All Blog
จัดรักให้ลงล็อค บทที่9



บทที่9


แม่เจ้า เธอซวยเองที่เลือกมาที่สปอร์ตคลับนี่ แทนที่จะไปที่อื่น
ใครจะไปรู้ว่าที่นี่มันเป็นของเพื่อนสนิทภูดิสที่ย้ายตัวและเครื่องดื่มมาร่วมโต๊ะด้วยอย่างถือวิสาสะ แถมจ้องเธอตาเขียวอีก


“พะ พี่ภู สวัสดีค่ะ”

เสียงใสอึกๆอักๆ ก่อนกระพุ่มมือไหว้ หลบสายตาคมที่ออกจะเขียวๆยังไงไม่รู้ จับจ้องเธอไม่วางตา ตั้งแต่ก้าวมาเป็นสมาชิกร่วมโต๊ะไม่ได้รับเชิญเป็นคนที่สอง

“สวัสดีหนูนิ”

“นี่นายรู้จักสมาชิกวีไอพีคนใหม่ของฉันด้วยเหรอ” ธเนศที่สะดุดกับสรรพนามเรียกขานชื่อเล่นของทั้งสองฝ่ายตั้งคำถามขึ้น

“รู้สิ รู้จักกันมานานแล้วด้วย หนูนิเพื่อนสนิทยัยแพร จำไม่ได้เหรอ”

“หือ?” หนุ่มผิวน้ำผึ้งครางในลำคอ ส่งแววตาสงสัยให้เพื่อนว่า จำอะไรไม่ได้ ทั้งยังงงกับสายตาคมที่เขม้นมองนิศากรที่ก้มหน้าก้มตาดูดน้ำส้มในแก้วทั้งๆที่ปากคุยกับเขา

ภูดิสปรายตาไปที่กองหนังสือพิมพ์ใกล้ตัวที่ทางคอฟฟี่ชอปเตียมไว้บริการ สร้างความเข้าใจให้เพื่อนได้ในทันที ธเนศพยักหน้าหงึกหงัก ดูหน้าสาวน้อยที่นั่งข้างอีกครั้ง
นี่เอง เหตุผลที่ทำให้เขาแล่นไปหาเจ้าเพื่อนตัวดี หวังจะเล่นงานและแซวให้เข็ด ข้อหาอุบเงียบแอบมีคนรู้ใจซ่อนไว้ไม่ยอมบอก คิดว่าคงได้เห็นท่าทางหงุดหงิดที่โดนจับคู่อีก
แต่ผลที่ได้คือ ตาคมจ้องมองรูปในหนังสือพิมพ์ที่เขาลงทุนตัดแปะกระดาษ เขียนคำว่า Oops! ตัวแดงเบ่อเริ่มเทิ่มประกอบ ใส่กรอบสวยแล้วกระตุกยิ้มขำขัน บอกว่านักข่าวฝีมือดี เหมาะจะเป็นนักสืบและประกอบอาชีพนักเขียนไปด้วยท่าจะดี ภูดิสเองเห็นข่าวนั้นเป็นเรื่องไร้สาระ
ในเมื่อภูดิสไม่สนสาวน้อยน่ารักคนนี้ เขาก็มีสิทธิจีบได้น่ะสิ

“อ๋อ ยัยแพรมีเพื่อนน่ารักขนาดนี้ด้วยไม่ยอมบอก งั้นน้องนิเรียกว่าพี่เนศเหมือนยัยแพรก็ได้ ฟังแล้วดูสนิทสนมดีนะครับ”

คำบอกนั้นทำเอานิศากรเงอะงะ หนึ่งเพราะท่าทางหยอดคำหวานผสมตีสนิทยิ่งขึ้นอีกอย่างรวดเร็วโดยใช้สื่อกลางอย่างแพรพรรณเป็นตัวเชื่อมโยง และอีกหนึ่งก็คือคิ้วเข้มกระตุกเมื่อได้ฟัง และตวัดตาคมคอยดูเธอเข้มขึ้นไปอีก

“คะ จะดีเหรอคะ”

“ดีสิครับ ไม่ใช่คนอื่นคนไกลกันเสียหน่อย”

ธเนศโปรยยิ้มหวานแบบที่สามารถกระชากใจสาวๆได้เสมอ แต่ไหงคนตรงหน้ากลับมีสีหน้าแหยแฝ่นชอบกล ชายหนุ่มผิวน้ำผึ้งงุนงงกับท่าทีและสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันทีที่ภูดิสก้าวเข้ามา
นิศากรทำเหมือนอยากหลบไปให้ไกล ไม่กล้ามองสู้สายตา ส่วนอีกคนเหมือนจ้องจะเอาเรื่อง อีกทั้งยังเหมือนแผ่รัศมีตาเขียวๆมาเล่นงานเขาอีกด้วย

เรื่องอะไรกันวะเนี่ย

“เฮ้ย!ไอ้ภู ทำหน้ายักษ์ทำไมวะ” ธเนศสะกิดถามเสียงเบาด้วยความไม่เข้าใจในอารมณ์เพื่อน แต่ไม่ได้คำตอบใดมากไปกว่าประโยคขับไล่ไสส่ง

“ไปตรวจงานของแกต่อสิ อู้มานานแล้ว เดี๋ยวพนักงานแกจะเลียนแบบเอา สปอร์ตคลับแกมีหวังเจ๊ง”

ไอ้เพื่อนบ้า อยู่ดีๆมาแช่งให้กิจการล้มได้ไงวะ

อาการปากร้ายส่อเค้าถึงอารมณ์หงุดหงิดไม่พอใจอย่างที่รู้กันในหมู่คนสนิท ธเนศเกาหัวที่เพื่อนแช่งชักหักกระดูก ไม่รู้ที่มาของอาการพาลพาโลหน้าตาย

“ไปสิ นั่งอยู่ได้ อยากเจ๊งจริงๆหรือไง” ภูดิสไล่ซ้ำหน้าเฉยแต่ตาดุ เหมือนว่าหากเขาไม่ไปเดี๋ยวนี้ สปอร์ตคลับนี่ต้องปิดกิจการชัวร์

“อะไรวะ กินยาผิดมารึไงเนี่ย” ธเนศพึมพำด่า ก่อนจากลาไม่วายบอกลาเหมือนนัดว่า

“ถ้าน้องนิชอบกีฬากลางแจ้งบ้าง สนใจอยากเล่นเทนนิสดูละก็ อาทิตย์หน้าพบกันใหม่เวลาเดิมนะครับ”

ประโยคเหมือนนัดแนะกับสรรพนามใหม่ที่เพื่อนใช้อย่างสะดวกปากราวกับพูดอยู่ประจำ ทำให้ภูดิสนึกอยากลองขัดขาเพื่อนให้ล้มสักทีสองที จะได้หลุดมาดทำหน้าทำตาหว่านเสน่ห์นี่เสียที


ธเนศไปแล้ว เหลือเพียงนิศากรกับชายหนุ่ม ที่วันนี้ออกจะดุเข้มและหงุดหงิดอารมณ์เสียซะเหลือเกิน หญิงสาวนึกอยากมุดลงใต้โต๊ะเต็มแก่ จะได้หลบให้พบสายตาดุๆนั้น

ทำไมต้องมองแบบนี้ด้วยนะ คนที่ควรทำเป็นนิศากรคนนี้ต่างหาก ไม่รู้จักอธิบายให้แฟนตัวเองฟังให้เข้าใจ ปล่อยให้มาระรานคนอื่นเขา

นิศากรคิดในความเงียบระหว่างเผชิญหน้ากับภูดิส ซึ่งเอาแต่จ้องๆๆๆ แล้วก็ถอนใจเหมือนกำลังระงับอารมณ์บางอย่าง

หญิงสาวคิดว่าจะใช้มุขเดิม ทำทีล้วงกระเป๋ากางเกง เธอหยิบมือถือเครื่องจ้อยเครื่องเดิมขึ้นมา ทำท่ากดรับทั้งที่ไม่มีสัญญาณเรียกเข้า ติ๊งต่างว่าตั้งระบบสั่นไว้ ยอมเป็นคนบ้าอีกครั้งหนึ่ง
หากยังไม่ทันได้ยกขึ้นแนบหู มือใหญ่เอื้อมมาคว้าไปเสียก่อน ภูดิสมองดูหน้าจอที่ว่างเปล่า ไม่มีหมายเลขแสดงและสัญลักษณ์แสดงว่ากำลังใช้งาน

“คุยกับวิญญาณต้องใช้โทรจิต ใช้โทรศัพท์ไม่ได้หรอกนะหนูนิ”

นิศากรหน้าเจื่อน อับอายที่มุขเดิมใช้ไม่ได้ แถมถูกจับได้เสียอีก แล้วคนถามก็ช่างแดกดันเหลือเกินทั้งคำพูดและสายตาทีเดียว

“ไม่ต้องหาเรื่องหนีพี่ซะให้ยากหรอก เหนื่อยเปล่าๆ” ภูดิสเอ่ยดักคนที่ลอกแลกม้วนปลายผมค้นหาวิธีชิ่งอื่นแทน

วันนี้โอกาสเป็นของเขา จับตัวแม่ปลาไหลได้สักที คราวที่แล้วหลุดไปได้ แต่คราวนี้ไม่มีทาง ต้องพูดกันให้รู้เรื่องเสียที ไม่อย่างนั้นมีหวังความอึดอัดคับข้องใจคงทำให้เขากลายเป็นตาแก่ขี้หงุดหงิดในสายตาพนักงานแน่ๆ

หลายวันนี้ลูกน้องชักบ่นว่าเจ้านายหน้านิ่วแทบตลอดเวลา จนนันทา เลขาออกปากถาม และแน่นอนแม่น้องสาวจอมพูดมากก็แขวะเอาว่าเป็นเพราะวัยทองแหงๆ พี่ชายเลยออกอาการงุ่นง่านแปลกประหลาดเช่นนี้

“พี่ภูคิดมากไปรึเปล่าคะ นิเหรอทำแบบนั้น” นิศากรแสร้งทำหน้าไม่รู้เรื่อง แถมปัดไปว่าชายหนุ่มคิดไปเองเสียอีก

“อย่างนั้นเหรอ งั้นพี่ขอคำอธิบาย สิ่งที่หนูนิทำทุกอย่าง ตั้งแต่วิ่งหนีเข้าลิฟท์ ทำเป็นไม่เห็นพี่ทั้งที่ยืนอยู่ห่างไม่ถึงห้าเมตร หลบข้างเสาบ้างหล่ะ แล้วก็แกล้งทำเป็นคุยโทรศัพท์แล้วจะชิ่งอย่างเมื่อกี้เป็นรอบที่สอง”

นิศากรอึ้งนิดๆ ไอ้ที่หลบข้างเสานั่น เขาเห็นด้วยเหรอเนี่ย แล้วก็มุขโทรศัพท์ครั้งก่อนก็ไม่คิดว่าจะจับได้ ยกเว้นเมื่อกี้ ทำยังกับมีตาทิพย์มองเห็น รู้ทุกอย่างเลยอย่างนั้นแหละ

“เอ่อ...”

ขณะกำลังอ้ำอึ้ง ไม่รู้จะตอบว่ายังไงจนโมโหที่สมองช้า คิดเรื่องแก้ตัวไม่ทัน โทรศัพท์เครื่องจ้อยเจ้ากรรมที่ทำให้เธอโดนจับได้ ส่งเสียงร้องระงมขัดจังหวะขึ้นมาทันท่วงที คนยึดไปเมื่อครู่ยกขึ้นดู แล้วกดรับเองเสียเฉยๆ นิศากรอ้าปากหวอ ตาใสมองตามมือใหญ่ที่ยกขึ้นแนบหู และกรอกเสียงลงไป

“ว่าไงแพร” ปลายสายจะตอบว่ายังไงไม่รู้ แต่ที่แน่ๆมีงง

“ไม่มีธุระด่วนใช่มั้ย ถ้างั้นพี่ขอวางก่อน” มือหนาตัดสาย และกำมันไว้ ไม่ยอมส่งคืน พอมันดังอีกครั้ง เขาก็กรอกเสียงบอกไปคำเดียวว่า ยังไม่ว่าง แล้วก็วางสายไปอีก

เฮ้ย! อะไรกันเนี่ย อยู่ดีๆมารับโทรศัพท์คนอื่นได้ยังไงกัน เสียมารยาทที่สุดเลย แล้วยังตัดสายไปหน้าตาเฉย

“พี่ภูทำอะไรเนี่ย เสียมารยาท เอามานะ” เสียงใสแข็งใส่ แต่คนฟังไม่สะทกสะท้าน มือใหญ่หยิบทิชชู่ในกล่องวางแปะลงไปในมือเรียวเล็กที่แบมาแทน

“ไม่ได้ขอทิชชู่ เอาโทรศัพท์นิคืนมา”

มือเล็กยื่นเข้าไปมากขึ้นกว่าเดิม แถมตาเขียวๆใส่ให้ด้วย เพราะรู้สึกหมั่นไส้คนเอนหลังพิงพนัก หลุบตามองมือเล็กที่ยืนมาหน้าเฉยสนิท เป็นคำตอบแทนการพูดว่า ไม่ให้!

“จนกว่าเราจะคุยกันรู้เรื่อง” สายตามุ่งมั่นว่าจะทำตามที่พูดให้ได้ อย่ามาบิดพริ้วซะให้ยาก ทำให้นิศากรกระแทกตัวลงนั่งหน้ายู่ แก้มป่องอย่างขัดใจ

โอ๊ยคนอะไรนะ ทั้งกวนทั้งดื้อเอาแต่ใจตัวเอง สองครั้งแล้วที่เธอถูกบังคับ

“ว่ายังไง พี่ขอเหตุผล หนูนิยังไม่ได้ตอบพี่เลย”

“ทำไมไม่ไปถามแฟนพี่ภูดูล่ะ” นิศากรกระชากเสียงตอบ หันหน้าหนี ไม่อยากมองตัวต้นเหตุให้เกิดเรื่องแย่ๆที่กำลังเหวอกับคำว่า แฟน

“อะไรนะ? พูดใหม่อีกทีซิ”

“ทำไมคะ เข้าใจยากตรงไหน นิบอกว่าให้พี่ภูไปถามแฟนพี่ภูเอาเอง” เสียงใสเน้นย้ำแต่ละคำชัด “นิแค่ทำตามที่เขาบอก พี่ภูน่าจะขอบใจนิด้วยซ้ำไป ที่ช่วยไม่ให้แฟนพี่ภูต้องหึงเพราะข่าวบ้าๆนั่นอีก”

นิศากรตาวาวร่ายยาวอย่างเหลืออด น่าเหนื่อย น่าหงุดหงิดเหลือเกินแล้ว แฟนตัวเองไม่รู้จักเคลียร์กันให้ดี ปล่อยให้เข้าใจผิด หนำซ้ำมาระรานชาวบ้านเขา คนที่ถูกจับมานั่งคุยอย่างนี้ไม่ใช่เธอ แต่ควรจะเป็นแฟนเขามากกว่า

“ไปเอาเรื่องนี้มาจากไหนกัน ช่วยอธิบายให้พี่เข้าใจมากกว่านี้ได้มั้ย”

“เรื่องอย่างนี้ ให้นิพูดฝ่ายเดียว เดี๋ยวจะถูกกล่าวหาว่าใส่ร้ายแฟนพี่ภู นิไม่อยากถูกต่อว่าเสียๆหายๆอีก ฝากไปบอกเขาด้วย ว่านิทำตามที่เขาต้องการแล้ว และนิก็ไม่ได้เป็นมือที่สามอย่างที่เขากลัว สบายใจได้เลย”

ใบหน้าคมยิ่งยุ่งเข้าไปอีก นิศากรพูดเรื่องหึงหวงยาวยืด แถมยังฝากข้อความส่งหา แฟนที่ไร้ตัวตน

“พี่คงทำให้ไม่ได้” ริมฝีปากแดงอิ่มถูกขบเบาๆ หน้าเรียวงอง้ำ นี่เขาจะไม่เคลียร์ให้เข้าใจรึไง อยากปล่อยให้แฟนตัวเองเข้าใจผิดอยู่อีกหรือไงกัน

“เพราะพี่ไม่รู้ว่าคนที่หนูนิพูดถึงคือใคร”

“หา?” ไม่รู้ๆ ไม่รู้ได้ไง แฟนนะ เอ๊ะ! ดวงตากลมสีน้ำตาลหรี่มองอย่างชั่งใจกับหน้าตาที่แสดงออกว่าไม่รู้เรื่อง “อย่าบอกนะพี่ภู ว่าคุณรัญชิดาแค่กิ๊ก” คำถามนี้ออกแนวกระจอกข่าวขุดคุ้ยเรื่องกิ๊กกั๊กของดารา

“ไม่ใช่ทั้งนั้นแหละ พี่กับรันเป็นเพื่อนกันมานานแล้ว”

แขนขาวยกขึ้นวางบนโต๊ะข้างหนึ่ง มือเรียวอีกข้างไล้หมุนปลายผมสีน้ำตาลเข้มอย่างใช้ความคิด

หากไม่ใช่แล้วทำไม ดาราดังอย่างนั้นต้องมาหาเรื่องกีดกันไม่ให้เธอพบกับภูดิสด้วยล่ะ ชักทะแม่งๆแล้วแฮะ

“ทำไมถึงคิดอะไรแบบนั้นล่ะ” ภูดิสตั้งคำถามถึงหนึ่งในสิ่งที่สงสัย

“ก็ ถ้าไม่ใช่แล้วคุณรันเขาจะทำอย่างนั้นทำไมล่ะ” หญิงสาวพึมพำเบาๆกับตัวเอง”พี่ภูแน่ใจนะว่า ที่พูดมาเป็นความจริง ไม่ได้แอบกิ๊กแน่นะ”

ตากลมจ้องภูดิสซึ่งส่ายหน้าประกอบคำปฏิเสธด้วยสายตาจับผิด

เรื่องที่ผู้ชายชอบโกหกว่าไม่มีแฟน เวลาแฟนไม่อยู่เพราะหวังจีบสาวอื่น มีให้เห็นบ่อยไป เธอเองก็เคยเจอเข้ากับตัวมาแล้ว แต่กับรายนี้ หญิงสาวคิดว่าคงไม่มีความคิดโกหกอยู่ในสมองหรอก เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าเขาไม่เคยคิดจีบเธอแม้แต่น้อย ทว่ายังไงก็ยังไว้ใจคนตีหน้าตายเก่งอย่างนี้ไม่ได้อยู่ดี

น่ากลัวว่าอย่างนี้คงได้เกิดรายการกำจัดคนที่คิดเอาเองว่าเป็นคู่แข่งอย่างเธอซะละมั้ง ก็คนๆนี้ ไม่ว่าใครก็อยากคบหาด้วยจะตายไป

นิศากรปรายตาขุ่นๆให้คนน่าคบ แต่ขอเว้นเธอไว้สักคนเถอะ เพราะตอนนี้คนๆนี้ชักไม่น่าคบเสียแล้วในความคิดเธอ ต้นเรื่องของความวุ่นวายตั้งแต่สองปีที่แล้วจนปัจจุบัน

ส่วนนางร้ายทั้งนอกจอในจอนั่น คราวหน้ามีเอาคืนแน่ โทษฐานที่บังอาจป้ายความเป็นนางร้ายให้เธอ


ฝ่ายคนที่ถูกไล่ออกมาเมื่อครู่ เดินส่ายหัวไม่เข้าใจที่อยู่ๆเพื่อนออกปากไล่เสียดื้อๆ ทุกทีมีแต่เกาะติดเขาไว้ หรือตะโกนเรียกให้เขาเข้าไปโปรยเสน่ห์จีบสาวข้างตัว เพื่อกันออกไปให้ไกลตัว แต่คราวนี้นอกจากจะเสนอหน้าเข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญ หนำซ้ำยังกันเขาออกไปเสียอีก

ตกลงมันยังไงกันแน่ ไอ้เจ้าภู พอถามบอกไม่สน พอจะจีบแม่สาวน้อยดันทำหน้ายักษ์ใส่

ข่าวกับรัญชิดานั้น เขาไม่ติดใจสงสัย เพราะรู้จิตใจเพื่อนดี ขณะนี้ภูดิสเห็นรัญชิดาเป็นเพื่อนอีกคนหนึ่ง เพื่อนเขาคนนี้ มีความห่วงใยและดูแลพวกพ้องของตนทุกคนอย่างดี ซึ่งมีไม่เยอะที่เข้าข่ายนั้น และรัญชิดาคือหนึ่งในนั้น

เขาปฏิเสธไม่ได้ว่า ขณะนี้ผู้หญิงที่ใกล้ชิดภูดิสได้มากที่สุดคือรัญชิดา เพื่อนเขามอบความสนิทสนมกับดาราสาวในระดับหนึ่ง พื้นฐานนั้นอาจเป็นเพราะความสงสารจากการที่เธอฟูมฟายเพราะถูกทอดทิ้งจากคนรัก และบิดาที่ทำท่ารักลูกมากมายต่อหน้าสื่อ แต่ไม่เคยสนใจใยดี ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลูกสาวถูกทอดทิ้งอย่างไม่ไยดี จนกระทั่งเห็นจากข่าวหนังสือพิมพ์

ภูดิสกลับมาเป็นที่พึ่งคนสำคัญของรัญชิดาอีกครั้ง ไม่ต้องสังเกตก็เห็นได้ชัดเจนว่ารัญชิดาเกาะติดภูดิสหนึบ ความรู้สึกห่วงใย อ่อนโยนที่ภูดิสมีให้ คนขาดความอบอุ่นอย่างดาราสาวจึงทึกทักเอาว่าเพื่อนเขายังชอบเธอไม่แปรเปลี่ยน น่าหนักใจแทนเพื่อนที่ยังไม่รู้ว่า ตัวเองกำลังถูกรัญชิดายึดเป็นสมบัติส่วนตัวไปเสียแล้ว


แพรพรรณมองโทรศัพท์มือถือรุ่นล่าสุดในมือ สงสัยนักว่ามือถือเกิดรวนหรือเธอกดเบอร์ผิด เป็นไปไม่ได้หรอก ก็ในเมื่อชื่อที่ขึ้นตอนโทรออกเป็นชื่อของนิศากรตัวโตเท่าบ้านซะขนาดนั้น ไม่มีทางที่เธอจะมองผิดไปได้หรอก เธอกดเบอร์ถูกแน่ๆ แต่ไหงเสียงตอบรับดันกลายเป็นภูดิสไปได้ทั้งสองครั้ง

“มีอะไรเหรอแพร โทรไม่ติดหรือลูก” คุณลักษิกาถามลูกสาวที่ยืนเกาหัวเพ่งมองมือถือ กดยิกๆหน้ายุ่ง

“ติดค่ะ แต่ว่า....”

“แต่อะไรจ๊ะ สายหลุดหรือ” คุณกังสดาลตั้งข้อสงสัย บางช่วงเครือข่ายเกิดมีผู้ใช้มากๆเข้าก็อาจจะสายหลุดๆขาดๆได้บ้าง

“เปล่าค่ะ เอ...หรือสายมันพันกันหว่า” แพรพรรณเดา

“ยังไงกันล่ะยัยแพร ตกลงโทรได้หรือเปล่า”

“โทรน่ะติดค่ะ แต่คนรับไม่ใช่หนูนินี่น่ะสิ”

“อ้าว...แล้วใครรับล่ะ หนูนิไปสปอร์ตคลับคนเดียวนี่นา หรือว่าเป็นโจรรึเปล่า ตายแล้ว” คุณกังสดาลร้อนรน เป็นห่วงลูกสาวขึ้นมาจับใจ ยกมือทาบอกหน้าตื่น

“เดี๋ยวๆค่ะ ไม่ใช่ค่ะคุณป้า ใจเย็นนะคะ คนรับน่ะ พี่ภูค่ะ ไม่ใช่โจรที่ไหนหรอกค่ะคุณป้าคะ” แพรพรรณแก้ความเข้าใจรัวเร็ว

“หือ? ตาภูน่ะเหรอแพร”

“ค่ะ ชัวร์ไม่มั่วนิ่ม” แพรพรรณพยักหน้าหงึกให้สตรีกลางคนทั้งสอง โล่งอกไปที่ไม่มีอันตรายกับลูกสาวอย่างที่คิด

“เอ...วันนี้พี่ชายเราเขาก็ไปสปอร์ตคลับเหมือนกันนี่นะ”

“ใช่ค่ะ หรือว่า...” รอยยิ้มพรายปรากฏขึ้นที่ใบหน้าทั้งสอง คาดว่าน่าจะเป็นอย่างที่ใจหวัง

“ลองโทรหาภูสิแพร”


เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง หากครั้งนี้เป็นของภูดิสไม่ใช่อีกเครื่องที่อยู่ในมือ ตาคมแสดงความเบื่อหน่ายเมื่อเห็นชื่อสายเรียกเข้า ร่างสูงเขยิบตัวเปลี่ยนตำแหน่งมานั่งขวางทาง ซ้ำยังกดไหล่บางของหญิงสาวที่ทำท่าลุกหนีหายไปอีก

“อะไรอีกยัยแพร”

นิศากรไม่ยอมเปิดเผยเรื่องที่เขาสงสัยมากไปกว่าเดิม นอกจากถามย้ำว่าเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์เกินฐานะเพื่อนจริงๆกับรัญชิดา

ชายหนุ่มตอบรับปลายสายซึ่งส่งเสียงเฮแว่วๆ แล้ว หลังเขาบอกที่อยู่และตอบรับว่ากำลังอยู่กับใคร แพรพรรณขอคุยกับนิศากรซึ่งภูดิสก็ยอมส่งให้

“หนูนิ อยู่กับพี่ภูใช่มั้ย” ปลายสายส่งเสียงร่าเริงสดใสมา นิศากรช้อนตามองพี่ภูนิดหนึ่งก่อนบอกว่าใช่

“ตอนนี้เราอยู่ที่บ้านหนูนิ คุณป้าบอกว่าจะทำขนมแต่อุปกรณ์ไม่ครบ หนูนิช่วยไปซื้อกลับมาให้ทีนะ”

แพรพรรณร่ายรายการของ และสถานที่ซื้อของตามคำบอกของคุณกังสดาล ตบท้ายด้วยการมอบคนขับรถคนใหม่ให้และขอคุยกับภูดิสต่อ แพรพรรณส่งโทรศัพท์เครื่องจิ๋วให้คุณกังสดาล

“ภูเหรอจ๊ะ ป้าเองนะ พาน้องไปซื้อของหน่อยนะ กลับมาถึงป้ามีของอร่อยเป็นการตอบแทนค่าแรงด้วยนะ รบกวนหน่อยนะจ๊ะ”

คุณกังสดาลกดตัดสายด้วยรอยยิ้มสมใจเช่นเดียวกันกับคุณลักษิกาที่คอยลุ้นอยู่ข้างๆ ส่วนแพรพรรณทำท่าเคลิ้มฝัน

“ไปซื้อของเข้าบ้านด้วยกัน น่ารักจังเลยนะคะ อยากมีโอกาสอย่างนี้บ้างจัง”



-----------โปรดติดตามตอนต่อไป-------------


คุยกันนิดหน่อยกับฟ้าริน
ตอนที่แล้วแอบช้าไปนีดสสสสสสนึง จนมีคนลืมตอนเก่าๆด้วยอ่ะ ฮือ อย่าเพิ่งลืมพี่ภูกะหนูนิกันน้าค้า ฟ้ารินสำนึกผิดแล้ว เลยรีบมาส่งตอนที่9แล้วค่ะ

ทุกๆคนเกลียดยัยรัญชิดากันหมดเลย ถือว่าฟ้ารินประสบความสำเร็จรึเปล่าคะ เขียนตัวร้ายให้คนอ่านเกลียดได้สำเร็จ
แอบกระซิบค่ะ ฟ้ารินเองก็อยากตบยัยนี่เหมือนกัน เขียนเองเกลียดเอง เฮอะๆๆ

kikkak_riwkiw - เอ๊า เอามาส่งแล้ว ตามมาทันจนได้ ฮึ้ย...ต้องรีบชิ่งซะแล้ว ไม่รู้ว่าจะทิ้งห่างสำเร็จหรือเปล่า แหม...อ่านกันไวจริงๆเลย

ninja- เกลียดยัยรันอีกคนแล้ว ฟ้ารินก็เกลียดค่ะ เขียนเองเกลียดเอง ฟ้ารินยังสติดีอยู่ใช่รึเปล่าคะ เฮอะๆชักไม่ค่อยแน่ใจตัวเอง แต่เอาไว้ก่อน รอเดี๋ยว จะให้หนูนิได้แก้แค้นแน่นอนค่ะ เอาแบบไหนดีคะninja




Create Date : 18 มิถุนายน 2550
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2551 18:21:58 น.
Counter : 361 Pageviews.

1 comment
จัดรักให้ลงล็อค บทที่8



บทที่8


ชั่วแวบแรกเมื่อเห็นชัดเจนว่า ร่างสูงกำลังยืนคุยกันมารดาคือใคร นิศากรชะงักกึก ขาที่กำลังจะก้าวต่อเกิดอ่อนขึ้นมาซะอย่างนั้น หวุดหวิดล้มแปะลงไม่เป็นท่า พยายามทรงตัวไว้สุดฤทธิ์

ว้าย!ตาบ้า บ้าที่สุด ไหงมาโผล่แถวนี้ได้นะ

เหมือนจะรู้ว่ากำลังมีคนส่งสายตาพิฆาตอยู่ ดวงตาคมสอดส่ายเหมือนหาบางสิ่ง นิศากรสวมวิญญาณนินจากระโดดหลบฝุบข้างพุ่มไม้ประดิษฐ์ ขดตัวให้เล็กสุดๆเท่าที่จะทำได้ เล็กเท่ามดได้ยิ่งดี

“พี่ขา เล่นซ่อนหาเหรอ หนูเล่นด้วยสิ” เด็กหญิงคนหนึ่งส่งเสียงแจ๋วๆขอร่วมวง คิดว่าเธอกำลังเล่นซน

ชู่ว เบาๆสิ เด็กไรเนี่ย เที่ยวเล่นกับคนแปลกหน้า เดี๋ยวถูกจับไปเรียกค่าไถ่แหง

นิศากรโบกมือปฏิเสธหยอยๆ ส่ายหน้าดิกๆ หวังไล่ให้ไปไกลๆ ผู้หญิงที่ดูท่าจะเป็นแม่ฉุดลูกสาวไว้ไม่ให้วิ่งเข้าหาร่างสมส่วนที่นั่งคุดคู้อยู่ สายตาที่มองมาดูท่าไม่ค่อยไว้ใจเธอสักเท่าไหร่ จัดการอุ้มลูกสาวที่ดีดดิ้นงอแงออกไป

นิศากรไม่ต้องการเป็นเหมือนคนประหลาดหรือผู้ใหญ่เล่นซ่อนแอบอีกต่อไป ฐานที่ซ่อนตัวก็ดูจะไม่มิดชิด หากเดินผ่านมาเป็นต้องได้เห็นกันแน่ๆ เธอสมควรหาที่ฐานที่มั่นใหม่
หญิงสาววิ่งจู๊ดเข้าไปเร้นกายหลังเสาใหญ่ขนาดสองคนโอบ โผล่หน้าออกมาเมียงมองสำรวจว่าร่างสูงจากไปหรือยัง พบว่าภูดิสกำลังออกเดินไปที่ลานจอดรถ นิศากรกระดึ๊บๆขยับตัวไปอีกเหลี่ยมเสา หลบสายตาที่อาจมองมาเห็นได้
รีบๆไปเลย ชิ่วๆๆๆ

นิศากรย่นจมูกใส่คนที่กำลังหันหลังมุ่งไปที่รถส่วนตัวของตัวเอง นิศากรฉวยโอกาสนี้ก้าวเร็วๆผ่านประตูอัตโนมัติที่เปิดรอไว้ หญิงสาวผ่อนลมหายใจออก หลับตาลงครู่หนึ่ง

ในบ้านสองหลังของเจ้าของข่าวที่เห็นภาพนี้ในตอนเช้า ก็มีอาการอึ้ง ไม่อยากเชื่อเช่นเดียวกัน ต่างกันที่ระยะเวลาที่ใช้ในการตั้งสติ น้ำเสียงและท่าทางอธิบายชี้แจงเพิ่มเติมให้กับผู้ที่สงสัยเรื่องราว ที่คนหนึ่งอธิบายเรียบๆ ส่วนอีกคนหนึ่งพูดไปขำไป แต่คำเฉลยเรื่องราวไม่ต่างกันเลยสักนิดเดียว

“ผมเห็นหนูนิเดินไปทางมืดๆ เห็นว่าไม่น่าปลอดภัย เลยตามไปเป็นเพื่อน แล้วเราก็คุยกัน ก็แค่นั้นเอง” ตาคมกวาดมองเนื้อข่าวอีกครั้งแล้วส่ายหัว
ส่วนหญิงสาวอีกบ้านหนึ่งเสริมต่อด้วยความอัศจรรย์ในความสามารถของเหยี่ยวข่าวไทยสายบันเทิง ที่มีฝีมือเกือบเทียบเท่าหน่วยข่าวกรองของซีเอ็นเอ็น


“ว้าว นักข่าวบ้านเรานี่ฝีมือสุดยอดเลยนะคะเนี่ย รู้ด้วยว่านิเลื่อนเป็นไฟล์ทไหน หน่วยข่าวชั้นเยี่ยมยังกะซีเอ็นเอ็น แถมยังเป็นนักเขียนนิยายได้อีกนะเนี่ย แต่งเรื่องเพิ่มซะเป็นรักทางไกล ตลกชะมัดเลย ฮ่าๆๆๆ” นิศากรหัวเราะเสียงดัง

เธอคงจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรเท่าไร ออกจะเห็นเป็นเรื่องประหลาดที่ตัวเองได้ลงหนังสือพิมพ์หน้าข่าวบันเทิง ทั้งที่ไม่ได้เป็นดารานักร้องกับเขา และขำขันกับการแต่งเรื่องบู๊ที่เธอเล่ากลายเป็นกุ๊กกิ๊กจุ๋งจิ๋งไปได้ ตลกดีแท้ๆ

‘ชอบแย่งของคนอื่น หน้าไม่อาย’

ถ้อยคำปรามาสและสีหน้าดูถูกชัด แจ่มในความทรงจำ นิศากรถูกกล่าวหาร้ายแรง แย่งแฟนชาวบ้าน เป็นการว่ากระทบกระเทียบ แต่ความหมายตรงตามที่คิดไม่ผิด เพราะคนกล่าวหา คือ นางร้ายชื่อดัง
หากรัญชิดาไม่ประกาศความเป็นเจ้าของต่อหน้า การพบกันครั้งนี้ คงไม่เป็นเช่นที่เธอทำอยู่ หญิงสาวถอนใจอีกครั้ง คำปฏิญาณภายในใจเพิ่มขึ้นอีกข้อหนึ่ง
นิศากร เธอจะไม่ยุ่งกับคนที่มีเจ้าของให้ถูกว่าเสียๆหายๆอีก


“โอ๊ย คิดไม่ออกค่ะแม่ เราจะจับสองคนนั่นมาใกล้ชิดกันได้ยังไงล่ะคะ งานการก็ห่างกันคนละซีกโลก ไม่มีอะไรจะเกี่ยวข้องกันได้เลย”

แพรพรรณบ่นหน้ายู่ สองมือกุมขมับอยู่บนเตียงใหญ่กลางห้องของคุณลักษิกา ไม่รู้จะคิดหาเรื่องอะไรมาดึงพี่ชายและเพื่อนสนิทให้กลับมาใกล้ชิดกัน

“แม่ก็ยังคิดไม่ออกเหมือนกัน ไม่รู้จะเล่นท่าไหนดีเลยนะเนี่ย แหม...ทำไมหนนี้มันถึงได้คิดยากคิดเย็นจังนะ”

ตื่นเช้ามาในวันหยุดสองแม่ลูกก็รวมหัวกันปรึกษาหารือการบ้านที่ยังไม่มีใครส่งสักคน ใช้เวลาขบคิดกันมานานสองนาน ก็ไม่เห็นทางเชื่อมสัมพันธ์คนสองคนได้ โดยที่ไม่ดูเป็นการวางแผน
จะใช้แผนเดิมโดยที่ให้นิศากรและพรรคพวกมานั่งเล่นที่บ้านอีกก็ไม่ได้แล้ว แต่ละคนต่างมีงานเป็นของตัวเอง ไม่ใช่นักศึกษาว่างงานเหมือนแต่ก่อน

“แล้วตอนนี้ หนูนิก็ทำตัวแปลกด้วยค่ะ มาเร็วไปเร็ว ล่อกแล่กเหมือนอยากหนีออกจากบริษัทเราเต็มแก่ ไม่รู้อะไร”
แพรพรรณสังเกตเห็นได้ นิศากรหลบเลี่ยงการพบปะในสถานที่ที่อาจพบเจอพี่ชายเธอ โดยที่เธอไม่รู้สาเหตุว่าเป็นเพราะเหตุใด แต่ที่แน่ๆ อาการนี้เริ่มตั้งแต่วันที่เธอออกจากห้องลองเสื้อในร้านแบรนด์ดัง นิศากรกำลังยืนประจันหน้ากับรัญชิดา ดาราชื่อดังที่แค่นยิ้มใส่เพื่อนเธอ ก่อนเดินออกจากร้าน ส่วนเพื่อนเธอหน้าตึง เหมือนกำลังระงับอารมณ์

“พอถามก็ไม่ยอมบอกอะไรสักแอะ อ้างว่าต้องรีบไปดูตกแต่งร้านท่าเดียว”
แพรพรรณนึกน้อยใจที่เพื่อนปิดบัง คุณลักษิการับฟังครุ่นคิด เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ สมควรต้องไปหารือกับอีกหนึ่งสมาชิกเสียแล้ว อย่างน้อยก็ลูกสาวก็น่าจะเล่าอะไรให้แม่ฟังบ้าง


ฝ่ายคนถูกเมินก็ไม่ใช่จะไม่รู้ตัว สามครั้งแล้วที่โดนหลบซึ่งๆหน้า คิ้วเข้มขมวดมุ่น เมื่อครู่เขาลองพิสูจน์ดูอีกครั้ง เมื่อเลขาสาวบอกว่าบังเอิญพบนิศากรกับแพรพรรณที่หน้าลิฟท์ ร่างสูงลุกขึ้นออกจากห้องมาท่ามกลางความงงงันของนันทา ชายหนุ่มตรงไปดักที่หน้าห้องน้องสาวทันที
พบกันจังๆ ดูซิว่าจะหลบยังไง

ภูดิสส่ายหน้าให้ผู้ช่วยที่จะส่งเสียงผ่านอินเตอร์คอมแจ้งนายสาว บิดกลอนก้าวเข้าไปภายในห้องทันที

“โอ๊ยยยยยยยยย” เสียงหวีดร้องดังลั่นก่อนร่างเล็กที่กระแทกร่างสูงซึ่งก้าวพรวดพราดเข้ามา ไม่ส่งสัญญาณก่อนล่วงหน้า ประตูบานใหญ่กระแทกแพรพรรณเข้าอย่างจัง ร่างเล็กนั่งแปะอยู่ที่พื้นพรมสีสด คลำสะโพกป้อยๆ

“เจ็บอ่ะ ใครบังอาจเปิดประตูไม่ดูตาม้าตาเรือ แถมยังไม่เคาะประตูอีกฮะ” เสียงเล็กเหมือนขนาดตัวเฉ่งคนทะเร่อทะร่าทั้งที่ยังก้มหน้ายันตัวเองขึ้นอย่างทุลักทุเล
ส่วนนิศากรเห็นแล้วว่าคนบังอาจเป็นใคร ตกใจที่ได้พบทั้งที่ไม่อยากเจอเลยซักนิดเดียว ไม่อยากพูดด้วย ไม่อยากเห็นให้เจ็บใจ

“แพร เป็นไงบ้าง” หญิงสาวช่วยพยุงเพื่อนที่เจ็บแทน เพื่อจะได้ไม่ต้องสนใจคนทำร้ายน้องโดยไม่ได้ตั้งใจ

“พี่ขอโทษ เจ็บมากไหมแพร” เสียงนุ่มทุ้มบอกพร้อมกุลีกุจอช่วยหิ้วปีกอีกข้างหนึ่ง สำรวจอาการเจ็บแต่ถูกสะบัดออก

“พี่ภู อะไรกันเนี่ย เปิดประตูผัวะเข้ามาแบบนี้ได้ไงอ่ะ” แพรพรรณเข่นเขี้ยวอยากเอาคืนแต่ร่างกายไม่เอื้ออำนวย

“หรือจะแกล้งแพรใช่มั้ย” ภูดิสส่ายหน้าดิกปฏิเสธ เคยมีบ้างที่หาทางผ่อนคลายด้วยวิธีหยอกน้องสาวเล่น แต่ไม่ใช่ครั้งนี้

“แล้วพรวดพราดเข้ามาทำไม”

“เอ่อ...” ภูดิสเหวอ อึกอัก เหลือบตามองผู้หญิงอีกคน เธอหลบแล้วควานหาของในกระเป๋าถือใบเล็ก ได้โทรศัพท์เครื่องจิ๋วติดขึ้นมา เดินไปมุมห้อง ส่งเสียงใสกรอกลงไป แพรพรรณเงียบเสียงรอให้เพื่อนพูดเสร็จค่อยเฉ่งพี่ชายต่อ

“แพร เราไปก่อนนะ” นิศากรปิดหูโทรศัพท์บอกเพื่อน ยกมือไหว้ชายหนุ่มเร็วๆแล้วเดินออกไปเลย สองพี่น้องขยับปากจะเรียกค้าง

“หนูนิ....” หากประตูปิดฉับ ไม่ทันแล้ว ภูดิสถอนใจเฮือก

หนีไปอีกจนได้

ฝ่ายคนข้างนอกห้อง เก็บโทรศัพท์ที่ไม่สายเรียกเข้าแต่แรกเข้ากระเป๋า เดินลิ่วเข้าลิฟท์ เธอถึงขนาดยอมเป็นคนบ้าพูดโทรศัพท์คนเดียว เพื่อใช้เป็นข้ออ้างหลบออกจากที่ที่มีร่างสูงตาคม ซึ่งถูกเจ้าของเขามาตามเอาคืนกลางห้าง


รัญชิดานั่งครึ้มอกครึ้มใจ ดื่มไวน์ฉลองความสำเร็จ เมื่อได้จัดการกับศัตรูที่คิดว่ากำลังมาแย่งความใส่ใจห่วงใยของภูดิสไปจากเธอ ขนาดไปหาคำอธิบายจากภูดิสด้วยใจร้อนรน เขากลับไม่ใส่ใจ มุ่งเอาแต่ทำงานและปฏิเสธให้เธอเข้าพบ
นางร้ายสาวออกมาช็อปปิ้งแก้เครียดตามที่อิมมี่ผู้จัดการสาวแนะ และรับเป็นสารถีพามาที่ห้างประจำ รัญชิดาหยิบเลือกทั้งเสื้อ กางเกง ชุดต่างๆเป็นกระบุง ไม่สนใจราคาที่ป้ายเลยซักนิด ดวงตาโตสวยหากขุ่นมัวด้วยอารมณ์กวาดผ่านร่างหนึ่ง ใบหน้าหวานใส ดวงตากลมกับผมสีน้ำตาลเข้ม และคนที่ยืนข้างยิ่งเพิ่มความแน่ใจให้กับรัญชิดาได้อย่างดี
นิศากรกับแพรพรรณ กำลังเลือกเสื้อผ้า ฝ่ายศัตรูของรัญชิดาเอาชุดทาบตัวเพื่อนดูแล้วหยิบอีกสองสามแบบให้ ก่อนผลักแพรพรรณให้ไปลอง สบโอกาสให้รัญชิดาเดินตรงเข้าไปทันที
นิศากรกำลังจะหยิบชุดสวยชุดหนึ่ง ทว่าไม่ทันเสียแล้ว มือบางเรียวเล็บสีแดงสดมาคว้าไปเสียก่อนที่มือเธอจะถึง

“เอาตัวนี้” นิศากรหันมองตามเสียงและชุดสวยที่ติดมือคนพูดไป อยู่ในมือกระเทยอีกคนและพบว่าไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจาก นางร้ายชื่อดัง ที่ขณะนี้เหมือนกับกำลังสวมบทบาทในละครไม่มีผิด
ดวงตาโตสวยมีประกายจ้าท้าทายกึ่งหมิ่นแคลนอย่างไรไม่รู้ นิศากรรู้สึก

อึ๋ย!หน้าตานางร้ายตัวจริง อย่างไม่ต้องสงสัย อยากบอกว่าคุณเหมาะกับบทนี้มากๆ

นิศากรเดินเลี่ยงไปอีกมุมหนึ่ง ตั้งใจจะหยิบชุดสวยที่เมื่อครู่เล็งไว้ แรงกระแทกอย่างจงใจ ทำให้คนตัวเล็กเซแทดๆๆไป พอตั้งหลักได้ก็หันมองคนชน ตาสวยมีแววสมใจ ยิ้มเยาะ ไม่มีคำขออภัยหลุดจากริมฝีปากสีแดงสดด้วยลิปสติกเนื้อเนียนวาว

เฮ้ย อะไรเนี่ย จงใจชนนี่หว่า นิศากรเขม้นตามองดาราสาว ทั้งโมโหและไม่เข้าใจ ที่จู่โดนประทุษร้ายโดยไม่ทราบสาเหตุ

“เธอสินะ ลูกสาวนายกสมาคมแม่บ้านไฮโซ ถ่ายรูปขึ้นนี่ ตัวจริงไม่เห็นจะซักเท่าไหร่ ฮึ!” ประโยคแค่นเติมอารมณ์โมโหให้พุ่งขึ้นอีก ข้อหาว่าเธอดูดีแค่จากรูปถ่ายที่เหมือนเพียงภาพลวงตา ตัวจริงไม่ได้เรื่อง

“ขอโทษนะคะ ฉันจำได้ว่าไม่เคยรู้จักคุณเป็นการส่วนตัว เรื่องอะไรที่อยู่ๆก็มาหาเรื่องฉัน” นิศากรเสียงแข็งโต้กลับ เพราะความต่างด้านความสูงระดับนางแบบเมืองนอกกับนางสาวชาวไทยธรรมดา ทำให้อีกฝ่ายต้องเหลือบตามองต่ำ ยิ่งทำให้ท่าทางคุกคามหยามหยันนั้น เพิ่มประสิทธิภาพให้คนถูกมองยิ่งรู้สึกเหมือนถูกข่มหนักกว่าเก่าหลายเท่านัก

“อาศัยเพื่อนบังหน้า ไปอ่อยพี่ชายเขาถึงบริษัท เฮอะ ช่างคิดดีนะ”

นิศากรหน้าตึงคอแข็ง อารมณ์พุ่งปรี๊ด ชักได้เค้าเหตุที่ตนกำลังเผชิญการรังควานจากดาราสาวที่กำลังวาดลวดลายนางร้ายเหมือนในละครไม่มีผิด

“ภูรักฉันมานานแล้ว เธอไม่มีทางแทรกกลางระหว่างเราได้และอย่ามายุ่งกับเขาอีก เข้าใจนะ!”

รัญชิดากระแทกไหล่สาวเท้าจากไป ทิ้งอารมณ์คุกรุ่นฝากไว้ด้วยน้ำคำสมประมาทอีกครั้งจนอยากจะคว้าไม้แขวนเสื้อเควี้ยงตามไปแบบบูมเมอแรงเหมือนพี่เบิร์ดโขกหัวยัยนางร้ายสักโป๊กสองโป๊กให้หายแค้นได้บ้าง แต่ไม่อยากถูกแจ้งความข้อหาทำร้ายร่างกายให้เป็นข่าวอีกรอบ
สองมือน้อยจึงกำแน่น อีกครั้งแล้วที่เธอถูกว่าร้ายเสียๆหายๆต่อความเป็นหญิงไทยใจงาม จนถูกกล่าวหาให้เจ็บแสบในหัวใจ อยู่ดีๆก็บังเอิญไปสร้างศัตรูโดยไม่ได้ตั้งใจสักนิด


ความหงุดหงิดที่บังเกิดจากการหนีไม่ค่อยพ้นจากคนตาคม ต้นเหตุความหึงหวงของนางร้ายที่ออกมาแผลงฤทธิ์เดชนอกจอใส่เธอ โลกที่ลืมตาดูขณะนี้ไม่ค่อยสดใสเท่าที่ควรเป็น อยากนั่งสมาธิให้จิตใจหายกังวลอย่างในรายการธรรมะที่เปิดดูก็ไม่ใช่วิถีทางที่เหมาะสมกับเธอในตอนนี้

นิศากรอยากกรี๊ดดังๆ คลายความอัดอั้นเสียมากกว่า แต่กลัวคนในบ้านจะแตกตื่นว่าโจรขึ้นหรือไฟไหม้ จะออกไปกรี๊ดนอกบ้านก็กระไรอยู่ ไม่อยากถูกหาว่าบ้า ถ้าจะกรี๊ดก็ควรไปกรี๊ดในคอนเสิร์ตถึงจะดูสมควร แต่ก็นั่นแหละ ใครจะมาเปิดคอนเสิร์ตให้เธอได้ทันเวลาก่อนที่เธอจะอกแตกตายไปเสียก่อน

กรี๊ดไม่ได้ ก็นึกอยากหวดอะไรสักอย่างให้หายแค้นเจ้าชะตากรรม ที่ดลบันดาลให้ต้องมาเจอะเจอเรื่องสัปรังเค

ด้วยเหตุนานาประการนี้ นิศากรมาวิ่งหวดเจ้าลูกยางกลมๆที่สปอร์ตคลับที่เพิ่งมาสมัครไว้เมื่ออาทิตย์ก่อนด้วยไม้สคอวตที่เพิ่งถอดมาหมาดๆเต็มแรง หวังปลดปล่อยอารมณ์ที่เจียนจะระเบิดสุดขีด หลังวิ่งตะกายตามลูกที่กระเด้งกระดอนตามแรงตีจนเหนื่อยแล้ว หญิงสาวก็เห็นควรว่าน่าจะพอเพียงเท่านี้ ก่อนที่เธอหอบจนตายไปซะก่อนตั้งแต่ยังสาวยังแส้ เธอยังมีอะไรที่อยากจะทำอีกมาก

นิศากรออกมานั่งดูดน้ำเกลือแร่รสส้มแบบนางเอก แก้มยังแดงเรื่อเพราะการออกกำลังเมื่อครู่ รู้สึกสบายใจขึ้นเยอะหลังจากหวดลูกยางที่คิดว่าเป็นหน้านางร้ายกับภูดิสไปหลายร้อยครั้ง

เฮ้ย ดังนรกชังหรือสวรรค์แกล้ง แกล้งทรมานให้ฉันได้เจอ

ดวงตากลมสีน้ำตาลมองผ่านกระจกใสไปด้านนอก ร่างสูงคุ้นตาสวมชุดลำลองในแบล็คลิสต์โผล่เข้ามาในทางสายตา นิศากรอยากร้องไห้ให้สาแก่ใจ ฟ้าดลใจให้เธอมาถึงนี่ เหตุใดถึงต้องดลใจคนคนนี้ให้เลือกมาที่เดียวกันด้วย สปอร์ตคลับมีตั้งเยอะไม่รู้จักเลือกที่อื่น

หญิงสาวก้มหน้าคว้าเมนูมาปิด ก่อนย้ายที่นั่งเป็นหันหน้าเข้ากำแพงและหันหลังให้กระจกใส ภาวนาให้ภูดิสที่ยืนคุยโทรศัพท์อยู่ด้านหน้าไม่ก้าวเข้ามาในคอฟฟี่ชอป

โว้ยยยย เข้ามาทำไมเนี่ย

นิศากรอยากเอาหัวโขกโต๊ะที่โชคไม่เข้าข้างมาตลอดหลายวันหรือเปลี่ยนหน้าออกแบบเฟสออฟ จะได้ต้องหลบให้ลำบากแบบนี้

อย่า อย่ามาทางนี้น้า ไปอีกทางสิ ไปสิ ชิ่วๆ นิศากรลุ้นตัวโก่งไม่ให้ขายาวๆพาร่างสูงมาทางโต๊ะว่างที่เธอนั่งอยู่ และหายใจโล่งในเวลาต่อมาเมื่อส่งเสียงไล่ในความคิดได้ผล
ดีมากๆ อย่างน้อยวันนี้เธอก็ไม่ซวยจนเกินไปนัก แต่อย่าอยู่นานเป็นดีที่สุด


นิศากรลุกพรวดหยิบข้าวของ เตรียมเผ่นเต็มที่ แต่เสียงห้าวของชายผิวสีน้ำผึ้ง ดวงตาคมซึ้งเรียกชื่อเธอพร้อมรอยยิ้มหวานบาดใจสาวส่งมาให้

“สวัสดีครับ คุณนิ”

“สะสวัสดีค่ะ คุณธเนศ” หญิงสาวทักทายตะกุกตะกัก เพราะตกใจและระแวงว่าร่างสูงที่นั่งอยู่อีกด้านจะเห็นเข้า นิศากรนั่งลงตามเดิมเพื่อจะได้ไม่เป็นจุดเด่น ธเนศทรุดนั่งที่เก้าอี้อีกตัวตาม

“วันนี้มาเล่นสคอวตเหรอครับ” ชายหนุ่มถาม พอเดาได้จากอุปกรณ์ที่เห็น

“ค่ะ คุณธเนศมาตรวจงานเหรอคะ”

จากคราวที่แล้วที่พบกัน ชายหนุ่มก็กำลังเดินตรวจงาน เห็นเธอยืนชะเง้อชะโงกดูคนอื่นเขาอยู่ก็เข้ามาถาม แนะนำตัวว่าเขาเป็นเจ้าของที่นี่ มีอะไรให้ช่วยก็บอกได้เลย แถมยังโฆษณากิจการของตัวเองเต็มที่ ยิ้มแบบบาดใจสาว พูดคุยอย่างเป็นกันเองราวกับรู้จักกันมาเป็นสิบปี ทั้งที่เพิ่งพบกันไม่ถึงชั่วโมง

“ครับ แต่ตอนนี้ขออู้หน่อย เมื่อกี้ผมไปดูที่ห้องสีสาศ นึกว่าจะได้พบคุณซะอีก”

ธเนศบอกเก้อๆ นิศากรหัวเราะขำตาพราว ครั้งที่แล้วธเนศทำหน้าพิลึกตอนเธอบอกว่าสนใจอยากลองเต้นลีลาศดู เมื่อชายหนุ่มเสนอตัวรับรองลูกค้ารายใหม่ด้วยตัวเอง ยินดีเล่นทุกอย่างเป็นเพื่อนหญิงสาวไปก่อนหน้านั้น
ผมไม่ค่อยมีพรสวรรค์เรื่องเต้นสักเท่าไหร่ แต่จะลองดูก็ได้ เพื่อลูกค้าวีไอพีคนใหม่ของสปอร์ตคลับของผม

ธเนศไม่ค่อยมีพรสวรรค์ดังปากว่า หากแต่ไม่เลยร้าย พอกล้อมแกล้มไปได้ตรงแพทเทิร์น แต่ตัวแข็งราวกับหินจนถูกครูแซว


ร่างกำยำของเพื่อนชายเดินไปอีกทางหลังจากโบกมือทักตอบเขาแล้ว ภูดิสหันไปรับกาแฟที่สั่งไว้ไม่สนใจเท่าไหร่ คิดว่าเพื่อนคงจะไปทักทายเอาลูกค้าสาวๆอีก เหมือนที่ชอบทำเป็นประจำ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมองหาเพื่อนดูว่าสาววหน้าไหนอีกที่ธเนศยิ้มร่าไปหา
คิ้วเข้มขมวดนิดๆในทีแรกด้วยความรู้สึกคุ้นด้านหลังของหญิงสาวใกล้ตัวเพื่อน และแจ่มชัดว่าคือใครเมื่อเธอหันมายิ้มสดใสหัวเราะร่า

คิ้วคมยิ่งขมวดติดกันเข้าไปอีก คนที่หลบหน้าหลบตาอย่างไร้สาเหตุอยู่กับธเนศ ดูร่าเริงสบายใจทั้งที่ทำความหงุดหงิดให้เขามาหลายวัน ทั้งแปลกใจ สงสัยที่จู่ๆนิศากรเกิดอาการเหมือนปอบหลบตาวูบวาบแล้วอาการยิ่งรุนแรงขึ้นด้วยเปลี่ยนเป็นหลบหายไปทั้งตัว วิ่งหนีซึ่งๆหน้าเหมือนผีเจอพระไม่มีผิด
และตอนนี้รู้สึกปั่นป่วน ขุ่นมัวยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อนิศากรส่งยิ้มหวานใสให้คนผิวสีน้ำผึ้งที่เขารู้จักดีว่า เจ้าชู้เพลย์บอยแค่ไหน อีกทั้งดวงตากลมที่มองล้อคู่สนทนา ทำให้ภูดิสอยากตีให้ร้องไห้แทนนัก


-----------โปรดติดตามตอนต่อไป-------------


คุยกันนิดหน่อยกับฟ้าริน

kikkak_riwkiw - เฮ้อ ฟิว ตอนนี้แต่งช้าสมดังที่ฟิวว่าแล้วหล่ะ อ๊าาาาาาาา อารมณ์หลุดอ่ะ น๊อตจะหลุดด้วย จารย์ไม่ให้เรียนวิชาที่อยากเรียน วุ่นวายต่อเป็นอาทิตย์ที่2แล้ว อากาศก็ร้อน ไมเกรนกำเริบทุกวันตอนบ่าย3เลย

ชาจัง - แหม กำลังคิดถึงว่าชาจังหายไปไหน ว่าแล้วก็มาเลย จามบ้างรึเปล่าคะ ฮัดเช้ยๆๆอยากรู้จังเลยว่าใครเอ่ยถึงฉัน

Niranam - ขอบคุณที่ชี้ทางให้ใหม่ค่ะ


nekojung - ไม่ต้องล็อคอิน ก็สามารถคอมเม้นท์ได้นะคะ




Create Date : 13 มิถุนายน 2550
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2551 18:23:14 น.
Counter : 313 Pageviews.

2 comment
จัดรักให้ลงล็อค บทที่ 7



บทที่7


หลังจากตบแป้งกลบรอยแดงเห่อเหมือนผีจีนเรียบร้อย นิศากรเดินระเรื่อยชมแนวไม้ด้านข้าง ซึ่งจัดเป็นพุ่มสลับกับซุ้มไม้เลื้อยเหนือหัว หากตรงไป เธอจะกลับเข้าสู่เขตสวนอาหาร แต่นิศากรเลือกเถลไถลเลี้ยวไปยังเส้นทางที่มีประกายไฟวับแวม สะพานไม้ที่ติดไฟประดับสีนวล บางช่วงส่องแสง บางช่วงขาดหาย แต่เท่าที่มีก็ช่วยส่องทางให้เดินได้สะดวก จนสุดราวสะพานไม้เป็นท่าน้ำ ให้ความสว่างด้วยด้วยตะเกียงเจ้าพายุที่เธอเห็นวับแวมเมื่อครู่

การได้กินลมชมวิวหลังจากได้ทานอาหารจนอิ่มหนำ เป็นสุนทรีย์อย่างหนึ่ง ตามนิสัยศิลปินนักออกแบบอย่างนิศากร สายลมพัดความเย็นจากจากผิวน้ำยามค่ำคืนให้ไล้ผิวกาย เส้นผมสีน้ำตาลเข้มปลิวไสว เสียงเพลงจังหวะช้าดังแว่วมา เคล้าบรรยากาศรอบกายให้น่ารื่นรมย์ยิ่งขึ้น หญิงสาวปิดเปลือกตา ปล่อยใจไปตามเสียงเพลง

...ปลายฟ้า แค่หลับตาลงคงพบกัน
ดาวน้อย โปรดลอยมาลตรงหัวใจ
เก็บเกี่ยวความคิดถึงฉันไป ให้เธอที่ปลายฟ้าไกล...(*เพลง ปลายฟ้า-นันธิดา แก้วบัวสาย)

เก็บความคิดถึงฉันไป ให้ใครดีล่ะ ก็มีบ้างในบางครั้ง ยามที่เหงาและคิดถึงบ้าน บุคคลต่างๆที่อยู่ที่ประเทศไทย จะลอยขึ้นมา เธอนั่งระลึกถึงคนโน้นคนนี้ไปเรื่อย จนในที่สุด สุดท้ายที่ลอยแวบเข้ามา คือดวงหน้าขาวตัดคิ้วเข้มและดวงตาคม คนที่ช่วยให้เธอได้ออกมาหาความรู้ที่ฝรั่งเศสอย่างที่เธอคิดฝันได้อย่างง่ายดายขึ้น คนที่ทำให้ฟุ้งซ่านได้ทุกที จนต้องสลัดหน้าหนีและปฏิญาณตนว่า

นิศากร เธอจะไม่ไล่ตามผู้ชายที่ไม่ได้มีใจให้แบบนางร้ายในละครอย่างเด็ดขาด!

“หลับทั้งที่ยืนอยู่ก็ได้ด้วยเหรอครับ” เสียงนุ่มทุ้มของคนในความคิดแทรกเข้ามา นิศากรแปลกใจ แค่คิดเป็นภาพเฉยๆ ไหงมันมีเสียงประกอบด้วยล่ะเนี่ย คิ้วเรียวขมวดทั้งยังหลับตา แถมยังมาถามอะไรแปลกๆอีก

“คงไม่ได้หลับจริงๆหรอกนะ” เฮ้ ใครจะไปหลับทั้งยืนได้เล่า ไม่ใช่นกฮูกสักหน่อย ถามอะไรแปลกจริง อย่างนี้ไม่เอาเสียงดีกว่า ตัดเสียงๆ

“หลับจริงเหรอเนี่ย หนูนิ” เอ๊ะ ก็บอกว่าไม่ได้หลับ แล้วเมื่อกี้ก็สั่งให้ตัดเสียงออกไปแล้ว ทำไมยังมีอยู่อีกล่ะ แล้วอะไรมันวูบๆวาบๆตรงหน้ากันล่ะเนี่ย

นิศากรเปิดเปลือกตาเผยให้เห็นดวงตาสีน้ำตาลเข้มเช่นเดียวกับสีผม แฝงรอยขุ่นเล็กน้อยที่ไม่ได้ดั่งใจ ฝ่ามือใหญ่โบกไปมาตรงหน้า กับใบหน้าคมที่ก้มลงเขม้นมองท่าทีสงสัย เมื่อเลนส์ตาปรับรับภาพตรงหน้าชัดขึ้นก็สะดุ้งน้อยๆ

“พะ พี่ภู”
เอาอีกแล้ว ผู้ชายคนนี้ ชอบมาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียงตลอดเวลาเลยรึไง หรือว่าเป็นนินจาฝีมือดี เดินแบบไม่มีเสียงได้

“ครับ พี่เอง ตกใจเหรอ” คิ้วเข้มเคลื่อนเข้าหากันเล็กน้อย

ภูดิสเหลือบเห็นนิศากรที่ขอตัวออกมาเมื่อครู่ก่อน กำลังเดินเลี่ยงไปอีกทาง แทนที่จะกลับเข้าสู่สวนอาหาร ทางนั้นค่อนข้างมืด และดูท่าจะไม่ปลอดภัยนัก สำหรับหญิงสาวที่จะเดินไปเพียงลำพัง ถึงจะเป็นร้านอาหารใหญ่ มีระดับและราคาแพง แต่ไม่ได้หมายความว่าภัยอันตรายจะไม่กล้ำกลายเข้ามาได้

ร่างสูงจึงเปลี่ยนทิศทางตามหญิงสาวมา ดูท่าฝีเท้าของเขาคงจะเบาไป ไม่ก็คนเดินนำหน้าความรู้สึกช้า หรืออาจจะเป็นเพราะเหม่อลอยจนเกินไป ขนาดเขาก้าวมายืนเคียงอยู่นานยังไม่รู้สึกตัว แกล้งกระแอมไอก็แล้ว ยังไม่มีที่ท่าจะรับรู้ถึงการมาของเขาจึงส่งเสียงถามออกไป แต่เธอยังคงหลับตานิ่ง จนเขาชักสงสัยว่า จะหลับเสียก็อาจเป็นได้
“ตกใจสิ พี่ภูมาเงียบๆนี่” สองวันนี้ ตกใจไปสามรอบแล้วนะ

“หือ? ไม่เงียบสักหน่อย หนูนิต่างหากที่แอบหลับ” เสียงนุ่มทุ้มแปลกใจให้คราวแรก ก่อนเปลี่ยนเป็นหยอกล้อในประโยคหลัง

“นิไม่ได้หลับนะ” เสียงใสแหวกลับคนที่กล่าวหา
“ถ้าไม่หลับก็น่าจะรู้ว่าพี่มายืนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่” นิศากรหน้าเหวอ ไม่รู้จริงๆ แต่เธอไม่ได้หลับนะ

“ใครจะหลับได้ทั้งที่ยังยืนอยู่ได้ล่ะ” เคยลองทำอยู่หรอก แต่ผลคือเอนล้มไม่เป็นท่า อับอายชาวบ้านร้านตลาดไปทั่วบริเวณ

“ถ้างั้นคงจะเหม่อคิดอะไรจนไม่รู้ตัว ขนาดพี่เรียกยังไม่ได้ยิน” คนถูกหาว่าเหม่อต้องยอมรับว่าไม่รู้ตัวจริง ยิ้มเจื่อนๆ

“เป็นอย่างนี้แล้วยังเดินมามืดๆคนเดียวอีก อย่างนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะ ไม่กลัวรึไง”

นิศากรหันดูทางที่ผ่านมา จากตรงนี้จนกระทั่งถึงแนวซุ้มไม้เป็นเงาตะคุ่ม ดูจะมืดจริงตามที่เขาบอกซะด้วย

“ถ้าพี่เป็นโจร หนูนิเสร็จไปเรียบร้อยแล้วแน่ๆ”

“ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก นิไม่ได้กินกันสบายๆอย่างที่พี่ภูคิดหรอก”

“ตัวแค่นี้ จะเอาแรงที่ไหนมาสู้ได้” ภูดิสปรายตามองคนตัวโตแค่พ้นไหล่เขามาได้ไม่เกินสิบเซ็นต์ ถึงจะสูงกว่าน้องสาวเขาที่เข้าข่ายตัวกะเปี๊ยก แต่ก็ยังโตไม่เข้าขั้นอยู่ดี

“อย่ามาดูถูก ไม่เห็นต้องใช้แรงอะไรมากมาย นายฝรั่งหัวทองนั่นก็ลงไปกองแทบเท้าแล้ว” หญิงสาวเชิดหน้า ยืดอก ก่อนอวดเบ่งวีรกรรมเมื่อครั้งยังเรียนอยู่ที่ฝรั่งเศส
ในงานเลี้ยงวันเกิดเพื่อนชาวต่างชาติที่รู้จัก พากันเฮละโลไปฉลองที่ผับแห่งหนึ่ง แน่นอนว่าต้องมีรายการ
แอลกอฮอล์เป็นส่วนผสมหลักในเครื่องดื่ม พอเมาแล้วสมองก็จะมักจะหมดประสิทธิภาพในการควบคุมร่างกายตนเองไปโดยปริยาย กิเลสต่างๆก็เผยตัว ส่งผลให้เกิดอาการขี้หลีกันถ้วนหน้า

เจ้าหนุ่มหัวทองเพื่อนของเพื่อนอีกต่อที่นิศากรไม่สามารถระบุชนชาติได้ เพราะไม่ได้ถาม ตัวสูงขนาดกำแพงเมืองชักจะเริ่มทำตัวเป็นสัตว์น้ำมีหนวดที่เรียกว่า ปลาหมึก นั่งคุยกันดีๆก็เริ่มจับแขน แตะเอวและสุดท้ายจับต้นขา

นิศากรลุกพรวดจากเก้าอี้ สาดเครื่องดื่มสีสวยในมือราดผมสีทองกระจ่างนั่นจนเปียกปอน ยั้งมือที่จะเขวี้ยงแก้วร่วมไปด้วย เพราะไม่อยากจ่ายค่าเสียหายทีหลัง ดูจะหลายตังค์อยู่

ดูท่าความเย็นจะปลุกให้หายจากอาการเมามายได้ดี ดวงตาสีฟ้าเปล่งประกายจ้า ลุกขึ้นโวยเสียงดัง แต่มีหรือที่เธอจะกลัว กลับยิ่งทวีความโมโหมากขึ้น กระทืบรองเท้าบู๊ทส้นสูงใส่รองเท้าหนัง จนฝรั่งตัวโตนั่นร้องจ๊าก ค่าที่หาว่าเธอทำตัวงี่เง่า จับนิดจับหน่อยไม่ได้

ขณะที่เจ้าฝรั่งนั่นย่อตัวลงกุมเท้า เหมือนลดระดับลงมา เพื่อให้รับหมัดเล็กๆของเธอ เลยสนองให้โดยต่อยเข้าเบ้าตาอย่างแรง เจ้านั่นผงะหงายหลังตึง แต่ยังไม่หมดฤทธิ์ ผงกหัวจะลุกขึ้นมา เธอเลยผลักกึ่งโยนเก้าอี้ใกล้มือล้มลงไปทับร่างสูงใหญ่ให้แน่นิ่ง เพราะจุกกับน้ำหนักเก้าอี้บวกแรงอัดที่เธอประเคนใส่อยู่ที่พื้น ใจอยากจะฝากรอยเท้าบนชุดหล่อนั่นอีกหลายรอย หากเพื่อนสาวเอเชียหลายคนที่มาร่วมงานรั้งไว้ซะก่อน และตอนท้ายมาขอแตะมือ พร้อมปรบมือให้

“ได้ยินว่าไอ้หมอนั่นชอบแต๊ะอั๋งสาวเอเชีย โรคจิต” หญิงสาวเข่นเขี้ยว ยังไม่คลายจากอารมณ์อยากเอาคืนเมื่อครั้งก่อน

ภูดิสทึ่งนิดๆกับฤทธิ์เดชของสาวหน้าใส ไม่มีแววบู๊สักนิด น้ำหนักมือเธอจะซักเท่าไหร่ ถึงได้สอยฝรั่งตัวโตหงายเก๋งได้ ดูท่าจะไม่เบาทีเดียว

“น่าแปลก ไม่เห็นแพรเล่าให้ฟังเลยสักนิด” สองสาวเพื่อนสนิท มีหรือจะไม่แบ่งปันประสบการณ์สู่กันฟัง นิศากรเล่าอย่างเมามันไม่น้อย หากแพรพรรณไม่นำมาบอกต่อ เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

“ไม่แปลกหรอก ก็นิไม่ได้เล่าให้ฟังนี่”
ประกายความสงสัยส่งมาทางดวงตาคมชัดเจน นิศากรจึงแจงต่อไปว่า

“ขืนแพรเม้าท์ไปเข้าหูแม่ นิก็ถูกจับตัวกลับน่ะสิ สัญญาแล้วว่าจะไม่เที่ยวเตร่ยามค่ำคืน แต่ก็ยังแหกกฎ หวิดซวยซ้ำซ้อนหลายต่อ อดเรียนกันพอดี”

ภูดิสพยักหน้าเข้าใจและเห็นด้วยกับนิสัยช่างพูดจนมากไปสักหน่อยของน้องสาว แต่ไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้ใคร เพียงแต่ชอบพูดชอบคุยเรื่องราวต่างๆกับคนใกล้ชิดเท่านั้น โดยเฉพาะเรื่องของคนที่อยู่ใกล้นี่ มักจะยกมาพูดบนโต๊ะอาหารที่อยู่กันพร้อมหน้าเสมอ

“แล้วยกมาอวดพี่อย่างนี้ ไม่กลัวความลับแตกรึไง”
นิศากรยิ้มหน้าเป็น ชมวิวรอบข้าง บอกเรื่อยๆอย่างไม่ใส่ใจเท่าใดนัก

“สัญญาหมดอายุแล้วค่ะ พี่ภูจะเอาไปบอกต่อนิก็ไม่ว่า ดีซะอีก เผื่อใครอยากมาแหยม จะได้เกรงๆไว้บ้าง”

ภูดิสยิ้มกว้างหลุดเสียงหัวเราะออกมา คนตัวเล็กตรงหน้า ดูท่าจะก่อวีรกรรมไว้ไม่น้อยเลย ซนไม่ใช่เล่นผิดกับใบหน้าอ่อนใสและดวงตากลมแป๋วไร้เดียงสา เขารู้สึกโล่งใจกับท่าทางสบายพูดคุยเล่นด้วยดังเดิม ไม่ตั้งท่าวิ่งแจ้นหลีกลี้กันอีก ความสดใสของเธอทำให้เขารู้สึกเพลิดเพลินผ่อนคลายตามไปด้วย


สองหนุ่มสาวเดินเคียงคู่กันกลับมายังโต๊ะอาหาร หารู้ไม่ว่าเมื่อครู่มีมือดีกดชัดเตอร์เก็บภาพไว้เรียบร้อย เตรียมลงข่าวฟื้นฝอยประเด็นฮอตเมื่อสองสัปดาห์ก่อนให้คุเป็นไฟขึ้นอีกครั้ง หากครั้งนี้ ผู้ที่เคยมีแต่ชื่อกลับแสดงตัวเป็นๆขึ้นมาย้ำความแน่ใจให้กับนักแสดงสาวได้เลือดเดือดพล่าน ด้วยคิดว่าจะมาแย่งของของตน


ส่วนสายตาอีกสามคู่พราวระยับสบกันอย่างสมใจ เมื่อทั้งนิศากรเดินกลับมากับภูดิสที่หายไปครู่ใหญ่ หน้าตายิ้มแย้มให้กันอย่างเป็นมิตร สร้างความหวังสานสัมพันธ์ครั้งใหม่ให้กับทั้งสามได้อย่างดี แพรพรรณรีบสะกิดมารดาและคุณกังสดาลให้ดู รวมหัวกระซิบกระซาบกันเสียงเบา

“แม่คะ คุณป้าคะ แบบนี้เรียกว่าสัญญาณดี เราควรจะเริ่มสานแผนกันต่อเลยมั้ยคะ” แพรพรรณเห็นช่องสบโอกาสจึงอยากดำเนินการแผนที่เคยล่มไปเมื่อสองปีก่อนให้สำเร็จ

“แม่ว่าเราอย่าเพิ่งเริ่มตอนนี้เลยนะ รอไปอีกสักพักดีกว่า”

“ป้าก็ว่าอย่างนั้นเหมือนกัน เคยเปรยๆไว้ เรื่องจะพาไปงานเลี้ยง จะได้รู้จักหนุ่มๆดีๆคบไว้เป็นเพื่อนบ้างก็ไม่ยอมท่าเดียว”

“อ้าว คุณป้าคะ ทำไมพูดแบบนี้ล่ะคะ แล้วพี่ภูของแพรล่ะคะ คุณป้าจะนอกใจไม่ได้นะคะ” แพรพรรณแย้งเสียงดังในระดับกระซิบ

“แหม ก็ตอนนั้นสองคนนั้นเขายังไม่ดีกันแบบนี้นี่จ๊ะ ป้าก็เลย” คุณกังสดาลไม่พูดต่อให้จบ เว้นไว้อย่างที่เข้าใจกันได้เอง

“มันก็จริงอย่างที่ป้าเขาว่าแหละ พี่ชายเราร้ายนัก แม่คิดแล้วยังโมโหไม่หายเลยจริงๆ” คุณลักษิกาว่าอย่างเข่นเขี้ยว อยากจับลูกชายตัวเองมาฟาดสักทีสองที

“เอาเถอะค่ะ อย่าพูดถึงเรื่องเก่ากันเลยค่ะ เอาเรื่องใหม่นี่ดีกว่าค่ะ” แพรพรรณตัดบท อยากเริ่มแผนใหม่เต็มทีแล้ว

“แม่ว่าเราคอยดูสถานการณ์กันไปก่อนดีกว่า จะได้วางแผนกันได้ถูกทาง” คุณลักษิกาเสนอให้หยั่งเชิงดูก่อน เพื่อจะได้ไม่เกิดการผิดพลาด

“ป้าก็คิดอย่างนั้น คราวนี้เราต้องวางแผนกันให้รอบคอบกว่าเดิม ต้องไม่โจ่งแจ้งให้หนูนิรู้ตัวได้ ไม่อย่างนั้นเป็นได้หลบสุดตัวแน่ๆ”

“พี่ภูก็ด้วย เราต้องวางแผนกันให้ดี ต้องเนียน ไม่ให้จับได้เด็ดขาด งั้นวันนี้พวกเราเก็บเอาไปคิดเป็นการบ้าน แล้วค่อยรวมตัวกันอีกทีนะคะ”

แพรพรรณตัดบทให้กลับไปคิดแผนการสานสัมพันธ์ภูดิสและนิศากรกันเป็นการบ้าน แล้วแยกตัวกลับมายังที่ของตน อาหารจานใหม่มาเสริฟพอดี

นิศากรมองเพื่อนที่เพิ่งทรุดตัวลงนั่งข้างพี่ชายแล้วนึกอะไรอย่างนึงขึ้นได้ มือบางเอื้อมไปกระตุกเสื้อชายหนุ่ม จนเขาหันมามองเธอจึงเอียงเข้าไปหานิดนึงเพื่อกระซิบเบาๆให้ได้ยินแค่สองคน

“อะไรครับ”

“พี่ภู เรื่องเมื่อกี้น่ะ นิสั่งพรรคพวกไว้ว่าไม่ให้ปูดให้แพรรู้ก่อนนิกลับมา พี่ภูอย่าเพิ่งบอกนะ เดี๋ยวยัยแพรโกรธเอา ไว้ว่างๆนิจะทำเป็นคุยเอง”

ภูดิสเหลือบมองหน้าใสที่อยู่ใกล้ ดวงตากลมมีแววทะเล้นร่าเริงไม่สร่างซา

“ความลับงั้นเหรอ ไหนว่าคุยได้”

“คุยกับคนอื่นได้ แต่คุยกับแพรไม่ได้ อย่าลืมนะ ห้ามหลุดนะพี่ภู” เสียงใสกำชับ กระตุกเสื้ออีกครั้งเอาคำตอบ ชายหนุ่มเห็นใบหน้าหวานใสอมยิ้มพรายในหน้า ก็นึกอยากเล่นสนุกด้วย

“ถ้าช่วยปิดแล้วพี่จะได้อะไรล่ะ”
นิศากรมองดวงตาคมพราวล้อแสงไฟในระยะใกล้ ไม่คิดว่าคำขอสนุกๆของเธอจะต้องมีข้อแลกเปลี่ยน คิ้วเรียวแทบติดกัน

“อะแฮ่ม กระซิบกระซาบอะไรกันน่ะ มีความลับกับเราเหรอ” แพรพรรณแอบยิ้มขณะที่แกล้งทำตาเขียว

“นั่นสิ ยัยหนูนิ มองมานานแล้วนะยะ ให้ฉันกระซิบบ้างสิ เอาข้างๆหูเลยมั้ยคะพี่ภู” ไม่ใช่ใครอื่นอีก นอกจากแม่สาวเปรี้ยวประจำกลุ่มที่ส่งเสียงมา ทั้งในตอนท้ายกระพริบตาถี่ เรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนร่วมโต๊ะอีกครั้ง

ร่างสูงเอียงมาอีกครั้ง เมื่อทุกคนหันไปสนใจอาหารจานใหม่ที่ยกมาเสริฟพอดี เสียงนุ่มทุ้มบอกเบาและยิ้มมุมปากแถมท้ายอย่างที่ชอบทำเป็นประจำ

“ติดไว้ก่อนก็ได้ แล้วพี่จะทวงทีหลัง”
ขอแค่นี้ก็ไม่ได้ คุณพี่นักธุรกิจดาวรุ่งตัวจริง ทำอะไรเลยต้องมีข้อแลกเปลี่ยนแบบทำธุรกิจหรือไงกันนะ


รุ่งเช้าต่อมา หนังสือพิมพ์หน้าบันเทิง พาดหัวข่าวสีสวยเด่น

นางร้ายสาวมาแรงมีหวังแห้ว นักธุรกิจหนุ่มดาวรุ่ง ดอดร่วมงานเลี้ยงอบอุ่นต้อนรับลูกสาวนายกสมาคมแม่บ้านไฮโซกลับบ้าน และแอบหลบมาชมวิวริมน้ำสองต่อสองแสนโรแมนติก

เหยี่ยวข่าวกระซิบมาว่า วันก่อนพบนักธุรกิจหนุ่มรอรับด้วยตัวเองถึงสนามบินก่อนกำหนดจริง หรือสองหนุ่มสาวจะแอบวางแผน หวังเซอร์ไพร์สญาติพี่น้องทั้งสองฝ่าย ก่อนกลับบ้านยังพาไปเดินอวดพนักงานทั้งบริษัทให้ฮือฮากันยกใหญ่

รัญชิดากระชากหนังสือพิมพ์จากผู้จัดการส่วนตัวมาดูภาพเล็กๆประกอบเนื้อข่าว ภูดิสยิ้มระรื่นอยู่กับนิศากรที่ท่าน้ำประดับไฟสวยงาม

“ข่าวบ้าอะไรกันเนี่ย!บ้าๆๆที่สุด” รัญชิดาตวาดแว้ด ขยำหนังสือพิมพ์เขวี้ยงลงพื้นอย่างโมโห

“ว้าย คุณน้องรันเบาๆสิคะ” อิมมี่หรือนามเดิมว่านายอิสระ กระเทยสาวผู้จัดการส่วนตัวกรีดนิ้วแตะริมฝีปากทำท่าให้เบาเสียง เพราะห้องแต่งตัวเล็กๆในห้องส่งนี้ ไม่ได้ปิดประตูไว้ หากมีผู้ใดผ่านไปมาแอบได้ยินเสียงร้องแว้ดๆอย่างนี้ คงได้เกิดข่าวซุบซิบอีกแน่

“ทำไม มีปัญหาอะไร ฉันจะเสียงดังแล้วมันมีปัญหาอะไร อยากโดนไล่ออกอีกคนรึไง”

“ว้าย เปล่าค่ะคุณน้อง คือว่าพี่อิมมี่เนี่ยนะคะ กลัวว่าถ้าคุณน้องกรี๊ดๆอยู่อย่างนี้ ก็เท่ากับว่าคุณน้องส่งเสริมให้ข่าวที่ว่านี่มันเป็นจริงนะคะ” อิมมี่หว่านล้อมเสียงประจบประแจง

“ไม่จริง ภูไม่มีทางไปหลงชอบใครอื่นอีก ได้ยินรึเปล่า ไม่มีทาง” รัญชิดาเสียงแข็งกราดเกรี้ยว
ที่เมื่อวานภูดิสปฏิเสธไม่ไปกับเธอ แถมยังไม่ง้องอนเอาใจอย่างที่ควรเป็น เพื่อไปงานเลี้ยงต้อนรับผู้หญิงคนนี้ มันหมายความว่ายังไง

รัญชิดารับไม่ได้ว่าเธอจะมีคู่แข่ง ภูดิสไม่เคยปฏิเสธเธอ แต่กลับทำ เธอคิดอยู่เสมอว่าภูดิสรักเธอ และจะไม่รักใคร เธอต่างหากสำคัญ แต่บัดนี้กลับมีผู้หญิงอีกคนมาเบียดเบียน ซ้ำยังภาพที่เธอได้เห็นที่หน้าห้องภูดิสนั่นอีก เขาโอบประคองผู้หญิงคนนั้นเอาไว้ ทั้งคุณลักษิกาที่ออกท่ากางปีกปกป้องชื่อเสียงให้เด็กนั่นอีก จนต่อว่าภูดิสที่ทำรุ่มร่าม

“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด ฉันไม่เชื่อ” รัญชิดากรีดร้อง หลังจากที่อิมมี่รีบวิ่งไปปิดประตูทุกบานกั้นเสียงไม่ให้เล็ดลอดออกไป เมื่อเห็นไหล่ที่สั่นเทิ้มและหน้าตาเป็นนางร้ายสุดขั้วบอกว่ากำลังต้องการแผดเสียงระบายความเจ็บแค้นในหัวใจ


ประตูบานเลื่อนแบบญี่ปุ่นในภัตตาคารเปิดออก ภูดิสยืนรอส่งคู่เจรจา หลังจากตกลงเรื่องธุรกิจกันเรียบร้อยด้วยดีทั้งสองฝ่าย ชายหนุ่มทรุดลงนั่งเอนหลังพิงพนักตามสบาย

“สำเร็จจนได้นะ เจ้าภู” คุณรุจน์ตบบ่าหลานชายคนโต ภูดิสหันมองหน้าลุงก่อนระบายลมหายใจอย่างโล่งอกพร้อมกัน

“ครับลุง แต่ถ้าไม่ได้ลุงมาช่วย ฝ่ายนั้นคงไม่ยอมตกลงง่ายๆแน่” ภูดิสยกให้เป็นเครดิตของผู้เป็นลุง

อีกฝ่ายตั้งท่าจะเอาเปรียบในข้อตกลงหลายข้อ ที่หากไม่สังเกตทบทวนดีๆแล้วล่ะก็ อาจตกหลุมพลางได้ง่ายๆ แน่นอนเขาไม่ยอมตกลง และนัดเจรจากันใหม่หลายครั้ง ข้อเสนอใหม่ที่เขาเคยให้อีกฝ่ายไปแล้ว หากไม่เป็นผล ให้คุณรุจน์ช่วยเสริมอีกแรง จนอีกฝ่ายยอมตกลง

“นั่นมันแค่ส่วนเล็กๆเท่านั้น ทั้งหมดตั้งแต่ต้นแกทำเองทั้งนั้น เพราะฉะนั้น นี่คือผลงานของแก ภูมิใจได้เลย”

“ขอบคุณครับลุง” ภูดิสไหว้ขอบคุณชายสูงวัย

คุณรุจน์ พี่ชายแท้ๆของบิดาภูดิสที่เสียไป คุณรุจน์ไม่มีทายาท เนื่องจากผู้เป็นภรรยาเสียพร้อมลูกในท้องไปอย่างกระทันหัน ตั้งแต่ทั้งสองเพิ่งแต่งงานกันได้ไม่ถึงสองปีด้วยอุบัติเหตุ ครานั้นผู้เป็นลุงเสียใจจนไม่เป็นอันทำงานทำการ ทั้งสองรักและผูกพันกันมาก เมื่อเสียภรรยาไป จึงไม่อาจคิดมีใครใหม่ได้อีก

“จริงสิ เมื่อหลายวันก่อน แม่เลขาลุงเขาแอบมากระซิบถาม เรื่องข่าวหนังสือพิมพ์ที่ลงน่ะ เรื่องจริงรึเปล่า” คุณรุจน์ถามเรื่อยๆชวนคุยเล่นซะมากกว่าจะอยากรู้จริงจัง

“โธ่ ลุงไม่น่าถาม ข่าวบันเทิง จุดประสงค์ก็เพื่อให้คนอ่านรู้สึกบันเทิงอยู่แล้วนี่ครับ” ชายสูงวัยหัวเราะขำ ข่าวบันเทิงมักจะชอบใส่สีตีไข่ให้เรื่องมันมีสีสันเพื่อความบันเทิงอย่างที่หลานชายพูดจริงๆ

“แม่หนูที่อยู่ในรูปล่ะ ลูกสาวใครนะ” คุณรุจน์ถามต่อ เลือนลางกับเนื้อข่าวที่ไม่ค่อยได้ใส่ใจอ่านสักเท่าไร ตอนแม่เลขาเอามาให้ดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“ป้ากังสดาลครับ เพื่อนของแม่ที่เป็นนายกสมาคมแม่บ้านไฮโซ” ผู้เป็นลุงทบทวนความจำก่อนนึกได้

“อ้อ กังสดาลนี่เอง ลูกสาวเขาโตเป็นสาวแล้ว ชื่ออะไรนะ”

“นิศากรครับ”

“นิศากร” คุณรุจน์ทวนชื่อตามที่ได้ยิน คนนี้รึเปล่าที่นะ ที่น้องสะใภ้ของเขาเคยเปรยว่าอยากได้เป็นสะใภ้ แล้วถามต่อ “แล้วเขาเป็นยังไงล่ะ เด็กคนนี้ นิสัยดีมั้ย”

“ครับ ร่างเริงแจ่มใส เปิดเผยดีครับ ซนไปหน่อย แต่ไม่ไร้สาระขี้บ่นเหมือนยัยแพร”

“ถ้าอย่างนั้นก็ดีใช้ได้เลยนะเจ้าภู น่าสนนะ ลุงว่า” ชายสูงวัยหัวเราะเสียงดังอย่างขบขัน กิตติศัพท์เรื่องพูดมากและขี้บ่นของแพรพรรณ ชายทั้งสองรู้ดีและประสบฤทธิ์เดชของมันมาตลอดนับตั้งแต่สมาชิกตัวเล็กสุดในบ้านลืมตาดูโลก

“หาคนรักเข้าสักคนสิเจ้าภู จะได้มีเวลาได้อยู่กับคนที่รักนานๆไงล่ะ เวลาความสุขของคนเรามันสั้นนักนะ”
ภูดิสมองสบตาอ่อนแสงของผู้เป็นลุง เข้าใจดีในทุกคำที่คุณรุจน์เอ่ย

หลังจากคิดเงินค่าอาหารเรียบร้อย สองลุงหลานเดินผ่านส่วนนอกของร้านที่จัดวางโต๊ะเป็นแถวยาว ดวงตาคมเหลือบไปเห็นคุณกังสดาลยืนอยู่หน้าร้านอาหาร จึงสะกิดคุณรุจน์ให้เข้าไปทักทาย

“อ้าว ภู สวัสดีจ้ะ คุณรุจน์สวัสดีค่ะ ไม่ได้พบเสียนานเลยนะคะ” คุณกังสดาลรับไหว้ลูกชายเพื่อนก่อนหันไปพนมมือทักทายคุณรุจน์ที่มีอาวุโสกว่า

“คุณป้ามาทานข้าวเหรอครับ”

“จ้ะ นัดเพื่อนเขาเอาไว้ พาหนูนิมาไหว้ป้าๆน้าๆเขาซะทีเดียวเลย ไม่ต้องยุ่งยาก” สองลุงหลานพยักหน้าเข้าใจ

“เห็นในรูป ลูกสาวโตแล้วนะ เผลอไม่ทันไรเลย” คุณรุจน์นึกถึงรูปหญิงสาวที่ยืนเคียงข้างหลานชายยิ้มแย้ม

“ค่ะ ตอนนี้ก็กำลังจะเปิดร้านเป็นของตัวเอง เจ้าตัวเขาอยากเป็นดีไซน์เนอร์ ไปเรียนถึงฝรั่งเศสแหนะค่ะ”

“แล้วนี่อยู่ไหนซะล่ะ มาด้วยไม่ใช่เหรอครับ ?”
ตาคมสอดส่ายสายตาหาร่างบางของคนที่ถูกเอ่ยถึง ขณะที่หากไม่พบแม้แต่เงา ก่อนคุณกังสดาลชี้แจงกับผู้เป็นลุง

“ไปจอดรถน่ะค่ะ สักพักคงตามมา”
คุณรุจน์ยกนนาฬิกาขึ้นดู เห็นว่าสมควรจะกลับเข้าบริษัทได้แล้ว จึงบอกขอตัวลา

“เอาไว้โอกาสหน้าคงได้พบกันอีก สวัสดีครับ” ภูดิสพนมมือไหว้ลาเพื่อนมารดา ปลายหางตาเหมือนเห็นอะไรวอบแวบผ่านไปไวๆ ตาฝาดละมั้ง

สองลุงหลานผ่านประตูออกไป ภูดิสแยกมาเพื่อเอารถวนไปรับคุณรุจน์ที่ยืนรอหน้าร้าน เสาต้นใหญ่หน้าร้านช่วยบังร่างกลมกลึงของคนๆหนึ่งได้มิดชิด หากจะไม่โผล่หน้ามาหันรีหันขวางให้เขาสังเกตเห็น

ร่างสูงที่กำลังเปิดประตูรถมองไปยังร่างบางที่ออกมาจากเงาของเสาต้นใหญ่ มองไปมาก่อนซอยเท้าเร็วๆเข้าร้านไป
หนูนิ ทำอะไรลับๆล่อๆกันนะ


-----------โปรดติดตามตอนต่อไป-------------


คุยกันนิดหน่อยกับฟ้าริน

ฟ้ารินเปิดเทอมแล้วค่ะ วุ่นวายสุดๆ ที่อยากเรียนก็ลงไม่ได้ ที่ไม่อยากเรียนก็ดันบังคับให้ลง ชอบมาขัดๆๆใจ ก็เป็นซะอย่างเนี้ย ถ้าอารมณ์เสียจะว่าไง แอบร้องเพลงซะอย่างนั้น
คงมาส่งได้น้อยลง ถ้าหากว่าเห็นหายไปนานเกิน ก็สามารถทวงได้ค่ะ จะได้รีบปั่นมาให้ ถ้าไม่มีใครทวง ฟ้ารินก็จะโอ้เอ้ๆๆๆๆๆๆๆๆ นะคะ แฮะ แอบเรียกร้องความสนใจ ถ้าอยากอ่านต่อก็ต้องเข้ามาเช็คดูนะคะ

natee - รอให้มาอ่านตลอดเหมือนกันค่ะ ฮี่ๆ

boombim - ชอบหนูนิเหรอคะ แอบขี้เเกล้ง จอมวางแผนแบบนี้ น่าหยิกน่าตีเน้อ อย่างนี้ต้องดูกันต่อไปว่าจะแอบแกล้งใครอีกหรือเปล่านะคะ

whan - ขอบคุณค่ะ ที่ชอบผลงานของฟ้าริน ตามต่อไปนะคะ แล้วก้ฝากข้อความไว้เป็นกำลังใจเยอะๆ จะได้มีแรงเขียนต่อไปนะคะ ส่วนอีเมล ฟ้ารินจะทำlinkไว้ให้ด้านขวามือนะคะ ดีใจจัง มีเพื่อนใหม่อีกคนแล้ว

kikkak_riwkiw - โย่ว ดีจ้าน้องฟิว หายไปนานเลยนะ คิดถึงเหมือนกัน เปิดเทอมเป็นไงบ้างจ๊ะ ส่วนพี่เพิ่งเปิดอาทิตย์แรกก็ยุ่งวุ่นวาย ลงทะเบียนกันไม่ได้ครึ่งเอก งงไปเลย ตอนนี้ก็วุ่นๆ เซ็งๆหน่อยอ่ะนะจ๊ะ
ส่วนแฟนคลับ ว้าว มีจริงๆเหรอ ดีใจๆนะเนี่ย ฟิวอย่าหลอกให้ดีใจเล่นนะ ไม่งั้นพี่จะแกล้งไม่มาส่งตอนต่อไปด้วย ตามอ่านถึงบทไหนแล้วเอ่ย ตามมาให้ทันนะจ๊ะ เพราะพี่แอบมาเพิ่มอีกบทแล้ว เฮ่ๆ ไม่ได้แกล้งนะ
ว่าแต่ ริวกิว ที่love-stories น่ะ ใช่ฟิวรึเปล่าจ๊ะ





Create Date : 06 มิถุนายน 2550
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2551 18:27:39 น.
Counter : 277 Pageviews.

4 comment
จัดรักให้ลงล็อค บทที่6



บทที่ 6


“อะไรกันเนี่ย มาทำอะไรรุ่มร่ามตรงนี้ฮะ”

น้ำเสียงฉุนเฉียวนั้นไม่ใช่ใครอื่น นายผู้หญิงสูงสุดของบริษัทอีกท่านนั่นเอง คุณลักษิกาตรงเข้าดึงตัวนิศากรออกมาจากภูดิส อีกทั้งยังผลักลูกชายตัวเองให้หลีกห่าง แพรพรรณเหลอหลา ตั้งท่าจะอ้าปากเถียง หากคุณลักษิกาขยิบตาส่งซิกห้ามไว้ ทำให้เธอสงบคำเมื่อเห็นอีกคนที่ซอยเท้าตามมารดามาไม่ห่าง รัญชิดาปรี่เข้าเขย่าแขนภูดิสถามเสียงเขียว

“ทำอะไรกันน่ะภู!”

“ผู้คนผ่านไปมาตั้งมากมาย ไม่คิดบ้างรึไงนะ” มืออวบตวัดฟาดเผียะลงบนแขนแข็งแรง ภูดิสงุนงงที่จู่ๆถูกเล่นงานกล่าวหาทั้งที่ยังไม่ได้ทำอะไรอย่างที่มารดาว่าสักนิด

“ผมยังไม่ได้ทำอะไรรุ่มร่ามอย่างแม่ว่าซักหน่อย”

“ก็เห็นอยู่ยังมาถียงอีก”

เห็นจริงๆ ความจริงคุณลักษิกาเห็นตั้งแต่แรกเริ่มเชียวหล่ะ ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ลูกชายตัวดีช่วยเหลือทั้งน้องสาวและเพื่อนน้องสาวไว้ได้ทันท่วงที แต่ท่าทางที่โอบกระชับนิศากรไว้ หากใครมาเห็นคงเป็นช็อตเด็ดให้เข้าใจผิดได้ไม่ยาก คุณลักษิกาไม่พลาดเช่นกัน ถือเอาเป็นเครื่องมือเล่นงานลูกชาย หวังสร้างความเข้าใจผิดให้อีกผู้หนึ่งที่มาถึงช่วงนั้นพอดีอย่างรัญชิดา

“แม่ครับ ไม่ใช่อย่างที่แม่คิดนะ ผมเปล่า...” ภูดิสพยายามชี้แจง

“บอกว่าอย่าเถียง” เดี๋ยวเสียแผนหมด เขาจำต้องเงียบ
เพราะเสียงออกคำสั่งดุๆของคุณลักษิกา สองหนุ่มสาวมองหน้ากันไม่รู้จะทำยังไง

“ตามแม่มาในห้องเดี๋ยวนี้” ทั้งหมดเคลื่อนขบวนตามคุณลักษิกาเข้าไปในห้องภูดิสรวมถึงรัญชิดา แพรพรรณรีบแทรกตัวดักทางนางร้ายสาวเอาไว้ไม่ให้ผ่านเข้าประตูมาได้

“ขอโทษค่ะ เรื่องส่วนตัวของคนในครอบครัวค่ะ คนไม่เกี่ยวกรุณารอด้านนอกนะคะ”

แพรพรรณบอกหน้าตายให้นางร้ายสาวรู้ตัวว่าตัวเองเป็นคนอื่น ไม่เหมือนแม่เด็กสาวคนที่อยู่ในอ้อมแขนของภูดิสซึ่งแพรพรรณนับเป็นคนในครอบครัว แล้วจัดการปิดประตูใส่ปังหน้าขยิบตาให้มารดาที่เงี่ยหูฟังอยู่ไม่ห่าง

ทันทีที่เข้ามาเรียบร้อยนิศากรแทรกขึ้นทันที ช่วยแก้ความเข้าใจผิดอีกแรง

“คุณป้าคะ พี่ภูแค่ช่วยนิไม่ให้ล้มเองเท่านั้นเองค่ะ แพรเกิดสะดุดขาตัวเองแล้วก็ชิ่งมาชนนิ พี่ภูเลยรับไว้ ไม่ได้ทำอะไรอย่างที่คุณป้าเข้าใจนะคะ”

“อย่างนั้นเหรอ ป้าเข้าใจละจ๊ะ ขอโทษด้วยที่ป้าคิดอะไรไปเองเรื่อยเปื่อย อย่าถือสาคนแก่เลยนะลูก หูตาคงไม่ค่อยดีแล้ว”

อ้าว? ไหงเข้าใจง่ายนักล่ะ นิศากรร้องในใจ หันมองภูดิส ซึ่งยักไหล่น้อยๆไม่เข้าใจท่าทีเข้าใจง่ายดายของมารดาซักเท่าไหร่ แพรพรรณที่หุบปากเงียบไม่ช่วยเหลืออะไร นึกรู้ว่าแม่มีแผน

“ป้าจองโต๊ะที่ร้านอาหารไว้แล้วนะจ๊ะ แพรจัดการโทรนัดเพื่อนๆซะด้วยล่ะ ภูว่างใช่มั้ย” คุณลักษิกาเปลี่ยนเรื่องไปเสียเฉยๆ เลี่ยงไปถามลูกชาย ซึ่งพยักหน้าว่าไม่มีนัดที่ไหนต่อ

“งั้นก็ไปด้วยกันซะด้วยละ แม่จะคอย” คำหลังแสดงให้คนรับคำสั่งทราบว่า หากไม่มีตัวเป็นๆไปร่วมงานเลี้ยงเล็กๆเย็นนี้ เขาต้องโดนบ่นจนหูชาไปสามวันแน่ๆเชียว

“คร๊าบบบบ ท่านแม่”


รัญชิดาจำต้องนั่งรอที่ส่วนรับแขกด้านนอก หากในใจโกรธกรุ่น คนที่เธอคิดว่าเป็นของเธอเสมอ ผูกใจรักเธอเพียงคนเดียวไม่เปลี่ยนแปลง โอบกอดผู้หญิงอีกคน

ข่าวที่ออกมาทางหน้าหนังสือพิมพ์และจากปากแพรพรรณกรอกหูนักข่าวที่ร้านอาหารครั้งก่อน ภูดิสไม่ได้ปฏิเสธ ทว่ารัญชิดายังคิดเข้าข้างตัวเองต่อไปว่า อาจจะเพราะภูดิสเห็นดีด้วยที่แพรพรรณจงใจใช้ชื่อเพื่อนสาวตีกันนักข่าวไม่ให้เขียนอะไรมั่วซั่วว่าเธอเป็นอะไรกับภูดิสมากกว่าเพื่อนอีก ซึ่งก็เพื่อปกป้องชื่อเสียงของเธอไปในตัว ไม่ให้ถูกมองว่าเป็นหญิงรักง่าย เปลี่ยนคู่ควงได้ฉับไว ทั้งที่เพิ่งเลิกกับแฟน

แพรพรรณคงอยากให้เสนอเพื่อนสาวที่คิดว่าดีให้พี่ชายพิจารณา ตามประสาน้องสาวที่หวังดี

หรือจะเป็นยัยเด็กนี่

ความอิจฉาแล่นพล่านครอบงำความรู้สึก กำลังจะมีคนมาพรากภูดิสไปเสียจากเธองั้นหรือ ไม่ยอม ยอมไม่ได้ ตอนนี้เธอมีภูดิสเป็นคนสำคัญ เขาต้องไม่ทอดทิ้งเธอไปเหมือนคนอื่นๆ

ไม่ทอดทิ้งเธอเหมือนพ่อ ที่ไม่เคยเอาใจใส่ มีให้เพียงทรัพย์สินเงินทองและคนรับใช้เป็นผู้ดูแลเธอ เธอร้องไห้ เสียใจ ไม่มีผู้ใดคอยปลอบใจ เธอร้องไห้เธอร้องเรียกยามที่ฝันร้าย แต่ไม่มีที่ท่านจะได้ยิน พี่เลี้ยงที่นอนด้วยจะปลอบเพียงใด หากก็ไม่เหมือนอ้อมอกแม่ที่เสียไปนั้นสักนิด เธอร้องสะอื้นจนหลับไปเพียงลำพังเสมอ

จนเมื่อโต จึงยึดเพื่อนและแฟนเป็นผู้ปลอบโยน เป็นผู้ดูแลสนใจ ซึ่งพอเรียนจบก็ห่างหาย แฟนของเธอก็เช่นกัน ทอดทิ้งเธอไปมีผู้หญิงคนอื่น

ตอนที่เธอรู้สึกโดดเดี่ยว ภูดิส อยู่ในห้วงคำนึง เธอเรียกเขาไม่ว่าเมื่อไหร่ เขาก็มา เพื่อช่วยเหลือเธอเสมอ แต่ตอนนี้ กำลังจะมีคนมาแย่งความสำคัญของเธอไป มือเรียวกำแน่น ดวงตาสวยเรืองโรจน์ด้วยโทสะ

ไม่มีทาง ฉันไม่ยอมหรอก ภูจะไม่รักใครคนอื่น

คุณลักษิกาออกไปแล้ว พร้อมทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้มอย่างใจดี ตอนบอกสถานที่ที่จองไว้เพื่องานเลี้ยงเล็กๆเย็นนี้ ภูดิสถูกต่อว่าฉอดๆที่แกล้งอมพะนำให้แพรพรรณสงสัยจนหัวจะแตกด้วยความหงุดหงิด ตามประสาคนอยากรู้อยากเห็นต่ออีกชุดใหญ่

“อย่าให้ถึงคราวแพรบ้างนะ เชอะ! ไปกันดีกว่าหนูนิ ยังต้องโทรนัดพรรคพวกเรากันอีก”

นิศากรถูกกระชากจนแทบสะดุดหน้าคะมำอีกรอบด้วยฝีมือแพรพรรณ ที่ได้ระบายอารมณ์ใส่พี่ชายซึ่งยืนนิ่งเหมือนยอมรับผิด หากแอบลอบยิ้มด้วยความขบขัน ตอนที่น้องสาวสะบัดหน้าพรืดใส่แง่งอนและกลับมาตีหน้าเดิมเมื่อแพรพรรณหันกลับมาฉะอีก โดยที่คนว่าฉอดๆไม่ได้สังเกตเห็นเลยแม้แต่น้อย มีแต่บุคคลที่สามอย่างนิศากรเท่านั้น ที่มองเห็นชัดเจน

นั่นไง คนอะไรช่างตีหน้าหลอกคนเก่งนัก อย่างนี้ต่อไปจะเชื่อได้สักเท่าไหร่กันเนี่ย

ภูดิสสะดุดขำน้องสาวกึก เมื่อสบสายตากลมใสที่มองมาบ่งบอกว่ารู้ทันนะ ไม่ต้องมาแกล้งทำหน้าซื่อ ตอนที่เดินผ่านหน้าออกไป ดวงหน้าคมติดจะเก้อนิดๆที่โดนจับพฤติกรรมได้ ร่างสูงเสเอามือเสยผมที่ตกลงมาปรกหน้าผาก

นึกแปลกใจตัวเองที่มักจะเผลอทำตัวตามสบายอย่างที่ทำกับบุคคลที่สนิทสนมกันมากๆต่อหน้านิศากรทุกทีไป ถึงจะได้พบและพูดคุยกันบ้าง แต่นั่นก็เพียงผิวเผิน และยิ่งห่างหายจากกันไปนานกว่าสองปี ยิ่งไม่น่าจะเรียกได้ว่าสนิทสนมด้วยซ้ำ

“เจ้านายคะ คุณรัญชิดามาขอพบค่ะ” เสียงอินเตอร์คอมบนโต๊ะทำงานตัวใหญ่ดังขึ้นขัดความคิด เจ้าของห้องจึงหมดเวลาใคร่ครวญเพียงลำพังอีกต่อไป กรอกเสียงอนุญาตส่งไปตามสาย

รัญชิดาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตัวยาวตัวเดียวกับที่ภูดิสครอบครองอยู่ก่อนแล้ว ยิ้มแย้มทักทาย

“เมื่อกี้มันเรื่องอะไรกันน่ะภู” ภูดิสยิ้มมุมปากขบขันไม่จาง หากไม่แย้มพรายสิ่งใดออกมา เพียงแต่บอกว่าไม่ต้องสนใจอะไร

“แล้วผู้หญิงอีกคนนี่ เพื่อนน้องแพรเหรอ” รัญชิดาแสร้งถามยิ้มแย้มสวมวิญญาณนักแสดงเจ้าบทบาทได้ดีเยี่ยม หากแต่ใจอยากรู้ถึงความสัมพันธ์อย่างร้อนรน ภูดิสพยักหน้าแทนคำตอบ

“หน้าตาน่ารักดีนะ ภูก็รู้จักด้วยเหรอ” ชายหนุ่มพยักหน้าอีกครา รอยยิ้มมุมปากแย้มขึ้นอีกเมื่อตอบคำถาม

“เพื่อนสนิทแพรน่ะ ว่าแต่รันเถอะ มาหาเราถึงนี่ มีอะไรเหรอ” ไม่บ่อยนักที่รัญชิดาจะมาเยือนถึงที่นี่ มีเพียงยามที่เธอมีปัญหาต้องการความช่วยเหลือจากเขา เธอถึงได้มา
รัญชิดานึกหงุดหงิดที่ไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมและข้องใจในรอยยิ้มของชายหนุ่ม เมื่อเธอถามถึงเด็กสาวคนนั้นอีก แต่ต้องเก็บอาการเอาไว้

“เปล่า ไม่มีธุระ แต่ภูสัญญาว่าจะไปเยี่ยมไข้เรา ไม่เห็นโผล่เลยมาตาม”

จริงสิ เขาลืมไปเสียสนิท ด้วยว่าวันนี้มีประชุมเร่งด่วนและงานให้รับผิดชอบมากมายจนล้นมือ เพิ่งเคลียร์เสร็จและเลิกประชุมมาเมื่อครู่นี้เอง

“ขอโทษทีรัน พอดีวันนี้มีงานด่วนเข้ามา เลยลืมไปเลย” ชายหนุ่มส่งสายตาขอโทษมา รัญชิดาแกล้งทำเสียงเศร้า

“ลืมกันได้นะ ใจร้ายจังเลย ไม่มีใครห่วงเราจริงๆซักคน แม้
แต่ภู”

“อย่าพูดอย่างนั้นสิรัน เราจะไม่ห่วงรันได้ไง” ภูดิสปลอบเสียงนุ่มทุ้ม นึกสงสารเพื่อนสาว

พอรู้ว่าที่บ้านของเธอใหญ่โตน่าอยู่ แต่ผู้เป็นเจ้านายใหญ่ของบ้านซึ่งก็คือบิดา กลับไม่ค่อยอยู่ ปล่อยให้รัญชิดาเงียบเหงาเพียงลำพังเสมอ

น้ำเสียงอบอุ่นห่วงใยจากภูดิส สร้างความพอใจให้รัญชิดาได้อย่างดี ยังไงเสีย เขาก็ยังห่วงความรู้สึกของเธออยู่ดี สิ่งนี่แหละ ที่เธอจะใช้มันยึดเขาไว้กับเธอ

“ถ้าอย่างนั้น ต้องพาเราไปเลี้ยงอาหารอร่อยๆ เป็นการแก้ตัว”

“วันนี้คงไม่ได้แล้วล่ะรัน เรามีนัดแล้ว”

“อ้าว!” รัญชิดาตีหน้ายุ่งทันทีที่มีคนขัดใจ “นัดอะไร สำคัญมากเหรอ”

“ก็ค่อนข้างสำคัญ” สำคัญกับสุขภาพหูของเขามาก คุณลักษิกาย้ำชัด แม่จะคอย หากเขาไม่อยู่ที่งานนั้นเย็นนี้ มีหวังได้หูตึงก่อนวัยอันควร เพราะเสียงเรียกเกินร้อยยี่สิบเดซิเบลเมื่อเห็นหน้าแน่นอน

“สำคัญกว่าเราอีกเหรอ” รัญชิดาตวัดถามด้วยความเอาแต่ใจ และคิดว่าไม่มีใครสำคัญมากกว่าตัว

“เอาไว้วันหลังจะชดใช้ให้ที่ผิดสัญญา แต่วันนี้ไม่ได้” ภูดิสบอกเสียงเรียบ เมื่อเห็นเพื่อนสาวเริ่มออกนิสัยดื้อดึงตามใจตัวเองเป็นหลัก เขารับปากกับมารดาไปแล้ว ยังไงเสียก็ทำต้องตาม

รัญชิดาเหลือบมองใบหน้าคมที่เคยสุภาพอ่อนโยน ตอนนี้เรียบเฉย นึกหวั่นใจนิดหนึ่ง แต่คิดว่าเขาต้องตามใจเธอแน่ จึงยังดื้อดึง

“ทำไมล่ะ ภูไม่แคร์เราเลยใช่มั้ย”

“ไม่ใช่ เราบอกแล้วว่าจะแก้ตัวให้ แต่ไม่ใช่วันนี้ รันเข้าใจใช่มั้ย”

“ไม่เข้าใจ” ภูดิสถอนหายใจกับการดื้อดึงผิดเวลา และไม่ค่อยมีเหตุผล

“ถ้าอย่างนั้น เอาไว้คุยใหม่วันหลัง เราต้องไปแล้ว เลยเวลานัดจะเสียมารยาท”

ผิดไป ชายหนุ่มไม่ตามใจเธอ เขาลุกเดินออกจากห้องไป รัญชิดาอ้าปากจะท้วง แต่ไม่ทันประตูปิดลงเสียก่อน จึงได้แต่ยืนกระฟัดกระเฟียดเพียงลำพัง


ร้านอาหารบรรยากาศดีตั้งอยู่ริมน้ำ ถูกกั้นไว้ส่วนหนึ่ง สำหรับงานเลี้ยงต้อนรับนิศากรกลับสู่บ้านเกิดเมืองนอน คุณลักษิกาจัดโต๊ะเป็นติดกันยาวข้างริมน้ำสวย สว่างด้วยแสงสีนวลจากโคมไฟ บริเวณใกล้เคียงจัดเป็นมุมแสดงดนตรีแบบอะคลูสติค เข้ากันกับบรรยากาศ

พรรคพวกของแพรพรรณและนิศากรนั่งอยู่ครึ่งโต๊ะ ส่วนที่นั่งหัวโต๊ะฟากหนึ่งเป็นของคุณลักษิกา คุณกังสดาลและเพื่อนๆที่มาพร้อมกับลูกสาวบ้าง ลูกชายบ้าง ที่นั่งตรงหัวโต๊ะอีกฟากถูกเว้นว่างไว้ให้เหลือสองที่ติดกันโดยไม่ได้เจตนา

“เฮ้ย แพร นี่มันเรื่องอะไรกันวะ ถึงได้ลากพวกฉันออกมาที่นี่ แถมยังเอาคุณนายแม่กับพลพรรคไฮโซมาร่วมด้วยอีก ยังกะมีงานอะไรงั้นแหละ” สาวนางหนึ่งกระซิบถามแพรพรรณด้วยความสงสัย หากแพรพรรณอมยิ้มปิดปากเงียบ เลียนแบบพี่ชาย

“กรี๊ดดดดดดดด พี่ภู!” สาวเปรี้ยวอีกนางหนึ่งในพรรคพวกของแพรพรรณหวีดร้อง เรียกชื่อพี่ชายเพื่อนอย่างตื่นเต้น ภูดิสเดินตรงมาที่โต๊ะ ซึ่งน้องสาวกวักมือเรียกหยอยๆ ดึงตัวให้นั่งข้างในที่ว่างที่เหลือใกล้หัวโต๊ะ เพราะเหล่าสาวๆในพรรคพวกของแพรพรรณ ชิงนั่งติดลูกชายไฮโซไปเรียบร้อยจนไม่มีที่เหลืออีก

“อะไรกันเนี่ย พี่ภูก็มาด้วยเหรอคะ ยัยแพรไม่ยักกระซิบบอกเลยซักคำ ไม่ได้เจอนานแล้ว คิดทึ้งคิดถึงจังค่ะ” สาวเทียมแสนเปรี้ยวหนึ่งในพรรคพวกทักทายชายหนุ่มยืดยาว แกล้งทำเสียงหวาน กระพริบตาปริบๆใส่แบบติดตลก เรียกรอยยิ้มมุมปากกับดวงตาคมพราว ด้วยความขบขันจากภูดิสได้

“จะคิดทึ้ง หรือ คิดถึง เอาให้แน่นะยะ” แพรพรรณแก้ขำๆแทนพี่ชายที่กำลังจะกลายเป็นอึให้แมลงวันอย่างพรรคพวกของเธอตอม

“อย่างไหนก็อยากคิดทั้งนั้นแหละ ฮะๆๆ” สาวเทียมเจ้าเดิมกล้าต่อคำขึ้นมา พลางหัวเราะ รอยยิ้มมุมปากของนถูกคิดทึ้งและคิดถึงกว้างขึ้นนิดหน่อยขบขันคำพูดชวนหัวนั้น
ปลายหางตาคมสะดุดเข้ากับสาวหนึ่งที่เดินผ่านโต๊ะไป รูปร่างสมส่วนกับเครื่องแต่งกายเก๋ไก๋ขุดเดิมกับที่พบเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ท่าทางสบายๆ ดวงหน้าใสเบือนมามองที่โต๊ะนิดๆ จุดประกายรอยยิ้มสนุกสนานที่มุมปากชมพูระเรื่อธรรมชาติ วาวนิดๆด้วนลิปกรอส

หากไม่ได้พบก่อนหน้านี้ คงไม่สามารถรู้ได้ว่าใคร เพราะหมวกใบใหญ่ถูกดึงปิดใบหน้าใสไว้จนเกือบมองไม่เห็น ดวงตาคมมองตามร่างสมส่วนนั้นไป หลุดเสียงหัวเราะในลำคอออกมา

จะเล่นอะไรอีกนะ หนูนิ

ใบหน้าใสแย้มยิ้มเต็มที่เมื่อเธอเดินเลยจากโต๊ะมา ก้าวเข้าขึ้นสู่เวทีที่ยกขึ้นมาจากพื้นเตี้ยๆ ยืนหันหน้าสู่พื้นที่ในร้านที่เริ่มมีลูกค้าจับจองโต๊ะเนืองแน่นขึ้น นักดนตรีเกริ่นก่อนเริ่มเล่นกีตาร์ว่าเพลงนี้ นักร้องตั้งใจมอบให้กับทุกคนที่รอคอยเธอกลับมา ดนตรีบรรเลงเบาๆ เสียงร้องหวานใสดังขึ้น พร้อมเสียงปรบมือ

...จะอยู่คนเดียว หรือจะเดินกับใคร หืม
อุตส่าห์มีใจคิดถึงเธอ...

“เฮ้ย...เสียงเหมือนหนูนิเลยวะ” สาวเทียมสะกิดบอกเพื่อน เรียกให้ตั้งใจฟังตาม

...จะตื่นจะนอน เช้าจนเย็นก็ยังเห็นหน้าเธอ ทุกครั้งเลย
ฟังเพลงทุกครั้ง ฉันได้ฟังเมื่อไหร่ หืม ก็ส่งดวงใจเหมือน
เคย

จะอ่านหนังสือ เห็นเธอลอยผ่านมาทุกทีเลย ไม่เคยเว้น...

“นี่ไง เพี้ยนตรงนี้เหมือนกันเด๊ะเลย” สาวเจ้าเดิมสะกิดข้อสังเกตให้เพื่อนๆคิดตาม ซึ่งก็พยักหน้าหงึกหงักรับว่าเห็นด้วยกับคำสุดท้ายที่เสียงแกว่งเพราะลงไม่ถึง

ดวงตาคมสะท้อนไฟสีนวลดูวาวระยับทอดมองไปที่นักร้องสมัครเล่นบนเวที พอดีกับคนร้องแอบเงยหน้าขึ้นมามองปฏิกิริยาพรรคพวก ดวงตากลมใสจึงสบกันอย่างพอดี ใจไหววูบไปชั่วแวบจนจังหวะสะดุด คนร้องต้องหลุบเปลือกตา มองอะไรนะ คนบ้า และตั้งสมาธิกับจังหวะต่อไป

...เป็นอะไรไม่รู้ เมื่อไรก็มีแต่เธอ เห็นเธออยู่แบบนี้
เป็นอะไรไม่รู้ แต่รู้ว่ามันดี ที่ฉันมีเธออยู่ในหัวใจ
ตลอดเวลา นึกถึงเธอเมื่อไหร่ หืม ก็สุขในใจทุกที
ก็บอกตัวเอง ฉันช่างโชคดีที่มีเธอ ให้คิดถึง... (*คิดถึงทุกเวลา –ธงไชย แมคอินไตย์)

จบท่อนซ้ำ อุ้งมือขาวจับปีกหมวกใบโตเปิดออก เผยให้เห็นใบหน้ามาชัดเจน ก่อนหมุนตัวโชว์หนึ่งรอบ เท้าสะเอวจิกปลายเท้า โบกมือหยอยๆให้พรรคพวกที่นั่งหน้าสลอนบนโต๊ะยาว

“ไอ้หนูนิ!!!” พรรคพวกร่วมกันส่งเสียงเรียกเซ็งแซ่ เจ้าของชื่อยิ้มเผล่รับ

“จ๋า” คนบนเวทีลากเสียงยาว ปล่อยไมค์วิ่งร่าลงจากเวทีเข้าหาพรรคพวกที่กรูกันเข้ามาหา

“แกหลอกพวกฉัน”

เอ๋? พวกแกต้องดีใจ โผเข้ากอดฉันแบบสโลโมชั่นสิ ไหงทำหน้าถมึงทึงอย่างกับยักษ์วัดแจ้งอย่างนี้ล่ะ

เสียงตวาดแหลมจากสาวเปรี้ยว ทำให้นิศากรที่ทำท่าจะถลาเข้าหา ต้องเบรกเอี๊ยดกึก ประจันหน้ากับฝูงเพื่อน

“อย่างนี้ต้องโดน พวกเรา จัดการ!” เหวออออออออออ
แก้มใสถูกดึงจนโย้ไปมาทั้งสองข้างด้วยฝีมือพรรคพวก นิศากรร้องโอดโอยเอียงตามแรงดึงไปเรื่อย ก่อนถูกอัดด้วยอ้อมกอดด้วยความคิดถึงสุดๆมากเท่าในเนื้อเพลงที่ร้องเมื่อกี้เลย


นิศากรนั่งหน้ามุ่ย แก้มใสแดงเห่อเป็นดวง เพราะถูกดึงซ้ำที่เดิมหลายต่อหลายครั้ง ปวดหนึบทั้งสองข้าง มือบางกุมไว้มั่น หลังจากส่องกระจกบานเล็กที่แพรพรรณส่งมาให้สำรวจสภาพแล้ว แสงสีนวลจากโคมไฟรอบๆร้านยิ่งทำให้รอยแดงเป็นบนแก้มนั้นแดงขึ้นไปอีก ซึ่งทุกคนต่างลงความเห็นว่า ขณะนี้ใบหน้าขาวใสมีรอยแดงเป็นวงนั้น เหมือนผีจีนบวกกับก้นลิงไม่มีผิด

เจ้าพวกเพื่อนบ้า ขำกันอยู่ได้ พวกแกกินเห็ดหัวเราะกันเข้าไปรึไง ไม่มีใครมีจิตสำนึกเลยสักคนใช่มั้ยเนี่ย ฮึ่ย!
คนแก้มแดงกระแทกเท้าน้อยๆด้วยความขัดเคือง คว้ากระเป๋าถือไปห้องน้ำ ตั้งใจจะปรับสภาพสีผิวให้จางลงห่างจากคำว่า ก้นลิงและผีจีน

ทว่าเสียงหัวเราะดังก้องไปครึ่งร้านของบรรดาพรรคพวกของเธอจนรบกวนแขกโต๊ะ ให้หันมามอง นิศากรยังไม่รู้สึกขุ่นได้เท่ากับสายตาคมพราวอย่างขบขันที่มองมายังเธอได้เลย

คนอะไรหัวเราะทางตาได้ โอ๊ย...บ้าๆ สู้หัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังอย่างยัยพวกเพื่อนบ้านั่น ยังดีซะกว่ามานั่งจ้องอย่างนี้ซะอีก เดี๋ยวก็จิ้มตาบอดซะนี่

----------------โปรดติดตามตอนต่อไป---------------


คุยกันนิดหน่อยกับฟ้าริน
natee - มาอ่านต่ออีกแล้ว ดีใจจัง
อัปสร - สวัสดีเช่นกันค่ะ เชิญอ่านต่อได้เลยนะคะ ตอนหน้าพบกันใหม่ค่ะ




Create Date : 31 พฤษภาคม 2550
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2551 18:29:35 น.
Counter : 261 Pageviews.

4 comment
จัดรักให้ลงล็อค บทที่ 5






บทที่ 5


นาฬิกาสายหนังเส้นเล็กบางสีขาว เจ้าของเลือกปรับให้หลวม ทำให้เลื่อนขึ้นลงได้คล้ายกำไลข้อมือ หน้าปัดเล็กล้อมด้วยพลอยสีฟ้าอ่อน ส่องแสงสะท้อนเป็นประกายล้อแสงแดด ยามเมื่อลำแขนขาวนวลบังคับพวงมาลัยให้ไปในทิศทางที่ต้องการ รถเก๋งสีเดียวกับสายนาฬิกาแล่นมาตามท้องถนนในเวลาบ่ายคล้อย แดดยังค่อนข้างแรงอยู่ หากแต่แอร์คอนดิชั่นภายในรถเย็นฉ่ำ

นิศากรหักพวงมาลัย เบนเข้าสู่ทางเข้าตึกใหญ่ของบริษัทที่เธอเพิ่งมาเยือนเมื่อวานนี้ รถสีขาวถอยเข้าสู่ที่จอดรถข้างตึกนั้นเอง คว้าถุงที่เบาะหลังมาถือในมือ ปิดประตูล็อคเรียบร้อย หญิงสาวยิ้มพรายเมื่อจินตนาการภาพว่าเพื่อนสาวจะทำหน้าเหวอเพียงไร หากเห็นเธอปรากฎตัวต่อหน้าอย่างไม่คาดฝัน

ก่อนหน้านี้นิศากรแวะไปเยี่ยมคุณลักษิกาพร้อมกับมารดาที่บอกว่าจะคุยกันกับเพื่อนสนิทอยู่ที่นั่นไม่ไปไหน คุณลักษิกาซึ่งออกอาการตื่นเต้นดีใจที่ได้พบลูกสาวเพื่อนอีกครั้งและร่วมขบวนการโดยการโทรไปเช็คและนัดแนะว่าลูกสาวจะอยู่ที่บริษัทไม่ไปไหนกับผู้ช่วยของแพรพรรณ

ตอนนี้นิศากรในชุดเสื้อยืดตัวหลวมสีฟ้าดีไซน์เก๋ตามแบบฉบับ เปิดไหล่อวดผิวขาวผ่องแก่สายตาผู้ที่เธอเดินผ่านมาคู่กับกางเกงผ้าขาวสะอาดสามส่วน มีเชือกหลายเส้นผูกเอว เข้ากับรองเท้าสานรัดข้อมีส้นเพิ่มความสูงเล็กน้อย ผมสีน้ำตาลเข้มสวยปล่อยเคลียไหล่ ล้อมกรอบใบหน้าที่ตกแต่งบางเบาเป็นธรรมชาติร่าเริงยิ้มแย้มแนะนำตัวกับผู้ช่วยของแพรพรรณที่แย้มรับตอบเช่นกัน ก่อนจัดการเค้าประตูเจ้านาย ส่งเสียงขออนุญาต

นิศากรเดินผ่านประตูเข้าไปหยุดหน้าโต๊ะเพื่อนสาว ซึ่งหันข้างที่ทางโต๊ะร่างแบบตัวใหญ่ เสียงใสเอ่ยทักทายเรียกเจ้าของห้องให้หันมาตาโตกับเสียงที่คิดว่าคุ้นเคยแต่ไม่อยากเชื่อหู

“อะแฮ่ม สวัสดีค่ะคุณหนูแพรพรรณ”

“ว้าย!หนูนิ”

นิศากรอุดหูแทบไม่ทัน เสียงตะโกนแหลมดังคับห้องไม่เล็กไม่ใหญ่ ค่อนข้างรกตาสักหน่อย เพราะกระดาษเขียนแบบเต็มห้องและโต๊ะทำงาน แล้วก็หลุดหัวเราะพรืด เมื่อแม่เพื่อนสาวคนสนิททำท่าถลาจะปีนข้ามโต๊ะมาคว้าตัวเธอยึดไว้เพื่อมองให้ชัดตา ก่อนเขย่าตัวนิศากรหัวโยกหัวคลอน

“หนูนิจริงๆด้วย มาได้ยังไงเนี่ย หา มาได้ยังไง”

“นั่งเครื่องบินมาน่ะสิ” เสียงใสตอบรวน กวนอารมณ์เหมือนที่ตอบมารดา และเรียกค้อนวงใหญ่จากเพื่อนได้รวดเร็วไม่แพ้มารดา

“บ้า! หนูนิบ้า เราถามว่ามาโผล่ที่นี่ได้ไงต่างหาก ยังไม่ถึงกำหนดที่บอกไว้เสียหน่อย” แพรพรรณแหวใส่คำตอบเพื่อนแล้วเดินอ้อมโต๊ะมากระโดดกอดนิศากรไว้ด้วยความคิดถึง แทบทำนิศากรเซล้ม

“โอย...ตัวหนักจะตาย กระโดดมาได้”

“อย่ามาใส่ร้ายนะ ตัวเองต่างหาก ที่อ้วนขึ้น”

แพรพรรณจิ้มแก้มเพื่อนสนิท ซึ่งดูอิ่มขึ้น ไม่ได้อวบจนอ้วน หากแต่ดูสุขภาพดีสมส่วน ผิวพรรณขาวผ่องนุ่มนิ่มอมชมพูสวยน่าสัมผัส

“แหม...ก็นะ อาหารแต่ละอย่าง ครบเครื่องขนาดนั้น ทั้งชีสเอย เนยเอย คุมน้ำหนักสุดๆแล้วนะเนี่ย” นิศากรสารภาพเสียงอ่อย

ถึงเธอจะไม่ใช่พวกประเภทรักสวยรักงามสุดตัว แต่เธอก็ยังเป็นผู้หญิง อีกทั้งยังเรียนแฟชั่นดีไซด์ ก็ควรจะแต่งตัวดูแลตัวเองให้สมเป็นดีไซน์เนอร์สักหน่อย เดี๋ยวเสื้อผ้าที่ออกแบบมาเองอย่างดีสุดฝีมือจะหมองลง ถ้าเป็นแบบนั้น ดูท่าว่าแบรนด์ที่คิดจะตั้งเป็นของตัวเองคนล้มเหลวไม่เป็นท่า เพราะดีไซน์เนอร์เองออกแบบให้ตัวเองใส่แล้วยังไม่ได้เรื่อง

แพรพรรณจับเพื่อนหมุนรอบตัว พินิจพิเคราะห์ ก่อนเอ่ยปากชมการแต่งตัวที่ดูดีมีสไตล์สมเป็นนักออกแบบจากฝรั่งเศส

“หนูนิ น่ารักจังเลย สวยแซงหน้าแพรไปเป็นกิโลแล้วนะเนี่ย โอ๊ย...อย่างนี้ก็มาแย่งหนุ่มๆของแพรไปหมดน่ะสิ”

“อือ ท่าทางจะเป็นไปได้ อย่างนี้แพรอาจจะขึ้นคานเพราะเราก็นะ” เสียงใสพูดเจือเสียงหัวเราะแพรพรรณที่หน้ามุ่ยลงฉับพลัน เมื่อได้ยินคำว่า ขึ้นคาน

“ไม่เอานะ หนูนิบ้า พูดไม่ดีอย่างนี้ต้องหยิกให้แก้มเบี้ยวไปเลย” นิศากรเบี่ยงหลบมือแพรพรรณเป็นพัลวัน เสียงหัวเราะคิกคักดังแว่วผ่านออกมานอกห้อง


“นี่...แน่ใจนะ ว่าเป็นคุณนิศากรที่คุณภูดิสเมื่อวานนี้น่ะ อย่ามั่วเชียวนะ” ผู้ช่วยของซึ่งแพรพรรณแอบเม้าท์กับเพื่อนร่วมงานได้ยินเรื่องที่เพื่อนเล่าแล้วก็ยิ้ม

“ชัวร์!ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม หน้าใสปิ๊งอย่างนี้ ฉันจำได้ไม่มีผิดตัวแน่” หญิงสาวคู่เม้าท์เอานิ้วชี้ติดกับนิ้วโป้งเป็นวงกลมประกอบคำพูด

“ถ้าอย่างนั้น ข่าวที่ว่าคุณภูดิสกิ๊กกับแม่นางร้ายไฮโซนั่นก็ตกไปได้เลย เพราะรายนี้น่ะ เส้นใหญ่ตัวจริงเลยหล่ะ” ผู้ช่วยหญิงกอดอกยืดขึ้น ทำท่ามั่นอกมั่นใจ

“หือ...หมายความว่ายังไง เส้นใหญ่ตัวจริงน่ะ”

“เมื่อกี้นะ คุณลักษิกาโทรมานัดแนะทำเซอร์ไพรซ์คุณแพรด้วยตัวเองเลยนะ เรียกคุณนิศากรว่าหนูนิอย่างสนิทสนมอีกต่างหาก” ผู้ช่วยหญิงเอ่ยนามเจ้านายหญิงเจ้าของ
บริษัทอีกหนึ่งคน คนฟังตาโตกับข่าวใหม่ที่ได้รับทราบ

“ว้าว...สุดยอดไปเลย”

“นั่นสิ ถ้าคุณนิศากรคนนี้เป็นตัวจริงล่ะก็ ฉันสนับสนุนเต็มที่เลย” ผู้ช่วยสาวยิ้มกริ่ม แสดงท่าทางชื่นชมอย่างเห็นได้ชัด

“นี่ ทำไมรีบเชียร์นักล่ะ ยังไม่รู้เลยว่าจะน่ารักจริงเหมือนหน้าตารึเปล่า เกิดไปเหมือนแม่คุณรัญชิดานั่นเข้าอีกคนล่ะ ดาราหน้าตาสวยแต่หยิ่งชะมัด” คู่เม้าท์ทำหน้าเบ้ ไม่ชอบใจชัดเจน

“ไม่หรอก เท่าที่สายตาอันเฉียบขาดของฉัน ประเมินดูแล้ว ผ่าน!” ผู้ช่วยสาวทำมือเป็นสัญลักษณ์เลขเจ็ดชี้ไปข้างหน้า

เมื่อแรกที่นิศากรเดินตรงดิ่งเข้ามา หน้าตาหวานใสยิ้มแย้มผูกไมตรีแจ่มชัด สองแขนยาวยกขึ้นไหว้เรียบร้อย ก่อนแนะนำตัวอย่างสุภาพ ดวงตากลมฉายแววเคารพผู้ช่วยที่อายุมากกว่าอย่างจริงใจไม่ถือว่าตัวมีเส้นเลยสักนิด เพราะการจะเข้ามาในบริษัทนี้ได้ จะต้องแลกบัตรติดต่อวุ่นวายหากเป็นบุคคลนอก แต่จากการที่คุณลักษิกาประกาสิตให้อำนวยความสะดวกให้หญิงสาวหน้าใสตรงหน้า ทำให้เธอเดินทะลุผ่านเข้ามาได้โดยง่าย เช่นเดียวกับเมื่อวาน


“ถ้าพี่ภูเห็นหนูนิน่ารักขึ้นเป็นกองอย่างนี้ คงสำนึกได้ว่าปล่อยนกน้อยแสนสวยหลุดออกจากกรงไปแล้ว ต้องสุดแสนเสียดายแน่ๆ” แพรพรรณพานิศากรมานั่งที่โซฟามุมหนึ่ง ไม่วายพูดถึงพี่ชายตัวเองอีกจนได้ นิศากรแกล้งถอนหายใจเฮือกใหญ่

“ชักไม่ค่อยอยากฟังแพรพูดซะแล้วสิ” แพรพรรณตวัดค้อนใส่เพื่อนสาวที่นั่งข้างเคียง ทำหน้างอนใส่

“หนูนิก็ เราพูดจริงๆนี่นา คิดๆไปก็สมน้ำหน้าพี่ภูชะมัด มีตาหามีแววไม่ หนูนิแนวใหม่ ไฉไลกว่าเดิม”

“พูดอย่างนี้แสดงว่า แต่ก่อนเราไม่ได้เรื่องเลยน่ะสิ” นิศากรชักหน้ายุ่ง ทบทวนคำวิจารณ์รูปลักษณ์ใหม่ของตัว
รู้ตัวว่าแต่ก่อนเธอไม่ค่อยแต่งตัวโดดเด่นเช่นตอนนี้ แต่ไม่น่าจะเขาข่ายเฉิ่มเบ๊อะนี่นา

“ไม่ได้ว่าอย่างนั้น บอกว่าแต่ก่อนน่ะ ดูดีแต่ไม่ดึงดูดซักเท่าไหร่ ตอนนี้ไฉไลกว่าเดิม น่าดูน่ามอง หนุ่มๆเหลียวตามแน่ๆ” แพรพรรณแก้ความเข้าใจให้เพื่อนซะใหม่ ดวงหน้าเล็กเรียวซึ่งตบแต่งไว้ในสไตล์สาวปราดเปรียวฉายแววซุกซน

“ไปกันหนูนิ” แขนเล็กฉุดมือนิศากรให้ลุกขึ้นและลากออกไปนอกห้อง ตรงไปอีกชั้นของตึก

“อะไรกันแพร อยู่ดีๆก็ลากออกมา จะไปไหนเนี่ย” นิศากรส่งเสียงถาม ข้องใจที่อยู่ๆเพื่อนสาวดันลากออกมาไม่ปรานีปราศัย ตรงดิ่งมาตามทางที่นิศากรเริ้มคุ้นขึ้นเรื่อยๆ และแน่ใจในเวลาต่อมาเมื่อมาหยุดหน้าห้องที่มีเลขาสาวผู้ที่นิศากรจำได้ทันทีนั่งทำงานอยู่ จึงได้แน่ใจว่าแพรพรรณตั้งใจพามาทำอะไร

นิศากรออกแรงยื้อ เบรกเพื่อนสาวซึ่งตัวเล็กกว่าให้หยุดได้ไม่ยากเท่าไหร่ อีกทั้งยังดักทางอย่างรู้ทันความคิดแพรพรรณ

“รู้นะคิดอะไรอยู่” นิ้วเรียวขาวยกขึ้นชี้ไปที่หน้าซุกซน ถลึงตาดุและรู้ทันใส่

“คิดอะไรล่ะ” แพรพรรณตีหน้าใสซื่อไม่รู้ไม่ชี้ ทั้งที่แอบสะดุ้งที่โดนจับได้ไวนัก ทั้งๆยังไม่ได้แพรมอะไรออกมาให้คนถูกลากรู้ตัวซักนิด

“เลิกคิดได้แล้วแพร เราไม่เอาด้วยแล้ว เข้าใจมั้ย มันไม่สำเร็จหรอก” นิศากรพูดชัดถ้อยชัดคำ ในขณะที่อีกฝ่ายยังคงทำท่าไม่รู้ ไม่คิดตามเดิม

“คิดอะไร แล้วรู้เหรอว่าเราพามาหาใคร” แพรพรรณแอบหยอด ชักตะหงิดนิดๆว่าทำไมนิศากรจึงดักทางได้อย่างรวดเร็ว

“รู้สิ นี่มันห้องพี่ภูชัดๆ” คำตอบของนิศากรทำให้แพรพรรณยิ่งฉงนเข้าไปอีก ทั้งที่เพื่อนสาวไม่เคยเหยียบย่างมาที่นี่เลยสักครั้ง เหตุใดจึงรู้ว่าห้องของพี่ชายเธออยู่ตรงหน้าได้

“หนูนิรู้ได้ไงว่านี่ห้องพี่ภู” แพรพรรณหรี่ตาถาม เตรียมคั้นเอาความจริงจากเพื่อนเต็มที่ หากแต่เสียงหนึ่งมาขัดจังหวะไว้ซะก่อน

“คุณแพรพรรณ คุณนิศากร สวัสดีค่ะ พบกันอีกแล้วนะคะ มาพบเจ้านายหรือคะ” คนส่งเสียงทักทายยกมือรับไหว้นิศากรแล้วยิ้มเยือนอย่างยินดีเช่นเดิม ไม่ใช่ใครอื่นไกล หากแต่เป็นนันทา เลขาหน้าห้องภูดิสนั่นเอง

หลังจากเธอเงยหน้าขึ้นจากงานตรงหน้า เนื่องเพราะได้ยินเสียงถกเถียงแว่วมาไม่ไกล พลันพบสองสาวเจ้าของเสียงแว่วนั้น หนึ่งคือน้องสาวเจ้านายเธอเอง อีกหนึ่งสาวคือนิศากรนั่นเอง หญิงสาวที่เจ้านายรั้งตัวเธอไว้ยืนยันจะไปส่งให้ถึงบ้านด้วยตัวเอง

“สวัสดีค่ะ พบกันอีกแล้ว” นิศากรยิ้มตอบเลขาสาวเช่นกัน ในขณะที่อีกหนึ่งหน่อออกอาการเอ๋อเหรออยู่เพียงลำพัง

“อะไรกันเนี่ย สองคนนี้รู้จักกันด้วยเหรอ ยังไงกันเนี่ย”

แพรพรรณเขย่าแขนเพื่อนสาวที่ทำหน้าเซ็งทันที คาดคั้นทางสายตา แต่ผู้เฉลยกลับเป็นเลขาสาวแทน

“เมื่อวานพบกันที่สนามบินน่ะค่ะ” แพรพรรณกระจ่างขึ้นมาทันตา

“อ้าว งั้น งั้นหนูนิก็จ๊ะเอ๋กับ…”

“ใช่ อย่างจัง จนถึงตอนนี้เรายังไม่อยากเชื่อเลย สงสัยโลกมันแคบลงจริงๆอย่างเค้าว่ากัน” นิศากรพยักหน้าเหนื่อยหน่าย ยกคำอ้างว่าสมัยนี้โลกเรามันแคบลงด้วยสายใยไซเบอร์ มาจากมุมไหนในโลกก็สามารถพบกันได้
แคบจริงๆนั่นแหละ ขนาดสนามบินกว้างตั้งหลายร้อยหลายพันไร่รวมกัน ยังอุตส่าห์ตะเกียกตะกายเดินมาหยุดที่จุดๆเดียวกันอีก

“พี่ภูนะ ปิดปากเงียบไม่บอกซักแอะเลย” แพรพรรณเข่นเขี้ยวเอากับพี่ชายที่ไม่ยอมแย้มว่าพบเพื่อนสาวของเธอก่อนใครทั้งหมด แถมยังทำตายิ้มๆให้ติดใจสงสัยมาตั้งแต่เช้าอีก

เพราะเหตุใดที่อยู่ๆ นันทา เลขาสาวก้าวถอยกลับไปที่โต๊ะตามเดิม นิศากรไม่ทราบได้ แต่ความรู้สึกเหมือนมีใครมายืนซ้อนเบื้องหลังไม่ห่างนัก

“สวัสดีหนูนิ เป็นไง สำเร็จเรียบร้อยดีมั้ย” เสียงนุ่มทุ้มดังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล

จริงอย่างที่คิด นิศากรเอี้ยวมองไปเบื้องหลัง พบร่างสูงของภูดิสหยุดอยู่ข้างหลังไม่ห่างมากนัก รอยยิ้มบนริมฝีปากเขาและสายตาคมที่จับจ้องในระยะใกล้ ทำให้ความร้อนจากที่ใดไม่รู้ พุ่งขึ้นมายังหน้าใสจนออกจะแดงเรื่อน้อยๆ หัวใจเต้นถี่อีกแล้ว

ระลึกถึงความฝันที่ทำให้เธอตาแข็งค้างไปสามชั่วโมง จนต้องออกแรงรื้อกระเป๋ากลางดึก จัดแยกของฝากทั้งหลาย รวมทั้งซิทอัพไปหลายยกจนหอบแฮ่ก จึงทิ้งตัวลงนอนได้เช่นเดิม

ภาพในห้วงฝันกับความจริงตรงหน้าเหมือนกันอย่างไม่ได้นัดหมาย ใบหน้าคมกับดวงตาพราวระยับมองลงมาสบตาเธอในองศาเดียวกันไม่คลาดเคลื่อน ต่างกันก็ตรงที่ในความฝันนั้น อ้อมแขนแข็งแรงของเขาโอบเอวเธอไว้มั่นคงและเธอแย้มยิ้มรับรอคอยหน้าคมตรงหน้า ซึ่งค่อยๆโน้มลงมาหา

“พี่ภู!!!” แพรพรรณตวัดเสียงเขียวเรียกพี่ชาย และส่งผลเรียกนิศากรออกจากภวังค์ความคิดนั้นด้วย หญิงสาวหันขวับกลับไปทางเดิมทันที สลัดหน้าน้อยๆไล่อารมณ์ประหลาดออกไป

บ้าๆๆๆ หนูนิ นั่นมันก็แค่ความฝัน ไม่ใช่เรื่องจริงซะหน่อย เธอจะหน้าแดงทำไมกันเล่า

“ร้ายมากนะ เจอหนูนิไม่บอกแพรสักคำ เงียบเป็นเป่าสากเลย” ภูดิสไม่ตอบอะไร แต่ยักคิ้วเข้มให้น้องสาวนิดนึง

“ฮึ่ย! พี่ภูบ้า ยังมายักคิ้วใส่อีก” แพรพรรณเข่นเขี้ยวอยากจะถลาเข้าหาพี่ชาย ซึ่งยืนยิ้มกริ่มยั่วเย้าอยู่ข้างหลังนิศากร
ไม่ยอมขยับออกมาห่างเหมือนจงใจใช้เธอเป็นกำบัง

เฮ้อ ไม่เคยเปลี่ยนเลยเชียว คนนึงขี้โมโห อีกคนก็ช่างยั่วด้วยท่าทางนิ่งๆ แต่ดูน่าโมโหเหลือเกิน

ทั้งอ่อนใจทั้งขำสองพี่น้อง เสียงหัวเราะหึๆในลำคอ เรียกหน้างอกับมือเล็กๆอ้อมตัวเพื่อนมาถึงพี่ชาย แต่ไขว่คว้าแค่เพียงอากาศ เพราะภูดิสขยับหลบไปมา

นิศากรชักรู้สึกว่าตัวเองเหมือนเสาหลักปักอยู่กลางศึกเล็กๆของสองพี่น้องดีแท้ จะหาจังหวะหลบไปทางไหนก็ไม่ได้เพราะฝ่ายน้องที่ตัวเล็กกว่าวิ่งเปะป่ายซ้ายขวารอบตัวเธอ ส่วนฝ่ายพี่ชายก็เบี่ยงตัวหลบไปมาไม่ไกลเช่นกัน

“ไม่เอาน่าแพร คนมองใหญ่แล้วนะ ไม่อายเขาเหรอไง”
พนักงานที่ผ่านไปมามองกันมาที่กลุ่มเธอจริงๆ ไม่ได้ขู่ แต่ดูท่าสองพี่น้องจะไม่ใส่ใจเท่าไหร่นัก เช่นเดียวกับที่คนผ่านไปมาเหล่านั้น เพียงแค่มองผ่านยิ้มน้อยๆแล้วก็เลยไป นันทา เลขาสาวก็เหมือนกัน มองดูแล้วไม่สนใจ ยังคงทำงานของตนต่อไป

ดูท่าสองพี่น้องนี่ คงยั่วเย้ากันอย่างนี้บ่อยๆต่อหน้าธารกำนัลซะละมั้ง คนน้องน่ะไม่เท่าไหร่ แต่คนพี่นี่สิ ชักสงสัยซะแล้วว่าเป็นผู้ใหญ่จริงรึเปล่า

หญิงสาวกำลังคิดอยู่เพลินๆ ก็รู้สึกถึงแรงกระแทกที่ไหล่และมือที่เกาะเอวตัวเองโถมน้ำหนักตัวใส่เธอเกือบทั้งหมด คนไม่ได้ตั้งตัวเซไปด้านหลัง ไม่ต่างกันกับคนที่เกิดสะดุดขาตัวเองที่วิ่งวนไปมา ชักมึนจนต้องไขว่คว้าหาหลักเกาะให้ตัวเอง นั่นคือนิศากรที่ยืนตัวลีบกั้นกลางอยู่นั่นเอง แต่ดูเหมือนหลักที่แพรพรรณเลือกเกาะ จะไม่แข็งแรงสักเท่าไหร่

“ว้าย!!!” สองเสียงหวีดร้องประสานกัน ไม่เบานัก เรียกสายตาจากหลายคนที่ผ่านมาสนใจได้ทีเดียว

ล้มแล้ว เจ็บแน่ๆ ต้อง เจ็บแน่ๆเลย นิศากรหลับตาปี๋ แต่เมื่อรอคอยความรู้สึกที่คิดว่าจะต้องได้ประสบแน่ๆ กลับไม่รู้สึกเป็นอย่างที่คิด

หือ?ไม่เจ็บแฮะ

อ้อมแขนของอีกคนที่ยืนเย้าแหย่อยู่แต่แรก เอื้อมมาคว้าสองสาวไว้ได้ทันท่วงที ก่อนจะร่วงแปะไปที่พื้นสะอาดเงาวับด้วยฝีมือแม่บ้านที่ขยันขันแข็งทำความสะอาดอย่างไม่บกพร่อง

“โอย...หนัก” เสียงโอดนุ่มทุ้มบนหัว ทำให้นิศากรลืมตากลมใสขึ้น

ตัวเธอยังปลอดภัยดีอยู่ พร้อมกับความรู้สึกถึงไออุ่นที่แผ่นหลัง หากภาพที่จิตนาการได้ในความคิดเผยขึ้น ตัวเธอยังคงติดอยู่ตรงกลางระหว่างสองพี่น้อง หากระยะที่ห่างกันเมื่อครู่กลับลดลงเป็นแนบชิดสนิทไปกับอกกว้าง เนื่องเพราะแพรพรรณที่เกาะหนึบที่เอวราวกับตุ๊กแกไม่คลายพาไป

ภูดิสรับตัวนิศากรไว้พร้อมกับเกี่ยวเอวเธอไว้เช่นเดียวกับน้องสาว และคว้าต้นแขนน้องสาวซึ่งเซหลุนๆจะหลุดไปด้านข้างไว้มั่น สรุปว่าทุกคนปลอดภัย ตัวเขาชักทานน้ำหนักสองสาวไม่ค่อยไหว ถ้ามาทีละคนสบาย แต่เล่นแพ็คคู่ก็ดูจะลำบากอยู่

“เฮ้อ!หวิดไป” แพรพรรณผ่อนลมหายใจโล่งอกพร้อมกับหลายคนที่ลุ้นอยู่รอบด้าน ที่หลุดจากวิกฤตก้นจ้ำเบ้าไปได้

“มัวแต่โล่งอยู่ได้ พี่จะหนักจะแย่แล้วนะ เดี๋ยวก็ปล่อยซะหรอก”

ใช่ เร็วๆเข้าสิยัยแพร เราจะแย่อยู่แล้วนะ ขืนอยู่นานกว่านี้ ฉันต้องอกระเบิดตายแน่ๆเลยเชียว หรือเธออยากให้ฉันตาย

ช่วยไม่ได้เลยจริงๆ แขนที่รัดเธอไว้กับอกอุ่นที่พิงอยู่จะทำให้นิศากรเห็นภาพฉากโรแมนติกในฝันอีกครั้ง พยายามบังคับการเต้นของหัวใจให้คงที่เข้าไว้ด้วยการสูดหายใจเข้าให้ลึก แต่มันออกจะติดขัดยังไงไม่รู้ ใจอยากดึงตัวเองออกห่าง หากติดที่แม่เพื่อนสาวที่เกาะเกี่ยวราวกับลิงโหนกิ่งไม้ จึงยังไม่สามารถทำได้อย่างใจ

แพรพรรณรีบหยัดตัวยืนเมื่อสำนึกได้ ก่อนพี่ชายจะปล่อยร่วงลงไปจริงๆ อย่างที่ขู่ไว้ พร้อมยิ้มแหยที่เพิ่งทำตัวซุ่มซ่ามไปเมื่อครู่

“ภู!!!” เสียงแว้ดดังแหวกอากาศมาจากผู้มาใหม่ แพรพรรณสะดุ้งโหยง ชะงักค้างมือที่จะฉุดเพื่อนให้ทรงตัวตาม ไม่ต่างกับภูดิสที่ยังคงโอบประคองนิศากรอยู่เช่นกัน

-------------โปรดติดตามตอนต่อไป----------------


คุยกันนิดหน่อยกัยฟ้าริน
มาส่งแล้วค่ะ บทที่5 ไปรับจ๊อบมา เหนื่อยจริงๆ เพิ่งเคยตะเวนกลางกรุงก็สองวันที่ผ่านมาเนี่ยแหละค่ะ วันหนึ่งได้เดินหน้าห้างตั้ง3ห้าง โอ๊ย แดดร้อนมั่กๆ ต้องยืนถือป้ายกลางแดด แจกใบปลิว เสียเงินซื้อเป๊ปซี่เพิ่มน้ำตาลชดเชยเหงื่อไปหลายลิตรเลย และแอบเเว๊บเดินเข้าๆออกๆ ตรงประตูขอแอร์หลายรอบเหมือนกัน555 ไม่งั้นมีหวังเลือดกำเดากระฉูดแน่ๆเลยแล้วก็โชคดี๊ดี ไมเกรนไม่มาเล่นงาน แต่ก็นะ ประสบการณ์ชีวิต

nekojung - พี่ภูกับหนูนิมาแล้วจ้า หายคิดถึงไปได้บ้างมั้ยคะ ส่วนยัยรัญชิดา (เขียนเองหมั่นไส้เอง )พอถูกทิ้งแล้วค่อยมาสนใจพี่ภู อย่างนี้มันต้อง.... อะไรดีคะnekojung

ชาจัง - มาแล้วนะคะ งานเสร็จก็รีบมาส่งเลยค่ะ ตอนแจกใบปลิวก็คิดๆๆว่าอยากอัพนิยายจังเลย


Create Date : 27 พฤษภาคม 2550
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2551 18:31:08 น.
Counter : 268 Pageviews.

5 comment

1  2  3  4  5  6  7  8  

ปั้นน้ำกะฟ้าริน
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]








  • งานเขียนใน Blog นี้ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายลิขสิทธิ์ ไม่อนุญาตให้คัดลอก หรือ ดัดแปลงเนื้อหา นำไปเผยแพร่ต่อที่อื่นๆ ทุกรูปแบบ

  • Thanks design by freepik


Designed by Freepik