมาชิกได้ภายใน 7วันทำการ กบข. จึงขอความร่วมมือสมาชิกที่จะเกษียณอายุราชการในปี 2551 นี้ทุกท่าน กรุณาตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของเอกสารในการยื่นเรื่องเพื่อขอรับเงินคืนจาก กบข.

สำหรับขั้นตอนการขอรับเงินคืนล่าสุด ขณะนี้ กบข. มีการปรับปรุงแบบขอรับเงินคืนจากกองทุน เช่น แบบขอรับเงินคืนจากกองทุน (กรณีสมาชิกเป็นผู้ขอรับเงิน) เปลี่ยนเป็นแบบ กบข. รง.008/1/2551 โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2551

ทั้งนี้ สมาชิกจะต้องดำเนินการติดต่อหน่วยงานต้นสังกัดเดิม เพื่อยื่นกรอกแบบขอรับเงินคืน และหน่วยงานต้นสังกัดจะต้องตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของข้อมูล และเอกสารแนบ พร้อมทั้งให้หัวหน้าส่วนราชการต้นสังกัดลงนามให้ครบถ้วน แล้วจัดส่งแบบขอรับเงินคืนพร้อมเอกสารแนบมายัง กบข. ต่อไป

หากต้องการปรึกษาวิธีการขั้นตอนเกี่ยวกับการดำเนินการขอรับเงินคืนจาก กบข. ติดต่อได้ที่ศูนย์บริการข้อมูลสมาชิก กบข.โทร.1179 กด 6 หรือที่ member@gpf.or.th เจ้าหน้าที่ศูนย์บริการข้อมูลสมาชิก กบข. พร้อมให้บริการคำปรึกษาและขั้นตอนแก่สมาชิกทุกท่าน
______________________

ศูนย์บริการข้อมูลสมาชิก กบข. โทร. 1179 กด 6 member@gpf.or.th / //www.gpf.or.th

. . .




 

Create Date : 01 กันยายน 2551
3 comments
Last Update : 1 กันยายน 2551 16:28:52 น.
Counter : 550 Pageviews.

 

ขอบคุณค่ะ

 

โดย: แอล (aal990 ) 1 กันยายน 2551 20:07:28 น.  

 

//www.weather.com/newscenter/hurricanecentral/2008/gustav.html

รอบนอกเฮอริเคน “กุสตาฟ” แตะชายฝั่งสหรัฐฯ แล้ว
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 1 กันยายน 2551 12:10 น.

เอเอฟพี – เจ้าหน้าที่ศูนย์เฮอริเคนแห่งชาติสหรัฐฯ เผย พายุกุสตาฟรอบนอกแตะอ่าวเม็กซิโกของสหรัฐฯ แล้ว เช้านี้ (1) ขณะที่ นิวออร์ลีนส์เริ่มมีฝนตกหนัก และกระแสลมแรงจากอิทธิพลพายุพัดกระหน่ำแล้วเช่นกัน

“ริมด้านนอกของพายุถึงปากแม่น้ำมิสซิสซิปปีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และขณะนี้กำลังมุ่งหน้าไปยังนิวออร์ลีนส์ ตามทิศทางของเรดาร์” แพตทริเซีย วอลเลซ นักอุตุนิยมวิทยาประจำศูนย์กล่าว

ประชาชนเกือบ 2 ล้านคน ได้อพยพออกจากรัฐลุยเซียนาก่อนที่เฮอริเคนลูกนี้จะเคลื่อนตัวมาถึง นับเป็นการอพยพครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ ขณะที่เจ้าหน้าที่สั่งปิดโรงงานผลิตน้ำมันสำคัญๆ ในพื้นที่ดังกล่าวด้วย

นอกจากนี้ ยังมีรายงานกระแสไฟฟ้าดับในพื้นที่ทางตะวันออกของนิวออร์ลีนส์ หลังจากกระแสลมแรง และพายุฝนเริ่มถล่มเมืองดังกล่าวตั้งแต่คืนวันอาทิตย์ (31) ที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น

อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่คาดว่า ตาพายุกุสตาฟไม่น่าจะขึ้นฝั่งจนถึงช่วงบ่ายของวันจันทร์ (1) ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งเมื่อเวลา 10.00 น.ตามเวลาของประเทศไทย ตาพายุยังอยู่ห่างจากนิวออร์ลีนส์ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ 220 กิโลเมตร และเคลื่อนไปทางตะวันตกเฉียงเหนือด้วยความเร็ว 26 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ศูนย์พายุยังแนะว่า เฮอริเคนมีกำลังหมุนวนวงกว้าง โดยมีกระแสลมพายุโซนร้อนขยายกว้างออกไปได้ไกลถึง 350 กิโลเมตรทีเดียว และในขณะที่กุสตาฟยังเป็นเฮอริเคนระดับ 3 อยู่ ก็มีแรงลม 185 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น นักพยากรณ์อากาศ คาดว่า เฮอริเคนลูกนี้จะมีกำลังแรงขึ้นเล็กน้อยก่อนขึ้นฝั่ง แต่คาดว่ากุสตาฟจะอยู่ในระดับ 3 ไปตลอดจนถึงอ่าวเม็กซิโก

. . .



มะกันผวาเฮอร์ริเคน“กุสตาฟ” ถล่มอ่าวเม็กซิโก-นิวออร์ลีนส์
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 31 สิงหาคม 2551 22:36 น.

เอเจนซี/เอเอฟพี – พายุเฮอร์ริเคน “กุสตาฟ” เคลื่อนตัวบ่ายหน้าสู่อ่าวเม็กซิโก ที่เป็นฐานอุตสาหกรรมน้ำมันสำคัญของสหรัฐฯเมื่อวานนี้(31ส.ค.) ภายหลังพัดกระหน่ำผ่านคิวบา และแม้ความเร็วของลมจะลดระดับลง แต่ก็คาดหมายกันว่ามันจะกลับรุนแรงขึ้นอีก ก่อนจะขึ้นสู่ฝั่งในบริเวณใกล้ๆ เมืองนิวออร์ลีนส์ นครที่ยังเพิ่งจะฟื้นตัวจากฤทธิ์เดชของเฮอร์ริเคน “แคทรีนา” เมื่อ 3 ปีก่อน

ศูนย์พายุเฮอร์ริเคนแห่งชาติของสหรัฐฯแถลงว่า ภายหลังเฮอร์ริเคนกุสตาฟพัดผ่านภาคตะวันตกของคิวบา โดยได้สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่ออาคารบ้านเรือนและสวนกล้วยจำนวนมากแล้ว ปรากฏว่าความเร็วลมของพายุลูกนี้ได้ลดต่ำลงกว่าที่คาดหมายกันไว้ในตอนแรก โดยตอนนี้อยู่ในระดับ 201 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขณะกำลังเคลื่อนที่มุ่งสู่แหล่งน้ำมันในอ่าวเม็กซิโก

แต่ถึงแม้ความแรงของเฮอร์ริเคนลูกนี้เท่ากับลดลงสู่ระดับ 3 ในระบบวัดความแรงของเฮอร์ริเคนแบบ ซัฟฟีร์-ซิมป์สันที่มีทั้งสิ้น 5 ระดับ บรรดานักพยากรณ์อากาศก็เตือนว่า กุสตาฟน่าจะเพิ่มความเร็วลมขึ้นอีก ในขณะที่พัดผ่านผืนน้ำอุ่นของอ่าวเม็กซิโก จนกระทั่งเมื่อมันขึ้นฝั่งอีกครั้งในวันนี้(1ก.ย.) น่าจะกลับมีความแรงอยู่ในระดับ 4 ซึ่งมีอันตรายยิ่ง

นักอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์กันว่า กุสตาฟน่าจะขึ้นฝั่งสหรัฐฯ แถวๆ ด้านตะวันตกของนครนิวออร์ลีนส์ ซึ่งถูกฤทธิ์เดชของพายุเฮอร์ริเคนแคทรีนาเมื่อ 3 ปีก่อน ทำให้น้ำท่วมเมืองเสียหายยับเยิน แต่ก็เตือนว่าเนื่องจากกุสตาฟมีขนาดใหญ่มาก จึงอาจส่งผลกระทบรุนแรงแม้กระทั่งในอาณาบริเวณที่ห่างจากตาของพายุ ดังนั้น ทางการสหรัฐฯจึงประกาศเตือนภัยเฮอร์ริเคนลูกนี้เป็นบริเวณกว้าง ตั้งแต่เมืองแคเมรอน มลรัฐลุยเซียนา ทางฟากตะวันออก มาจรดพรมแดนมลรัฐแอละแบมา-ฟลอริดา

ศูนย์พายุเฮอร์ริเคนแห่งชาติของสหรัฐฯระบุด้วยว่า ขณะที่กุสตาฟขึ้นสู่ฝั่งบริเวณริมอ่าวเม็กซิโกนั้น คาดหมายว่าบริเวณใกล้ๆ กับศูนย์กลางพายุ ตลอดจนพื้นที่ถัดไปทางตะวันออก น่าจะเกิดกระแสคลื่นยักษ์ที่อันตรายอย่างยิ่ง โดยอาจมีความสูง 18-25 ฟุต (5.4 –7.6 เมตร)

เฮอร์ริเคนแคทรีนาขณะที่เคลื่อนขึ้นสู่ฝั่งบริเวณเมืองนิวออร์ลีนส์ เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2005 ก็มีความเร็วลมอยู่ในระดับ 3 เท่านั้น ทว่าก่อให้เกิดคลื่นยักษ์ความสูงถึง 8.5 เมตร ทะลักเข้าท่วมพื้นที่ 80% ของนคร และด้วยความผิดพลาดในการบริหารจัดการงานกู้ภัยของรัฐบาล ทำให้เหยื่อพายุต้องรอความช่วยเหลือกันเป็นวันๆ ส่งผลให้สถานการณ์เลวร้ายถึงขั้นเป็นจลาจล ความเสียหายจากแคทรีนาที่อยู่ในระดับ 80,000 ล้านดอลลาร์ ยังทำให้มันกลายเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติที่มีราคาแพงที่สุดของสหรัฐฯ

พวกเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางสหรัฐฯบอกว่า เวลานี้แนวทำนบกั้นน้ำที่คอยปกป้องนิวออร์ลีนส์ อยู่ในสภาพแข็งแรงกว่าเมื่อ 3 ปีก่อนมาก ทว่าก็ยังคงมีช่องโหว่ที่อาจทำให้ย่านที่อยู่อาศัยบางแห่ง ซึ่งเดือดร้อนหนักที่สุดจากน้ำท่วมคราวพายุแคทรีนา ต้องประสบความเสียหายรุนแรงอีกครั้ง

เจ้าหน้าที่ของนิวออร์ลีนส์ ซึ่งยังคงกังวลใจกับความเสียหายจากแคทรีนาที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตไป 1,500 คน จึงได้ออกคำสั่งให้ประชาชนที่อยู่บริเวณพื้นที่ลุ่มต่ำของเมืองอพยพออกไป เริ่มตั้งแต่เช้าวานนี้

เรย์ แนกิน นายกเทศมนตรีนิวออร์ลีนส์แถลงเตือนชาวเมืองว่า พายุลูกนี้เป็น “พายุแห่งศตวรรษ” เป็น “มารดาแห่งพายุทั้งปวง”

คำเตือนของทางนครดูจะได้ผล ทางหลวงสายต่างๆ รอบเมืองนิวออร์ลีนส์ อยู่ในสภาพแออัดติดขัดมาหลายวันแล้ว และประชาชนหลายร้อยคน ซึ่งบางคนยังคงรู้สึกผวาจากภัยพิบัติเมื่อ 3 ปีก่อน พากันเข้าแถวเพื่อขึ้นรถโดยสารอพยพหลบภัยออกไปจากเมือง

ทางด้านบริษัทพลังงานทั้งหลาย ซึ่งตั้งแท่นขุดเจาะอยู่ในเขตอ่าวเม็กซิโกถึงราว 4,000 แท่น และผลิตน้ำมันดิบประมาณหนึ่งในสี่ กับก๊าซธรรมชาติอีกราว 15% ของสหรัฐฯ ก็ได้สั่งอพยพพวกคนงานที่ทำงานอยู่นอกชายฝั่ง และปิดงานการผลิตน้ำมันและก๊าซไปแล้วราวสามในสี่

แคทรีนา และเฮอร์ริเคนริตา ซึ่งติดตามหลังแคทรีนาเข้ามาในอีก 3 สัปดาห์ต่อจากนั้น ได้สร้างความเสียหายให้แก่แท่นขุดเจาะน้ำมันในอ่าวเม็กซิโกมากกว่า 100 แท่น แต่นักวิเคราะห์บางคนหวั่นเกรงว่า กุสตาฟอาจก่อให้เกิดความสูญเสียร้ายแรงกว่านั้นอีก

. . .

 

โดย: loykratong 1 กันยายน 2551 20:21:47 น.  

 

ขอให้เดือนต่อๆไปอย่าเพิ่งขึ้นไปอีกเลยนะครับ

สาธุ น้ำมันจ๋าอย่าเพิ่งขึ้นราคา


แต่แย่จังแฮะอเมริกาดันจะเจอพายุซะอีก

 

โดย: Rushing Dandy 1 กันยายน 2551 21:19:19 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


loykratong
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]






ไม่มีอะไรขึ้นตลอด
ไม่มีอะไรลงตลอด
...ไม่มี the end of the world ...

Web Site Hit Counters

ราคาทองคำ
 

ราคาทองคำต่างประเทศ



Friends' blogs
[Add loykratong's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.