ก้าวสู่เดือนที่สองของการแข่งขันเก็บเงินจากบล็อกคุณ OKANEMOCHI Click ที่นี่ Blog คุณ OKANEMOCHI เงื่อนไขช่วงแข่งขันคือ 1 พ.ค. 30 พ.ย. 55 ต่อเนื่องจากบล็อกเก็บเงินเดือนแรก พอเดือนที่สองเลยมีมิตรรักแฟนเพลงหลายท่านเวลาที่ได้เงินทอนเป็นแบงค์ 50 ก็จะนำมาให้เราแลก ได้แก่ พี่พีช แพนด้า นุ่น เอส จนทำให้เดือนนี้เราสะสมแบงค์ 50 ได้เกินกว่าที่คาดหมายไว้ แต่จะว่าไปเดือนนี้เราก็ได้แบงค์ 50 จากการทอนมากกว่าเดือนที่แล้วนะ
ณ วันที่ 29 มิ.ย. 2555
รูปนี้คือนำแบงค์ 50 ของเดือน พ.ค. มาวางเพิ่มให้เห็น บทสรุปเดือน พ.ค. เก็บแบงค์ 50 ได้ 24 ใบ จำนวน 1,200 บาท เดือน มิ.ย. เก็บแบงค์ 50 ได้ 77 ใบ จำนวน 3,850 บาท ยอดรวม 2 เดือน 101 ใบ จำนวน 5,050 บาท บล็อกคุณ OKANEMOCHI มักมีแนวคิดดี ๆ ที่เธอทำอยู่เป็นประจำในการบริหารเงินมาแนะนำ เราเลยได้ไอเดียจากเธอว่า Groupblog หมวดนี้ของเราจะนำแนวทางที่เราก็ได้รับการสอนมาจากพ่อแม่ มีพรรคพวกแนะนำหรือศึกษาเอาเองด้วย และเป็นสิ่งที่เราปฏิบัติในชีวิตจริงมาเล่าให้ฟังเผื่อเป็นไอเดียให้คนอื่นถ้าสนใจจะนำไปลองทำดูบ้าง 1. หลังจากเราเรียนจบ เงินก้อนแรกที่ให้แม่คือ 10,000 บาทหลังจากมีเงินของตัวเอง แต่แม่ไม่รับและนำไปเปิดบัญชีใหม่ให้เรา และให้เราฝึกการออม โดยนำเงินไปฝากแม่แล้วแม่จะนำไปเข้าบัญชีให้ ตอนวัยนั้นรู้สึกอึดอัดใจเหมือนกัน บังคับทำไม แต่แม่ก็มีทริคเล็ก ๆ เป็นแรงจูงใจคือจะเติมเงินให้เป็นตัวเลขกลม เช่น สมมติเราฝาก 9,000 บาท แม่ก็จะเติมให้ 1,000 เป็น 10,000 บาท หลังจากทำแบบนี้เป็นประจำเราก็เริ่มเกิดความเคยชิน ปัจจุบันสมุดบัญชีเล่มนี้ยังอยู่ที่แม่ เมื่อครบช่วงเวลาของเงินฝากเล่มนั้นแม่ก็จะเอาใบฝากถอนมาให้เราเซ็นต์เพื่อไปจัดการเปิดบัญชีใหม่ให้ เงินก้อนนั้นจึงเป็นก้อนที่ไม่เคยเอาออกมาใช้เลย ต่อมาเราเลยเริ่มแยกตัวเป็นอิสระมาเปิดบัญชีของเราและบริหารจัดการเองต่างหาก ... เมื่อผ่านมาแล้วจึงเข้าใจในสิ่งที่แม่สอนและขอบคุณแม่มาก ๆ ที่ทำให้เราเป็นคนรู้จักคุณค่าของเงิน 2. วิธีหนึ่งสำหรับคนที่เก็บเงินไม่อยู่ที่เราอยากแนะนำ คือจัดสรรเงินส่วนหนึ่งฝากเงินประจำแบบฝากเท่ากันทุกเดือนเป็นเวลา 2 ปี เงินฝากแบบนี้จะไม่เสียภาษี และเขาจะบวกอัตราดอกเบี้ยมากกว่าเงินฝากประจำอีกหน่อย แต่ละคนจะสามารถเปิดบัญชีเงินฝากประเภทนี้ได้คนละ 1 บัญชีเท่านั้น (ถ้าใครตุกติกไปเปิดแบบนี้หลายธนาคารถ้าคุณโชคดีก็คงรอดตัวไป แต่ถ้าโชคไม่ดีถูกจับได้ ก็คงจะอดอัตราดอกเบี้ยแบบนี้แล้วคงต้องถูกปรับ) เงินฝากประเภทนี้อย่าดูถูกไป ทำลืม ๆ เผลอแป๊บ ๆ ก็ 2 ปี สมมติแค่ฝากเดือนละ 5,000 บาท ครบ 2 ปีก็ได้เงินมาแล้ว 120,000 บาทบวกดอกเบี้ย 3. จะเห็นว่าผลตอบแทนจากบัญชีเงินฝากธนาคารมันน้อยเหลือเกิน อย่างเก่ง ณ ตอนนี้ก็ 4% ดังนั้นเราควรไปมอง ๆ เรื่อง LTF และ RMF เพราะสามารถประหยัดภาษีได้ตามอัตราภาษีของแต่ละคน เช่น ถ้าอัตราภาษี 20% สมมติซื้อ LTF และ RMF 10,000 บาท ก็จะได้เงินคืนมา 2,000 บาท เหมือนกับจ่ายเงินไปแค่ 8,000 บาท สำหรับ LTF อีก 5 ปีถัดไปหลังจากซื้อก็สามารถขายได้ ซึ่งมีโอกาสได้เป็นจำนวนเงินมากกว่าเดิม ส่วน RMF ก็ต้องรอจนอายุ 55 ปีถึงจะมีสิทธิ์ขายได้ ดังนั้นระหว่างทางก็ทำลืม ๆ มันไป ยกตัวอย่างให้่เห็นเป็นภาพ LTF ที่เราซื้อในปี 2551 และมีสิทธิ์ขายในปีนี้ เราได้ผลตอบแทน 100% (คนที่ซื้อ LTF ในปีนั้นคงจะรู้ดี) Notebook ตัวใหม่ที่เราซื้อในปีนี้เพราะเครื่องเก่าเสียมาจากผลตอบแทนของ LTF เท่ากับว่าเราไม่ต้องเอาเงินปัจจุบันไปซ์้อ 4. เลือกลงทุนในหุ้นดี ๆ มั่นคง ถ้าไม่คิดเรื่อง capital gain จากการขายหุ้น ก็เก็บไว้กินเงินปันผลก็ได้ (เลือกหุ้นที่ผลตอบแทนเงินปันผลดีกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก) เข้าไปดูข้อมูลได้ที่เวปตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่สำคัญนอกจากแต่ละปีจะได้เงินปันผลแล้ว ยังสามารถนำมาทำเรื่องใน ภงด.90 เพื่อเครดิตภาษีคืนได้อีก 5. เพื่อความไม่ประมาทของชีวิต อย่าลืมจัดสรรเงินไปกับการประกันชีวิตด้วยนะ เอาเป็นว่าถ้าไม่เป็นอะไร เมื่อครบกำหนดเราก็จะได้เงินสะสมกลับมา แต่ถ้าเป็นอะไร คนข้างหลังก็ยังได้เงินก้อนนี้ไป นอกจากนี้แล้วเงินประกันชีวิตก็สามารถหักลดหย่อนภาษีได้เหมือนกับ LTF และ RMF 6. ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง ทำตัวให้เรียบง่าย ทำชีวิตให้เรียบง่าย หลักการของท่านหลายคนเข้าใจผิดคิดว่าต้องทำการเกษตร ต้องใส่เสื้อม่อฮ่อม ซื้อของไม่ได้ แต่หลักของท่านคือให้เรารู้ใช้รู้จ่าย ไม่ใช้เงินเกินตัว มีภูมิคุ้มกัน ไม่ใช่ว่าสินค้าอะไรออกใหม่แล้วก็ต้องวิ่งตามไปซื้อ แต่ถ้าอยากได้สินค้าฟุ่มเฟือยบ้างแล้วมีเงินเหลือ ไม่ต้องไปดึงเงินในอนาคตมาใช้ ไม่ต้องเดือดร้อนตัวเองก็ให้ของขวัญตัวเองบ้าง 7. บริจาคทำบุญบ้าง บางคนเข้าใจผิดคิดว่าที่มีอยู่ยังใช้ไม่พอเลยแล้วจะเอาเงินตรงไหนไปบริจาค รอรวยกว่านี้ ว่าแล้วก็รอแล้วรอเล่าแล้วก็เงินที่มีอยู่ก็ไม่เคยพอสักที (ทั้งที่บางทีมันก็เกินพอแล้ว แต่ตัวเองนั่นแหละไม่รู้จักพอ) เรามีหลักการง่าย ๆ ที่อาจารย์ท่านหนึ่งเคยสอนไว้ว่าให้มีกระปุกออมสินใบหนึ่ง ก็ทยอยหยอดเงินลงกระปุกทุกวัน วันละบาทก็ได้เสมือนกับเราได้ทำบุญทุกวัน แล้วที่สำคัญเราก็จะได้ไม่เสียดายเวลาเอาเงินออกมา เมื่อมีโอกาสเหมาะ ๆ เราก็แคะกระปุกใบนี้นั่นแหละเพื่อนำเงินมาทำบุญ เราเองมีกระปุกเพื่อการทำบุญอยู่ 2 กระปุก กระปุกหนึ่งสำหรับทำบุญที่วัด ซื้อของใส่บาตร ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า บริจาคให้โรงพยาบาล โรงเรียน ช่วยคนเดือดร้อนจริง ๆบ้าง ส่วนอีกกระปุกหนึ่งเราหยอดให้มูลนิธิบ้านสงเคราะห์สัตว์พิการ สัตว์น่าสงสารกว่าคนตรงที่เขาหาเงินเลี้ยงตัวเองไม่ได้ และสถานที่ดูแลก็ย่อมต้องการเงินเป็นค่าใช้จ่ายในการดูแล ค่าอาหารสัตว์ 8. เงินให้ผู้มีพระคุณ ต่อจากข้อ 1 หลังจากเงินก้อนแรกที่ให้แม่แล้วแม่ไม่รับ เราเลยไม่ได้ให้เงินแม่อีกเลย (ดูเหมือนนิสัยไม่ดีเลยแฮะ) แต่แม่ก็ไม่ได้ต้องการเงินจากลูก จนกระทั่งเมื่อปีที่แล้วเราขาย LTF ที่ครบรอบ 5 ปี ได้ผลตอบแทนจาก LTF ที่ซื้อในปี 2550 ได้พอสมควร จึงจุดประกายตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง เราเลยแบ่งผลกำไรส่วนหนึ่งให้แม่ และโบนัสของปีที่แล้วเป็นครั้งแรกที่เรานำเงินโบนัสส่วนหนึ่งไปให้แม่ และเราตั้งใจว่าจะทำแบบนี้ต่อไปทุกปี 9. ระวังเรื่องบัตรเครดิต บัตรเครดิตจะมีประโยชน์เมื่อรู้จักใช้ ไม่ต้องพกเงินสด ยืดเวลาชำระเงิน แต่จะเป็นจุดอันตรายเพราะเวลารูดบัตรเครดิตซื้อของแล้วก็จะเพลิน ๆ เพราะเงินไม่ออกจากกระเป๋า คิดว่ามีเงินเยอะกว่าที่ตัวเองมีจริง ลืมไปว่ารูดไปแล้วก็ต้องใช้เขา ปัจจุบันเวลาเรารูดบัตรเครดิตแล้วเราจะกันเงินส่วนนั้นออกมาทันที เพื่อที่เวลาแบงค์เรียกเก็บเงินเราก็เอาเงินก้อนนั้นแหละมาจ่าย มีประโยคหนึ่งที่อ่านเจอ อาจจะแรงแต่สอนได้ดีทีเดียวค่ะ "ยังไม่รวย ทำตัวรวย จะไม่รวย ยังไม่จน ทำตัวจน จะไม่จน"
ขอบคุณ"พ่อแม่" ครูคนแรกที่สอนเรื่องบริหารเงิน ขอบคุณ พี่พีช แพนด้า นุ่น เอส ที่นำแบงค์ 50 มาให้เราแลก ขอบคุณ "คุณ OKANEMOCHI" ที่สร้างกิจกรรมดี ๆ ในบล็อกค่ะ .....รัชชี่.... |
ติดตามฟุตบอลยูโรเหมือนกันครับ ตอนนี้ให้ทีมงานที่บ้านช่่วยกันเขียนไปรษณียบัตรร่วมสนุกด้วยครับ
การสะสมแบงก์ห้าสิบ เป็นอะไรที่น่าสนใจมากครับ หากเก็บจากการทอนเงินมา คงได้ที่ละใบสองใบ
ผมเองถึงไม่ได้ร่วมรายการ ยังนึกสนุกเก็บแบงก์ห้าสิบกับเขาด้วย สนุก และได้ประโยชน์มากครับ
วิธีบริหารเงินของคุณรัชชี่นี้ ขอนำไปใช้บ้างครับ ตอนนี้เด็กๆที่บ้านของผมเริ่มทะยอยกันทำงานแล้ว