. . . เงินเฟ้อเดือน ส.ค.ลดลงเหลือ 6.4% จาก 9.2% ในเดือนก.ค. . . .
. . .
เงินเฟ้อเดือน ส.ค.ลดลงเหลือ 6.4% จาก 9.2% ในเดือนก.ค. ตามราคาน้ำมัน และมาตรการลดค่าครองชีพของรัฐบาล
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา อยู่ที่ร้อยละ 6.4 ชะลอลงจากร้อยละ 9.2 ในเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นอัตราที่สูงสุดในรอบ 10 ปี อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในเดือนนี้ก็ชะลอลงมาอยู่ที่ร้อยละ 2.7 จากร้อยละ 3.7 ในเดือนก่อนหน้า ลงมาต่ำกว่ากรอบเป้าหมายเงินเฟ้อของธนาคารแห่งประเทศไทย (ที่ร้อยละ 0.0-3.5) หลังจากขึ้นไปสูงเกินกรอบดังกล่าวติดต่อกัน 2 เดือนระหว่างเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม สำหรับอัตราเงินเฟ้อ 8 เดือนแรกขยายตัวร้อยละ 6.7 จากระยะเดียวกันปีก่อน
นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า เหตุผลสำคัญที่ทำให้เงินเฟ้อลดลง คือ ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ลดลงต่อเนื่อง จากเฉลี่ย 125 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 113 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล รวมทั้งการดำเนิน 6 มาตรการ 6 เดือนของรัฐบาล ซึ่งช่วยลดค่าครองชีพ ประกอบกับการดูแลราคาสินค้าของกระทรวงพาณิชย์อย่างต่อเนื่อง
นายศิริพล กล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงยังไม่มีการปรับประมาณการเงินเฟ้อที่คาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 5.0-5.5 บนสมมติฐานอัตราแลกเปลี่ยน 32-33 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ราคาน้ำมันเฉลี่ย 105 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล แม้ว่าขณะนี้ราคาน้ำมันจะปรับสูงขึ้นกว่าสมมติฐานไปอยู่ที่ 113-115 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล หรืออัตราแลกเปลี่ยน 34 บาทก็ตาม
หากเงินเฟ้อเฉลี่ย 4 เดือนหลังของปีนี้อยู่ในระดับร้อยละ 6.5 ขึ้นไป ก็มีความเป็นไปได้สูงที่เงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปีจะอยู่ที่ร้อยละ 6.5-6.9 ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะติดตามราคาน้ำมันและอัตราแลกเปลี่ยนว่าจะมีความผันผวนมากกว่านี้หรือไม่ ก่อนจะพิจารณาปรับประมาณการเงินเฟ้อใหม่ในสิ้นไตรมาส 3
นายศิริพล กล่าวว่า แม้อัตราเงินเฟ้อในเดือนสิงหาคมมีแนวโน้มลดลง แต่ในหมวดอาหาร และเครื่องดื่มมีการปรับขึ้น เช่น หมวดผักและผลไม้ ซึ่งเป็นช่วงปลายฤดูกาล อาจจะมีการปรับราคาขึ้นตามฤดูกาล ดังนั้น จึงต้องจับตาอัตราเงินเฟ้อในเดือนกันยายนเป็นต้นไป เนื่องจากค่าทางด่วนปรับขึ้นเป็น 45 บาท และค่าโดยสารรถประจำทางปรับขึ้นไป ทั้งหมดนี้คาดว่าจะกระทบเงินเฟ้อร้อยละ 0.19 แต่เชื่อว่าเงินเฟ้อในเดือนกันยายนเฉลี่ยจะอยู่ที่ร้อยละ 6.5 ขึ้นไป
บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า อัตราเงินเฟ้อในเดือนกันยายนจะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 6.0-6.5 ใกล้เคียงกับในเดือนสิงหาคม และจะค่อยๆ ชะลอลงไปมีระดับต่ำกว่าร้อยละ 6 ในไตรมาสสุดท้ายของปี ซึ่งจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยของทั้งปี 2551 อาจต่ำลงไปที่ร้อยละ 6.3 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 2.5 โดยสูงกว่าค่าเฉลี่ยของปี 2550 ที่ผ่านมา ซึ่งเท่ากับร้อยละ 2.3 และ 1.1 ตามลำดับ
ประเด็นสำคัญที่ยังคงต้องติดตาม ก็คือ สถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลก ที่แม้ว่าจะได้ปรับตัวลงมาค่อนข้างมากในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา แต่ราคาน้ำมันดังกล่าวยังคงมีโอกาสผันผวน รวมทั้งราคาสินค้าผู้ผลิต (PPI: Producer Price Index) ที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมาก็อาจจะส่งผลต่อไปยังราคาสินค้าผู้บริโภค
นอกจากนี้ ยังคงต้องติดตามทิศทางราคาสินค้าเกษตร ซึ่งแม้ว่ามีแนวโน้มอ่อนตัวลงในระยะข้างหน้า ซึ่งเป็นฤดูกาลที่ผลผลิตของประเทศผู้ผลิตรายสำคัญจะออกสู่ตลาดมากขึ้น แต่หากเกิดสถานการณ์ภัยธรรมชาติที่สร้างความเสียหายแก่พืชผล ก็อาจเป็นตัวแปรให้ราคากลับไปมีระดับสูงขึ้นได้
. . .
ดัชนีความเชื่อมั่นเอสเอ็มอีเดือน ก.ค.เพิ่มขึ้น ผลจาก 6 มาตรการของรัฐบาล
สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการภาคการค้าและบริการกลุ่มขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) เดือน ก.ค.เพิ่มขึ้น และคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าก็ดีขึ้น เพราะผลจาก 6 มาตรการ 6 เดือน ฝ่าวิกฤติฯ
สสว. เปิดเผยถึงผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเดือนกรกฎาคม 2551 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา พบว่าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 38.5 จากระดับ 37.7 โดยมีผลมาจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของกิจการภาคการค้าปลีกและภาคบริการ ซึ่งอยู่ที่ 38.5 และ 39.0 จากระดับ 37.0 และ 38.3 ขณะที่ภาคค้าส่ง ค่าดัชนีปรับตัวลดลงอยู่ที่ 37.0 จากระดับ 38.1
ส่วนความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจประเทศและธุรกิจตนเอง ค่าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 33.4 และ 36.9 จากระดับ 29.7 และ 31.4 ตามลำดับ
สำหรับดัชนีที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมีผลมาจากการดำเนินนโยบาย 6 มาตรการฯ ของภาครัฐ ซึ่งส่งผลในด้านบวกต่อความมั่นใจในการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน ขณะเดียวกันต้นทุนในการประกอบกิจการของผู้ประกอบการในบางประเภทธุรกิจปรับตัวลดลง ส่งผลให้ระดับความเชื่อมั่นในด้านต่างๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้น
แต่เมื่อพิจารณาแยกเป็นประเภทกิจการ พบว่าในส่วนภาคการค้าปลีก ธุรกิจสถานีบริการน้ำมันมีค่าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นมากที่สุดอยู่ที่ 41.8 จากระดับ 36.9, ภาคบริการ ธุรกิจบริการก่อสร้างมีค่าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 35.9 จากระดับ 32.3 รองลงมาคือ บริการขนส่งอยู่ที่ 35.7 จากระดับ 33.8
การปรับตัวเพิ่มขึ้นของภาคธุรกิจดังกล่าวมีผลมาจากการประกาศใช้นโยบาย 6 มาตรการฯ โดยเฉพาะการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ประกอบกับราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลง ส่งผลให้ระดับราคาน้ำมันขายปลีกปรับตัวลดลง และช่วยให้อำนาจซื้อของประชาชนปรับตัวดีขึ้น ส่วนภาคการค้าส่ง ซึ่งเป็นภาคธุรกิจที่ค่าดัชนีปรับตัวลดลง โดยมีธุรกิจค้าส่งสินค้าเกษตร ค่าดัชนีปรับตัวลดลงมากที่สุดอยู่ที่ 37.2 จากระดับ 39.2
ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า ค่าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 43.8 จากระดับ 40.5 ในเดือนมิถุนายน และเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกประเภทกิจการ โดยภาคการค้าส่ง ภาคการค้าปลีก และภาคบริการ ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 41.9, 43.6 และ 44.6 จากระดับ 38.6 40.8 และ 41.0
อย่างไรก็ตาม ค่าดัชนีความเชื่อมั่นทั้งปัจจุบันและคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า แม้จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 50 แสดงว่าผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นในการประกอบธุรกิจในระดับที่ไม่ดีนัก โดยเห็นว่าปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการประกอบธุรกิจมากที่สุด ได้แก่ ราคาต้นทุนสินค้า และค่าแรงงานที่เพิ่มขึ้น รองลงมาคือ ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจของประเทศ อำนาจซื้อของประชาชน ระดับราคาน้ำมัน ค่าขนส่ง และภาวะการแข่งขันในตลาด
ทั้งนี้ ดัชนีเอสเอ็มอีรายภูมิภาค 5 ภูมิภาค เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนมิถุนายน พบว่าส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะภาคเหนือ ซึ่งมีค่าดัชนีเพิ่มขึ้นมากที่สุดอยู่ที่ 38.9 จากระดับ 36.0 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของภาคการค้าปลีกและภาคบริการ โดยเฉพาะกิจการสถานีบริการน้ำมัน และบริการด้านการก่อสร้าง ซึ่งมีผลมาจากการดำเนิน 6 มาตรการฯ และระดับราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลอย่างชัดเจนต่อยอดจำหน่ายน้ำมันของกิจการค้าปลีกน้ำมันในภูมิภาคนี้ ขณะเดียวกันก็สร้างความเชื่อมั่นในการบริโภคของประชาชน ส่งผลให้ยอดจำหน่ายสินค้าและบริการในภาพรวมของภูมิภาคนี้ปรับตัวดีขึ้น
รองลงมา คือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันตก เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 41.5 จากระดับ 40.3 ภาคใต้ เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 43.3 จาก 42.4 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพิ่มขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ 31.5 จากระดับ 31.4 มีเพียงกรุงเทพฯ ปริมณฑล ภูมิภาคเดียวที่ค่าดัชนีปรับตัวลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ 36.7 จากระดับ 37.6
. . .
ธนาคารทิสโก้เพิ่มดอกเบี้ยเงินฝาก
นายศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการอำนวยการสายธนกิจลูกค้ารายย่อย ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากการที่ธนาคารทิสโก้มีแผนรุกตลาดลูกค้ารายย่อยด้วยการเปิดบัญชีเงินฝาก "ซูเปอร์เซฟวิ่งส์" ซึ่งเป็นบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ที่ได้รับดอกเบี้ยสูงเหมือนฝากประจำ และ "ฝากประจำคุ้มครองสุขภาพ" บัญชีฝากประจำ 12 เดือนพ่วงคุ้มครองสุขภาพ ล่าสุดธนาคารได้ปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก "ซูเปอร์เซฟวิ่งส์" จากเดิมร้อยละ 2.40 เป็นร้อยละ 2.75 และ "ฝากประจำคุ้มครองสุขภาพ" จากเดิมร้อยละ 3.00 - 3.50 เป็นร้อยละ 3.25 - 3.75 มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. เป็นต้นไป
นอกจากนี้ ธนาคารยังได้ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ได้แก่ เงินฝากกระแสรายวันพิเศษ 100,000 บาทขึ้นไป ปรับเพิ่มจากร้อยละ 2.125 - 2.50 เป็นร้อยละ 2.25 - 2.75
เงินฝากออมทรัพย์พิเศษ 100,000 บาทขึ้นไป ปรับเพิ่มจากร้อยละ 2.125 - 2.50 เป็นร้อยละ 2.25-2.75 เงินฝากประจำวงเงินต่ำกว่า 1 ล้านบาท ระยะเวลาฝาก 3 - 24 เดือน ปรับเพิ่มจากร้อยละ 3.00-3.75 เป็นร้อยละ 3.25-4.00 เงินฝากประจำวงเงิน 1 ล้านบาทขึ้นไป ระยะเวลาฝาก 3 - 36 เดือน ปรับเพิ่มจากร้อยละ 3.00-4.00 เป็นร้อยละ 3.25 - 4.00 ฝากประจำวงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ระยะเวลาฝาก 3 - 36 เดือน ปรับเพิ่มจากร้อยละ 3.25-4.25 เป็นร้อยละ 3.50 - 4.25 ตั๋วแลกเงินวงเงิน 1 ล้านบาทขึ้นไป ระยะเวลาฝาก 1 - 12 เดือน ปรับเพิ่มจากร้อยละ 3.00-3.75 เป็น ร้อยละ 3.25-4.25 และตั๋วแลกเงินวงเงิน 5 ล้านบาทขึ้นไป ระยะเวลาฝาก 1 - 12 เดือน ปรับเพิ่มจากร้อยละ 3.25-4.00 เป็นร้อยละ 3.50-4.25
. . .
สมาชิก กบข. ที่เกษียณอายุราชการปี 51 ยื่นเรื่องรับเงินคืนได้ตั้งแต่ 1 ต.ค. นี้เป็นต้นไป
สมาชิก กบข. ที่จะเกษียณอายุราชการปี 2551 นี้ สามารถยื่นเอกสารขอรับเงินคืนจาก กบข. ได้ตั้งแต่ 1 ตุลาคมนี้เป็นต้นไป
นายวิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยถึงการยื่นเรื่องขอรับเงินคืนจาก กบข. สำหรับสมาชิกที่จะเกษียณในปี 2551 นี้ว่าในปีนี้จะมีสมาชิก กบข. ที่เกษียณอายุราชการราว 11,000 คน คิดเป็นงบประมาณที่จะต้องจ่ายคืนแก่สมาชิกรวมประมาณกว่า 6,700 ล้านบาท โดยสมาชิกที่จะเกษียณในปีนี้ สามารถยื่นเรื่องขอรับเงินคืนผ่านส่วนราชการต้นสังกัดได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมเป็นต้นไป ซึ่งวันดังกล่าวถือเป็นวันที่คำสั่งมีผลบังคับใช้ และเป็นไปตามพระราชบัญญัติ กบข.มาตรา 44 ที่กำหนดว่า สมาชิกภาพของสมาชิกสิ้นสุดลงเมื่อผู้นั้นออกจากราชการ
จากฐานข้อมูลของ กบข. สมาชิก กบข. ที่เกษียณอายุในปีนี้แบ่งตามประเภทข้าราชการจำนวนมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ข้าราชการครู จำนวนประมาณ 5,700 คน ข้าราชการพลเรือน จำนวนประมาณ 2,500 คน และข้าราชการตำรวจ จำนวนประมาณ 1,000 คน
เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการจ่ายเงินคืนให้กับสมาชิกได้ภายใน 7วันทำการ กบข. จึงขอความร่วมมือสมาชิกที่จะเกษียณอายุราชการในปี 2551 นี้ทุกท่าน กรุณาตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของเอกสารในการยื่นเรื่องเพื่อขอรับเงินคืนจาก กบข.
สำหรับขั้นตอนการขอรับเงินคืนล่าสุด ขณะนี้ กบข. มีการปรับปรุงแบบขอรับเงินคืนจากกองทุน เช่น แบบขอรับเงินคืนจากกองทุน (กรณีสมาชิกเป็นผู้ขอรับเงิน) เปลี่ยนเป็นแบบ กบข. รง.008/1/2551 โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2551
ทั้งนี้ สมาชิกจะต้องดำเนินการติดต่อหน่วยงานต้นสังกัดเดิม เพื่อยื่นกรอกแบบขอรับเงินคืน และหน่วยงานต้นสังกัดจะต้องตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของข้อมูล และเอกสารแนบ พร้อมทั้งให้หัวหน้าส่วนราชการต้นสังกัดลงนามให้ครบถ้วน แล้วจัดส่งแบบขอรับเงินคืนพร้อมเอกสารแนบมายัง กบข. ต่อไป
หากต้องการปรึกษาวิธีการขั้นตอนเกี่ยวกับการดำเนินการขอรับเงินคืนจาก กบข. ติดต่อได้ที่ศูนย์บริการข้อมูลสมาชิก กบข.โทร.1179 กด 6 หรือที่ member@gpf.or.th เจ้าหน้าที่ศูนย์บริการข้อมูลสมาชิก กบข. พร้อมให้บริการคำปรึกษาและขั้นตอนแก่สมาชิกทุกท่าน ______________________
ศูนย์บริการข้อมูลสมาชิก กบข. โทร. 1179 กด 6 member@gpf.or.th / //www.gpf.or.th
. . .
Create Date : 01 กันยายน 2551 |
|
3 comments |
Last Update : 1 กันยายน 2551 16:28:52 น. |
Counter : 550 Pageviews. |
|
|
|