"นายใน" สมัยรัชกาลที่ 6 : ชานันท์ ยอดหงษ์
สืบเนื่องจากกิจกรรม Blind date with a book โดย The Reading Room ซึ่งได้แวะไปเลือกคู่เดตเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา วันนี้ ...อ่านจบแล้ว
"นายใน" สมัยรัชกาลที่ 6 : ชานันท์ ยอดหงษ์
สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งแรก : มีนาคม 2556 จำนวน 328 หน้า / ราคา 240 บาท อ่านจบ : 2 มีนาคม 2557
:: โปรยปกหลัง ::
"...คนอ่านที่สนใจวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ และความสัมพันธ์ของชนชั้นนำ น่าจะสนุกสนาน ตื่นตาตื่นใจกับรายละเอียดหลายประการที่ 'นายใน' นำเสนอ ภาพของชนชั้นสูงที่ดูเป็นมนุษย์ มีอารมณ์ ความรู้สึก และเผชิญปัญหานานาประการ อาจทำให้เราเข้าใจคนในสถานะพิเศษและความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นได้มากขึ้น โดยไม่ติดกับการมองมิติเชิงบวกแบบอภิมนุษย์แต่เพียงอย่างเดียว ที่เสริมสร้างมายา มากกว่าความเข้าใจหรือทำให้ไม่เอื้อต่อการผูกตนเองเข้ากับคนชนชั้นสูงกว่า
นอกจาก 'นายใน' จะสนองความอยากรู้ข้ามชนชั้นแล้ว คนที่สนใจประเด็นเพศสภาพ เพศวิถี การก่อตัวและปรับเปลี่ยนของวัฒนธรรมวิคตอเรียนท้องถิ่นแบบสยาม น่าจะได้ประโยชน์จากการอ่านหนังสือเล่มนี้อยู่มาก ทั้งในเรื่องแนวคิดและ ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม"
ชลิตาภรณ์ ส่งสัมพันธ์ - คำนำเสนอ
:: รายละเอียดหนังสือจากเวปไซค์ Matichon Book ::
เมื่อราชสำนักฝ่ายใน ไม่ต้องการสตรี จึงไม่มี "นางใน" แล้วใครแทน?
หนังสือเล่มนี้ปรับปรุงใหม่จากวิทยานิพนธ์ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร ์ว่าด้วยเรื่อง "นายใน" โดยวิเคราะห์พระราชกรณียกิจ พระราชนิยม พระบรมราชวินิจฉัยเกี่ยวกับ "ความเป็นชาย" ของรัชกาลที่ 6 รวมถึงบทบาทของ "นายใน" ในพระราชสำนักสมัยรัชกาลที่ 6
"นายใน" หรือข้าราชบริพารที่เป็นผู้ชายและอยู่ใกล้ชิดพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ในฐานะข้าราชสำนักฝ่ายในและพระสหาย เป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในพระราชสำนัก ซึ่งผู้เขียนสนใจในปรากฎการณ์ดังกล่าวจึงสนใจศึกษาเรื่องดังกล่าว
ขณะเดียวกัน รัชกาลที่ 6 ทรงพยายามกำหนด "ความเป็นชาย" ให้สอดคล้องกับรัฐรูปแบบใหม่ที่เป็นรัฐประชาชาติ โดยผ่านกระบวนการต่างๆ ที่นำเข้ามาจากประเทศอังกฤษ เช่น สโมสรกีฬาฟุตบอล หนังสือพิมพ์ ละคร งานพระราชนิพนธ์ ตลอดจนลูกเสือ เสือป่า
เราอาจคุ้นเคยกับคำว่า "นางใน" "บาทบริจาริกา" "ข้าหลวงในราชสำนักฝ่ายใน" พอมาเจอคำว่า "นายใน" บนปกหนังสือ ก็ทำให้เราสะดุดใจขึ้นมา แต่ก็ยังไม่ได้รีบร้อนอยากรู้อยากเห็นอะไรมากนัก แล้วก็ได้มาเห็นข้อความจากเพื่อนๆ หลายคนในเฟซบุ๊คส์ ที่วิพากษ์วิจารณ์ถึงหนังสือเล่มนี้ในทางลบอยู่มาก ไปฟังบรรยายทางวิชาการ มีเรื่องราวเกี่ยวเนื่องกับรัชกาลที่ 6 วิทยากรก็พูดถึงหนังสือเล่มนี้ในทางลบอีก
เมื่อเราเปิดกระดาษห่อหนังสือออกมาเจอกับปกนี้ จึงรู้สึกถูกใจมากเป็นพิเศษ เพราะเป็นหนังสือที่อยากอ่าน แต่ยังไม่อยากซื้อนั่นเอง
หนังสือเล่มนี้คัดเลือกเนื้อหาบางส่วนและค้นคว้าเพิ่มเติมจาก "นายใน : ชีวิตทางสังคมชายล้วนและเพศสภาวะในพระราชสำนัก พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว วิทยานิพนธ์ สาขาวิชาสตรีศึกษา วิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปีการศึกษา 2554
แบ่งการนำเสนอออกเป็นบทต่างๆ (มีบทนำและบทสรุปด้วย) คือ - "นายใน" กับพระราชสำนักรัชกาลที่ 6
- นายในทรงโปรดในรัชกาลที่ 6
- กิจกรรมภายในพระราชสำนักฝ่ายในชาย
- เพศภาวะชายและ "ความเป็นชาย" ตามพระราชนิยมที่มีอิทธิพลต่อนายใน
- เพศภาวะของนายใน
- "นายใน" และพระราชสำนักฝ่ายในชายในบริบทสังคมการเมือง
เนื้อหาผ่านการ "อ่านและวิเคราะห์ประเด็นต่างๆ" จากหลักฐานอ้างอิงมากมาย ทั้งพระราชดำรัส พระบรมราโชวาทที่ทรงพระราชทานในวาระต่างๆ พระราชนิพนธ์ จดหมายเหตุ หนังสือโต้ตอบทางราชการ หนังสือที่ระลึกงานศพหลายต่อหลายท่าน แต่คัดสรรมานำเสนออ้างอิงในมุมที่ผู้เขียนสนใจ คือ เพศสภาพ เพศวิถี ของบรรดามหาดเล็กในพระราชสำนักรัชกาลที่ 6 รวมถึงตัวพระองค์เองด้วย
เราจับความได้ประมาณว่า เดิมนั้นราชสำนักฝ่ายใน เป็นเรื่องของ "สตรีของพระมหากษัตริย์" แต่มาในรัชสมัยของรัชกาลที่ 6 ฝ่ายในของพระองค์ คือ "มหาดเล็ก" ผู้เขียนจึงใช้คำว่า "นายใน" แทนคำเรียกว่า "มหาดเล็ก" ตลอดทั้งเล่ม อ่านแล้วก็ตะขิดตะขวงใจอยู่เหมือนกันนะ
แล้วในช่วงรัชสมัยนั้น มหาดเล็กดูเหมือนจะมีความสำคัญและมีอำนาจเหนือพระมหากษัตริย์อยู่กลายๆ คือ มีความอำนาจในเชิงอารมณ์และความรู้สึก ...เมื่อ "ทรงโปรด" ก็พระราชทานฐานันดร ศักดินา รางวัล รวมไปถึง "การตัดสินพระทัยในการบริหารราชการ" ก็ทรงฟังความเห็นจากมหาดเล็กคนโปรด นอกจากนี้การเข้ามาสู่ราชสำนักฝ่ายใน โดยการเป็นมหาดเล็กนั้น เป็นการขยับฐานันดรของผู้คนในยุคนั้นด้วย เพราะเมื่อเป็นมหาดเล็กก็เหมือนกับเป็น "พวกเดียวกันกับพระองค์" จะทรงปกป้องและให้การสนับสนุนทุกๆ เรื่อง จากลูกหลายเจ้านายชั้นปลายแถว หรือจากพ่อค้า ครูหัวเมือง ก็ได้ขยับฐานะเป็นใหญ่เป็นโตในราชการได้เร็วด้วย ทั้งนี้ ก็เพราะพระองค์ขึ้นครองราชย์ด้วยความรู้สึกว่า "หัวเดียวกระเทียบลีบ" เลยต้อการหาพวก
พระราชนิยมของพระองค์ คือ โปรดชายหนุ่ม (และเด็กหนุ่ม) รูปงาม กิริยามารยาทเรียบร้อย และทรงกำหนด "ความเป็นชาย" ว่าต้องรักพวกพ้อง เสียสละ รักชาติยิ่งชีพ ร่างกายแข็งแรง แต่ในขณะเดียวกัน ก็โปรดที่จะเห็น ชายแต่งหญิงและแสดงกิริยาแบบหญิง - - ผ่านการเล่นละคร ซึ่งความที่ทรงโปรดการละคร อักษรศาสตร์ ในยุคของพระองค์จึงเกิดมี "กรมมหสรพ" ขึ้นมา มีความรุ่งเรืองในงานวรรณกรรม งานโขนละครฟ้อนรำและดนตรีเป็นอย่างมาก ซึ่งผู้เขียน พยายามบอกว่า กิจการเสือป่า เมืองจำลองดุสิตธานี เสมือนเป็น "การแสดงบทบาท" ที่พระองค์บังคับในมหาดเล็กและข้าราชการในราชสำนักฝ่ายใน "เล่น" เหมือนเล่นละครกัน ไม่ใช่ การปูพื้นฝึกหัดทหาร หรือการสอนระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย
ทั้งนี้ พระราชนิยมของพระองค์ น่าจะได้รับอิทธิพลมาจากไปศึกษาที่อังกฤษ ทรงรับเอาวัฒนธรรมแบบวิคตอเรียน และลักษณะของสุภาพบุรุษจากอังกฤษ การใช้ชิวิตในโรงเรียนกินนอน การมีสโมสร การมี Scout ก็ทรงนำมาจากอังกฤษทั้งสิ้น แต่ทรงกำหนด ดัดแปลงรูปแบบตามที่พระองค์ต้องพระประสงค์ กลายเป็น วิคตอเรียนท้องถิ่นแบบสยาม
แม้จะมีการอธิบายในประเด็นต่างๆ แต่การ "ตัดข้อความ" มาอ้างอิงประกอบ ก็ตัดมาแบบสั้นๆ ให้สนับสนุนประเด็นนั้นๆ ไม่มีบริบทแวดล้อมให้คนอ่านได้คิดต่อเลย มักจะเห็นคำว่า "สนิทเสน่หา" "ผูกพันอย่างลึกซึ้ง" อยู่บ่อยครั้ง มันก็เลย เหมือนกับว่า "ยัดเยียด" ให้เราเห็นคล้อยตามไปซะทุกเรื่อง
แต่อย่างไรก็ดี เราว่าหนังสือเล่มนี้ เปิดโลกทัศน์ในการมองสถานะของ "พระมหากษัตริย์" ไม่ใช่ "สมมุติเทพ" ตามคติเดิมๆ อีกต่อไป แต่เป็นมนุษย์ปุถุชนที่มีอารมณ์ มีความรู้สึก มีรัก มีชัง มีชอบ ในสิ่งที่แตกต่างไปจากกรอบจารีตประเพณีเดิมๆ มันคือ ความเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพแวดล้อมที่ได้พบเจอ และเมื่อเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น "ภายในพระราชสำนัก" เป็นสิ่งที่ยอมรับกันได้ใน "กลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง" แต่ทว่า การโปรดมหาดเล็ก (บางคน) เกินไป ก็กระทบต่อการบริหารเช่นกัน เพราะทำให้การตัดสินพระทัยบางเรื่อง ข้าราชการในส่วนงานอื่นๆ มองว่า ทรงยอมให้เพราะ "โปรด"
ท้ายเล่มมีบรรณานุกรม ซึ่งเสนอรายชื่อเอกสารและหนังสือมากมายให้ไปค้นคว้าเพิ่มเติม จะหาข้อมูลมาแย้งหรือมาสนุนแนวคิดของผู้เขียนก็ตามใจเถิด สำหรับเราแล้ว ไมว่า "รสนิยมส่วนพระองค์" จะเป็นอย่างไร ก็ปฏิเสธพระอัจฉริยภาพในด้านอักษรศาสตร์ของพระองค์ไม่ได้เลย และไม่ว่่าคนกลุ่มหนึ่งจะมองงานของพระองค์เป็น "การเล่น" ก็ตามที แต่สิ่งที่ทรงพยายามถ่ายทอด สอน อบรม ให้แก่กลุ่มมหาดเล็กและเสื่อป่านั้น ก่อให้เกิด "องค์ความรู้" ที่ต่อมาก็ได้รับการถ่ายทอดสู่คนรุ่นต่อมาอีกนั่นแหละ และความรู้นั้น ก็ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อ "ประชาชน" ในวาระต่อๆ มา
และหนังสืออีกเล่มที่เราคิดว่า น่าจะต้องหามาอ่านซะทีก็คือ พระราชประวัติตอนต้นรัชกาล ทีพ่ระองค์ทรงเขียนขึ้น เสมือนเป็นบันทึกนั่นแหละ จะดูซิว่า เราจะจับอารมณ์ลึกๆ และรสนิยมผ่านงานเขียนชึ้นนี้ของพระองค์ได้หรือไม่
Create Date : 02 มีนาคม 2557 |
Last Update : 3 มีนาคม 2557 21:28:44 น. |
|
15 comments
|
Counter : 12342 Pageviews. |
|
|
|
ขอบคุณสำหรับรีวิวนะคะ