<<
กรกฏาคม 2552
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
26 กรกฏาคม 2552
 

ในทุ่งกว้าง : วรรณกรรมเยาวชนแบบไทยไทย



ในช่วงเยาว์วัย...เราเติบโตขึ้นมาพร้อมๆ กับกองหนังสือเด็กและเยาวชน
เป็นหนังสือแปลจากต่างประเทศ
ในช่วงเวลานั้น ก็มีหนังสือสำหรับเด็กที่เขียนโดยคนไทยอยู่ด้วย
เพียงแต่เราไม่รู้..และเราไม่ได้ซื้อหนังสือเอง

เวลาไปเดินงานหนังสือกับพ่อกับแม่...ก็มักจะตื่นตาตื่นใจกับหนังสือเสริมความรู้จากต่างประเทศ
และมักจะได้หนังสือประเภทนั้น กับหนังสืออ่านนอกเวลากลับบ้านด้วย
ถ้าเป็นหนังสืออ่านเล่น พ่อมักไม่อนุมัติ
จนโตขึ้นแม่จ่ายเงินให้เป็นรายสัปดาห์นั่นแหละ...
เราก็เจียดเงินซื้อหนังสือเอง และเวลาช่วงนั้นหนังสือวรรณกรรมแปลก็มีมากมาย
เข้าร้านหนังสือดอกหญ้าท่าพระจันทร์ ทุกวันอาทิตย์
หลังเลิกเรียนจากโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ วัดมหาธาตุ
กลับออกมา ก็มีหนังสือติดกลับบ้านด้วยทุกครั้ง
ถ้าไปไล่ดูบนชั้นหนังสือในห้องนอน...จะเห็นว่าชั้นหนึ่งเต็มไปด้วยวรรณกรรมเยาวชนชาติต่างๆ
ที่จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ดอกหญ้า ...ซึ่งโด่งดังมาในยุคนั้น ก็ราวๆ ยี่สิบกว่าปีก่อนนั่่นล่ะ

แล้วก็มาถึงจุดหักเหเมื่อเราซื้อหนังสือวรรณกรรมไทยเล่มนึงกลับมาอ่าน

ในทุ่งกว้าง : ถวัลย์ มาศจรัส

สำนักพิมพ์ปานฉัตร พิมพ์ครั้งแรก : ธันวาคม 2531 ราคา 38 บาท / 147 หน้า
ซื้อเมื่อ : 20 เมษายน 2532


จำไม่ได้แล้วว่าตอนนั้นซื้อเพราะอะไร อาจเป็นเพราะเริ่มเอียนกับหนังสือแปลแล้วก็ได้
หนังสือเล่มนี้ดูหน้าปกแล้วออกเป็น "ไทย" รูปเด็กผมจุก ผมแกละ ผมโกะ ดึงดูดให้ลองหยิบลงมาพลิกอ่านคำนำซะหน่อย

"ชีวิตข้าพเจ้าเกิดมาท่ามกลางเสียงเพลงเรือของลุงและป้า เสียงกล่อมเด็กเยือกเญ้นของแม่และแม่ใหญ่ที่ไกวเปลเห่กล่อมมาแต่แบเบาะ และสูดกลิ่นโคลนสาบควายของตระกูลขาวน้าแห่งอยุธยามาแต่แรกเกิด
วัยเด็กของข้าพเจ้าโลดแล่นอยู่ในทุ่งกว้างกับเพื่อนรุ่วมทุ่ง เรามีควายรวมฝูงเลี้ยงร่วมกัน มีคนเฒ่าของหมู่บ้านเป็นคนเล่านิทานทั้งโปกฮาและเคร่งขรึม มีหนองน้ำตาขาวให้ลงไปอาบพร้อมกับควายไม่รู้กี่สิบฝูงในทุ่ง มีเพื่อนต่างถิ่นไว้ต่อยกันวันนี้แล้วกอดคอรักกันในวันรุ่งขึ้น..."


บรรยากาศและชีิวิตที่เราไม่เคยได้สัมผัสมาเลย ...ช่างน่าสนุกอะไรอย่างนี้
งั้นก็ ซื้อกลับมาอ่านต่อที่บ้านแล้วกัน

เรื่องราวแสนซนของ จ๊อต จุก เปีย โกะ และแก้ว เรื่องแล้วเรื่องเล่าผ่านตาเราไปทีละบท ทีละบท
ผีเจ้าทุ่ง หลุมโจน นอกกระซุ้ม ดวลอีโบ๊ะ วงจิ้งหรีด แห่นางแมว ฝนแรกไถแรก ไปจับอึ้ง
และอีกหลายต่อหลายบท ล้วนแล้วแต่ถ่ายทอดประสบการณ์ของเด็กท้องนา ที่ผู้เขียนได้สัมผัสมาเองจากวัยเด็ก
และเก็บเกี่ยวเพิ่มเติมเมื่อเติบโตขึ้นมารับราชการครูในโรงเรียนกลางท้องไร่ท้องนาถิ่นภาคกลางอีก 5-6 โรงเรียน

"...ในทุ่งกว้างมีชีวิตผู้คนมากมาย ข้าพเจ้าจึงมิได้เขียนถึงชีวิตใครคนใดคนหนึ่ง แต่เขียนถึงหลายๆ ชีวิตที่โลดแล่นอยู่ในทุ่งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเด็กๆ ทีกำลังซึบซับเรียนรู้โลก รู้ชีวิต ประเพณี วัิฒนธรรมจาผู้คนในทุ่งกว้างแห่งนี้ เพราะเห็นว่าพวกเขา แท้ก็คือตัวแทนของทุกคนแห่งทุ่งกว้างในอนาคต
บ้าน วัด โรงเรียน และทุ่งโล่ง คือศูนย์กลางการถ่ายทอดเรื่องราว จากอดีตสุ่ปัจจุบัน สู่วันนี้ และพรุ่งนี้..."


ฉากและบรรยายการของท้องเรื่องที่เราวาดภาพตามไปด้วยนั้น
ทำให้รู้สึกถึงความเรียบง่ายและสุขสงบของชาวชนบท ที่ใช้ชีิวิตต่อสู่กับธรรมชาติมากกว่าต่อสู่กับคนด้วยกัน

tree 3

น้ำเหนือไหลบ่าทะลักเข้าทุ่ง ข้าวนาหว่านที่กำลังเขียวสะบัดใบอวดยอดแหลมแกว่งไกวไปตามลมนั้น เริ่มทะลึ่งถึบตัวเองให้สูงขึ้นพ้นน้ำอย่างรวดเร็ว "นี่ถ้าเป็นข้าวนาดำละก็จมน้ำตายแหงแก๋" พ่อของจ๊อดปรารถลอยๆ ให้แม่ได้ยิน แม่พยักหน้าหงึกๆ รับรู้ ข้าวนาดำนั้นถ้าหากน้ำไหลเอ่อเข้าท่วมยอดสัก 15 วันแล้วยังอ้อยอิ่งทรงตัวไม่ยอมลดระดับอย่างรวดเร็วแล้วคราบไคลจะเกาะต้นข้าวเป็นสีน้ำตาล และอีกไม่ช้าข้าวจะเน่าหลุดลอยขึ้นเหนือน้ำ พร้อมกับน้ำตาของชาวนาร่วงเผาะผล็อย เด็กๆ จะพลอยเงียบเหงาหดหู่ไปกับพ่อแม่ด้วย

tree 3

ปลายๆ เดือนสิบสอง ข้าวในนาพ่อจ๊อดเริ่มสุกบ้างแล้ว ทุกวันที่โรงเรียนหยุด เด็กน้อยตามพ่อออกทุ่งอยู่เสมอ ทุ่งแสนกว้าง ลมหนาวยังพรูมาเป็นสาย ชายผ้าขาวม้าที่เอวพ่อปลิวพึ่บพึ่บ ยามนี้ทุ่งทั้งทุ่งเรืองรองดั่งว่าทุ่งนี้ทาทับด้วยสีทองไปจนสุดลูกหูลูกตา
พ่อค่อยๆ ยื่นมือไปสอดใต้รวงข้าวที่ค้อมต่ำลง ค่อยยกมื่อขึ้นๆ ลงๆ
"น้ำหนักดีกว่าปีก่อน" พ่อหันมาพูดกับลูกชายด้วยใบหน้าแจ่มใส
"น้ำหนักดีแล้วเป็นไงพ่อ?"
"อ้าว! ก็ได้ราคาดีซีวะไอ้หนู ข้าวเมล็ดเต่งๆ หยั่งงี้ เจ๊กอู๋ชอบนัก"
"เมื่อไรพ่อจะเกี่ยวสักที?"
"ยังหรอก ข้าวมันเพิ่งสุก ดูนี่สิไอ้หนู
ข้าวน่ะจะสุกที่ปลายรวงก่อน สุกไปทีละนิด ละนิด เขาเรียกว่า เหลืองปลาย"

tree 3

ดวงตะวันอ้อมทุ่งส่งแสงรอนๆ อ่อนจาง อากาศยามเย็นเย็นจับจิต ความหนาวเหน็บไม่เคยปรานีใคร ยิ่งดวงตะวันลาลับไปแล้ว มันยิ่งทวีความสะท้านเข้าไปในอก เหมือนอันธพาลที่ระรานชาวบ้านไม่เลือกหน้า มันเป็นอันธพาลทางฤดูกาล เป็นความเกเรของธรรมชาิติ

tree 3

หลังจากชาวนาเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว ก็เป็นช่วงที่โรงเรียนปิดภาคเรียนพอดี ห้าสหายแห่งบ้านทุ่ง เก็บหนังสือเก็บตำรากองไว้ที่เสาเรือน ออกไปเรียนกับโรงเรียนธรรมชาติที่มีหลักสูตรภาคปฏิบัติให้เรียนรู้มากมาย หลักสูตรนี้มันมีทั้งความตื่นเต้น หวาดเสียวปนความสนุกสนานอยู่ทุกบทเรียน หากเอาผืนนาแต่ละแปลงเป็นหน้าหนังสือ บทเรียนบทนี้มันมีหลายพันหลายหมื่นหน้า มีภาพประกอบพราวไปทุกแผ่นที่พลิกผ่าน มันสนุกไม่น่าหน่าย ไม่เหมือนหนังสือเล่มเล็กๆ ที่ครูสอนอยู่ในโรงเรียนซึ่งเด็กๆ เห็นว่า มันไม่เอาไหนเสียเลย

tree 3

โรงเรียนเป็นสวรรค์เสมอสำหรับห้าเกลอแห่งท้องนา สนามอันกว้างขวางมีหญ้าขึ้นเขียวชื่นตานั้นเปรียนบได้ดั่งเวทีแห่งการแสดงออกและการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้นสนุกสนาน เสียงเอ๊ะอะเีจี๊ยวจ๊าวเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ทำให้โรงเรียนมีชีวิตชีวา ชีวิตน้อยๆ เริ่มต้นเรียนรู้โลก เรียนรู้สังคมเก่ากับใหม่ได้ที่นี่โดยมีครูซึ่งผ่านโลกมายาวนานกว่าเป็นผุ้เชื่อมโยง ถ่ายทอดระเบียบประเพณีและวัฒนธรรมให้เด็กๆ รับช่วงไปรุ่นแล้วรุ่นเล่า โรงเรียนเป็นสถาบันของสังคมที่จะรับใช้ผู้คนตลอดกาล

tree 3



พอเราอ่านหนังสือเล่มนี้จบ..เรารู้สึกว่า อยากเรียนรู้ชีวิต ความเป็นอยู่ ของคนไทยด้วยกันมากขึ้น
วรรณกรรมเยาวชนช่วงต่อมาที่เราเลือกซื้อ หรือยืมมาอ่าน จึงเป็นวรรณกรรมเยาวชนไทย
โดยนักเขียนไทย ซึ่งพบว่า มีน้อยยิ่งนัก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเสียเลย
การส่งเสริมแวดวงวรรณกรรมไทยเริ่มเข้มข้นขึ้น การประกวดเรื่องสั้น บทความ เรื่องต่างๆ มีอยู่เรื่อย
จากนั้นก็จะเห็นการรวมเล่มโดยสำนักพิมพ์ต่างๆ ออกมาเรื่อยๆ เช่นกัน
และจนถึงวันนี้ มีนักเขียนหน้าใหม่ที่นำเสนอเรื่องแบบไทยๆ ร่วมถึงเรื่องร่วมสมัยออกมามากมาย
หนังสืออ่านสำหรับเด็กก็เยอะมาก...เยอะจนเราอยากกลับไปเป็นเด็ก แล้วจะอ่านให้หนำใจอีกครั้ง






Create Date : 26 กรกฎาคม 2552
Last Update : 26 กรกฎาคม 2552 10:21:59 น. 12 comments
Counter : 11537 Pageviews.  
 
 
 
 
ชอบปกจังเลยค่ะ นึกย้อนไปน้อยมากที่เราจะได้สัมผัสท้องทุ่งนา สัมผัสธรรมชาติ ชีวิตส่วนใหญ่เล่นอยู่ในตึกสี่เหลี่ยมแคบๆ นะคะ
 
 

โดย: ส้มแช่อิ่ม วันที่: 26 กรกฎาคม 2552 เวลา:12:13:17 น.  

 
 
 
คุณส้ม >> เห็นด้วยค่ะ...เราก็เลยต้องมาเก็บประสบการณ์คนอื่นผ่านตัวอักษรนี่แหละ...
 
 

โดย: นัทธ์ วันที่: 26 กรกฎาคม 2552 เวลา:12:28:08 น.  

 
 
 
คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

แหล่มจ๊ะ
 
 

โดย: อุ้มสี วันที่: 26 กรกฎาคม 2552 เวลา:12:54:44 น.  

 
 
 
ดีจังมีความทรงจำดีๆในวัยเยาวชน

ด้วยงานวรรณกรรมเยาวชนที่สะท้อน

สภาพชีวิตสังคมชนบทชาวนาไทย

ขณะทีผมยังอ่านการ์ตูนอยู่เลย
 
 

โดย: Mr.Chanpanakrit วันที่: 26 กรกฎาคม 2552 เวลา:19:03:19 น.  

 
 
 
คุณอุ้มสี >>

คุณชาญ >> การ์ตูนเป็นหนังสือต้องห้ามเลยล่ะ แต่ก็ยิ่งห้ามยิ่งยุในเวลาต่อมาๆ เช่นกัน
 
 

โดย: นัทธ์ วันที่: 26 กรกฎาคม 2552 เวลา:21:39:29 น.  

 
 
 
ขอบคุณที่แวะไปทักทายนะคะ..ชอบอ่านหนังสือเหมือนกันเลย ดีจัง..จะแวะมาอ่านรีวิวบ่อยๆนะคะ
 
 

โดย: savita29 วันที่: 27 กรกฎาคม 2552 เวลา:8:42:48 น.  

 
 
 
ถ้าจำไม่ผิด เคยอ่านตอนเด็กๆ ค่ะ

เราเคยสัมผัสชีวิตอย่างนี้บ้าง แม้จะไม่ทั้งหมด แต่ก็เคย ก็ยังโอเคค่ะ แหะๆ



ถ้าได้อ่านเดอะ สตอรี่ เทลเลอร์แล้ว ก็ไปคุยกันนะคะ
 
 

โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 27 กรกฎาคม 2552 เวลา:9:53:50 น.  

 
 
 
เดี๋ยวนี้หาอ่านและหาเจอชีวิตความเป็นอยู่แบบนี้ได้ค่อนข้างยากแล้ว น่าจะเอามาเป็นหนังสือนอกเวลาให้เด็กได้อ่านกันบ้าง

พูดแล้วก็นึกถึงเรื่องมานะ มานี ไม่น่าโดนถอดออกจากหนังสือแบบเรียนเลย
 
 

โดย: หมูย้อมสี วันที่: 27 กรกฎาคม 2552 เวลา:11:38:05 น.  

 
 
 
หน้าปกน่ารักน่ะค่ะ
หนังสือแบบนี้อยากให้เด็กๆสมัยนี้ได้อ่านจังเลยค่ะ
 
 

โดย: กล้ายางสีขาว วันที่: 27 กรกฎาคม 2552 เวลา:12:01:24 น.  

 
 
 
การอ่านหนังสือในวัยเด็กมีผลต่อวิถีคิดในปัจจุบันเลยค่ะ
แต่ส่วนใหญ่รัชชี่ไม่ค่อยได้อ่านหนังสือแปลจากต่างประเทศค่ะ ถ้าอ่านก็เป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์ นิดาเขียน
 
 

โดย: รัชชี่ (รัชชี่ ) วันที่: 27 กรกฎาคม 2552 เวลา:13:06:56 น.  

 
 
 
ชอบจัง
อยากให้มีคนเขียนหนังสือเด็ก ๆ อย่างนี้ออกมาอีกเยอะ ๆ
 
 

โดย: แม่ไก่ วันที่: 27 กรกฎาคม 2552 เวลา:13:17:17 น.  

 
 
 
คุณ savita29 >> ยินดีต้อนรับค่ะ

คุณสาวไกด์ฯ >> ตอนเด็กๆ เราก็เคยวิ่งเล่นในสวนนะ ไมุ่ึถึงกับกลางทุ่ง แต่ก็ให้อารมณ์ใกล้เคียงในหนังสือล่ะ

คุณหมู >> นั่นซินะ ..รึว่าเค้าไม่ส่งเสริมให้เรียนรู้สภาพชีวิตอย่างนี้กันแล้ว

คุณกล้ายางฯ >> เห็นด้วยค่ะ

คุณรัชชี่ >> ต่างจากเรานะเนี่ย อ่านเรื่องแปลมานานแล้ว

คุณแม่ไก่ >> มันไม่ค่อยมีน่ะซิ
 
 

โดย: นัทธ์ วันที่: 27 กรกฎาคม 2552 เวลา:18:03:34 น.  

Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

นัทธ์
 
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 39 คน [?]





รักที่จะอ่าน รักที่จะเขียน
เปิดพื้นที่ไว้ สำหรับแปะเรื่องราว
มีสาระบ้าง ไม่มีสาระบ้าง ณ ที่นี้



สงวนลิขสิทธิ์
ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์
พ.ศ.2539

ห้ามผู้ใดละเมิด
โดยนำภาพถ่ายและ/หรือข้อความต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นส่วนใดส่วนหนึ่ง
หรือทั้งหมดใน Blog แห่งนี้ไปใช้
และ/หรือเผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาต
เป็นลายลักษณ์อักษร

New Comments
[Add นัทธ์'s blog to your web]

MY VIP Friend

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com