Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2553
 
2 กุมภาพันธ์ 2553
 
All Blogs
 

คู่เวร ข้ามภพ



พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน สมัยนั้นมีพราหมณ์คนหนึ่งในหมู่บ้านคยา
ได้ให้ธิดาแก่บุตรพราหมณ์คนหนึ่งในหมู่บ้านนั้น ธิดาพราหมณ์เป็นลูกสะใภ้แล้วได้ตั้งตัวเป็นใหญ่ในบ้าน
นางเห็นลูกสาวของทาสีในบ้านนั้นแล้วไม่ชอบหน้า นับแต่เห็นมา นางก็แสดงอาการฮึดฮัดด่าว่าด้วยความโกรธ
และชูกำปั้นแก่ลูกสาวทาสีนั้น เมื่อลูกสาวทาสีโตพอจะทำการงานได้
นางก็ใช้เข่า ศอก และกำปั้นทุบตีเหมือนผูกอาฆาตกันมาในชาติก่อนๆ หลายชาติทีเดียว

เล่ากันมาว่า ในครั้งพระทศพลพระนามว่ากัสสปะ
ทาสีนั้นได้เป็นนายและได้ทุบตีลูกสะใภ้ด้วยก้อนดิน และชูกำปั้นให้เสมอๆ
ลูกสะใภ้เหนื่อยหน่ายเพราะการกระทำนั้น ได้ทำบุญให้ทานตั้งความปรารถนาขอให้ได้เป็นนายบ้าง
ในชาติปัจจุบันคนทั้งสองจึงมีสถานะกลับกัน

วันหนึ่งโดยไม่มีเหตุสมควรเลย ลูกสะใภ้ได้จิกผมใช้ทั้งมือทั้งเท้าตบตีอย่างเต็มที่
ทาสีนั้นไปศาลาอาบน้ำ โกนผมเสียเกลี้ยง ลูกสะใภ้จึงกล่าวว่า ทาสีชั่ว เพียงโกนผมเกลี้ยงก็จะพ้นหรือ
แล้วเอาเชือกพันศีรษะ จับนางให้ก้มลงแล้วเฆี่ยน และไม่ให้นางเอาเชือกออก
แต่นั้นมานางทาสีจึงได้ชื่อว่า รัชชุมาลา (รัชชุ = เชือก มาลา = หมวก)

วันหนึ่งเวลาใกล้รุ่ง พระพุทธเจ้าทรงตรวจดูสัตวโลก นางรัชชุมาลาได้ปรากฏในข่ายพระญาณ
จึงเสด็จเข้าไปป่า ประทับนั่งที่โคนไม้แห่งหนึ่ง ฝ่ายนางรัชชุมาลาถูกรังแกทุกวัน จึงเบื่อหน่ายต่อชีวิต
ประสงค์จะฆ่าตัวตาย ถือหม้อน้ำออกจากเรือนทำทีว่าไปตักน้ำ แล้ววางหม้อน้ำไว้ข้างทาง เข้าไปยังป่าชัฏ
ผูกเชือกที่กิ่งของต้นไม้ซึ่งอยู่ใกล้ที่ประทับ เพื่อทำเป็นบ่วงผูกคอตาย
มองไปรอบทิศเห็นพระพุทธเจ้าประทับนั่งอยู่ ดูน่าพอใจและน่าเลื่อมใส
เกิดความคิดว่า ทำไฉนพระพุทธเจ้าจะทรงแสดงธรรมโปรดคนเช่นเราให้พ้นความลำเค็ญ

เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสเรียก นางรัชชุมาลาก็เข้าไปเฝ้า ถวายบังคมแล้วฟังธรรมได้บรรลุโสดาบัน
จากนั้นนางก็นำหม้อไปตักน้ำแล้วกลับเรือน คนในเรือนรู้เรื่องนางรัชชุมาลา
จึงนิมนต์พระพุทธเจ้ามาฉันที่เรือน เมื่อฟังธรรมแล้วก็ดำรงอยู่ในสรณะและศีล
การจองเวรของสองนางก็สิ้นสุดลง เมื่อนางรัชชุมาลาตายก็ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

(อรรถกถารัชชุมาลาวิมาน)


ต่อไปเป็นประสบการณ์ของจ่าสิบตรีหญิงชวนชื่น อุณหนันทน์ ที่ถูกวิญญาณพยาบาทเข้าสิง
เจ้าตัวได้ให้สัมภาษณ์เรื่องนี้เมื่อวันพุธที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๑๘ ที่วชิรพยาบาล ความว่า
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อยี่สิบกว่าปีมาแล้ว ขณะนั้นดิฉันอายุ ๑๕-๑๖ ปี ได้ไปร่วมงานทอดกฐินพระราชทาน
ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการนำไปทอดที่วัดป่าเลไลยก์ จ.สุพรรณบุรี
คืนนั้นมีการแสดงลิเกและเล่นละครเพื่อฉลององค์กฐิน ตอนเช้ามีการทำบุญเลี้ยงพระ
ตอนสายก็มีการแห่รอบโบสถ์ ดิฉันอุ้มไตรกฐินเดินรอบโบสถ์ ยังไม่ทันถึง ๒ รอบ ก็รู้สึกอ่อนเพลียเวียนศีรษะ
จึงให้เพื่อนช่วยอุ้มไตรแทน

ขณะนั้นใกล้เพลแล้ว ดิฉันตั้งใจจะเดินไปพักผ่อนบนรถที่จอดอยู่ไม่ไกลนัก แต่แล้วก็หน้ามืดหมดความรู้สึก
มารู้ตัวลืมตาขึ้นก็เห็นตัวมานอนอยู่บนศาลาวัด เป็นเวลาบ่ายมากแล้ว รู้สึกงงไปหมด
เพื่อน ๆ และครูที่นั่งล้อมรอบต่างมีสีหน้าเศร้า
ดิฉันสงสัยจึงร้องถามว่า นี่ดิฉันเป็นอะไรไป ทำไมจึงมานอนอยู่บนศาลานี้

เพื่อนเล่าให้ฟังว่า เมื่อดิฉันหมดสติไป มีวิญญาณผีผู้ชายมาเข้าสิง แสดงกิริยาท่าทางโกรธมาก พูดเสียงห้าวๆ ว่า
มาคอยกินเลือดอยู่ที่ใต้ต้นพิกุลนี้หลายสิบปีแล้ว ดิฉันตกใจถามว่า ทำไมต้องมาเจาะจงคอยเอาเลือดดิฉัน
เพื่อนๆ ก็เล่าว่า วิญญาณชายนี้บอกว่า เมื่อชาติก่อนดิฉันเกิดเป็นลูกเศรษฐี มีอารมณ์ฉุนเฉียว เอาแต่ใจตัวเอง
บ่าวไพร่ในบ้านได้รับความเดือดร้อนจากดิฉันเสมอ
เพราะดิฉันถือว่าพ่อรักมากและตามใจทุกอย่างเนื่องจากเป็นลูกคนเดียว

ครั้งหนึ่งบ่าวผู้ชายคนนี้ ได้แอบมองดูเห็นปานขาวใต้ร่มผ้าเมื่อดิฉันนุ่งโจงกระเบน แล้วเที่ยวพูดไปทั่ว
ดิฉันโกรธมากไปฟ้องพ่อขอให้ลงโทษบ่าวคนนี้ พ่อจึงสั่งให้จับตัวไปตีตรวนแล้วเฆี่ยน
ชายผู้นี้ถูกเฆี่ยนจนบอบช้ำมาก ข้าวปลากินไม่ลง ก่อนตายได้กล่าวอาฆาตว่า จะขอจองเวรกินเลือดดิฉันให้ได้
เมื่อตายแล้วศพของเขาถูกฝังอยู่ข้างกำแพงโบสถ์ใต้ต้นพิกุล
เพื่อนเล่าว่าวิญญาณชายนี้ยังได้ชี้ให้ดูที่ฝังศพของเขา และบอกว่าในชาตินี้ดิฉันก็ยังมีปานขาวใต้ร่มผ้า

ท่านผู้ไปในงานส่วนใหญ่ไม่เชื่อเรื่องนี้ หมอที่อยู่ในที่นั้นก็หาว่าดิฉันเพ้อเพราะพิษไข้
แต่มีผู้ใหญ่บางท่านขอร้องให้ทางวัดช่วยหาเครื่องมือ และคนมาขุดตรงที่วิญญาณชี้ เพื่อพิสูจน์ความจริง
เมื่อขุดลงไปลึกไม่มาก ก็เห็นโครงกระดูกศพแต่ไม่มีหัว กระดูกท่อนขายังมีโซ่ตรวนสวมอยู่
แต่เหล็กถูกสนิมกินจนผุกร่อนแทบจะขาดจากกันแล้ว จริงตามที่วิญญาณบอก นับเป็นเรื่องแปลก
เพราะแม้แต่เจ้าอาวาสและพระที่อยู่มานาน ก็ไม่รู้ว่ามีศพฝังอยู่ตรงนั้น
และเมื่อเพื่อนหญิงถลกผ้าดูในขณะที่ดิฉันยังไม่รู้สึกตัว ก็มีปานขาวจริงอย่างที่วิญญาณบอก

วิญญาณนั้นยังบอกว่า ถ้าไม่เอาเลือดไปรดที่กระดูกของเขา ดิฉันจะไม่ได้กลับกรุงเทพ
ท่านเจ้าอาวาสจึงบอกให้เอาเลือดทาใบไม้ แล้วไปแตะที่กระดูกที่ขุดขึ้นมา ให้โครงกระดูกดูดเลือดจากใบไม้
โดยให้หมอเจาะเลือดที่แขนพับ เมื่อจัดการเรียบร้อยแล้ว ก่อนวิญญาณจะออกจากร่างยังสั่งว่า
ทุกวันขึ้น ๑๕ ค่ำให้ดิฉันใส่บาตรพระ ๙ องค์ แล้วอุทิศส่วนบุญไปให้จนกว่าเขาจะพอใจจึงจะเลิกจองเวร

เมื่อกลับถึงกรุงเทพฯ ดิฉันใส่บาตรอุทิศส่วนกุศลไปให้วิญญาณนั้นทุกวัน เพื่อใช้หนี้กรรมให้เสร็จสิ้นไปโดยเร็ว
หลังจากกลับมาได้ ประมาณ ๒ เดือน เวลาประมาณ ๕-๖ โมงเย็น ดิฉันนั่งอยู่ในบ้าน
ได้ยินเสียงหมาหอนก็กลัว และรู้สึกหนังตาหนักจะหลับ พอเคลิ้มๆ ไป ดิฉันก็เห็นร่างชายคนหนึ่ง
เข้าใจว่าเป็นวิญญาณนั้นมาแสดงตัวให้เห็น เขาทำหน้าดุๆ ยิ้มแสยะอย่างเย้ยๆ แต่ก็ไม่แสดงท่าว่าจะทำร้ายดิฉัน
ดิฉันกลัวมากนึกถึงเวรกรรมที่ทำไว้กับเขา จึงคิดว่า ต้องอดทนทำดีต่อไปจนกว่าเขาจะให้อโหสิกรรม
หลังจากนั้นเขาก็มาเดือนละ ๑-๒ ครั้ง ส่วนมากมักมาเวลา ๕-๖ โมงเย็น ทำให้ดิฉันไม่กล้าอยู่คนเดียว
หลังจากที่ดิฉันต้องอยู่อย่างหวาดหวั่นเป็นเวลาประมาณ ๑๑ เดือน
เย็นวันหนึ่ง วิญญาณก็มาปรากฏตัวให้เห็นเป็นครั้งสุดท้ายและชัดเจนกว่าทุกครั้ง
วิญญาณได้พูดขอบใจที่ได้ทำตามทุกอย่าง ขอให้อโหสิกรรมและจะไม่มาให้เห็นอีก

(กฎแห่งกรรม ของ ท. เลียงพิบูลย์ เล่ม ๖)


ประเด็นที่ควรกล่าวถึงมีดังนี้
๑. การที่เจ้านายเกลียดนางรัชชุมาลาทันทีที่เห็นหน้าครั้งแรก เนื่องจากเคยโกรธแค้นกันมาแต่ชาติก่อน
นี้คือเหตุผลว่า ทำไมเราจึงไม่ชอบหน้าบางคนเพียงแรกเห็น

๒. นางรัชชุมาลาเคยเบียดเบียนทุบตีคนอื่นมาในชาติก่อน ชาตินี้จึงได้รับผลของบาปกรรมที่ตนทำไว้
ถูกเขารังแกจนทนไม่ไหว กลุ้มใจมากถึงกับคิดฆ่าตัวตาย จัดเป็นนรกในใจ
การที่จ่าฯชวนชื่นต้องอยู่อย่างหวาดกลัว ก็จัดเป็นนรกในใจเช่นกัน

๓. เจ้ากรรมนายเวรมีอยู่จริง คงเป็นพวกเปรตหรืออสุรกายที่ผูกพยาบาท เพราะเราเคยสร้างกรรมเวรไว้กับเขา
ดังนั้นเจ้ากรรมนายเวรที่แท้จริงก็คือตัวเราเอง ถึงแม้เจ้ากรรมนายเวรจะมีจริง แต่ก็ไม่อาจแก้แค้นได้ตามอำเภอใจ
รู้จากการที่วิญญาณอาฆาตต้องรอนานหลายสิบปี จึงได้โอกาสเข้าสิง
ถ้าจะถามว่ารออะไร คำตอบน่าจะเป็น รอกรรมเปิดโอกาสให้
หมายความว่า ตราบใดที่กรรมยังไม่ให้ผล วิญญาณก็ไม่มีโอกาสเข้าสิง

๔. การเข้าสิงในกรณีนี้น่าจะจริง เพราะมีหลักฐานยืนยันคือ โครงกระดูกที่ขุดพบและเรื่องปานขาวในร่มผ้า
ผู้เรียบเรียงเองก็เคยเห็นเรื่องทำนองนี้ที่วัดญาณสังวราราม เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๙ ขณะกำลังทำวัตรค่ำ
ผู้เรียบเรียงเห็นพระภิกษุองค์หนึ่งซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆ (ถูกเข้าสิง) นั่งเท้าแขน ทำท่าเหมือนเล่นลิเกเป็นตัวเจ้า
ไม่ได้พูดอะไร ทีแรกผู้เรียบเรียงรู้สึกตกใจกลัวถูกลูกหลง แต่พระอื่นไม่สนใจ (คงเห็นจนชิน) เลยทำเฉยเสีย
ประมาณ ๒-๓ นาที (ก็ออก) ร่างนั้นก็ล้มหงายหลังลง

๕. เป็นการถูกต้องแล้วที่พยายามเอาชนะความชั่วด้วยความดี
หมั่นใส่บาตรอุทิศส่วนกุศลไปให้จนวิญญาณนั้นยอมให้อโหสิ ทำให้การจองเวรระงับลง
แต่การจองกรรมยังไม่แน่ หมายความว่าบาปกรรมที่ทำไว้อาจยังให้ผลต่อไปอีก ไม่กลายเป็นอโหสิกรรมไปด้วย
สุดแล้วแต่ว่าบาปกรรมนั้นหนักเบาแค่ไหน


โดย ธมฺมวฑฺโฒ ภิกฺขุ
ที่มา : //www.mongkoltemple.com




 

Create Date : 02 กุมภาพันธ์ 2553
2 comments
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2553 1:22:15 น.
Counter : 1292 Pageviews.

 

มันเป็นเรื่องจริงค่ะ กฏแห่งกรรม ใครทำอะไรไว้ก็ได้อย่างนั้น ความสงสัยในชะตาชีวิตของคนก็มีเหตุมาจากอดีตชาติเป็นส่วนใหญ่ค่ะ แต่เราๆไม่รู้กันเอง

กรณีของจ่าสิบตรีหญิงชวนชื่น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านทรงมาแนะให้รู้ถึงเหตุน่ะค่ะ แต่เหตุในอดีตแก้ไม่ได้แล้วก็ต้องทำที่ปัจจุบัน ขออโหสิกรรมทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เขา แล้วจดจำว่าปัจจุบันชาติอย่าทำแบบนั้นอีก เป็นตำรวจอย่ารังแกประชาชนน่ะค่ะ

 

โดย: Chulapinan 3 กุมภาพันธ์ 2553 0:02:28 น.  

 

เคยทำกรรมชาตินี้(ตอนเด็ก)และรับกรรมชาตินี้(ตอนโต)เหมือนกันค่ะ

 

โดย: เมื่อก่อนไม่รู้ IP: 180.183.177.75 3 กุมภาพันธ์ 2553 14:16:45 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.