All Blog
จัดรักให้ลงล็อค บทที่18




บทที่18

สายตาคมเหลือบมองใบหน้านวลใส หญิงสาวเกาะเบาะที่นั่งด้านหน้าข้างคนขับ ยื่นหน้าเข้าไปคุยจ้อกับคนที่เพิ่งขึ้นรถมาเมื่อสักครู่ใหญ่ เสียงหัวเราะใสดังไม่หยุด ไม่หันมาเขาเลยสักนาทีเดียว คุยกันอยู่แค่สองคน เหมือนลืมไปแล้วเจ้าของรถนั่งอยู่บนรถคันนี้ด้วย ถ้ารู้อย่างนี้เขาไม่บอกให้คนขับจอดรถรับนัฐกรขึ้นมาเสียก็ดี น่าปล่อยให้ยืนโบกเก้อ อับอายประชาชีเขาเสียเลย

นัฐกรลงจากแท็กซี่ที่ป้ายรถเมล์ห่างจากรถเมล์ไปไม่กี่ป้ายรถเมล์ ไม่ได้หนีเผ่นไปไหนไกล ถือคติสถานที่ที่อันตรายที่สุดเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุด หมอหนุ่มโทรหานิศากรบอกว่า

‘หนูนิ ช่วยบอกคุณภูที ให้เขาแวะเก็บเราไปด้วย อย่าเลยล่ะ ขี้เกียจนั่งแท็กซี่ตาม เปลือง!’

นิศากรส่ายหน้าปลงๆกับโทรศัพท์ เธอเคยตั้งคำถามกับนัฐกร เพราะอะไรถึงชอบบ่นนักหนาว่าเปลือง พูดราวกับคุณป้าจอมงก ตั้งแต่น้ำมันขึ้นราคา ขสมก.ขึ้นค่าโดยสาร ตลอดจนร้านก๋วยเตี๋ยวข้างโรงพยาบาลขึ้นราคาค่าน้ำแข็งเปล่า และสุดท้าย บ่นพึมพำติดต่อกันตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา คือ ราคาหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นที่ตัวเอกเป็นนักสืบเก่งอย่างมหัศจรรย์ ไหวพริบปฏิภาณเป็นเลิศ กลับร่างเป็นเด็กและหายาแก้ไม่ได้ จึงต้องเป็นนักสืบในร่างเด็ก เป็นการ์ตูนสืบสวนสอบสวนที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานหลายปีแล้ว และคาดว่าจะสืบต่อไปอีกหลายปี หรือจนกว่านักเขียนจะลาจากโลกนี้ไปก็อาจเป็นได้ หมอหนุ่มติดตามเก็บสะสมทุกเล่มแบบแฟนพันธุ์แท้ พอมันขึ้นราคาตามราคาน้ำมัน หมอหนุ่มโวยวาย คำนวณจำนวณเงินที่ต้องเสียเพิ่มขึ้นหน้าหงิก

“หมอนัด จะประหยัดช่วยชาติหรือว่าจะตั้งหน้าตั้งตาเก็บเงินไปขอสาวหรือไง หือ?” นิศากรตั้งคำถามทีเล่นทีจริง แต่นัฐกรกลับตอบมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง ความมุ่นมั่นเต็มเปี่ยมในดวงตารี ผสานไปกับอารมณ์สายหนึ่งที่ทำเอาผู้ฟังรู้สึกร่วมไปด้วยว่า มันช่างอ่อนโยน ประทับใจและโหยหาในสิ่งที่ตนกำลังเอ่ยยิ่งนัก

“ซื้อบ้าน บ้านไม้สีขาว หลังคาสีฟ้าดูน่ารักแล้วก็อบอุ่นมาก ชั้นบนมีระเบียง เอาไว้ยืนชมจันทร์ตอนกลางคืน สวยมากทีเดียว บ้านนี้มีชื่อด้วยนะ ชื่อเพราะมาก บ้านอิงจันทร์”

น้ำเสียงทอดอ่อนหวานจับใจในตอนท้ายยามเอ่ยชื่อบ้านนั้น ราวกับกำลังเอ่ยชื่อคนรัก หากในความอ่อนหวานที่แสดงออกมาทั้งเสียงและแววตา กลับเจือด้วยรอยเศร้าลึกเร้นอยู่ด้วยในความรู้สึก



“แจกันชุดนี้ สีเดียวกันกับใบใหญ่สีขาวที่ร้านหรือเปล่า หมอนัดช่วยดูหน่อยสิ เราไม่ค่อยแน่ใจ หรือชุดนี้เหมือนกว่า”

นิศากรยกมือแตะคางอย่างครุ่นคิด ถามความเห็นนัฐกรเป็นเชิงปรึกษา หมอหนุ่มทำท่านึก พินิจแจกันตั้งเรียงจากเตี้ยไปสูงสีขาวสองชุดตรงหน้า รูปทรงเหมือนกันเช่นเดียวกับจำนวนและระดับความสูงที่ไล่เลี่ยกัน ต่างกันตรงที่เฉดสีซึ่งผิดเพี้ยนกันไปเล็กน้อย จึงทำให้สองเพื่อนลังเล

“ชุดทางซ้าย” นัญกรตัดสินใจตอบ หลังพิจารณาอยู่นาน

“เหรอ ไม่มั้ง” นิศากรค้าน

“นี่แหละสีนี้แหละ”

“แต่เราว่า...” หญิงสาวค้างไว้ พลางเพ่งพินิจอีกครั้ง

“นี่ ดูดีๆ อันนั้นมันขาวออกฟ้าๆ อันนี้มันขางเหลืองหน่อยๆ” สองเพื่อนเกาะไหล่กันก้มดู วิเคราะห์ตามกันอย่างตั้งใจ

“เหรอ” น้ำเสียงหญิงสาวยังคงมีรอยขัดแย้ง

“ใช่สิ หนูนิใช้เราอุ้มมันอยู่ตั้งนาน ย้ายไปนั่นไปนี่ทั่วร้านจนเราลิ้นห้อย” นัฐกรบ่นกระปอดกระแปดหน้าเมื่อย ยังเหนื่อยไม่หายตอนเป็นเบ๊รับจ้างตกแต่งร้านให้หญิงสาว นิศากรยิ้มขำ ทำท่ายักไหล่ไม่ใส่ใจเสียงบ่น ขยับค้านต่อไปอย่างไม่แน่ใจ

“มันเหลืองไปรึเปล่า เราว่าอันนั้นมันออกจะขาวสว่างกว่านี้นะ”

“เฮ้อ...” หมอหนุ่มร้องดังๆ คอห้อยตก ชักเซ็งเพื่อนตัวเอง ไม่เชื่อแล้วมาถามทำไมกันล่ะเนี่ย เดี๋ยวแม่ตีซะเลย นัฐกรคิดในใจ แต่ใช้สายตาเหล่ให้เพื่อนรู้ตัว

“ก็ได้ๆ อันนี้ก็อันนี้ แต่ถ้าไม่ใช่ล่ะก็ ต้องรับผิดชอบเอามาเปลี่ยนให้เราด้วยเลย” ในที่สุดก็ตกลงเลือกอย่างที่เพื่อนหนุ่มบอก แต่ไม่วายขู่ให้รับผิดชอบหากที่ซื้อไปไม่ตรงตามที่ตั้งใจ นัฐกรทำหน้ายู่ คิดในใจว่าไหงเป็นงี้ไปได้ล่ะเนี่ย

อีกคนที่เหลือมองสองเพื่อนถกเถียงกันอย่างอิจฉา ภูดิสหน้าม่อยไม่เลิก รู้สึกตัวเองเกะกะอย่างไรชอบกล นิศากรไม่หวังพึ่งพาเขาแม้แต่น้อย คอยถามแต่หมอหนุ่มเพียงคนเดียว เพราะฝ่ายนั้นเคยฝังตัวอยู่ในตึกแถวสองคูหานั้นอยู่นานสองนาน เห็นและจำรายละเอียดได้อย่างแม่นยำเสียด้วย ส่วนเขาไม่เคยแม้แต่จะเหยียบย่างไปแถวนั้นเลยด้วยซ้ำ จึงช่วยออกความเห็นอะไรไม่ได้เลยสักอย่างเดียว

กลับไปที่อีกมุมหนึ่ง สองเพื่อนกำลังต่อราคากันอย่างตั้งใจ โปรยยิ้มหวานและสายตาออดอ้อนไปที่แม่ค้าสาวอย่างเต็มที่

“ลดอีกนิดนะจ๊ะ คุณคนขายคนสวย” สำเนียงจ๊ะจ๋าหยอดคำหวานให้แม่ค้าสาว

“แหม...พิเศษสุดๆแล้วนะคะ เศรษฐกิจช่วงนี้ก็ไม่ค่อยดี ขอเถอะนะคะ กำไรนี๊ด...เดียวจริงๆ” แม่ค้าสาวไม่ยอมแพ้ อ้างภาวะเศรษฐกิจซบเซาเข้าช่วย ย้ำคำว่านิดและลากเสียงยาวๆเพื่อเน้นความหมายเต็มที่

“โธ่ คุณคนขายจ๋า” นัฐกรกระพริบตาปริบๆ ออดอ้อนสุดฤทธิ์ เพราะนิศากรแอบกระซิบไว้ หากยิ่งลดได้มาก หมอหนุ่มจะยิ่งได้งบมื้อเย็นวันนี้ได้มากขึ้นตามส่วนลด

“คุณลูกค้าก็...ช่วยหลบหน่อยได้ไหมคะ” ต้นประโยคปฏิเสธ หากท้ายประโยคเป็นคำบอกให้ทั้งสองเขยิบไปทางหนึ่ง เปลี่ยนเรื่องแบบกระทันหัน สองเพื่อนเลิกคิ้วฉงน

แล้วแม่ค้าสาวก็เฉลยโดยการควักกล้องดิจิตอลออกมาจากกระเป๋า จับภาพชายหนุ่มร่างสูงในเชิ๊ตลำลองกับกางเกงขายาวสีสว่าง ยืนล้วงกระเป๋าดูของอยู่มุมหนึ่งในร้าน ยังไม่ทันได้ถ่าย คนถูกจับภาพก็หันขวับมาเพราะบทสนทนาที่เงี่ยหูฟังอยู่สะดุดหายไป เจ้าของร้านสะดุ้งน้อยๆ ยิ้มเจื่อนอายเล็กน้อย ก่อนแถเข้าไปขอให้ภูดิสเป็นนายแบบให้ที

“ฉันจะเอามามาใส่กรอบพวกนี้ค่ะ รูปสวยๆในกรอบสวยๆ ช่วยดึงดูดลูกค้าให้ซื้อของได้เหมือนกันนะคะ” แม่ค้าสาวให้เหตุผล สาธยายโน้มน้าวใจต่อไปอีกว่า

“ฉันเป็นช่างภาพสมัครเล่น ขอลองเทคนิคใหม่ที่เพิ่งได้เรียนหน่อยเถอะค่ะ คุณเหมาะมากเลยที่จะเป็นนายแบบ ถือว่าช่วยส่งเสริมการศึกษาของฉันหน่อยเถอะนะคะ ได้บุญทีเดียวสองเด้งเลยนะคะ”

ภูดิสครุ่นคิดนิดนึงแล้วกระตุกยิ้มมุมปากบาดตาแม่ค้าสาวให้อดมองอย่างติดใจไม่ได้ หากคราวนี้มันไม่ได้มีประสิทธิภาพแค่บาดตาบาดใจสาวๆอย่างเดียว กลับเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมแบบนักธุรกิจฉายชัดออกมาด้วย

“ก็ได้ครับ แต่...”

“เย้ ตกลงแล้ว ห้ามกลับคำนะคะ” แม่ค้าสาวไม่ทันฟังให้จบก็ชิงร้องขึ้นอย่างดีใจ

“ผมไม่กลับคำ หวังว่าคุณก็คงไม่กลับคำที่จะให้ผมเป็นนายแบบจริงๆ”

“ไม่แน่นอนค่ะ”

“งั้น ผมคิดค่าตัวนิดหน่อย ไม่ว่าใช่ไหมครับ คุณคงไม่รู้ว่าผมก็พ่อค้าคนหนึ่งเหมือนกัน เพราะฉะนั้น เรามาแลกกันอย่างยุติธรรมดีกว่า เป็นส่วนลดสามสิบเปอร์เซ็นต์ของแจกันชุดนั้น ตกลงไหมครับ”

เอ๋อไปเลย สำหรับแม่ค้าสาว สามสิบเปอร์เซ็นต์นั่นก็เท่ากับเธอจะเหลือกำไรสำหรับแจกันชุดนั้นแค่ไม่ถึงสิบบาท เนื่องจากมันตั้งอยู่นาน ขายไม่ออกเสียที เลยลดราคาลงไปเรื่อยๆ โอย เพิ่งเจอคนหล่อเจ้าเล่ห์จริงๆก็วันนี้แหละ แต่นานๆทีจะมีคนที่ทำให้เกิดแรงบันดาลใจได้ขนาดนี้ ชายหนุ่มดูมีเสน่ห์จับตา แม้หน้าคมจะนิ่งเฉย หากเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน สุภาพ น่าเข้าใกล้ราวกับมีแรงดึงดูด เอาก็เอา เธอคิดว่าของถูกสุดๆจนเหมือนได้เปล่า ยังไม่น่าดึงดูดใจมากเท่าของที่ถูกใจตั้งแต่แรกเห็น

“ก็ได้ค่ะ”

ดวงตาคมพราวระยับอย่างสมใจ นิศากรเห็นอย่างนั้นแล้วก็นึกสงสารแม่ค้าสาวที่ตกหลุมคุณนักธุรกิจเข้าอย่างจัง จากการประเมินราคาและหน้าตาแม่ค้าสาวดูแล้ว หญิงสาวก็ได้แต่ภาวนาในใจ หวังว่าคงจะไม่ถึงกับขาดทุนหรอกนะคะ คุณแม่ค้า



กล้องวิดีโอรุ่นใหม่ล่าสุดแกะกล่อง ราคาแพงด้วยความละเอียดสูง ฟังชั่นมากมายหลากหลาย พร้อมด้วยกำลังซูมหลายเท่า ขนาดกำลังเหมาะในมือของนางร้ายสาว กำลังลองถ่ายไปรอบๆบ้านจากมุมสูงบนระเบียงห้องนอนของเธอเอง แล้วจับภาพอย่างต่อเนื่องกลับเข้ามาในห้องนอน เปิดประตูห้องออกไปเรื่อยจนถึงห้องนั่งเล่นที่จะให้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงวันเกิดของเธอ ผงะเล็กน้อยเมื่อจับภาพไปเจอร่างหนึ่งนอนทอดกายไปตามแนวยาวของโซฟา ซูมภาพเข้ามาใกล้ขึ้นนิดจึงเห็นว่าเป็นผู้จัดการส่วนตัวของเธอเอง

“บ้าจริง นึกว่ามีผีมาสิงในบ้านเสียแล้ว มาเมื่อไหร่ ไม่บอกไม่กล่าว” รัญชิดาตะโกนถามไม่สบอารมณ์นัก ลดกล้องในมือลง

“คุณน้องโทรตามเมื่อไหร่ คุณพี่ก็มาเมื่อนั้นแหละค่ะ” กระเทยสาวตอบเสียงแปร๋นออกไปอย่างหงุดหงิดเช่นกัน มาว่าสาวสวยอย่างเธอเป็นผีสางได้ยังไงกัน เฮอะ! ถ้าฉันไม่เป็นกระเทยเสียก่อน หล่อนไม่มีวันได้เกิดหรอกย่ะ

”เรียกคุณพี่มากระทันอย่างนี้มีอะไรคะ”

“เห็นกล้องนี่ไหม” หญิงสาวชูกล้องใหม่เอี่ยมในมือให้ดู

เห็นสิยะ ตาไม่ได้บอดนี่ กระเทยสาวนึกในใจอย่างเคืองขุ่นไม่หาย แต่หน้าตากลับตรงข้ามกับสิ่งที่อยู่ในใจ มันยังคงยิ้มแย้มประจบประแจงต่อไป

“ค่ะ”

“เป็นตากล้องในงานวันเกิดฉัน แล้วฉันจะยกให้” กล้องราคาแพงหูฉี่ถูกส่งให้ผู้จัดการส่วนตัวเธอ ซึ่งฝ่ายที่รับมาตาวาว แต่ยังตะหงิดๆในใจ จึงถามออกไป

“แค่นี้เองหรือคะ” ฝ่ายถูกถามยิ้มอย่างมีเลศนัยบางอย่าง ยังไม่ตอบคำถาม กระเทยสาวมองอย่างรู้ทัน งานนี้ต้องมีแผนอะไรอีกแน่ๆ



มือขาวนวลส่งน้ำอัดลมเย็นเฉียบให้นายแบบกิตติมาศักดิ์ค่าตัวน้อยที่สุดในรอบปี เพราะเป็นส่วนลดแค่สามสิบเปอร์เซ็นต์ ภูดิสรับมา ขอบคุณเบาๆ ไม่ทันมองใบหน้านงลซึ่งเต็มไปด้วยรอยขบขัน กลั้นยิ้มจนแก้มตุ่ย

ใครได้มาเห็นก็คงมีอาการแบบเธอนั่นแหละ คุณนักธุรกิจหนุ่มมาดเนี๊ยบ รับข้อเสนอเป็นนายแบบอย่างไม่ลังเล พอเอาเข้าจริงกลับทำหน้าตาหลุกหลิก เก้ๆกังทำตัวไม่ถูกอยู่นานจนช่างภาพหนักใจ บอกให้ทำตัวตามสบายแต่ก็ยังไม่ได้ดังใจ จึงยืนมองหน้ากันไปมาอยู่นาน และแล้วช่างภาพสาวก็ปิ๊งไอเดีย ทำเลียนแบบรุ่นพี่ ชวนคุยนั่นนี่ไปเรื่อย แนะนำว่าข้าวของในร้านส่วนใหญ่เป็นฝีมือของครอบครัวเธอเอง ทั้งงานปั้น งานแกะสลักไม้ต่างๆรูปร่างแปลกตา ชี้ชวนให้ดูไปเรื่อย มุมโน้นทีมุมนี้ที ฝ่ายนายแบบตกหลุมไปตามโฆษณา ช่างภาพสาวได้ทีจับภาพในมุมต่างๆได้ดังใจ ยิ้มกว้างอย่างพอใจ ค่อยรู้สึกคุ้มกับที่ลงทุนไปก่อนหน้านี้เสียที

“สนุกไหมคะ คุณนายแบบ” เสียงใสถามหยอกๆ

“อย่าแซวสิ พี่เขินจะแย่แล้ว” รอยแดงๆเรื่อที่โหนกแก้ม ทำหน้าประหลาด จะยิ้มก็ไม่ใช่จะบึ้งก็ไม่เชิง เกิดมาไม่เคยเป็นนายแบบกับเขาเสียที อย่างมากก็ได้แต่ยืนตัวตรงชูสองนิ้วใส่กล้อง พร้อมร้อง อยากกินเป๊ปซี่ ให้ตากล้องกดแชะเก็บภาพในรูปหมู่เท่านั้นแหละ

“เป็นนายแบบที่ค่าตัวต่ำจังเลยนะคะเนี่ย แหม...หน้าตาก็ดี น่าจะโก่งราคาให้มากกว่านี้หน่อยนะคะ” นิศากรหัวเราะคิกคัก ริมฝีปากสีชมพูแย้มกว้าง ดวงตากลมพราวระยับมองล้อชายหนุ่มเสียจนเขาต้องหลบ เพราะมันทำให้เขาใจเต้นประหลาด ต้องข่มใจเปลี่ยนเป็นเก๊กทวงบุญคุณแทน

“ใจร้ายจัง อุตส่าห์ยอมใช้แรงงานแลกส่วนลดให้ ยังล้อกันได้อีก”

ได้ผล หญิงสาวหุบปากฉับ ทำหน้าตาใสซื่อแต่ยังกลั้นยิ้มอยู่ แก้มนวลจึงตุ่ยๆชอบกล ชาหนุ่มมองแล้วเกือบอดใจไม่ไหว เอื้อมมือไปหยิกเล่นสักทีสองที ต้องเก็บเอาสองมือไปล้วงกระเป๋าไว้กลัวเผลอไปสัมผัสเข้าจริงๆ

“ขอบคุณค่ะ” ภูดิสทำหน้างง อีกฝ่ายจึงเฉลยพร้อมรอยยิ้มเต็มสองข้างแก้ม “สำหรับส่วนลดสามสิบเปอร์เซนต์”

“แบบนี้ค่อยเป็นปกติหน่อย” ภูดิสสูดหายใจเข้าเต็มปอด รู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูกที่ได้กลับเป็นที่สนใจของหญิงสาวอีกครั้ง

“คะ?”

หญิงสาวมองนิ้วก้อยเรียวยาวที่ยื่นมาตรงหน้าอย่างสงสัยสลับกับหน้าคม ภูดิสเอาเข้าไปเกี่ยวไว้กับนิ้วก้อยเล็กของนิศากร สร้างรอยอบอุ่นวาบจากเรียวนิ้วเข้าสู่สองใจ


“เราดีกันแล้วใช่ไหม”
“ดีอะไรคะ นิโกรธพี่ภูหรือไง” แก้มนวลฉาบสีชมพูน้อยๆ พยายามแกะนิ้วตัวเองออก พอถูกสะกิดให้รู้สึกตัวเข้าก็เริ่มตีตัวออกห่างเช่นเดิม แต่อีกฝ่ายไม่ยอม ยึดเกี่ยวก้อยน้อยนั้นไว้แน่น

“ไม่รู้สิ แพรบอกว่าหนูนิโกรธ ไม่อยากเห็นหน้า จะทิ้งพี่ไป” เขาเอ่ยเสียงตัดพ้อ ทำหน้าหงอย


“แพรบอกเหรอคะ” ชายหนุ่มพยักหน้าหงึกๆ นิศากรทำหน้าเซ็ง แพรพรรณขี้เม้าท์อีกแล้ว บอกอะไรไปบ้างเนี่ย คงเล่าสู่กันฟังจนหมดเปลือกสินะ “แล้วบอกรึเปล่าคะว่าทำไม”

“พี่ทำให้หนูนิต้องร้องไห้ และหนูนิกลัวว่ารันจะมาหาเรื่องอีก”

“นิไม่ได้กลัวคุณรันของพี่ภูซะหน่อย” นิศากรโต้กลับทันควัน ไม่อยากถูกหาว่าเกรงกลัวนางร้ายสาวให้ดูเหมือนคนอ่อนแอ ตากลมขุ่นควั่กอย่างไม่พอใจ

“รันก็ไม่ใช่ของพี่เหมือนกัน เมื่อไหร่หนูนิจะเชื่อซะที” ชายหนุ่มท้วงกลับเช่นกัน

“ไม่ทราบค่ะ นิขี้เกียจคิดเรื่องนั้นแล้ว เหนื่อย ขี้เกียจรำคาญ เบื่อค่ะ ได้ยินไหมคะ” หญิงสาวว่าอย่างรำคาญ พอพูดเรื่องนี้ขึ้นมาก็ชักปวดหัว อารมณ์บูดขึ้นมาอีกรอบ พลอยไม่อยากมองหน้าคนข้างตัวขึ้นมาตะหงิดๆ ข้อหาที่มียัยตัวร้ายคอยเกาะติดไม่ปล่อย

“เลิกพูดเถอะค่ะ เรื่องส่วนตัวพี่ภู นิไม่เห็นเกี่ยวด้วยเลย” นิศากรหันหน้าหนี ถอนใจน้อยๆ เธอตั้งใจไว้แล้ว และไม่ยอมทำให้ความตั้งใจนี้ต้องถูกล้มไปอีกอย่างที่เคยเป็น

“เกี่ยวสิ เกี่ยวเต็มๆเลยด้วย” ภูดิสตามมาดัก ไม่ให้เธอหลบ

“เกี่ยวยังไงไม่ทราบคะ” เธอตวัดตาและเสียงถามคนดักหน้าอย่างหงุดหงิด เกิดอาการชะงักค้างเมื่อเจอสายตาคมที่ทอดมองมาด้วยกระแสความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้แก้มคนถูกมองร้อนวาบขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

“พี่...” ยังไม่ทันจะได้ชี้แจง นัฐกรก็เกาหัวแกรกๆมาบ่นพึมพำมาแทรกกลางระหว่างสองคน เป็นการขัดจังหวะได้อย่างน่าโมโห สองมือที่เกาะเกี่ยวกันไว้พลันหลุดออกจากกัน

“อะไร ทำไมทำเหมือนมองไม่เห็นเรา เป็นไปได้ยังไงกัน ทางโล่งออกขนาดนั้น หรือว่ามองไม่เห็นจริงๆ” หมอหนุ่มพูดกลับไปกลับมาด้วยความไม่เข้าใจ ถามใครก็ไม่รู้ พูดพร่ำอยู่แต่เพียงผู้เดียวไปได้สักพักก็ยังคิดหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ จึงหันกลับมาสนใจเพื่อนแทน หลังจากทิ้งไปพักใหญ่

“หนูนิเป็นไรเปล่า หน้าแดงจังเลย” คนถูกทักสะดุ้งน้อยๆ หาคำตอบไม่เจอเหมือนกันว่าเพราะอะไร นอกจากสายตาคมที่เผลอไปมองสบเมื่อครู่ เลยเปลี่ยนเป็นหาเรื่องหมอหนุ่มแทน

“ไปไหนมา รอตั้งนาน”

“เจอเพื่อนน่ะ เพื่อนสมัยมอปลาย แต่ตามไปไม่ทัน” ประโยคท้ายน้ำเสียงของนัฐกรแปร่งปร่า ให้ความรู้สึกเศร้าประหลาดจนคนฟังรู้สึกได้ชัดเจน เหมือนกับรอยหมองในดวงตายาวรีนั้น นิศากรตบไหล่หนาเบาให้กำลังใจ

“ไม่เป็นไรหรอก วันหน้าคงได้เจอกันอีกนะหมอนัด”

นัฐกรพยักหน้ารับ เอื้อมไปแตะมือเล็กของเพื่ออย่างขอบใจ คนที่เหลืออีกคนได้แต่มองความสนิทสนมของสองเพื่อนอย่างขัดใจ ถ้ามีตาเลเซอร์แบบซุปเปอร์แมน เขาจะใช้มันเล็งไปที่มือที่แตะบนผิวนวล เผาให้เป็นจุณไปเลย

พอปลอบกันเสร็จแล้ว ก็เคลื่อนขบวนกันต่อไป ฝ่ายนิศากรก็เอาแต่เกาะติดหนึบกับนัฐกรเหมือนเดิม ปล่อยภูดิสลอยแพอยู่คนเดียวตามเดิม แถมหนักกว่าตอนแรกๆอีกด้วย นิศากรไม่มองสบตาเขาเลย พอเดินไปใกล้ก็ขยับหนีอีกต่างหาก



“ฮ่าๆๆๆๆๆ อยากเห็นสดๆชะมัดเลย นายภูดิส นักธุรกิจหนุ่มหล่อ รวย ผู้เก่งกาจถูกหญิงเมิน” เสียงห้าวของธเนศเยาะเย้ยเต็มที่ หัวเราะเสียงดังก้องในรถยนตร์คันหรู ภูดิสแกล้งเหยียบเบรกกระทันหัน ธเนศเลยหัวคะมำไปกองอยู่ที่คอนโซลหน้ารถ ร้องโอดโอย

“สมน้ำหน้า” ภูดิสแค่นหัวเราะอย่างสะใจ ท่าทางเพื่อนเขาคงเพิ่งได้รับถ่ายทอดเรื่องราวที่น้องสาวเขาขุดคุ้นจนหมดเปลือกไปเมื่อเขากลับถึงบ้านในเย็นวันนั้น เลยเอามาแซวเขาได้ย่างเจ็บแสบแบบนี้ เจ้าเพื่อนบ้าเอ๊ย ไม่เคยช่วยยังมาล้ออีก

เขาพารถเข้าจอดหน้าบ้านหลังใหญ่ สถานที่จัดงานเลี้ยงวันเกิด ต้นไม้ข้างทางที่นำไปสู่ตัวบ้านและภายในสวนสวยถูกประดับประดาไปด้วยไฟดวงเล็กร้อยพาดไปมาสร้างแสงสีสวยงามท่ามกลางความมืดมิดของราตรีกาล สองหนุ่มพากันเดินเข้าตัวบ้าน เฟอร์นิเจอร์ภายในถูกจัดเก็บไว้ ชั้นล่างของบ้านทั้งบ้านกลายเป็นพื้นที่โล่ง มีมุมค็อกเทล อาหารเล็กๆน้อยๆ ประดับดอกไม้ตามมุมเสาต้นใหญ่แทบทุกต้น แขกเหรื่อซึ่งล้วนเป็นเพื่อนเจ้าของงานทั้งในและนอกวงการยืนจับกลุ่มกันตามมุมต่างๆไปทั่ว

เจ้าของงานพาตัวเองลงมาจากชั้นบนในชุดราตรีสีแดงสั้นผ้าทิ้งน้ำหนักแนบสัดส่วนโค้งเว้าสวย ยามขยับตัวจึงพริ้วไหวไปมาน่าดู ระยิบระยับด้วยเลื่อมพรายที่ปักบนตัวกระทบกับแสงไฟเสื้อเพิ่มความสวยงามหรูหราให้คนสวมน่าจับตามอง หญิงสาวยิ้มพรายมาต้อนรับสองหนุ่มด้วยตัวเอง

“สุขสันต์วันเกิดนะรัน” ภูดิสยื่นกล่องของขวัญกล่องเล็กในมือให้ รัญชิดารับมากล่าวขอบคุณเบาๆ

“นึกว่าภูจะไม่มาซะแล้ว” รัญชิดาเอ่ยเสียงเศร้า

“เธออุตส่าห์โทรไปจิก เอ๊ย ไปเชิญตั้งหลายรอบ จะไม่มาได้ไง” ธเนศแกล้งเหน็บเพื่อนสาวเข้าให้ เลยได้รับสายตาเขียวปั๊ดตอบกลับมา แต่เขาก็ไม่สนใจมองเมินไปเสีย

“เข้าไปข้างในเถอะ เพื่อนๆมากันเต็มเลยนะ” รัญชิดาชวนและดึงแขนภูดิสเข้าไปด้านในด้วยกัน ธเนศตามติดเข้าไป แอบเห็นนางร้ายสาวขยิบตาไปทางผู้จัดการส่วนตัว และอีกฝ่ายก็ตอบรับสัญญาณด้วยการทำมือเป็นรูปตัวโอ

‘จะมีแผนอะไรอีกรึเปล่าเนี่ย นายต้องคอยตามติดพี่ภูไว้ให้ดีๆนะ อย่าเผลอให้ยัยนางร้ายทำการได้สำเร็จเชียว’ แพรพรรณกำชับเขาไว้ ตอนแรกเขาก็ไม่คิดว่าจะมีอะไร แต่พอเห็นอะไรบางอย่างเข้าแล้วก็อดระแวงระวังตามยัยเปี๊ยกไม่ได้



“บลูเรียกฟ้าเปลี่ยนๆ”

“ฟ้าประจำอยู่ชั้นสองเปลี่ยน เป้าหมายเคลื่อนตัวแล้ว”

“เนะโกะเรียกบลู เรียกฟ้าเปลี่ยน เนะโกะประจำการใต้บันได กำลังจับตามองเป้าหมายเปลี่ยน”



-----------โปรดติดตามตอนต่อไป-------------


//punnarm-farin.bloggang.com


*;...คุยกันนิดหน่อยกับฟ้าริน...;*
ขอโทษทีค่ะ มาส่งช้า ฟ้ารินเกิดป่วยขึ้นมากระทันหัน โรคผู้ยิ้งผู้หญิง เดือนนี้เป็นหนัก หลับยาวเลยค่ะ เพลียสุดๆ โชคดีที่ไม่ค่อยมีเรียน เกือบเป็นลมบนรถเมล์แน่ะค่ะ

g - มอมรึเปล่าไม่รู้ ต้องติดตามดูตอนต่อไปค่ะ

Smillzz - อดเเลยอ่ะ 40 มาส่งช้า แง้ อุตส่าก์จะเก็บตัวรักษาตัว เป็นโรค...(อะไรเอ่ย? คงเดาว่าเป็นโรคจิตแน่ๆ)

une playful pizzicato- นึกว่าจะเข้ากับลุงสมัครซะแล้ว ที่แท้ก็เข้าสมัยนี่เอง ฟ้ารินไม่ได้ใจร้ายนะ แง้ๆๆๆๆๆ เปื่อย เอ๊ย!ป่วยตะหากค่ะ

ยารีส - โทษทีค่ะ มาส่งแล้ว อุตส่าห์มาทวงตั้งหลายรอบ เลยพยายามปั่นมาส่งสุดฤทธิ์เลยค่ะ





Create Date : 26 สิงหาคม 2550
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2551 18:00:25 น.
Counter : 234 Pageviews.

9 comment

จัดรักให้ลงล็อค บทที่17



บทที่ 17


บทที่17

อีกฟากหนึ่งที่โต๊ะ นัฐกรหน้าเอ๋อ มองดูแพรพรรณกำส้อมไว้ในมือ เสียวแทนหนุ่มผิวน้ำผึ้งนัก ไม่รู้ว่ามันจะลอยไปปักอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งบนตัวธเนศเมื่อใด แต่ถ้าหากมันจะพุ่งเข้าไปจิ้มจริงๆ หมอหนุ่มคิดว่าที่ที่แพรพรรณจะไม่พลาดเลยก็คือ ปากของธเนศนั่นเอง

ส่วนคนโดนจ้องฝากอุปกรณ์ทานอาหารไม่สะทกสะท้านกับตาขวางๆ ท่าทางที่น้องสาวเพื่อนกัดปาก ตีหน้าถมึงทึงอยากปล่อยอาวุธลับใส่เขานัก ยังคงคุยจ้อเคล้าเสียงเพลงอะครูสติคไปเรื่อย อาหารที่หมอหนุ่มชี้ชวนแพรพรรณทานยังค้างอยู่ในจานหญิงสาว เพราะเรื่องเล่าเสียดอารมณ์คนกินอย่างน่ารำคาญและน่าตบยังก้องในหู

‘เห็นยำแหนมนี่แล้ว นึกถึงตอนที่เคยมีข่าวนะ ที่เขาเจอนิ้วคนในแหนม อึ๋ย!หลอน’

‘ปลานี่ก็อีก ที่พวกคนต่างจังหวัดเอาปลาสดๆมาขอดเกร็ดแล้วเอาไปทอดนะ น่าสงสารมาก ปากยังพะงาบๆอยู่เลย ตอนที่กินก็ยังไม่ตาย เขาว่ามันเป็นยาชูกำลัง’

‘กุ้งอบวุ้นเส้น นึกถึงตอนที่มีคนโกงน้ำหนัก เอาตะกั่วยัดเข้าไปในหัวกุ้ง น่ากลัวตอนเอาไปกิน คนกินคงรับสารปรอทเข้าไปด้วย’

‘ไก่เร่งโตนี่ก็เหมือนกัน ถ้าอยากตู้มๆก็รีบๆกินเข้าไปเยอะๆ แต่ดูแล้วคงไม่ค่อยทันนะ แถมมีผลข้างเคียงอีกตะหาก ฮ่าๆๆ’

ธเนศหัวเราะแถมท้ายอย่างน่าซัดให้หมอบแล้วจับมัดกับหินไปถ่วงน้ำซะให้ตาย แพรพรรณจะลงยันตร์สาปแช่งไม่ให้ผุดให้เกิดอีกเลย

“หมอนัดจะกินอะไรก็ต้องเช็คให้ดีๆก่อนนะ สมัยนี้พิษภัยมันรอบตัวเต็มไปหมด เผลอๆจะตายเฉียบพลัน ไม่ทันได้สั่งเสีย”

“คะ...ครับ ผมจะระวัง” หมอหนุ่มยิ้มแหยๆตอบรับ เหมือนกำลังโดนแช่งยังไงไม่รู้ ให้ตายสิ นัฐกรคิดในใจ

“ประสาท พูดบ้าๆอยู่ได้ คนกำลังกิน อีตาโรคจิต!”

“แน่ะ! อะไร อยู่ๆก็มาว่า เอ้าๆ หน้าหงิกเป็นรอยย่นไปหมดแล้ว หมอพอจะมีคาร์สศัลยกรรมดีๆบ้างไหม แนะนำยัยเปี๊ยกหน่อยสิครับ แบบที่รวมทำตั้งแต่หัวจรดเท้าเลยน่ะ เริ่มจากหน้า คงตั้งทำเบบี้เฟสชุดใหญ่ ยัยเปี๊ยกโมโหง่ายเลยหน้าหงิกทุกวัน ดูสิเป็นรอยทั้งหน้าแล้ว สองก็นี่เลย หน้าอกกับความสูง ต้องเพิ่มอย่างด่วน ทำยากมากไหมครับ ผมว่าเรื่องซิลิโคน คงต้องใช้หลายอันหน่อย ส่วนขาผมเคยดูแบบที่ต่อกระดูก มันจะงอกจริงรึเปล่า เกินมันไม่งอกทำไง ผมว่ามีความเป็นไปได้สูง เหมือนที่ยัยเปี๊ยกไม่ยอมโต” ธเนศแกล้งซักถามหน้าเครียด เป็นจริงเป็นจัง

“อี๋ย์ นายดำ บ้าๆๆๆๆ” แพรพรรณต่อว่าหน้าแดง กระแทกส้อมลงกับจานเสียงดังเคร้ง! กลัวจะเอาไปเฉาะปากนายดำหน้ากวนเข้าให้ จนเลือดตกยางออก ถึงจะโกรธแต่เธอก็ไม่ใจร้ายขนาดจะเอาคืนให้เลือดสาด อีกอย่างที่สำคัญมากเธอกลัวเลือด เห็นทีไรพาลจะเป็นลมทุกที

พอมือว่างจึงคิดใช้วิธีอื่น นั่นคือ มือน้อยกำไปรอบคอหนุ่มผิวน้ำผึ้ง แกล้งออกแรงบีบจนเขาตาเหลือก หญิงสาวรู้ตัวดีว่าไม่ได้สูงสวยอึ๋มเหมือนสาวสวยหลายๆคนที่ธเนศรู้จัก แต่เรื่องบ้าอะไรเขามาว่าเธอต่อหน้าแบบนี้

“แอะ ยัย...เปี๊ยก”

“เอ้ยๆ แพร ปล่อยๆ” นัฐกรร้องห้ามเสียงหลง กลัวเพื่อนจะก่อคดีฆาตรกรรมกลางร้านอาหาร

“ไม่! นี่เป็นวิธีอุดปากไม่ให้นายดำนี่พูดมากได้ หมอนัดอย่ายุ่ง”

“โอ๊ะ เธอจะฆ่าฉันเหรอ ยัยเปี๊ยก” หน้าเขาเริ่มแดงเพราะอากาศที่ผ่านสู่หลอดลมน้อยกว่าธรรมดาเกือบครึ่ง

“เฮอะ ปากอย่างนาย สมควรแล้ว” แพรพรรณแกล้งขู่หน้าเคร่ง

“ไม่ได้นะแพร แพรอาจติดคุกได้นะ พยานรู้เห็นเพียบ ดูสิ” หมอหนุ่มเรียกให้ดู คนรอบข้างที่เริ่มหันมามอง

“ถ้านายตกลงจะปิดปากให้สนิท ห้ามเล็ดลอดเสียงอันน่าระคายหู ฉันจะปล่อย” ธเนศพยักหน้าอย่างลำบาก ผิวหน้าเริ่มเปลี่ยนจากแดงเป็นเขียวเข้าไปทุกที เข้าใจอารมณ์คนติดในลิฟท์ที่กลัวตายเพราะอากาศจะให้หายใจเหลือน้อยเต็มทีได้เลยว่ามันยังไง แพรพรรณได้รับการตอบรับเป็นที่น่าพอใจแล้วเลยผละมือจากคอหนา ธเนศจึงรอดพ้นอุ้งมือฆาตรกรน้อยมากได้ จากนั้นพอสองคนที่เหลือกลับมานั่งประจำที่ตัว จึงพบธเนศนั่งหลอน แอบมองแพรพรรณเป็นระยะ

‘ยัยเปี๊ยกใจร้าย โหดๆๆ ทำกับธเนศได้’



ยังไม่ทันจะเที่ยงดี ร่างสูงของภูดิสก็ก้าวเข้าสู่บริเวณห้องรับแขกของบ้านหลังใหญ่ รอยยิ้มที่มุมปากปรากฏกว้างกว่าเดิมนิดๆ ใบหน้าคมจึงแลดูอ่อนโยนมากขึ้นจากปกติเพราะปรายสายตาไปพบหญิงสาวในชุดเสื้อยืดแขนกุดและโฉบเฉี่ยวกับกางเกงยีนสีซีดเอวต่ำแนบเรียวขาเรียว ข้อมือขาวนวลประดับกำไรเงินเสียงดังกรุ๋งกริ๋ง ผมยาวสีน้ำตาลเข้มถูกรวบเป็นมวยปักปิ่นไว้ด้านหลัง ใบหน้านวลแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางบางเบาเช่นเดิม ดูคล้ายเด็กสาววัยรุ่นโฉบเฉี่ยว ทะมัดทะแมงมั่นใจมากกว่าหญิงสาวจบปริญญาโทอย่างที่เป็นในความจริง

นิศากรกระโดดดึ๋งลงมาจากชั้นบน พร้อมโทรศัพท์เครื่องเล็กในมือ กำลังคุยกับใครสักคนหนึ่ง ชายหนุ่มไม่รู้

“จ้า เจอกัน” เสียงหวานใสดังแว่วมาให้ได้ยินก่อนเธอจะตัดสาย

ตากลมเบิกกว้าง เหลียวมองผู้มาเยือนที่ยิ้มบางๆให้กับนาฬิกาบนผนังสลับกันงงๆ นี่อีกสิบนาทีจะเที่ยงตรง ยังไม่ถึงเวลานัดเลยนี่ เขารีบมาทำไมกัน แล้วหญิงสาวก็ได้คำตอบ

“มาเร็วดีจริงภู ไปลูกไป ป้าทำกับข้าวเสร็จพอดีเลย” คุณกังสดาลร้องบอก ฉุดมือลูกสาวให้เดินนำภูดิสซึ่งพยักหน้ารับอย่างยินดี

“ครับคุณป้า ผมหิวไส้จะขาด เมื่อเช้าไม่ได้ทานข้าว”

“ทำไมล่ะจ๊ะ รีบมากเหรอ” หญิงสูงวัยซักถามระหว่างเดินไปห้องอาหาร

“ผมตื่นสายครับ” ภูดิสสารภาพเขินๆ คุณกังสดาลหัวเราะท่ารับสารภาพอายๆของลูกสาวเพื่อนไปด้วย เพราะมัวแต่นอนฝันดี หลังจากนอนไม่ค่อยหลับมาหลายคืน เมื่อคืนเลยหลับยาวไปเลย ถือว่าชดเชยกัน

“ทำงานเหนื่อยมากหรือจ๊ะ”

“นิดหน่อยครับ แต่คงเป็นเพราะหลายคืนก่อนผมนอนไม่ค่อยหลับมากกว่า” เขาตอบพลางมองต้นเหตุที่ทำให้นอนไม่หลับเข้านั่งประจำที่ตนที่โต๊ะอาหาร

นิศากรสำรวจกับข้าวบนโต๊ะอย่างพินิจพิจารณา เมนูน่ารับประทานเต็มโต๊ะกว้างกลางห้องอาหารและท่าทางคุณกังสดาลที่ไม่ได้แปลกใจอะไรเมื่อพบชายหนุ่ม ทั้งๆที่เอไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าเขาจะมา จุดประกายให้หญิงสาวฉุกคิดบางสิ่งบางอย่าง ดูท่าว่างานนี้แม่ของเธอคงได้พรายกระซิบจากใครบางคนเสียแล้ว เดาได้ไม่ยากถึงผู้ร่วมขบวนการในครั้งนี้ กองกำลังที่ล่มสลายไปเมื่อหลายวันก่อน ตอนนี้ถูกปลุกระดมขึ้นมาใหม่แล้วเป็นแน่ จะฝีมือใคร ถ้าไม่ใช่แม่เพื่อนสาวคนสนิท น้องสาวของคนตาคมที่ปั่นป่วนหัวใจของเธออยู่ตอนนี้นั่นเอง

“อย่างนี้นี่เอง” นิศากรเอ่ยลอยๆขึ้นมา เหลือบมองมารดาอย่างรู้ทัน คุณกังสดาลเสทำเมินไปเอาใจใส่กับลูกชายเพื่อนแทน ซึ่งเขาก็เออออ รับการดูแลอย่างยิ้มแย้ม จนนิศากรชักหมั่นไส้

เมื่อคืนก่อนแยกย้าย เธอฉุดมือแพรพรรณไปจัดการเป็นการส่วนตัว ตัวการยิ้มแหยอธิบายว่าที่เห็นกันวันนั้น เป็นแค่ส่วนหนึ่ง ทั้งสองคนไม่ได้ตกลงเป็นคู่รักกันอย่างที่เข้าใจ ไม่วายเหน็บคความเป็นสุภาพบุรุษเหยียบขั้นใกล้เป็นซุปเปอร์แมนเข้าไปทุกที เห็นผองเพื่อนเป็นทุกข์เป็นไม่ได้ อาสาช่วยเหลืออย่างดีทุกทีไป โชคดีแค่เป็นเฉพาะกับคนสนิทเท่านั้น ไม่ได้เผื่อแผ่ไปถึงมวลชนทั่วไปอย่างยอดมนุษย์ทั้งหลาย

‘ส่วนยัยนั่นคิดว่าตัวเป็นนางเอก พี่ภูช่วยเข้าหน่อยก็คิดเลยเถิดว่ามีพระเอกมาช่วย ตัวเป็นนางร้ายแท้ๆ นางร้ายก็คือนางร้ายอยู่วันยังค่ำล่ะน้า นางเอกตัวจริงของพี่ภูน่ะ หนูนิต่างหากเล่า’ ตอนท้ายแพรพรรณทำตาพราว เกาะแขนนิศากรที่ทำหน้าเมื่อย

‘เราไม่เคยคิดเป็นนางเอก’

‘โธ่...หนูนิไม่ไม่รักพี่ภูแล้วเหรอ’ แพรพรรณร้อง นิศากรไม่ตอบ มองเมินไปหลบแวววูบไหวในดวงตากลมจากแพรพรรณ แต่ไม่รอดพ้นไปได้ แพรพรรณยังมั่นใจ ต่อให้เพื่อนใจเด็ดเพียงใด แต่เรื่องหัวใจ ใครจะตัดขาดได้ภายในสามวัน

‘นี่ แล้วครั้งนี้พี่ภูไม่ผิดนะ เราสองคนต่างหากที่ดูไม่จบ’

‘โทษกันเลยเหรอ’

‘แหม...อย่าว่าเลย ก็มันจริงนี่’ แพรพรรณหัวเราะแหะๆ

‘โอเค ก็ได้ เราผิดที่กลับบ้านไม่ถูกเวลา แต่ยังไงก็แล้วแต่ เราคิดว่ารัญชิดาไม่มีทางปล่อยง่ายๆอย่างนี้จริงๆหรอก หรือแพรไม่คิดแบบเรา เราไม่อยากวุ่นวายอีก พอแล้ว จบ’

ไม่อยากคิดก็ต้องคิด สองสาวเห็นเหมือนกันเรื่องนางร้ายสาว คุณหนูเอาแต่ใจแบบนางร้ายผู้เชื่อมั่นใจตัวเองนั่น จะยอมเสียสิ่งที่คิดว่าเป็นของตัว ปล่อยถูดิสมาง่ายๆเพียงนี้

‘ไม่ต้องวางแผนอะไรอีก ถ้าไม่เลิกไม่ต้องมาพูดกัน’ นิศากรขู่ทิ้งท้ายไว้เท่านั้น



แต่ดูผลที่ได้จากการขู่ เฮ้อ! น่าเบื่อจริง ทำไมชีวิตเธอมันถึงได้ดูวุ่นวายจริงเชียว โชคดีนักที่เธอไม่ได้ยกเลิกนัฐกรไป เพียงแต่เลื่อนเวลา อย่างน้อยก็ยังมีกิ่งไม้ให้เธอเกาะ เบนความสนใจไม่ให้จดจ่ออยู่ที่คนตาคมเพียงจุดเดียว

ดูเข้าเถิด เธอยิ่งหลบกลับรู้สึกเหมือนยิ่งถูกจับจ้อง ดวงตากลมกวาดผ่านไปทางร่างสูงเมื่อไหร่ เป็นต้องสบตาคมพราวระยับชวนให้คนถูกมองหวั่นไหวประหลาดทุกทีไป เธอต้องหยิกตัวเองหลายครั้ง เตือนตัวให้รีบมองเมินไปทางอื่น กลัวถูกดูดเข้าไปในวงจรเดิมๆ และสุดท้ายคงไม่พ้นต้องฝึกกระบวนท่ารับมือกับนางร้ายมืออาชีพ แถมต้องฝึกทำใจรับภาพปลอบประโลมของสองเพื่อนอีก งานหนักยิ่งกว่ากรรมกรแบกหามเสียอีก เปลี่ยนพลังงานชีวิตน่าดู สภาพจิตใจของเธอเมื่อสองวันก่อนทำเอาเธอขยาด รู้สึกตัวเองกำลังจะกลายสภาพเป็นนางเอกมิวสิคคนเจ้าน้ำตาของนักร้องดูโอสาวสองคนไปเสียแล้ว ตาปูดๆเมคอัพกลบเข้าไปเท่าไหร่ก็ยังเห็น จนไม่กล้าออกจากบ้าน นั่งอยู่เฉยๆน้ำตาก็มาปริ่มๆทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจ สุดท้ายเลยหยดแหมะกลมกลืนไปกับสถานการณ์มีดบาดนิ้วเอาเสียเลย ดันคิดพิเรนทร์หั่นมะเขือเทศตอนน้ำตาคลอเบ้าดีนัก เลยได้มะเขือเทศปนเลือดตัวเองมาแปะตากันบวม สยองพิลึก แถมความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบก็มาดันหยุดชะงัก หมดกัน ข้อเสียล้วนๆ เพราะฉะนั้นเธอไม่อยากมีสภาพเป็นคนประหลาดแบบนั้นอีก งานนี้ขอบาย ไม่กลับใจเด็ดขาด



นัฐกรก้าวสวบๆเลิกลั่กประหลาด หันรีหันขวางชอบกลเข้ามาในส่วนที่เธอนั่งรอภูดิสพบแพทย์อยู่ เจ้าตัวชิ่งไปหลบหลังเคานเตอร์ เหล่านางฟ้าชุดขาวพากันแปลกใจ แล้วก็ปรับเปลี่ยนสีหน้าเป็นเรียบเฉยอย่างแนบเนียนทันที่ที่สาวใหญ่ในชุดสีแดงเพลิงก้าวเข้ามาสมทบอีกคน ดวงตากรีดอายไลเนอร์เสียงคมเข้มสอดส่ายหาใครสักคน สุดท้ายก็เข้าไปหานางพยาบาลซึ่งตีหน้าซื่อ บอกเนียนๆว่าไม่พบคนที่เธอต้องการ เธอจึงคอตกเดินจากไป ชั่วนาทีต่อมานัฐกรโปล่หัวขึ้นมาสำรวจแล้วถอนใจ กล่าวขอบคุณด้วยหน้าตาโล่งอกสุดๆ เหล่านางฟ้าชุดขาวหัวเราะคิกคัก กับแฟนคลับรายใหม่ของหมอหนุ่ม ล้อกันยกใหญ่ นัฐกรตีหย้าแหยบอกติดตลกกับเหล่านางฟ้าชุดขาวว่า

“ผมมีกฎไม่รับแฟนคลับที่ชอบลวนลามผมทางร่างกายนะครับ แล้ว ผมก็เกลียดสีแดง” เรียกเสียงฮาจากเหล่าคุณพยาบาลครืนใหญ่อย่างอดไม่ได้ แต่ก็รีบเงียบเสียงกันโดยไว รักษาความสงบไว้อย่างแนบเนียน สาวใหญ่เมื่อครู่มักมาปรากฎกายอย่างเฉิดฉายด้วยริมฝีปากสีแดงสดกับเครื่องแต่งกายชิ้นใดชิ้นหนึ่งที่เป็นสีแดงเพลิง

“ถ้างั้นต้องรีบไปบอกเสียแล้วว่าหมอนัดไม่ชอบสีแดง ให้เปลี่ยนเป็นสีอื่นแทน หมอนัดจะได้ชอบ ดีไหมคะ”

“คุณพยาบาลใจร้าย” นัฐกรแกล้งว่าเสียงเศร้า

นิศากรอยากหัวเราะให้ลั่นโรงพยาบาล แต่ติดว่ามีกฎการใช้เสียงเช่นเดียวกับห้องสมุด ต้องกลั้นเสียงหัวเราะไว้จนไหล่ไหว แต่ก็ยังหลุดเสียงคิกคักให้หมอหนุ่มระคายหูเมื่อก้าวตรงมาหาอยู่ดี

“หยุดขำแล้วรีบไปกับเถอะ ทั้งหลอนทั้งอายจะแย่อยู่แล้ว” ตาเรียวยังคงมองเหล่ไปมาอย่างหวั่นๆ กลัวคุณคนไข้สาวใหญ่จะกลับมาอีก นัฐกรกระตุกแขนเพื่อนสาวให้ลุก แต่เธอขืนไว้ ยิ้มกว้างตาพราวล้อเลียนไม่หยุด

“รอเดี๋ยวน่า ฮ่าๆๆ”

ใบหน้าคมอ่อนโยนสุภาพเป็นนิจ บึ้งตึงเฉียบพลันจนนางพยาบาลสาวที่ลอบมองอย่างชื่นชมแปลกใจ เพราะมันเปลี่ยนอย่างกระทันหันเป็นดุขรึมชัดเจน ดวงตาคมมีเสน่ห์ตวัดจ้องไปที่สองร่างที่กำลังยื้อยุดกันอยู่อย่างสนุกสนาน เลือดในตัววิ่งพล่านจนร้อนด้วยความไม่พอใจ มือของหมอหนุ่มที่สัมผัสบนผิวเนียนของนิศากร

ถึงเป็นเพื่อนกันอย่างที่แพรพรรณนั่งยันนอนยัน แต่ก็ต่างเพศ มาแตะต้องตัวกันง่ายๆอย่างนี้ได้ยังไง ภูดิสคิดอย่างขัดเคือง แล้วยังหน้าตายิ้มแย้มร่าเริงอีก ตั้งแต่พบหน้านิศากรยังไม่ยิ้มให้เขาเลยสักครั้ง แต่ตอนนี้กลับหัวเราะคิกคักกับนัฐกร

เขาเดินตรงดิ่งเข้าไปหาด้วยความไม่พอใจและน้อยใจปนเปกันไปหมด สีหน้าจึงขรึม บูด คิ้วขมวดยุ่ง กระแอมเรียกความสนใจ เขม้นมองสองมือยื้อยุดกันอยู่สลับกับหน้าทั้งสองคน นิศากรปล่อยมือร่วงผลอย หุบยิ้มทันควัน

“อ้อ คุณภู เป็นอะไรรึเปล่าครับ หน้าตาไม่ค่อยดี หรือเจ็บแผลอีก” นัฐกรถาม ตีความหน้ายุ่งๆเป็นอาการเจ็บป่วยไปซะอย่างนั้น

“มีเรื่องอะไรกันหรือครับ” เขาไม่ตอบคำถามแต่กลับเป็นฝ่ายถามเสียเอง

“คือ...เอ่อ” นัฐกรอ้อมแอ้มไม่อยากเล่า กลัวถูกขำซ้ำซาก เลยรีบเร่งภูดิสให้ออกจากโรงพยาบาลเสียก่อนเป็นดีที่สุดเมื่อครบคณะแล้ว “รีบไปกันเถอะครับ ผมไม่ค่อยอยากอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่”

หมอหนุ่มต้อนให้คณะตนออกไปอย่างใจ พอถึงหน้าโรงพยาบาล กลับยังติดแหงกไปไหนไม่ได้ เพราะต้องคอยคนขับรถของภูดิสที่เตรียมมาช่วยถือของให้นิศากรเต็มที่ไปเอารถมารับ เสียงดังแว่วๆเรียก ‘หมอนัด’ ทำให้เจ้าของชื่อหันขวับ ร่างอวบในชุดแดงโบกมือหยอยๆ แทรกตัวฝ่าฝูงชนมาหาอย่างทุลักทุเล หมอหนุ่มตาเหลือก ตะกายขึ้นแท็กซี่ที่มาจอดเทียบทันใด ทิ้งอีกสองคนยืนงงอยู่ตรงนั้น

“เรื่องอะไรกัน” ภูดิสแทรกเสียงถามทันทีที่ลับร่างหมอหนุ่ม

“เรื่องของคุณหมอเสน่ห์แรงค่ะ”

“ไม่ใช่”

“คะ?” นิศากรรับคำเสียงสูงเป็นคำถามอย่างไม่เข้าใจ

“หมอนัดมาทำอะไรที่นี่ ไหนหนูนิบอกเลิกนัดเขาไปแล้วไง” นิศากรส่ายหน้ายักไหล่ แล้วตอบหน้าตาเฉยแต่ทำให้คนฟังหน้าม่อย

“หมอนัดเป็นหมอประจำอยู่ที่นี่ค่ะ เราเลยนัดกันที่นี่สะดวกดี วันนี้นิต้องมาที่นี่อยู่แล้ว แล้วอีกคำถาม นิไม่ได้ยกเลิกนัดกับหมอนัดสักหน่อย ทำไมนิต้องทำแบบนั้นด้วย ไม่มีเหตุผล นิเลื่อนเวลานัดให้ช้าลงจากที่ตั้งใจจะไปซื้อของตั้งแต่เช้า จะได้มีเวลาเลือกนานๆ เพราะต้องพาพี่ภูมาหาหมอก่อน หมอนัดเลยบ่นจนนิหูแทบชา เพราะนิรับปากไว้ว่าจะเลี้ยงข้าวเที่ยงบวกข้าวเย็นตอบแทนที่ช่วยเป็นกรรมกรให้ นี่ก็ต้องลดเหลือแค่ข้าวเย็นแทน ที่นี้พี่ภูอยากไปด้วย นิก็เลยคิดว่าเราควรจะไปพร้อมกันสามคนเลย คนเยอะๆน่าสนุกดีนะคะ”

ท้ายประโยคให้เหตุผลยาวยืดนิศากรฉีกยิ้มหวานให้ดูน่าสนุกจริงๆส่งให้ภูดิส แต่รับกลับไม่ได้รู้สึกยิ้มไปด้วยเลย รู้สึกได้ชัดเจนว่าเป็นเพราะเขาที่ทำให้เธอต้องระคายหูกับเสียงบ่นของหมอหนุ่มและผิดสัญญากับเพื่อน เพราะเขาทำให้เธอมีเวลาทำสิ่งที่ต้องการน้อยลง

“พี่ขอโทษ” เขาเอ่ยเสียงอ่อย

“ไม่เป็นไรค่ะ” หญิงสาวบอกเสียงเรียบ ยักไหล่น้อยๆ ทำท่าไม่ใส่หน้าเศร้าๆของเขา ในใจแอบสงสารนิดๆ แต่ก็ทำใจแข็งไว้



อิมมี่กระเทยสาว ผู้จัดการส่วนตัวของรัญชิดาผู้กำลังเป็นหนึ่งในไทมุง ดูคลิปฉาวของดารานักร้องที่ถูกเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ตอย่างเมามัน ส่งเสียกรี๊ดกร๊าดอยู่หน้าคอมพิวเตอร์โน๊ตบุคเครื่องบาง เป็นภาพวาบหวิวตอนกำลังเล่นรักอย่างสุดเหวี่ยงกับแฟนหนุ่มไม่ซ้ำหน้า ประเด็นข่าวร้อนขึ้นหน้าหนึ่ง กระทู้วิพากย์วิจารณ์กันจนบอร์ดแทบแตก สถิติการส่งต่ออีเมลสะพัดทั้งวันทั้งคืนยิ่งกว่าการซื้อขายในตลาดหุ้น

“ฮู้ย! หน้าตัวเองชัดมันส์สุดเหวี่ยงขนาดนี้ ยังมีหน้ามาแก้ข่าวว่าโดนคนหน้าเหมือนแอบอ้างอีก หน้าไม่อายจริงจิ๊ง”

“นั่นสิ ข่าวฉาวอย่างนี้ หวังให้ตัวเองกลับมาเป็นที่สนใจแน่นอน ทุ่มทุนสร้างสุดตัว”

“โฮ้ย ก็คนมันหมดทางจะหากิน ตกอันดับขนาดนั้น”

“ลงทุนถ่ายตัวเองกำลังสยิวกิ้วเนี่ยนะ เป็นฉันไม่เอาด้วยหรอก โรคจิตชัดๆ”

“แต่อย่างนี้แหละ ดังเร็วชัวร์ๆ ไม่ต้องพึ่งป๋าดัน เฮียดัน เจ๊ดันที่ไหนให้วุ่นวาย แถมเอาลงอินเตอร์เน็ตอย่างนี้ แพร่กระจายไวเสียยิ่งกว่าเชื้อไข้หวัดนกเสียอีก”

“ข่าวไม่ต้องกรอง คนเชื่อกันให้พรึ่บ”

รัญชิดาฟังอย่างตั้งใจ รอยยิ้มร้ายกาจผุดขึ้นบนใบหน้าสวยงาม แววตามาดหมายถึงสิ่งหนึ่งในความคิด สะกิดเรียกอิมมี่ผู้จัดการที่รีบแถเข้ามาพร้อมน้ำแร่ในมือ

“ปีนี้ฉันจะจัดงานวันเกิด ที่บ้าน!!!”





-----------โปรดติดตามตอนต่อไป-------------


//punnarm-farin.bloggang.com


*;...คุยกันนิดหน่อยกับฟ้าริน...;*
ฮา... ใครว่าหนูนิจะยอมง่ายๆ คะ จ่ายมาคนละ20เลยค่ะ คนไหนเดาผิดว่าหนูนิหายงอน เอามาเลยค่ะ ห้ามเบี้ยวๆ

une playful pizzicato - เห็นแล้วค่ะ มาเร็วทำสถิติเลยนะคะ แสดงว่าดวงเราสมพงษ์กัน เข้ามาเวลาเดียวกันเลย ว้าวววว

g - แฮะ ตอนที่แล้วหวาน ตอนนี้ฟ้ารินเลยทำให้ขมนิดนึง ว่ากันรึเปล่าคะ ก็ช่วยไม่ได้ ดันทำหนูนิเจ็บใจนี่นา หนูนิเลยขอแกล้งซะเลย

Smillzz - อย่าเพิ่งลงแดงนะคะ ฟ้ารินเอามาป้อนให้แล้ว ใจร่มๆค่ะ เดี๋ยวไม่มีคนอ่านนิยายของฟ้าริน ว่าแต่อย่าลืม 20 เดาผิดค่ะ หนูนิยังไม่หายงอน จ่ายมาๆ เม้นสองบล็อค ก็ทวง2บล็อคเลย 555

kikkak_riwkiw - มาดใหม่ไฉไลของพี่ภู เจอหนูนิมาดใหม่กว่าเข้าไป เป็นไงล่ะ 55555 พี่ภูจ๋อยไปเลย(วิญญาณมารน้อยโผล่)

ยารีส - อ๊าาาาาาาาา ตกใจ กำลังจะลง พอรีเฟรชเช็คคอมเม้น กลัวตอบไม่ครบก็เจอยารีสเลย มาต่อให้แล้วค่ะ ฟ้ารินไม่ได้ใจร้ายนะคะ เดี๋ยวจะไปเยี่ยมบล็อคนะคะ






Create Date : 17 สิงหาคม 2550
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2551 18:01:51 น.
Counter : 267 Pageviews.

6 comment
จัดรักให้ลงล็อค บทที่16



บทที่ 16


นิศากรมองหน้านัฐกรที่เอาแต่นั่งโจ้อาหารบนโต๊ะไม่สนใจใคร คิดว่าเธอใช้งานชายหนุ่มช่วยจัดร้านหนักหนามากมายขนาดนี้เชียวเหรอ นัฐกรเร่งยิกๆตอนตอนหกโมงที่บอกว่านัดแพรพรรณทานข้าวเย็นไว้ที่ร้านอาหาร ร้องหิวไส้จะขาดเพราะงานแบกหามเล็กๆน้อยๆ เลื่อนโต๊ะนิดๆ เลื่อนกระจกหน่อยๆ ขยับตู้อีกติ๊ดนึง โอเว่อร์เกินไปแล้ว

“นัด หมอนัด!หมอนัด!!!” แพรพรรณเรียกเสียงดัง ตีมือใหญ่ที่กำลังตักหม้อไฟดังเพี๊ยะ จนหมอหนุ่มสะดุ้งร้องซี๊ด

“อะไรแพร ตีเราทำไม” นัฐกรหน้าเหลอมองแพรพรรณไม่เข้าใจ เรื่องอะไรมาตีเขา คนกำลังกินอร่อยๆ

“เป็นห่วงคนอื่นบ้างสิ กินเอาๆอย่างนี้แล้วคนอื่นจะกินอะไรยะ” แพรพรรณต่อว่า

“โธ่ ก็ฉันหิวนี่ ช่วยหนูนิจัดร้านเหนื่อยจะตาย ไม่สงสารฉันเหรอ” หมอหนุ่มทำตาปรอย น่าสงสารให้สองสาวดู เผื่อแผ่ไปถึงชายหนุ่มอีกคนที่ร่วมโต๊ะด้วย ซึ่งธเนศที่ตามมาเกาะสถานการณ์ก็ยิ้มขำๆให้หมอหนุ่มหน้าเป็น

“ไม่จริง เราว่าหมอนัดจะกินตุนไว้เพราะมื้อนี้แพรจ่ายต่างหาก ใช่ไหมล่ะ” นิศากรดักคอ ปรายตามองนัฐกรแบบรู้ทัน แพรพรรณถึงบางอ้อ

“เปล่าเสียหน่อย เดี๋ยวก็ต้องกลับไปเข้าเวรคืนนี้ตะหาก คุณหมอก็ต้องแข็งแรงไว้ก่อนสิจ๊ะ เกิดหิวจนเป็นลมหมดแรงไป ใครจะช่วยเพื่อนมนุษย์ผู้ประสบอุบัติเหตุล่ะจ๊ะแพรจ๋า ขอหมูทอดหน่อยสิจ๊ะ” หมอหนุ่มส่งเสียงจ๊ะจ๋าออดอ้อนขอความเห็นใจเต็มที่ ไม่วายขออาหารใกล้มือเพื่อนสาว

ธเนศชะงักมือที่จะส่งอาหารรสชาติดีเข้าปาก นิ่วหน้าน้อยๆมองแพรพรรณ ตักสิ่งที่หมอหนุ่มขอส่งให้ในจาน สีหน้าสีตาหมั่นไส้ปนขำกระจ่างบนหน้านวลเรียว หมอหนุ่มยิ้มเห็นเขี้ยวบอกขอบใจลงท้ายด้วยคำจ๊ะจ๋าเช่นเดิม แพรพรรณก็ตอบกลับด้วยคำลงท้ายน่ารักแบบเดียวกัน ธเนศขัดหูประหลาด หนุ่มผึ้งน้ำผึ้งจึงหน้าตึงน้อยๆ แอบไม่พอใจลึกๆที่น้องสาวเพื่อนไม่เคยพูดจาน่ารักแบบนี้ด้วยสักคำ

หนุ่มผิวน้ำผึ้งเอื้อมมือตัดผ่านหน้าแพรพรรณและหมอหนุ่มไปเสตักกับข้าวที่ตัวเองไม่ได้อยากทานเลยสักนิด ทำเสียงขัดใจในลำคอตอนเข้าไปใกล้ร่างเล็ก แพรพรรณมองตามก็ได้รับค้อนคมจากตาหวานซึ้งของเขากลับมาแทน

เกือบหนึ่งทุ่ม ร่างสูงก้าวเร็วๆเข้าสู่ร้านอาหารร้านเดิมที่เคยจัดเลี้ยงต้อนรับนิศากร ตรงไปโซนเดิมที่ติดกับริมน้ำเจ้าพระยา ตาคมกวาดหาร่างสมส่วนที่ใจกระวนกระวายหาอยู่หลายวัน ร่างสูงก้าวพรวดไปที่โต๊ะตามใจสั่งทันที ทรุดนั่งลงตรงที่ว่างที่หัวโต๊ะ นิศากรเงยหน้าตามเสียงลากเก้าอี้แล้วอ้าปากค้าง

“พี่ภู...” แก้วน้ำพลันลื่นหลุดจากมือ นัฐกรเห็นพอดี คว้าหมับประคองแก้วและมือเล็กของเพื่อนสาวไว้ น้ำส้มกระฉอกออกจากแก้วเลอะมือขาวนวล นิศากรมัวแต่อึ้งงัน หมอหนุ่มจึงจัดการซับน้ำมาเช็ดมือเพื่อนก่อนจะเหนียวหนืดไปเสียก่อน

“ครับ พี่เอง” ภูดิสหน้าบึ้งทั้งที่ตั้งใจจะยิ้ม ตาคมขุ่นเพราะมือหนาของชายแปลกหน้าข้างตัวหญิงสาวจับมือเล็กอยู่ ถึงจะเป็นการช่วยเหลือแต่มันก็สร้างความขุ่นข้องให้อยู่ดี แถมเธอยังไม่มีทีท่าจะยื้อกลับมาอีกต่างหาก แพรพรรณเห็นหน้าตาพี่ชายก็รีบกระแอมขลุกขลัก ถลึงตาใส่นัฐกร

“ปล่อยได้แล้วหมอนัด” ธเนศย่นคิ้วใส่ร่างเล็กข้างตัว พาลเลยไปถึงหมอหนุ่มด้วย

“อ้อ โทษทีจ๊ะหนูนิ” นิศากรส่ายหน้าหมายความว่าไม่เป็นไร กระตุกยิ้มมุมปากให้หมอหนุ่ม

“หนูนิไปล้างดีกว่า น้ำหวานอย่างนี้เหนียวเหนอะหนะแย่” นัฐกรแนะนำ นิศากรลุกขึ้นตาม พึมพำบอกนัฐกรว่าจะไปห้องน้ำ ซึ่งเขาก็รับคำไพเราะน่ารักตามถนัดของตน นั่นคือ

“จ๊ะ”

สาวหลายๆคนต่างนิยมชมชอบเวลาหมอหนุ่มผู้นี้พูดลงท้ายอย่างน่าฟัง ไม่ติดขัดเลยสักนิด เพราะชายหนุ่มใช้ถ้อนคำอย่างนี้มาตั้งแต่เกิด เพราะที่บ้านเขา นอกจากพ่อ พี่ชายและนัฐกรแล้ว อีกเจ็ดคนเป็นผู้หญิงหมดเรียบ ตั้งแต่ยาย แม่และน้องสาวสาวคนเพิ่มหลายเข้าไปอีกสอง เฮ้ยยั้วเยี้ย เพราะฉะนั้นการพูดการจากับกุลสตรีทั้งหลายในบ้านต้องไพเราะเสนาะหู คำหยาบคายเป็นเรื่องผิดที่อาจต้องถูกเนรเทศไปกางเต้นท์นอนนอกบ้าน มันช่วยไม่ได้เลยที่เขาจะติดการใช้คำพูดแบบนี้กับผู้หญิงทุกคนตั้งแต่เด็กเล็กยันคนเถ้าคนแก่ ฟังดูสนิทสนม น่ารักน่าเอ็นดู กลายเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวนัฐกรไปแล้ว

แต่ตอนนี้ถ้อยคำจ๊ะจ๋าแบบนั้น ไม่ได้สร้างความระรื่นหูให้แม้แต่น้อยกับชายหนุ่มรุ่นพี่สองคนที่ร่วมโต๊ะเลย แพรพรรณแนะนำสองหนุ่มให้รู้จักกัน นัฐกรยิ้มโชว์เขี้ยวบอกสวัสดีให้พี่ชายเพื่อน แต่ภูดิสมองหน้านัฐกรเขม็ง พยักหน้ารับไหว้หมอหนุ่มขรึมๆ เขาจำได้ เสียงนี้แหละที่เขาได้ยินเมื่อตอนเย็น จนทำเอาเขาเบลอไปหลายอึดใจ ทั้งหลังวางโทรศัพท์และระหว่างการประชุม



นิศากรเดินเร็วๆมาที่ท่าน้ำเดิมไม่ได้ตรงดิ่งไปที่ห้องน้ำอย่างที่บอกไว้ นั่งลงที่ท่าน้ำนั้นง่ายๆ ควักกระจกในกระเป๋าใบเล็กที่คว้าตืดมือมาด้วยขึ้นมามองหน้าตัวเอง สำรวจดูดวงตาแดงๆของตัวเองวาวๆเล็กน้อยเพราะน้ำตาหยดน้อยคลอรื้น นิศากรรีบปาดออกเมื่อกระพริบตาแล้วมันเหมือนจะหยดลงสู่แก้มนวล เข่นเขี้ยวในใจเมื่อรู้สาเหตุที่แพรพรรณโยกโย้เมื่อเธอถามเรื่องที่ออดอ้อนเรียกร้องให้มาให้ได้ บอกให้กินก่อนแล้วค่อยว่ากัน

อะไรกันนะแพร ยังจะให้เธอมาเจอเขาทำไมอีกทำไมกัน ไหนบอกว่าจะจบเรื่องทั้งหมดนั้นไปแล้วไง จะแกล้งกันรึยังไง

นิศากรเก็บกระจกใส่กระเป๋าอย่างหงุดหงิด เห็นหน้าภูดิสแล้วก็พาลอยากจะร้องไห้ขึ้นมาอีก เกินสามวันแล้วแท้ๆ คติประจำใจที่เคยตั้งไว้ ขอร้องไห้แค่สามวัน หลังจากนั้นจะไม่มีน้ำตาอีก มันถูกทำลายลงอีกแล้ว ด้วยฝีมือของผู้ชายคนเดิม ภูดิสทำเธอผิดสัญญากับตัวเองเป็นข้อที่สองแล้ว บ้าๆๆๆ นิศากรสูดหายใจลึก เหมือนเจ้าตัวตั้งใจจะทำให้น้ำตาที่กำลังเอ่อคลอออกมาเป็นหยดที่สองไหลกลับลงไปที่เดิม หญิงสาวหลับตานิ่งสักพักแล้วลืมขึ้น ตบแก้มตัวเองท่องไว้ในใจ

“ไม่ร้องๆๆๆ อย่าให้ใครรู้นอกจากแพรว่าเธอร้องไห้เพราะคนที่เขาไม่รัก เลิกบ้าได้แล้วนิศากร มั่นใจหน่อย โลกนี้ไม่ได้มีแค่เขาที่ไม่ได้รักเธอและก็ยังมีอีกหลายคนที่รักเธอ” หญิงสาวเก็กหน้าวางเฉยเรียกแววตามาดมั่นกลับมา พร้อมกลับไปเผชิญหน้ากับคนที่ทำให้เธอเจ็บหัวใจ

“ว้าย!” ร่างสูงปรากฎในระยะใกล้ นิศากรตกใจร้องเสียงหลง มือหนาคว้าข้อมือเล็กไว้ไม่ให้เซล้มเพราะชนเข้ากับเขาอย่างจัง แน่นอนสิ่งไหนที่น้ำหนักน้อยกว่า สิ่งนั้นย่อมกระเด็น โอ๊ย จะบ้าตาย ผู้ชายคนนี้เป็นนักย่องเบา เดินยังก็ไม่ได้ยินเสียง หรือเป็นเพราะเธอกำลังหมกมุ่นกับตัวเอง จนไม่ทันได้ยินเสียก็ไม่รู้

“ใครไม่รักเหรอ” ภูดิสตั้งคำถามหน้าตึง ตาคมดุจ้องหญิงสาวไม่วางตา อารมณ์ขุ่นมัวยังไม่คลาย จากเมื่อกี้ มือเล็กที่เขาจับอยู่ข้างหนึ่ง เมื่อครู่ถูกสัมผัสโดยหมอหนุ่มเจ้าของสำเนียงจ๊ะจ๋า มันน่าจับขัดด้วยแอลกอฮอล์นัก

“...” นิศากรไม่ตอบคำถาม แต่ขยับดึงข้อมือตนออกจากการเกาะกุมหน้ามุ่ย ยิ่งดึง มือใหญ่ยิ่งกำแน่น ดวงตากลมจึงตวัดมองอย่างไม่พอใจ เขามีสิทธิ์อะไรมาจับเธอ

“พี่ถามทำไมไม่ตอบ”

“…”

“หนูนิเป็นอะไร ไม่พูดกับพี่ ไม่รับโทรศัพท์พี่ อยู่ดีๆก็หายเงียบไปเฉยๆอย่างนี้ได้ยังไง” เขาถามทั้งที่รู้ว่าทำไม แต่เขาพอใจจะถาม อยากได้ยินคำตอบ อยากให้เธอพูดกับเขา

“โทรศัพท์นิหายไป เพิ่งเจอหล่นอยู่ที่ซอกเตียงวันนี้ พี่ภูมีธุระอะไรเหรอคะ” ภูดิสมองตากลมอย่างพิจารณา นิศากรเบี่ยงหลบไม่อยากสบด้วย

“หลบตา มีพิรุธ โกหกพี่รึเปล่า” เขาตั้งข้อสังเกต นิศากรแอบอิ๊บยาดในใจ ตั้งแต่มันสั่นเพราะมีสายเรียกเข้าเป็นชื่อเขาที่หน้าจอนั้นแหละ หญิงสาวมืออ่อนทำมันหลุดมือตกลงซอกเตียง เอื้อมไปหยิบก็ไม่ถึง แถมอารมณ์เธอตอนนั้นก็ไม่ดีพอจะลุกขึ้นมารื้อเตียงเพื่อโทรศัพท์เล็กๆบางๆเครื่องเดียว

“ไม่เชื่อก็เรื่องของพี่ภูแล้วล่ะค่ะ” หญิงสาวบิดข้อมือแล้วเบี่ยงตัวให้หลุดออก

“เดี๋ยว พี่ยังพูดด้วยไม่จบ เจอโทรศัพท์แล้วก็น่าจะเห็นว่าพี่โทรหา ทำไมไม่โทรกลับมา” เห็นน่ะเห็นอยู่หรอก แต่เรื่องอะไรที่เธอจะต้องรนหาเรื่องเสียเงิน เสียน้ำตาเพราะได้ยินเสียงเขาด้วยเล่า

“นิไม่ว่าง”

“ยุ่งขนาดไม่มีเวลาสักสองนาทีกดโทรศัพท์เลยหรือไง” เสียงทุ้มถามอย่างน้อยใจ

“ค่ะ”

“ทำอะไร”

“จัดร้าน”

“กับใคร”

“เอ๊ะ!” เขาจะซักไซ้อะไรเธอนักหนา ถามไปทำไม แล้วยังทำหน้าเหมือนกำลังโกรธเคืองเธอ เธอไปทำอะไรให้นะ

“คนที่มาด้วยวันนี้รึเปล่า พี่ได้ยินเขารับโทรศัพท์แทนด้วย” น้ำสียงไม่พอใจ พอๆกับหน้าคมบึ้งสนิท เรื่องอะไรให้คนอื่นถือวิสาสะมารับโทรศัพท์ส่วนตัวให้ แล้วยังคุยกันจ๊ะจ๋าอีก

“อะไรกันคะพี่ภู มายุ่งอะไรกับนิ เรื่องของนิไม่เห็นจะเกี่ยวกับพี่ภูสักนิด”

“จะยุ่ง จะเกี่ยว มีอะไรไหม” เขาพูดอย่างดื้อดึง เอาแต่ใจ นิศากรขมวดคิ้วมุ่น เฮ้ย!อะไรกันเนี่ย เธอไม่ใช่รัญชิดานะ

“มายุ่งอะไรกับนิล่ะ ไปยุ่งกับคุณรันสิ” นิศากรชักโมโห แต่ว่า เป๊ะ! เข้าทางภูดิสแล้ว

“พี่จะไปยุ่งกับเขาทำไม ถึงเราจะเป็นเพื่อนสนิทกัน แต่ก็ไม่ได้สนิทมากขนาดธเนศจนจะซักไซ้หรือยุ่งเรื่องส่วนตัวของเขาได้”

“เชอะ” หญิงสาวเบ้หน้าแถมแลบลิ้น ไม่เชื่อถือคำพูดเขาสักนิด เพื่อนๆๆๆ เพื่อนที่ไหนกอดกันซึ้งขนาดนั้น ภูดิสอยากจะขำแต่ต้องทนเก็กหน้าขรึมตอนที่พูดให้คนตัวเล็กกว่าสะดุ้ง

“วันนั้นแอบดูถึงไหนล่ะ ถึงทำหน้าไม่เชื่อพี่แบบนี้”

“อึ๋ย ยัยแพร”

“ไม่ต้องโทษคนอื่น เป็นพวกชอบแอบดูตั้งแต่เมื่อไหร่ หือ? เมื่อก่อนนั้นก็แอบฟัง เกเรใหญ่แล้ว” คนถามแกล้งดุล้อเลียนด้วยอีกตะหาก

“บ้า นิไม่ได้เป็นพวกชอบแอบดูเสียหน่อย” นิศากรแหวกลับโต้คำกล่าวหา เผลอยกมือตีคนกล่าวหาไปหนึ่งป๊าบอีกตะหาก เธอไม่ได้โรคจิตแบบที่ชอบเจาะรูดูคนอื่นเสียหน่อย คนถูกตีไม่ว่าอะไรกลับถอนใจแล้วว่าต่อ

“อุตส่าห์แอบยืนดูไม่รู้จักดูต่อให้จบเสียด้วย หนีไปซะอย่างนั้น แล้วก็เอาไปคิดเองเออเองเสร็จเลย ไม่ถามกันสักคำ ยัยแพรก็เหมือนกัน”

พูดแบบนี้แสดงว่าแพรพรรณคงบอกเขาจนหมดแล้วสิ หยา อย่าบอกนะว่าหมายถึงเรื่องที่เธอวิ่งร้องไห้ออกมาด้วย ไม่นะ ไม่ๆๆๆๆๆ ตอนนั้นมันแอบนางเอกเกินไป

“อยากรู้เรื่องต่อจากนั้นไหมล่ะ พี่จะเล่าให้ฟัง” นิศากรปิดหู หันหลังให้

“ไม่ ไม่อยากรู้ นิเบื่อพี่ภูแล้ว ไม่อยากพูดด้วย ไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น” หญิงสาวตะโกนก้อง มองผืนน้ำที่มีเงาสะท้อนอย่างหงุดหงิด จะพูดอะไรอีก

“อีกแล้วนะ พี่เคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่ามีอะไรเราก็ควรจะพูดกัน หนูนิชอบหนีพี่ไปเรื่อย ขี้ขลาด”

“ถึงจะปิดหูแต่ก็ได้ยินนะ เรื่องอะไรมาว่านิ”

“ถ้าไม่ได้เป็นอย่างนั้นก็หันมาพูดกันดีๆสิ” นิศากรหันกลับมาเผชิญหน้าเท้าเอวหมับด้วย นัยน์ตากลมขุ่น เชิดหน้าท้าทาย ชายหนุ่มก้าวเข้ามาประชิดดึงมือขาวนวลออกจากท่าเท้าสะเอวไปกุมไว้ อธิบายสิ่งที่ผิดพลาด ไม่สนใจอาการสะบัดจากคนตรงหน้ายังคงกระชับมือน้อยไว้มั่น ไม่วายแหย่ให้รู้ว่าน้องสาวบอกอะไรบ้างจนคงฟังหน้าบูดกว่าเก่า

“ต่อจากที่แพรบอกว่าหนูนิวิ่งร้องไห้ออกไป พี่ก็บอกให้รันเข้าใจว่าเราสองคนจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเท่านั้น พี่อาจทำอะไรให้เขาเข้าใจผิดไปก็ขอโทษด้วย เขาเข้าใจและยอมรับแต่โดยดี จบ”

“หา! ง่ายอย่างนั้นเชียว” หญิงสาวทำหน้าไม่เชื่อ วิจารณ์ต่อไม่เกรงใจคนฟังที่เป็นเพื่อนเลยแม้แต่น้อย“ดื้อสะบัดเอาแต่ใจ เข้าข้างตัวเองแบบนั้นน่ะเหรอ จะยอมรับอะไรง่ายๆแค่คำพูดไม่กี่คำ ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ”

“โธ่ เชื่อเถอะครับ” ภูดิสทำเสียงออด เขย่ามือเล็กในมือใหญ่ นิศากรนึกได้ว่าเขาถือวิสาสะจับมือเธอไว้นานแล้ว หลุบตาต่ำดูมือเล็กของเธอถูกเขากระชับไว้ในอุ้งมืออบอุ่นของเขา ช้อนตาขึ้นสบกับตาคมมีแววออดอ้อนขอร้องที่จ้องตรงมาเช่นกัน แก้มนวลพลันแดงเรื่อขึ้นทันควัน

อย่ามามองอย่างนี้ได้ไหม หญิงสาวบ่นในใจ ไม่อยากใจอ่อนยอมเชื่อเขาง่ายๆ แต่ปฎเสธไม่ได้เลยว่าใจอ่อนลงไปแล้วกว่าครึ่ง อย่าเพิ่งๆ ต้องรอดูต่อไปให้แน่ใจก่อน ไม่อย่างนั้นเธอเองนั่นแหละ อาจต้องเสียใจซ้ำซ้อนอีก

“ไม่ทราบสิคะ พี่ภูมาบอกนิทำไม ขอให้นิเชื่อพี่ภูทำไม” ใช่ นี่แหละที่เธอสงสัย เขามาตอแยบอกเรื่องต่างๆนี้ให้เธอฟังทำไม

“พี่ไม่อยากให้หนูนิเข้าใจผิด ไม่อยากให้หนูนิหนีหายไปไหนอีก อยากให้อยู่ใกล้ๆได้ไหมครับ”

หมายความว่ายังไง พูดอย่างนี้เขาหมายถึงอะไร ขอให้เธออยู่ใกล้ๆเขาทำไม นิศากรไม่อยากคิดถึงทำตอบ ไม่กล้าถามด้วย

“ไม่รู้” เธอก้มหน้างุด บิดมือตัวเองออกจากมือเขา

“โอ๊ย” อยู่ๆเขาก็ร้อง “พี่เจ็บนะครับ” เขาร้องอุทรณ์เจ็บปวด เพราะบาดแผลที่เกิดจากการผจญภัยครั้งนั้น

“อุ๊ย! นิขอโทษ พี่ภูเจ็บมากรึเปล่าคะ” นิศากรขอโทษขอโพยกับสีหน้าเจ็บปวดของเขา ไม่รู้หรอกว่าในใจคนเจ็บกำลังซ่อนยิ้มไว้อย่างมิดชิด เขาไม่ได้เจ็บอะไรเสียหน่อย อยากเรียกร้องให้เธอกลับมามองเท่านั้นเอง

“จริงสิ พรุ่งนี้หมอนัดตัดไหมใช่มั้ยคะ เกือบลืมเสียแล้ว”

ชายหนุ่มยิ้มรับ โธ่เอ๊ย กำลังจะบอกให้เธอรับผิดชอบดูแลเขาเหมือนเดิมไปอีกสักวันสองวันทีเดียวเชียว ไม่น่าความจำดีเลย เสียดาย เฮ้อ!

“งั้นหนูนิต้องมาพาพี่ไปหาหมอด้วย โอเคนะครับ” อ้างอันนั้นไม่ได้ เอาอันนี้ก็ได้ ชายหนุ่มถือโอกาสเสียเลย

“นิไม่ว่างน่ะสิคะ พรุ่งนี้นัดกับหมอนัดไว้แล้วว่าจะไปเลือกของแต่งร้านกันต่อ” ภูดิสหน้าหงิก นัดกับเพื่อนคนอื่นไม่ว่า แต่นัดกับนายหมอจ๊ะจ๋านี่ไว้ได้ไง

“งั้นพี่ไม่ไปหาหมอ ปล่อยให้มันด้ายมันติดอยู่อย่างนี้แหละ” นิศากรหน้าเหลอ อยู่ดีๆเขาก็เอาดื้อ ประชดเป็นเด็กๆ

“ไม่ได้นะคะ”

“ได้สิ คนไม่รับผิดชอบ” เขาต่อว่า

“เอ๊ะ พี่ภูนี่ นินัดเขาไว้ก่อนแล้วนี่นา อีกอย่างวันอื่นหมอนัดก็ไม่ว่างด้วย” นิศากรเถียงกลับ

“ทำไมต้องไปกับเขาด้วยล่ะ” ไปกับคนอื่นไม่ได้รึไงกัน ฮึ!

“ก็ไปซื้อของหนักๆทั้งนั้นนี่ ก็ต้องเอากรรมกรไปช่วยสักคนสิคะ” จริงไหมล่ะ เอาคนอื่นไปก็ไม่ได้เรื่อง บ่นอู้เสียจนน่ารำคาญมากกว่า เธอเลือกของนานเพื่อให้ได้สิ่งที่คุ้มค่าและดีที่สุด จนคนถือของที่ตามมาหน้าหงิกเสียจนแทบจะต้องไปทำเบบี้เฟสใหม่ แต่นัฐกรนั้นก็บ่นไม่ต่างจากคนอื่นเท่ไหร่ แต่เป็นคำบ่นประชดแบบน่ารักๆเสียมากกว่า ไม่มีคำเสียดระคายหูให้เหมือนสาวเทียมอีกผู้หนึ่งในกลุ่ม แล้วแค่บอกว่าจะเลี้ยงข้าวมื้อใหญ่ๆหนึ่งมื้อ เท่านี้ก็เก็บเสียงบ่นของหมอหนุ่มได้ชะงัดนัก

“งั้นไปกับพี่สิ พี่ก็ช่วยหนูนิถือของได้เหมือนกัน”

“แต่พี่ภูต้องทำงาน” นิศากรแย้ง

“แค่ครึ่งวัน พรุ่งนี้วันเสาร์ ดี งั้นไปบอกเลิกนัดกับหมอนัดเสียตอนนี้เลยละกัน” เขาสรุปเอาเองเสียดื้อๆ ไม่รั้งรอฉุดเธอให้กลับเข้าไปที่โต๊ะตามเดิม

นี่เธอไม่เจอเขาสามวันหรือสามปีกันแน่เนี่ย เขากลายเป็นคนเอาแต่ใจอย่างนี้ไปได้ในเวลาหกสิบชั่วโมงได้ยังกัน โอ๊ย หนูนิงง




-----------โปรดติดตามตอนต่อไป-------------


//punnarm-farin.bloggang.com

*;...คุยกันนิดหน่อยกับฟ้าริน...;*

วะฮ่าๆๆๆๆ ไม่ต้องแปลกใจที่วันนี้เอามาส่งเร็วผิดคาด ว่างว่าง ว่างๆๆๆๆ ขอบคุณประเทศไทยที่รับจัดงานกีฬามหาลัยโลกนะคะ นักศึกษาอย่างฟ้ารินเลยได้หยุดไปกับเขาด้วย ยินดี๊ยินดีค่ะ

เอ้าคราวนี้หึงกับถ้วนหน้า แถมพี่ภูมามาดใหม่ จนหนูนิงงเต๊กไปเลย เห็นหางจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ของพี่ภูกันบ้างรึเปล่าคะ ฮิๆ

ตอนต่อไป ฟ้ารินรู้สึกตาขวากระตุก หรือว่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อ๊าๆๆๆ ไม่นะ นั่นเงาใครหุ่นยังกะนางแบบคุ้นๆอย่างนั้น กำลังกระโดดขี่คอแล้ว กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด

g - ให้อภัยคนนึงแล้ว ไม่รู้คนอื่นๆจะใจดีอย่างนี้หรือเปล่า พี่ภูมาง้อต่อแล้วนะคะ เห็นพี่ภูเจ้าเล่ห์แบบนี้แล้ว จะกรี๊ดต่อมั้ยคะ

Smillzz - ตั้งกระบวนงอนต่อไม่ทัน โดนมุขแกล้งเจ็บเข้าไป ลืมเลยค่ะ จะให้ฟ้ารินไปเข้าฝันให้นึกได้ว่าต้องงอนต่อมั้ยคะ

une playful pizzicato - ลุ้นๆๆๆๆต่อไปนะคะ หัวใจจะวาย

ยารีส - โอ้ว อ่านวันเดียวเลยเหรอคะ เก่งมั่กๆ มาช่วยลุ้นพี่ภูกับหนูนิต่อนะคะ






Create Date : 11 สิงหาคม 2550
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2551 18:04:04 น.
Counter : 239 Pageviews.

6 comment
จัดรักให้ลงล็อค บทที่15



บทที่ 15


“หนูนิ” แพรพรรณร้องเรียก เธอหันหนีภาพบ้าๆที่ไม่ได้ดังใจอย่างอารมณ์เสีย อยากพุ่งเข้าไปบีบคอพี่ชายให้ตายคามือนัก พูดอย่างนั้นไปได้ยังไง คนฟังไม่สามารถตีความเป็นอย่างอื่นได้ นอกจากพี่ชายตอบรับรักและสัญญาจะดูแลปกป้องรัญชิดา มีหวังยัยนั่นยิ่งได้ใจยึดเอาพี่ชายเธอเป็นโล่กำบังภัยไปตลอดกาลแน่ แต่จะคัดค้านอะไรคงไม่ได้ ครอบครัวนี้เคารพการตัดสินใจของทุกคนเสมอ ไม่ว่าอย่างไร เจ้าตัวได้เลือกแล้ว

“หนูนิ เดี๋ยวจะไปไหนน่ะ รอแพรด้วย” แพรพรรณรี่ตามไปอย่างเร็วรี่ ถ้าตาไม่ฝาด เธอคิดว่าเห็นหยดน้ำใสๆบนแก้มนวลของเพื่อนตอนที่กำลังหันหนีจากมาอย่างเงียบๆ

มือเล็กๆคว้าตัวเพื่อนสาวไว้ได้ทันที่หน้าบ้าน สถานที่เดียวกันกับที่เกิดเหตุเมื่อครู่พอดี บนแก้มนวลไร้ร่องรอยคราบน้ำตา เพราะเจ้าตัวปาดออกจนแห้งสนิทและกดเก็บมันไว้ไม่ยอมให้ไหลออกมาให้ใครเห็น ฝืนใจกลืนก้อนแข็งๆที่จุกคออยู่ให้ไหลกลับเข้าไปอย่างยากเย็น

“หนูนิ จะไปไหน เห็นเมื่อกี้ใช่ไหม” แพรพรรณถาม ถึงจะไร้รอยน้ำตา แต่ดวงตากลมมีร่องรอยความเจ็บปวดแดงเรื่อ ตาโตๆจับพิรุธเพื่อนสนิทตนได้รวดเร็ว

“เห็นใช่ไหม” เธอถามย้ำ นิศากรจำใจพยักหน้า ปฎิเสธไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร เธอรู้แพรพรรณไม่มีวันปล่อยให้เธอโกหกได้สำเร็จ รอยชื้นย้อนกลับมาเกาะดวงตากลมอีกครั้ง แพรพรรณดึงเพื่อนมากอดไว้ บ่นว่าพี่ชายที่ไม่ได้อย่างใจ นอกลู่นอกแผนที่จัดไว้เสียหมดทุกทีไป

“บ้าชะมัด คิดว่าตัวเป็นพระเอกละครรึไง น้ำเน่าซะไม่มีพี่บ้า” แพรพรรณว่าอย่างเจ็บใจ อยากหาวิธีแก้เผ็ดแทนเพื่อนให้สาสม

“แพรเห็นแล้วใช่ไหม มันไม่มีประโยขน์อะไรถ้าแพรจะดึงดันทำตามแผนของแพรต่อไป” ไม่ต้องบอกว่าทำไม แพรพรรณลูบหลังเพื่อนปลอบโยน ส่วนหนึ่งเธอผิดเช่นกัน ที่ต้องการเชื่อมสัมพันธ์ของสองคนไว้ให้ได้ มันเหมือนเธอเป็นคนทำร้ายให้เพื่อนเธอเสียใจเสียเองแทนที่จะเป็นความผิดของพี่ชายที่ดันมีนิสัยฮี่โร่ติดหนึบในตัวไม่เคยเปลี่ยน

“ขอโทษนะหนูนิ ขอโทษ เราไม่ทำแล้ว ขอโทษจริงๆ ถ้าเราไม่บ้าถึงสองครั้ง หนูนิก็ไม่ต้องร้องไห้อย่างนี้” แพรพรรณร้องไห้ตามนิศากร ความเปียกชื้นที่หัวไหลทำให้เธอรู้ว่าน้ำตาของเพื่อนไหลออกมามากขึ้นทุกที

“ช่างเถอะ” นิศากรยืดตัวขึ้น ปาดน้ำตาทิ้ง สูดหายใจเข้าลึกๆ “เราจะไม่หลอกตัวเองอีกว่าไม่เคยชื่นชอบเขา และเราก็จะเริ่มตัดใจจริงๆเลียที เริ่มตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป”

“จริงเหรอ” แพรพรรณอดอึ้งเล็กๆไม่ได้ ชั่ววินาทีที่ตัดสินใจ เพื่อนเลือกแล้วว่าจะทำอย่างไรต่อไป นี่แหละนิศากร ถ้าคิดจะตัดแล้วทำได้อย่างใจเสมอ เสียดายผู้หญิงน่ารักอย่างนิศากรแทนภูดิสจริงๆ แต่ช่วยไม่ได้นี่นะ ทำตัวเองแท้ๆ



เสียงสตาร์ทรถยนตร์ทำให้ภูดิสเร่งฝีเท้าออกมาหน้าบ้านเร็วขึ้น เห็นไฟท้ายรถของหญิงสาวไวๆออกประตูรั้วลับไป คิ้วเข้มขมวดสงสัย เหตุใดนิศากรกลับไปไม่ลาสักคำ เขาให้รัญชิดาไปล้างหน้าล้างตาแล้วออกมาตามหานิศากร นึกได้ว่ามีเรื่องต้องถามต้องพูดให้เข้าใจ

“เฮ้อ!” ภูดิสมองน้องสาวถอนใจแล้วหันมาสบตาเขาอย่างเคืองขุ่นบวกกับดวงตาแดงๆทำให้เขาแปลกใจ

“ไม่มีวาสนาจริงๆ สมน้ำหน้า” แพรพรรณว่าพี่ชายแล้วหมุนตัวเดินดุ่ยๆเข้าบ้านไป ภูดิสทำหน้างง คิ้วขมวดพร้อมกับใจที่วูบหวิวประหลาดตามระยะทางที่รถคันสวยไกลออกไป



“หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถคิดต่อได้ขณะนี้ กรุณาฝากข้อความหลังเสียงสัญญาณ” รอบที่สิบสามแล้วมั้งที่เขาได้ยินเสียงสวยของบริการตอบกลับแบบนี้

สามวันแล้วที่เขาติดต่อเธอไม่ได้ ทั้งที่บ้านและที่โทรศัพท์มือถึอของเธอ ใจกระวนกระวายประหลาดกลัวว่าเธอจะหายไปไม่กลับมาอย่างที่น้องสาวเคยขู่เขาไว้

‘หลังจากพี่ภูหาย หนูนิจะไม่โผล่มาคอยเอาใจอย่างนี้แล้วนะ’

หลังที่แผลเขาหาย แต่นี่เขายังไม่หายเลย ทำไมถึงได้หายเข้ากลีบเมฆไปแบบนี้ล่ะ เด็กอะไรแย่จริงๆ ทิ้งความรับผิดชอบแบบนี้ไปได้ยังไง อีกนิสัยหนึ่งที่เขาไม่ชอบมากๆคือ นิศากรชอบหลบหนีหายไปเฉยๆ แบบหาไม่เจอด้วย เวลาที่มีปัญหา ก็เก็บเงียบไม่ยอมพูด เขาตำหนิ อีกใจหนึ่งก็กังวลว่านิศากรเจ็บไข้อะไรหรือเปล่า คิดได้อย่างนั้นก็เร่งรีบไปถามน้องสาว แต่กลับได้สีหน้าเฉยเมยตอบกลับเขามาว่า

“ก็...เจ็บ...นิดหน่อย” ได้ยินอย่างนั้นเขาก็ถามอย่างร้อนรนว่าเป็นอะไร แต่แพรพรรณกลับชักสีหน้าใส่

“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ กลับไปใส่ใจคนที่อ่อนแอ้อ่อนแอของพี่ภูเถอะค่ะ เพื่อนแพร แพรดูแลเองได้” เขาเกาหัวแกรกๆ แพรพรรณเอาแต่ว่าค่อนขอดเขาซ้ำๆอย่างนี้มาหลายวันแล้ว

“สัญญากับเขาไว้ไม่ใช่เหรอคะ ว่าจะคอยเป็นบอดี้การ์ดพิทักษ์นางร้าย คงไม่ว่างมาใส่ใจหนูนิอีกต่อไป จะไปไหนก็ไปเถอะค่ะ เบื่อหน้าคุณพระเอกเต็มที”

“ก็ใช่ รันเป็นเพื่อน พี่ก็ต้องช่วยเขาสิ” ประโยคนี้อีกแล้ว พี่ชายเธอใช้มันมาหลายปี

“เฮอะ เพื่อน ได้ยินอยู่เต็มสองรูหูว่าจะอยู่ด้วยกันกับเขาตลอดไป ไม่ห่างไปไหน ยังจะมีหน้ามาบอกว่าแค่เพื่อนอีกเหรอพี่ภู” แพรพรรณแค่นเสียงต่อว่า

“แอบฟังงั้นเหรอ” แพรพรรณเชิดหน้าทั้งที่โดนจับได้ว่าแอบฟังชาวบ้านเขา มองเป็นเชิงว่า แล้วไง “แล้วทำไมไม่รู้จักฟังต่อให้จบ” เขาพูดต่อ แพรพรรณเลิกคิ้ว มีต่อจากนั้นด้วยเหรอ




‘รันจะมีเราเป็นเพื่อนเสมอ จำไว้นะ เพื่อนกันไม่ทิ้งกันหรอก’ ภูดิสปลอบ รัญชิดาเงยหน้าจากอ้อมอกชายหนุ่มมองผ่านม่านน้ำตาไปยังหน้าคม

‘เพื่อน แค่เพื่อนเหรอภู ทำไมล่ะ เรารักภูนะ’ เธอยังเชื่อ ยังหมายว่าจะได้เขามาเคียงข้างดูแลเธอแทนอีกคนหนึ่งที่ทำร้ายเธอ

‘รัน เรายอมรับว่าเคยชอบรัน แต่ตอนนี้ไม่ได้เป็นอย่างนั้นแล้ว’ เขาสารภาพ ถือโอกาสนี้ เคลียร์ให้เข้าใจ ในความสัมพันธ์ ไม่อยากให้ใครคนใดเข้าใจผิดๆอีก โดยเฉพาะคนตากลมที่ถึงกับหลีกลี้หนีหน้าเขาจนเขากลุ้มใจ หน้าหงิกจนพนักงานพาลกลัวกันไปหมด

‘ไม่จริงหรอก ถ้าภูไม่รักเราแล้ว ทำไมยังเป็นห่วงเรามากขนาดนี้ล่ะ’ เธอไม่อยากเชื่อว่าเขาไม่รักเธอแล้ว ความห่วงใยที่เขาแสดงออก ทำให้เธอคิดอย่างนั้น

‘ขอโทษ ถ้ามันทำให้รันเข้าใจผิด’ ภูดิสถอนใจ เขาผิดเอง เขาเพียงแค่อยากดูแลคนทุกคนที่เป็นคนใกล้ชิดสนิทสนมอย่างดี หากคนใดได้พบกับความลำบากให้ไม่สบายกายไม่สบายใจ เขายินดีช่วยเหลืออย่างดีที่สุด ไม่คาดคิดว่ามันจะถูกมองเป็นอย่างอื่น อาจเพราะว่าคนใกล้ชิดสนิทสนมทุกคนที่ผ่านมาล้วนเป็นเครือญาติ บุคคลที่นับถือ เป็นเพื่อนผู้ชาย จะมีที่แปลกกว่านั้นคงมีแค่รัญชิดาคนนี้เท่านั้น ที่เป็นเพื่อนหญิง

‘ภูจะรักเราอย่างคนรักได้ไหม’ เธอถาม ยังคงพยายามเหนี่ยวรั้ง ภูดิสส่ายหน้าหากเป็นกรณีนี้ เขารู้ว่ามันไม่สามารถเป็นไปได้อีก รัญชิดาน้ำตาร่วงอีก คราวนี้เธอพยักหน้าว่าเข้าใจ

‘แต่เป็นเพื่อนรักได้ใช่ไหม’ เขายิ้มตอบเป็นความหมายว่าได้ ภูดิสโล่งใจคิดว่าคงจบปัญญานี้ได้แล้ว แต่แน่ใจหรือว่ามันจะจบได้จริง เมื่อเขาไม่ได้เห็นแววตาบางอย่างของรัญชิดาที่ก้มหน้าซ่อนไว้



“หา! มีเรื่องแบบนี้ต่อด้วยเหรอ แย่ล่ะสิ” แพรพรรณอุทานลั่น “โธ่เอ๊ย พี่บ้า ไม่รู้จักพูดเร็วๆ มัวแต่กอดปลอบกันอยู่ได้ บ้าจริงๆเลย”

“อ้าว แล้วทำไมไม่รู้จักรอเล่า” คราวนี้คนเป็นพี่ว่ากลับบ้าง อุตส่าห์แอบฟังมาได้ตั้งนาน ไม่รู้จักรอต่ออีกนิดนึง

“ใครจะไปรอเล่า หนูนิวิ่งแจ้นออกจากบ้านจนเกือบตามไม่ทัน” ภูดิสตาโตเมื่อแพรพรรณบอกถึงสาเหตุที่ไม่สามารถรอได้

“ว่าไงนะ”

“บอกว่าจะตัดใจ ไม่สนพี่ภูแล้วด้วย” นี่เองเหตุผลที่หญิงสาวหายเข้ากลีบเมฆไปสามวันเต็มแล้ว แถมยังติดต่อไม่ได้

“ทำไงดีล่ะ สามวันแล้วด้วย” แพรพรรณคราง

“สามวันแล้วทำไม” ภูดิสแปลกใจกับสามวันที่น้องสาวบอกด้วยหน้าเหยเก

“ลิมิตการเสียใจของหนูนิน่ะ อยู่ภายในสามวันน่ะสิ หนูนิถือคติ ขอแค่สามวันให้ฉันได้เสียใจ หลังจากนั้นก็เป็นอย่างที่เคยบอก ตัดเป็นตัด” ภูดิสใจหายวาบตามกระดาษที่ถูกตัดครึ่งและร่วงผล่อยลงบนพื้นที่น้องสาวตัดให้ดูประกอบคำพูด

“โทรหาหนูนิให้พี่หน่อย เขาไม่ยอมรับโทรศัพท์พี่เลย” เขาคิดว่าคงเพราะสาเหตุนี้จึงทำให้ติดต่อหญิงสาวไม่ได้ แพรพรรณรีบคว้าโทรศัพท์มากดควานหาชื่อเพื่อนที่บันทึกไว้

“เดี๋ยว พี่ภูกลัวด้วยเหรอว่าหนูนิจะไม่สนใจ” ภูดิสชะงักเมื่อโดนคำถามน้องสาว “บอกมาก่อนว่ารู้สึกยังไงกับหนูนิกันแน่”

“เอ่อ...ไม่รู้” นั่นสิ เขาไม่เคยถามตัวเองมาก่อนเลย รู้แต่ว่าน้อยใจที่เธอไม่เชื่อคำพูดของเขา เสียใจ หงุดหงิดที่เธอหายหน้าและหลบลี้ โกรธที่เธอไม่ยอมพูดกับเขาตรงๆเอาแต่นิ่งเงียบปล่อยให้ความไม่เข้าใจครอบคลุมหัวใจจนทุรนทุราย เป็นห่วงจนใจกระวนกระวายไม่หายเมื่อคิดว่าเธอมีอันตรายหรือเจ็บไข้ไป

“เหรอ งั้นถ้าบอกว่าเมื่อวานนี้ แพรเพิ่งจะเชียร์ให้นายนัดมันไปเยียวยาหัวใจหนูนิล่ะ มันเลยรีบวิ่งไปหาหนูนิตั้งแต่เมื่อเช้า พี่ภูจะว่าไง”

ปัง!!! แพรพรรณสะดุ้งโหยง

“ว่าไงนะ!!!” ภูดิสถามเสียงดัง

“ขอบคุณสำหรับคำตอบ” น้องสาวลูบอกให้หัวใจเต้นเบาลงกว่าเมื่อครู่ ยิ้มกับหน้าถมึงทึงด้วยความโกรธของพี่ชาย แล้วบอกว่า “แพรล้อเล่น”

ตอนนี้เธอได้คำตอบแล้ว ส่วนภูดิสที่ทำหน้าเก้อๆเพราะเผลอโมโหเปล่าๆปลี้ๆเนื่องจากคำลวงของน้องสาวก็คงได้คำตอบของตัวเองแล้วเช่นกัน



เมื่อได้คำตอบทั้งหมด แพรพรรณเริ่มปฏิบัติการแก้ไขข้อผิดพลาด จากหนึ่งโทรหานิศากรนัดให้ออกมาพบกันที่ร้านอาหารเดิม แต่เพื่อนสาวกลับบอกว่าไม่ว่าง เธอจึงตะแง้วๆขอร้องจนยอมออกมา แต่บอกว่าคงเป็นช่วงหลังหกโมงเย็น

สองคิดหาทางล้อมสายสิญจน์นิศากรกับภูดิสไว้ กันผีนางร้ายมากล้ำกลาย เธอไม่เชื่อหรอกว่ารัญชิดาจะถอดใจไปง่ายดายเพียงนี้

สามกำจัดนายตอตะโกที่มานอนบนโซฟานุ่มสไตล์โมเดิร์นของเธออีกแล้ว! ธเนศเคาะประตูเดินดุ่มๆมานอนแอ้งแม้งที่ห้องเธอหลังภูดิสออกไปไม่นาน ด้วยเหตุผลที่ว่า

“วันฉันว่าง ไม่อยากออกไปตะลอนๆข้างนอก เหนื่อย”

“แล้วมาทำอะไรที่ห้องทำงานฉันไม่ทราบ”

“มาติดตามสถานการณ์ไอ้ภูมัน คืบหน้าแล้วล่ะสิ เห็นมันวุ่นวายรีบเลื่อนประชุมขึ้นมาเร็วกว่าเดิมหนึ่งชั่วโมง กลัวยืดเยื้อไปไม่ทันนัดตอนหกโมงอะไรไม่รู้ ท่าทางจะนัดสาว” ตาคมหวานระยิบด้วยความอยากรู้อยากเห็น จริงๆอยากถามเอากับภูดิส แต่เขาไม่สนใจกดมือถือดูรูปอะไรไม่รู้แล้วสูดหายใจ ออกไปประชุมทิ้งเขาเคว้งคว้างอยู่ในห้องคนเดียว

“ช่วยอะไรคนอื่นเค้าไม่ได้สักอย่างแล้วยังจะมาสอดรู้สอดเห็นอีกเหรอ” แพรพรรณค่อนว่า ตั้งแต่คราวก่อนอีตาบ้านี่ก็มานอนคิดแผนแล้วก็นอนจริงๆ หลับกรนคร่อกๆ ไม่ได้ประโยชน์เลยสักนิด

“ชิชะ ยัยเปี๊ยก ฉันอยากรู้ความเป็นไปของเพื่อนนี่มันผิดตรงไหน” แพรพรรณยักไหล่เบ้ปากใส่

“เล่ามาเร็วๆ” แพรพรรณจำใจเล่าเรื่องต่อจากนั้น พร้อมทั้งหารือเรื่องที่ตนปักใจ ไม่คิดว่ารัญชิดาจะยอมล่าถอย อาจจะกลับมาอีกเร็วๆนี้ ซึ่งธเนศก็เห็นด้วย รับปากว่าจะเป็นสปายคอยรายงานความเคลื่นไหวนางร้ายสาวทุกคราวเมื่อรู้เห็น เขาเองก็ไม่อยากให้ภูดิสโดนผูกติดด้วยรัญชิดาตลอดไปเช่นกัน



นิศากรวางโทรศัพท์เครื่องจิ๋วลงข้างกระเป๋า ละทิ้งความสงสัยในเรื่องที่แพรพรรณออดอ้อนนักหนาให้ไปทานข้าวด้วยให้ได้ บอกตัวเองในใจว่าเดี๋ยวต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ แต่เอาไว้ก่อน รวมถึงเรื่องที่เธอต้องเจ็บจี๊ดในหัวใจทุกคนที่นึกถึงนั่นด้วย หญิงสาวสูดลมหายใจเข้า บอกตัวเองว่าตอนนี้ที่เธอต้องสนใจคือ เรื่องของร้านของเธอ ตึกแถวสองคูหาตั้งอยู่ข้างห้างมีชื่อ ที่มีคนเดินจับจ่ายซื้อของตั้งแต่ชั้นคุณนายไฮโซกระเป๋าหนักจนกระทั่งคนธรรมดากระเป๋าค่อนข้างแบนตามสภาพเศรษฐกิจ

เสื้อผ้าทั้งชายหญิงที่กำลังจะนำมาแขวนขึ้นราวขายของเธอก็เช่นกัน มีตั้งแต่ระดับราคาสูงจนถึงราคาเสื้อเนื้อผ้าชั้นดีตามห้างที่มีแบรนด์ที่ค่อนข้างเป็นที่รู้จักของวัยรุ่น นิศากรนึกดีใจและตื่นเต้นขึ้นเป็นลำดับที่จำนวนวันลดน้อยลงทุกที ใกล้ถึงวันเปิดร้านที่เป็นแบรนด์ของเธอเอง เสื้อทุกตัวเธอเป็นคนออกแบบเอง ทั้งเสื้อผ้าผู้ชายและผู้หญิง

ครั้งหนึ่งเมื่อเธอยังเรียนอยู่ที่เมืองนอก เธอร่วมกันกับเพื่อน เอาผลงานที่เธอออกแบบและตัดเย็บเอง บางครั้งก็เป็นผลงานที่ทำส่งในวิชานั่นแหละ เอามาวางแบกะดินขายตามข้างถนน ผลที่ได้นั้นดีเกินคาด เธอสามารถขายได้ในราคาสูงกว่าที่คิด เพราะลูกค้าเสนอมาเองแท้ๆ นิศากรเลยตาวาวพยักหน้าตกลงตามราคานั้น ไม่วายแกล้งทำกระซิบบอกลดราคาให้จากที่ลูกค้าบอกสิบเปอร์เซนต์ แผนการตลาดเล็กๆน้อยๆ ที่เธอคิดได้ในตอนนั้น ส่งผลให้ลูกค้าคนนั้นกลับมาอีกครั้งพร้อมเพื่อนอีกหลายคน เรียกว่าได้กำไรเหนาะๆจนนิศากรและเพื่อนๆยิ้มกันตาพราวกลับหอพักพร้อมเงินในกระเป๋าเอาไปกินขนมกันสบายแฮไป

นิศากรไม่ได้คิดว่ามีเงินแล้วสักแต่ว่าจะทำตามใจ นึกจะเปิดร้านอะไรก็ขอเงินแม่แล้วไปเปิด จะเจ๊งหรือจะรุ่งก็ไม่อาจรู้ได้ แต่เธอศึกษามาเป็นอย่างดีแล้ว จึงได้ลงมือทำ เธอยินดีคืนเงินต้นทุนที่ลงไปทั้งหมดแก่คุณกังสดาล ซึ่งคุณแม่ก็ยิ้มรับด้วยความเต็มใจและยินดีที่มีส่วนช่วยให้ฝันของลูกสาวได้เป็นจริงขึ้นมา

นิศากรหยิบแจกันแก้วสีขาวขุ่นใบสวยขึ้นมาในมือ เล็งหาที่ตั้งของมันอย่างที่เคยได้คิดวาดภาพเอาไว้ก่อนหน้านี้ นั่นไง บนชั้นนั้น เป็นกรอบสี่เหลี่ยมทำด้วยไม้ทาสีขาวยึดติดไว้กับกำแพงลอยๆ ไม่มีขาตั้งใดๆรองรับ

หญิงสาวเขย่งขาส่งเจ้าแจกันใบสวยขึ้นไปวางอย่างใจนึก แต่ดูเหมือนเธอจะเตี้ยไปสักหน่อย ก้นแจกันจึงไม่พ้นขอบ มือหนาของใครบางคนที่สูงกว่า ช่วยจับและยกขึ้นไปวางให้อย่างเรียบร้อย แถมจัดตำแหน่งให้อยู่กึ่งกลางเสร็จสรรพ

“โอเครึยึง” หนุ่มผิวขาว ตายาวรี ผมตัดสั้นสะอาดสะอ้านในเส้นชุดเชิ๊ตพับแขนกับกางเกงแสล็คสีเทา ปลดกระดัมและเนทไทต่ำลงมาดูลำลองถามความเห็น

“Oui, merci Monsieur Nut” นิศากรตอบเป็นภาษาฝรั่งเศสที่คนฟังๆแล้วนิ่วหน้าน้อยๆ เพราะไม่รู้ภาษานี้ แต่สุดท้ายก็ยิ้มแล้วตอบกลับมาว่า

“แปลว่า ขอบคุณคุณนัด ประมาณนี้สินะ แล้วก็ขอร้อง อย่าใช้ภาษานี้บ่อยนักสิ หนูนิก็รู้เราฟังไม่รู้เรื่อง แล้วฟังทีไรก็นึกถึงตอนที่โดนพวกหนูนินินทาเอาทุกที”

นิศากรหัวเราะตาพราว ย้อนความหลังตามนัฐกรแล้วก็นึกท่าเหมือนรู้ทันตอนเธอกับเพื่อนพูดกันเป็นภาษาไพเราะนี้นินทาหมอหนุ่มกันซึ่งๆหน้า เจ้าตัวฮึดฮัดแกล้งทำเป็นโกรธ จนต้องตามง้อด้วยพิซซ่าถาดใหญ่ ครั้นพอถามเอาจริงๆ นัฐกรกลับบอกไม่รู้อะไรเลยว่านินทาว่าอะไร บอกว่ารู้สึกแค่เหมือนว่าโดนนินทา ซ้ำน้อยใจที่เพื่อนๆเอาแต่ชอบแกล้งเขาที่เรียนหมอแต่ดันมาเกาะอยู่กลุ่มเธอบ่อยๆ หน้าตาซื่อๆใจดีเหวอทุกทีที่ถูกพวกเธออำ ดูน่ารักดี(อันนี้สาวเทียมชม แกล้งทำอ่อยจนเขาขนลุก) ผิดกับตอนเรียนดูจริงจังและเฉลียวฉลาดจนพวกเธองง ตอนยกพวกไปแอบดูและดักแกล้งจนถึงคณะ



ภูดิสนั่งเงียบสุขุมฟังการประชุมที่เนื้อหาตึงเครียดขึ้นเรื่องๆ หลายเสียงถกถียงกันถึงข้อดีและข้อเสียต่างๆในการทำโปรเจคนี้ เป็นอย่างที่คิดจริงๆ ทั้งที่เขาสั่งเลื่อนการประชุมขึ้นมาหนึ่งชั่งโมงแล้วก็ตาม การประชุมมักจะยืดเยื้อเช่นนี้เสมอ เพื่อให้ได้บทสรุปที่ดีที่สุด แต่ตอนนี้มันขักจะยืดเยื้อมากเกินไปแล้ว อีกห้านาทีจะห้าโมงครึ่ง เลยเวลางานปกติมานานแล้ว ใจอยากขอบคุณที่ทุกคนทุ่มเทให้กับงานอย่างดี ไม่มีใครบ่นสักคำ แต่วันนี้เขาไม่นึกชอบใจเลยจริงๆ

เขาสั่งพักการประชุมห้านาที เพราะเห็นว่าทุกคนสมควรได้พักสมองบ้าง หลังจากเคร่งเครียดกับการคิดอยู่สองชั่วโมงกว่าแล้ว ตัวเขาเองก็เช่นเดียวกัน มือหนึ่งถือกาแฟที่เพิ่งถูกเปลี่ยนใหม่ติดมือออกมาจากห้องประชุม หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเรียกดูเบอร์ที่โทรล่าสุด ไม่ใช่เบอร์ใครอื่นนอกจากสาวตากลมใส ผิวขาวนวลกับผมสีน้ำตาลเข้มคนนั้น นิศากร เสียงต่อสายที่เขารออย่างใจจดใจจ่อว่าจะได้ยินเสียงหวานใสตอบรับมารึเปล่า

“สวัสดีครับ รอสักครู่นะครับ” ปลายสายเป็นผู้ชายที่ตอบมา ภูดิสได้ยินเขาส่งเสียงเรียกหญิงสาว ‘หนูนิจ๋า โทรศัพท์’ ใครกัน ผู้ชายที่ไหน เรียกเธอแบบนั้น “หนูนิยังไม่ว่างรับสายครับ มีอะไรฝากไว้ได้ครับ” ปลายสายถามเขา

“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณ” เขาตอบไปแบบนั้น แต่ในใจอยากซักให้รู้ว่านายเป็นใคร ทำไมถึงเรียนนิศากรอย่างสนิมสนมแบบนั้น แล้วก็ตะโกนดังๆในความคิด

เมื่อไหร่จะประชุมเสร็จเสียทีเนี่ย!!!




-----------โปรดติดตามตอนต่อไป-------------


//punnarm-farin.bloggang.com


*;...คุยกันนิดหน่อยกับฟ้าริน...;*
เฮ้อ ทุกคนคะ อย่าเพิ่งเกลียดพี่ภูนะ พี่เขาก็พยายามแงะตัวเองออกมาอยู่เหมือนกันค่ะ สงสารพี่ภูกันหน่อยเถิดค่ะนะคะ กระซิกๆ

ninja - Smillzz - nekojung - g


ทุกๆคนคะ ฟ้ารินพาพี่ภูมาเกาะแขนขอโทษและขอร้องว่า "อย่าเพิ่งเกลียดผมเลยนะครับ ninja ผมพยายามเคลียร์แล้วนะครับ กระซิกๆ ต่อไปนี้ผมจะตามเกาะติดหนูนิให้เหมือนชัตเตอร์เลยครับ"
ตอนนี้พี่ภูหน้าดำเพราะโดนแช่งไปหมดแล้วค่ะ น่าสงสารจริงๆ

ปล.ฟ้ารินเปลี่ยนหน้าblogใหม่ สดใสกว่าเดิม ชอบกันไหมคะ อ่านนิยายท่ามกลางท้องฟ้า ผืนหญ้าและดอกไม้นะคะ








Create Date : 07 สิงหาคม 2550
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2551 18:05:11 น.
Counter : 317 Pageviews.

4 comment
จัดรักให้ลงล็อค บทที่14(ครึ่งหลัง)



บทที่ 14(ครึ่งหลัง)



บทที่ 14(ครึ่งหลัง)

ปิ๊นๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

เสียงกดแตรอย่างไม่เกรงใจเป็นสัญญาณยุติการถกเถียงลงชั่วคราว ภูดิสลุกขึ้นไปดูเป็นคนแรก ประตูรั้วเปิดพร้อมรถยนตร์แล่นเข้ามาอย่างเร็วแรง ร่างเพรียวถลาลงจากรถไปหาเจ้าของบ้านหนุ่มและกิดเขาไว้แน่น ไม่สนใจสายตาอีกสามคู่ที่มองมา

“ภู...ภูช่วยเราด้วย”

“รัน”

เสียงรัญชิดาสั่นเครือ ในหน้าเรียวยังสวยแม้ไร้เครื่องสำอางค์ตบแต่ง หากมันเปื้อนคราบน้ำตาที่ไหลรินไม่ขาดสายจากดวงตางามซึ่งบัดนี้แดงก่ำ

“รัน รันเป็นอะไร” ภูดิสลูบหลังไหล่ปลอบเพื่อนสาวอย่างตระหนกเช่นเดียวกันกับอีกสามคนที่ตามออกมา เรื่องอะไรกันที่ทำให้รัญชิดาร้องไห้หนักขนาดนี้ รัญชิดาสะอื้นไห้ตัวโยน ละล่ำละลักตอบชายหนุ่มว่า

“เขา เขา มา ไม่เอา ไม่...ไล่เขาไป”

“ใคร รัน ไล่ใคร” เสียงทุ้มถามต่อ พยายามดันร่างโปร่งออกจากอกเพื่อพูดคุย

“เขา เขา พี่ภพ…ภูไล่เขาไป เขาตามเรามา ไล่เขาไปภู”

“ประภพเหรอ” ภูดิสขมวดคิ้ว มองสบตากับธเนศซึ่งหน้ายุ่งขึ้นเหมือนกัน

เสียงรถอีกคันแล่นตามเข้ามาฉับไว ห่างกันกับรัญชิดาไม่กี่นาที ชายหนุ่มร่างสูงเทียบเคียงกับเจ้าบ้านก้าวลงมาจากรถ มองต่อตากับภูดิสซึ่งรัญชิดากอดเขาไว้ไม่ปล่อย เขาปิดประตูแรงๆด้วยความโมโห

มาหามันอีกแล้ว ทุกครั้งที่มีเรื่อง รัญชิดาต้องมาหาไอ้หมอนี่ทุกที ประภพตรงเข้าดึงตัวนางร้ายสาวออกจากภูดิส

“ไม่!!ภูจ๋า ช่วยด้วย ไล่เขาไป” รัญชิดาปัดป้อง ร้องให้ภูดิสช่วยเหลือและหลบไปอยู่หลังเขา เกาะแน่นไม่ปล่อย เห็นดังนั้นภูดิสไม่รอช้าที่จะยื่นมือเข้าช่วย ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด เขาจำเป็นต้องกันประภพออกหากเธอเสียก่อน จากนิสัยของเพื่อนสาว เธอไม่มีกะจิตกะใจจะฟังคำใดๆ นอกจากรอให้สงบและเลิกร้องไห้ได้และยิ่งหากดึงดัน เธอจะยิ่งปิดหูปิดตาต่อต้านอย่างที่เห็น รัญชิดดากรีดร้องไม่ยอมให้ประภพ คนรักเก่าของเธอแตะตัวแม้แต่น้อย

“ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ตาม ผมคิดว่าคุณควรกลับไปเสียก่อน รันคงยังไม่พร้อมจะฟังคุณตอนนี้หรอก” เขาดันประภพให้ออกห่างและบอกสิ่งที่เขาน่าจะรู้ แต่ประภพไม่ฟัง กลับโต้ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงดุดัน

“คุณอย่ายุ่งดีกว่า ผมมีเรื่องต้องพูดกับรันให้เข้าใจ”

“ทั้งๆที่คุณทำร้ายรันไว้ขนาดนั้นแล้วตอนนี้ก็ยังจะทำให้เธอร้องไห้หนักมากขึ้นไปอีกเหรอ ผมไม่รู้ว่าคุณอยากบอกอะไรรัน แต่ช่วยพักไว้ก่อนได้ไหม คุณก็เห็นเธอไม่พร้อม”

คำตำหนิของภูดิสกระทบโดนใจประภพอย่างจัง แต่ก็เป็นเพราะภูดิสไม่ใช่หรือ ที่ทำให้เขาตัดสินใจชั่วแล่นแบบนั้น เขาไม่ได้ตั้งใจจะบอกเลิกเธอ แต่การที่เธอคอยชื่นชมภูดิส ติดตามข่าวคราวของชายหนุ่มและทำท่าไม่พอใจที่บัดนี้ เขาไม่สามารถเทียบเคียงกับภูดิสได้ ต่างจากเมื่อก่อนที่เขาดูดีทุกอย่างในสายตาเธอ ทำให้เขารู้สึกถดถอยด้อยภาษีลงไปกว่าครึ่ง หลายครั้งที่ทนรับฟังไม่ได้จนมีปากเสียง แล้วก็เหมือนกันทุกครั้ง เธอร้องเรียกหาภูดิส! เหมือนครั้งนี้ไม่มีผิด!!!

“รัน ผมขอโทษ คุณกลับไปกับผมเถอะนะ ผมสัญญาจะไม่ทำอะไรแบบนั้นอีก” สุ้มเสียงของเขาแสดงความเสียใจจริงๆ แต่รัญชิดาไม่ฟัง ปิดหูปิดตาซบหน้ากับแผ่นหลังกว้างมิด สะอื่นฮักๆ

“ไม่ ออกไป ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณอีก ออกไป ภู ไล่เขาไปสิ ไล่เขาไป”

“รัน…ทำไม” ประภพหน้าเสีย ถามเสียงแหบแห้งอย่างเสียใจที่ถูกขับไล่

“ภูช่วยด้วย ภูจ๋า ฮือ...”

“ทำไมรัน เพราะเขาใช่ไหม ใช่ไหมรัน” ประภพเสียงดังด้วยความโกรธ พยายามจะคว้าตัวเธอออกมาให้ได้ นางร้ายสาวปัดออกพร้อมกับร้องไห้ ภูดิสผลักอกประภพออกอย่างแรงจนอีกฝ่ายเซไป ประภพตวัดตาเข้มด้วยความโกรธมองภูดิสอย่างเอาเรื่อง ประภพตรงเข้ากระชากคอเสื้อเจ้าของบ้านอย่างแรง

“ดีใจไหมล่ะ ในที่สุดรันก็หันไปหานายจนได้” ซัดหมัดเปรี้ยงไปบนใบหน้าคมของภูดิสจนเลือดออกที่มุมปากที่แตกทันที

“พี่ภู!!!” สองเสียงประสานจากสองสาวเพื่อนสนิท แพรพรรณและนิศากรร้องเสียงหลง

“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด” รัญชิดาร้อง

ประภพไม่รอช้าที่จะซ้ำเข้าอีกหมัดลงที่เดิม ภูดิสไม่ทันที่จะป้องกันตัวโดนซ้ำเข้าไปจนหน้าสะบัด เลือดขมๆไหลซึมออกมาอีก ธเนศตรงเข้าช่วยเพื่อนทันที เขาล็อคตัวประภพไว้แต่ได้ไม่เท่าไหร่ เพราะคนที่กำลังโกรธามักจะมีแรงมากกว่าปกติเสมอ ภูดิสเห็นประภพที่โผเข้ามาจะเล่นงานเขาอีก เขาหลบได้ในคราวนี้ และซัดกลับไปบ้าง โดนเต็มๆที่โหนกแก้มจนอีกฝ่ายหน้าหันเช่นเดียวกันกับเขาเมื่อครู่

“หยุด!!!” รัญชิดาตวาดห้วน ชี้หน้าสั่งให้ประภพหยุด หน้าสวยดุเอาเรื่องทำให้เขาชะงักไปเมือนทุกคนในที่นั้น พร้อมกับที่สมาชิกในบ้านหลังใหญ่มารวมตัวกันครบ มองผู้บุกรุกตาเขียว ข้อหาที่ทำร้ายเจ้านายของบ้าน

“ออกไป๊ ไม่อย่างนั้นฉันจะแจ้งตำรวจจับคุณข้อหาทำร้ายร่างกาย” นางร้ายสาวประกาศ

“รัน...”

“ออกไป๊!!!” เธอกรีดร้องไล่เขาเสียงดัง สำรวจบาดแผลภูดิสอย่างเป็นห่วงเป็นใย ประภพมองอย่างเจ็บใจพรวดพราดขึ้นรถกลับออกไปทันที

“ปวดหัว...โอ๊ย” รัญชิดากุมศรีษะโงนเงน ภูดิสรีบประคองตัวเธอไว้ สองขาของเธออ่อนแรงจนทรงตัวไม่อยู่ ต้องยึดเกาะเขาไว้

“รัน ไหวไหม เข้าไปข้างในกันก่อนนะ” ภูดิสประคองร่างเพรียวอย่างระมัดระวังเข้าบ้านไป นิศากรมองทั้งสองคนเดินผ่านหน้าไป ทั้งน้ำเสียง ท่าทางการประคับประคองและแววตากังวลห่วงใย หญิงสาวมองแล้วเสียวแปลบในใจประหลาดจนต้องหลบไปมองทางอื่นแทนทั้งสอง

“อะไรกันเนี่ย” แพรพรรณเกาหัวงุนงงกับเหตุการณ์ทั้งหมดเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้

“ถามใคร ถ้าถามฉัน ฉันไม่รู้หรอก แต่ว่าวันนี้มันวันซวยจริงๆ มีแต่เรื่องไม่หยุดหย่อน เฮ้อ!” ธเนศถอนหายใจหนักหน่วง ส่ายหน้าให้วันสุดห่วยของตัวเองแล้วคิดว่าพรุ่งนี้ต้องตื่นเช้ามาทำบุญตักบาตรให้เป็นกุศลแก่ตัวเสียหน่อยแล้ว

“บ่นเป็นตาแก่ น่ารำคาญจริงนายดำ” แพรพรรณว่าแล้วหมุนตัวผลุบเข้าบ้านไปเกาะติดสถานการณ์ หนุ่มผิวน้ำผึ้งเข่นเขี้ยวน้องสาวเพื่อนซ้ำอีก

“ยายเปี๊ยก!” ร่างสูงตามราวี

เหลือเพียงนิศากรคนเดียว ไม่รู้จะตามเข้าไปดีหรือไม่ นี่ไม่ใช่เรื่องของเธอเลย ไม่เกี่ยวด้วยสักนิดเดียว ซ้ำที่นี่ก็ไม่ใช่บ้านของเธออีกต่างหาก แต่เธออยากดูอะไรบางอย่างให้แน่ใจอีกที

หญิงสาวพาร่างสมส่วนของตัวเองตามทุกคนที่มุ่งหน้ามาที่ห้องนั่งเล่นเมื่อครู่ที่เธออยู่กับภูดิสก่อนเกิดเหตุ แพรพรรณยืนแอบอยู่ที่มุมหนึ่งก่อนแล้ว เอียงคอชะเง้อชะแง้ส่องให้เห็นในห้อง เกาะติดด้วยธเนศ เธอจึงเลือกยืนห่างออกไปอีก เป็นอีกมุมที่มองเห็นห้องที่เปิดประตูไว้เช่นกัน



“เราก็อยู่นี่ไง อยู่ข้างๆรันเสมอ รันไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้วนะ”เสียงทุ้มปลอบโยน มือแข็งแรงเช็ดน้ำตาบนหน้าสวย รอยแดงที่ข้อมือบางเริ่มมีสีเขียว ภูดิสแตะข้อมือนั้นอย่างเบามือ ถอนใจด้วยความสงสารและโกรธอดีตคนรักของเธอจับใจ

ประภพไปที่บ้านรัญชิดา ขอร้องคืนดีกับเธอ แต่เธอไม่ยินยิมซ้ำยังไล่เขาไปและบอกว่าตอนนี้เธอรักภูดิสแล้ว ไม่รักเขาอีก ทำให้เขาโกรธ เธอเดินหนีจะกลับเข้าห้องนอนตน เขาตามมาและผลักตัวเธอเข้าไปในห้องอย่างแรง พยายามจะขืนใจเธอ เธอดิ้นรนจนหนีมาได้ แต่เขาก็ตามไม่ลดละจนมามีเรื่องที่บ้านของภูดิส

“อย่าทิ้งเราไปไหนนะ มีแค่ภู มีแค่ภูคนเดียว”

“อืม เราจะไม่ให้เขามาทำร้ายรันได้อีก ไม่ต้องกลัวนะ”

“จริงๆนะภูจะอยู่ข้างๆเรา ปกป้องเรานะ สัญญานะ” รัญชิดาเรียกร้องขอคำสัญญา จับมือหนามาแนบแก้ม ดวงตาสวยอ้อนวอนอย่างมีความหวัง ภูดิสยิ้มให้อ่อนโยนแล้วพยักหน้า นางร้ายสาวโผเข้าซบอกกว้าง ชายหนุ่มลูบผมและหลังนางร้ายสาวปลอบอย่างอ่อนโยน

นิศากรมองนิ่ง ฟังถ้อยสนทนาและคำสัญญาว่าจะอยู่เคียงข้างไม่ห่างกันแล้ว ตากลมมีแววเจ็บปวด ร้อนและแดงเรื่อ ในที่สุดวาวด้วยน้ำใสที่เอ่อขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว



-----------โปรดติดตามตอนต่อไป-------------


//punnarm-farin.bloggang.com


*;...คุยกันนิดหน่อยกับฟ้าริน...;*
มาแล้วจ้า ครึ่งหลัง ตามมาติดๆ

g - ขำแพรหรือธเนศคะ ฮา... แล้วตอนนี้ล่ะคะ เอาไงดี









Create Date : 01 สิงหาคม 2550
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2551 18:09:30 น.
Counter : 251 Pageviews.

4 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  

ปั้นน้ำกะฟ้าริน
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]








  • งานเขียนใน Blog นี้ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายลิขสิทธิ์ ไม่อนุญาตให้คัดลอก หรือ ดัดแปลงเนื้อหา นำไปเผยแพร่ต่อที่อื่นๆ ทุกรูปแบบ

  • Thanks design by freepik


Designed by Freepik