Wongnai Chef Table Presented Chef's Table by Chef Art
ชื่อร้าน : Chef's Table by Chef Art
รายการอาหาร : Lobster bisque puff soup with truffle and lobster tail
ที่ตั้งร้าน : เอกมัย ซ.10 แยก 6, กรุงเทพมหานคร วัฒนา Thailand
พิกัด GPS : 13° 43' 42.48" N 100° 35' 31.89" E
ดูแผนที่เพิ่มเติม
Blog นี้จะพาเพื่อน ๆ ไปรู้จักรูปแบบการทานอาหารรูปแบบใหม่
ซึ่งมีมาพักใหญ่ ๆ ละ แต่เริ่มจะเป็นที่นิยม และแพร่หลายในเมืองไทยเมื่อไม่นานมานี้
รูปแบบการทานอาหารนี้เราเรียกว่า Chef's Table ซึ่งถ้าแปลตรง ๆ ตัวก็คือโต๊ะอาหารของเชฟ
Chef's Table จะเป็นการบุกไปทานถึงครัวของเชฟ เชฟจะทำการปรุงอาหาร
และเสิร์ฟให้เราทานตรงนั้นเลย เรียกว่ามื้อนั้นจะได้รับประสบการณ์ครบทั้ง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
(ใครอยากรู้จัก Chef's Table มากขึ้นลองหาซีรีย์ Netflix มาดูจ้า)
กิจกรรมในครั้งนี้เป็นมื้อพิเศษที่ทางเว็บ Wongnai จัดให้กับ Elite User
ให้ได้สัมผัสกับประสบการณ์ใหม่ ๆ ของการทานอาหาร
โดยครั้งนี้จะพาเหล่าสมาชิกไปบุกบ้านของเชฟอาร์ต ศุภมงคล ศุภพิพัฒน์
Chef's Table by Chef Art
เชฟอาหารยุโรปผู้มากประสบการณ์ และเป็นหนึ่งในกรรมการของ Top Chef Thailand
สถานที่ทานอาหารในวันนี้อย่างที่บอกไปตอนแรกว่าเป็นการบุกไปที่บ้านเชฟกันเลย
และครัวที่เห็นนี่ก็เป็นครัวใหม่ ซึ่งกรุ๊ปเราก็เป็นกรุ๊ปแรกที่ได้ประเดิมครัวใหม่อย่างเป็นทางการ
(ครัวเก่าอยู่อีกหลังนึง เสียดายตอนเดินไปเข้าห้องน้ำไม่ได้หยิบกล้องไปด้วยเลยไม่ภาพมาฝาก)
เห็นหน้าเชฟละ ขอเสียงกรี๊ดกันหน่อย 555+ กรี๊ดได้แต่อย่าดังมากนะคะ ภรรยาเชฟก็มา อิอิ
ในการจะมาทานที่บ้านเชฟไม่รับ Walk-in นะคะ
ต้องจองผ่าน Line: @cheftablebychefart
แล้วทางเชฟจะส่งรายละเอียดการจองไปให้ลูกค้าเลือกว่าอยากทานอะไร
เมนูถนัดของเชฟคืออาหารสไตล์ Traditional ไม่เน้นฟิวชั่น
สามารถดูต.ย.อาหารได้ใน IG เมนูจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ
มีทั้ง Lunch และ Dinner รับลูกค้าวันละ 1 กลุ่มเท่านั้น เริ่มต้นที่ 4 ท่าน สูงสุดคือ 18 ท่าน
อาหาร 5 คอร์สราคาประมาณ 3,500 - 7,500 บ./ท่าน แล้วแต่เมนูที่เลือก
ครัวใหม่ของเชฟออกแบบมาแบบใกล้ชิดกับคนทานมาก ๆ เป็น Private สุด ๆ
โต๊ะที่นั่งทานเรียกได้ว่าเป็นที่นั่งแบบริงไซด์ชิดติดขอบสนามเลยทีเดียว
ปกติก็เคยทานอาหารแบบที่เป็น Open Kitchen มาบ้าง
แต่เทียบไม่ได้กับ Chef's Table แบบนี้
ที่นี่เราจะได้เห็นทุกขั้นตอนการทำอาหารแบบจ่อ ๆ ตรงหน้านี้เลย
Set Up บนโต๊ะก็จะเปลี่ยนไปตามเมนูอาหารที่ทาน
เสิร์ฟ 1 เมนูก็จะมีการเปลี่ยนอุปกรณ์ในการทานด้วย
หรืออย่างบางคอร์สถ้ามีการแพร์ริ่งเครื่องดื่มกับอาหาร
ก็จะมีการเสิร์ฟเครื่องดื่มให้เข้ากับอาหารแต่ละจานด้วยเช่นกัน
นอกจากจะได้ประเดิมครัวใหม่ เรายังได้ประเดิมโลโก้ใหม่ของเชฟด้วย
เห็นโลโก้ใหม่ของเชฟแล้วแอบอมยิ้ม คือภรรยาเชฟชื่อคุณกล้วย บนโลโก้เชฟก็มีกล้วยอยู่ด้วย
เชฟมีความน่ารักอ่ะ โรแมนติก + กุ๊กกิ๊กดี
ระหว่างที่เชฟเตรียมเมนูแรกให้เราก็จะมีการเสิร์ฟ Appetizer
เป็น Garlic bread เสิร์ฟมาในจานยาว
ตัวขนมปังเป็นขนมปังบาแกตต์ สไลด์เป็นแผ่นบาง ๆ ทาเนย , กระเทียม , พาสลีย์
กรอบอร่อย หอมเนยกระเทียมมาก ๆ กินเล่น ๆ เพลิน ๆ ดี แต่ต้องหยุดตัวเองไว้เกรงจะอิ่มซะก่อน
เชฟกำลังสไลด์เห็ดทรัฟเฟิลเพื่อใช้เป็นส่วนผสมในเมนูแรก
เชฟจะตักซุปใส่ถ้วย ใช้ Puff Pastry ปิดไว้ด้านบน แล้วทาด้วยไข่แดงที่หน้า
นำไปอบด้วยไฟ 200 ซี เห็นเตาแล้วกรี๊ดมาก ฟังก์ชั่นดีงามทำได้หลายสิ่ง
ทั้งอบลมร้อน , สตรีม , มีโปรแกรมในการทำอาหารหลายรูปแบบ
ก็แน่หล่ะเตา Rational ตัวนึงหลายแสนนาจา
ยกออกมาจากเตาแล้ว ข้อดีของการนั่งทานในครัวแบบนี้คือกลิ่นค่ะ
ตลอดการทานพูดอยู่ตลอดว่า หอม ๆ ๆ
Lobster bisque puff soup with truffle and lobster tail
ได้ถ้วยพิเศษที่ Puff Pastry ฟูจนเป็น 2 ชั้น
เวลาทานก็เจาะแป้งพัฟลงไป ตักซุปทานคู่กับแป้งพัฟหรือจะทานเดี่ยว ๆ ก็ได้
อยากให้ฟังเสียงตอนเจาะพัฟในคลิป กรอบกรวม ๆ มาก555
VIDEO
ล็อบสเตอร์บิสค์เป็นซุปครีมข้นที่ทำจากหัวกุ้งต้มกับน้ำสต๊อก
ในซุปใส่เนื้อล็อบสเตอร์ , หางล็อบสเตอร์ และเห็ดทรัฟเฟิล
ทุกอย่างรสกลมกล่อมเข้ากันดีมาก ๆ ไม่คาว ซุปกำลังดีไม่ใสไม่ข้นจนเกินไป
มีความหอมมันแต่ไม่เลี่ยน เมนูนี้ชอบอ่ะ ซดเกลี้ยงเลย
ขั้นตอนการเตรียมเมนูถัดมา
จะเห็นได้ว่าบนโต๊ะมีต้นสมุนไพรวางไว้ด้วย ทั้งโรสแมรี่ , Basil
ไม่ได้ตั้งโชว์ไว้สวย ๆ นะคะ เชฟเด็ดมาใช้ในการประกอบอาหารด้วย
Foie gras mousse with seared Hokkaido scallop,
wild mushroom and wild mushroom foam
หอยเชลล์ชิ้นใหญ่วางอยู่บนเห็ดป่า หอยเชลล์สำหรับเราสุกกำลังดีนะ
ด้านล่างเป็น Foie gras ที่เสิร์ฟมาในรูปแบบของ mousse
มีความครีมมี่หอมมัน แต่รสสัมผัสเบา หยด Herb Oil เพิ่มรสชาติ
ตกแต่งด้วย Edible Flowers เป็นดอกไม้สีสันสวยงามนิยมนำมาตกแต่งจานอาหาร
แถมกินได้ด้วย อย่างสีม่วงที่เห็นก็คือกลีบดอกอัญชัน
จานนี้อร่อยนะ แต่ทานเสร็จแล้วรู้สึกเลี่ยนหน่อยนึง
เมนูถัดไปเป็น quail หรือนกกระทา
จะมีการปรุงรสและยัดไส้ด้านในนกกระทาก่อนแล้วจึงนำไปทอด
เมื่อทอดเสร็จนำมาทาด้วยซอสก่อนนำเข้าไปอบ
เมื่ออบเสร็จก็จะนำมาจัดจานเสิร์ฟ โดยจะเสิร์ฟที่ละครึ่งตัว
Roasted stuffed French quail with foie gras with mushroom,
wild rice and quail red wine butter sauce
นกกระทาถอดกระดูกออก และยัดไส้ด้วยข้าวป่าเม็ดเรียวยาวลักษณะคล้ายข้าว basmati ที่หุงกับ saffron
แต่กลิ่น Saffron ไม่ชัดเท่าไหร่ นอกจากนี้เชฟยังใส่ Foie gras เพิ่มเข้าไปเพื่อเพิ่มความหอมความมัน
นกกระทามีกลิ่นสาปเล็ก ๆ ซึ่งเป็นกลิ่นเฉพาะตัว แต่เชฟทำให้กลิ่นนั้นเหลืออยู่แค่เล็กน้อย
โดยใช้ซอส และสมุนไพร ซอสทำจากกระดูกของนกกระทาล้วน ๆ ต้มกับไวน์แดง
โดยรวมเป็นจานที่โอเคเลยทีเดียว เนื้อนกกระทาสุกกำลังดี หนังกรอบ
มาถึงจานหลักกันบ้าง เมนูนี้เป็นเมนูเนื้อวากิว
ซึ่งจะผ่านกระบวนการหมัก , ผ่านความร้อนในกระทะ และนำไปอบ
ตอนยกออกมาจากเตานี่แบบหอมมาก
เชฟจะพักเนื้อไว้ซักครู่แล้วนำมาหั่น
ดูสีของเนื้อสิคุณขา สีอมชมพู สุกแบบกำลังดีเลย
โรยเกลืออีกนิด ราดซอสอีกหน่อย จัดลงจานพร้อมเสิร์ฟจ้า
Pan seared Australian wagyu rib eye steak with creamy mashed potato,
butter vegetables and bone marrow red wine sauce
เนื้ออร่อยมาก นุ่มไม่เหนียว หั่นมาชิ้นหนากำลังดี ความสุกแบบ Medium Rare
ซอสก็ดีทำจากกระดูกหน้าแข้งของวัว ใช้เวลาเคี่ยว 5 วัน
creamy mashed potato เป็นเมนูดั้งเดิมที่เชฟทำมา 10 กว่าปีแล้ว
เป็นมันบดที่เนียนมาก คือถ้าไม่บอกว่าเป็นมันบดนึกว่าเป็นไส้คัสตาร์ด
อร่อยมาก ๆ กินรวม ๆ กันแล้วจานนี้เพอร์เฟคสุด ๆ
มาถึงเมนูสุดท้ายของมื้อนี้ สายหวานตาเป็นประกายปิ๊ง ๆ
เมนูขนมนั่นเอง ดูรูปก็รู้เนอะว่าเชฟจะเสิร์ฟเมนูอะไร
Chocolate fondant with vanilla ice cream
เป็นเค้กช็อคโกแลตที่รสไม่หวานมาก ช็อคที่ใช้เป็นแบบดาร์ค
โรยหน้าด้วยไอซิ่งเล็กน้อย เสิร์ฟคู่กับไอศครีมวนิลาโฮมเมดที่มีวนิลาบีนด้วย
ดูจากช็อคโกแลตที่วางอยู่ด้านล่างของสตรอเบอรี่แล้ว
เชฟน่าจะใช้ Velrhona Chocolate
ซึ่งก็เป็นแบรนด์คุณภาพ สายเบเกอรี่นิยมใช้กัน
เมนูนี้อบแบบได้พอดีเป๊ะ ตัวขนมด้านนอกอบจนเฟิร์มอยู่ตัว
ด้านในไม่สุกจนเกินไป เจาะปุ๊บลาวาช็อคโกแลตก็ไหลออกมา
เมนูนี้เกลี้ยงกวาดเรียบไม่มีเหลือ อิอิ
สำหรับมื้อนี้ต้องบอกว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีมื้อนึงเลย
เราได้เห็นขั้นตอนตั้งแต่การเตรียมวัตถุดิบ ไปจนถึงทำเสร็จ
แถมยังเดินไปดูขณะปรุงได้เลย สนใจหรือมีคำถามตรงไหนก็ถามเชฟได้
ตลอดเวลาที่นั่งดู นั่งทาน และพูดคุยกับเชฟ เชื่อว่าหลาย ๆ คนสัมผัสได้ถึง
ความรัก ความใส่ใจในการทำอาหารของเชฟอาร์ต
บุคลิกเชฟอาจจะดูเคร่งขรึม+กับเป็นคนเสียงทุ้ม เลยดูเหมือนจะดุ
แต่เวลาที่พูดเกี่ยวกับอาหารเราสัมผัสได้เลยว่าเชฟรักและตั้งใจในการทำอาหารจริง ๆ
ต้องขอบคุณทางเว็บ Wongnai ที่พาไปเปิดประสบการณ์ใหม่ ๆในครั้งนี้ด้วยค่ะ
Chef's Table by Chef Art
Tel : 099-350-7414
FB/IG/Line:Cheftablebychefar
Create Date : 11 ตุลาคม 2560
Last Update : 11 ตุลาคม 2560 8:23:05 น.
45 comments
Counter : 4463 Pageviews.
ของหวานก็นะ ชมแล้วน้ำลายไหลรัวๆ