All Blog
จัดรักให้ลงล็อค บทที่27








บทที่27


ทั่วบริเวณห้องแถวสองคูหาเต็มไปด้วยแขกเหรื่อผู้มีเกียรติ หลังตัดริบบิ้นเปิดร้านอย่างเป็นทางการตามฤกษ์ยามงามดี ทั้งไฮโซไฮซ้อทั้งหลายต่างมาร่วมงานกันเนืองแน่นตามคำเชิญของนายกสมาคมแม่บ้านไฮโซอย่างคุณกังสดาลทยอยกันเดินเข้าภายในร้านที่ตกแต่งด้วยสีขาว ผู้มีเกียรติทั้งหลายต่างหนีบบุตรสาวบุตรชายมางานกันอย่างเนืองแน่น นิศากรตรวจความเรียบร้อยด้วยการหมุนไปรอบๆตัวนางแบบแทนที่จะให้นางแบบหมุนตัวด้วยความตื่นเต้น

ครั้งนี้เป็นการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในฐานะเจ้าของห้องเสื้อคนใหม่ ร่างกลมกลึงอยู่ในชุดเกาะอกกระโปรงพริ้วสีขาวสะอาดยาวถึงเคลียเข่า เปิดโชว์ผิวขาวนวลใสช่วงไหล่มนและท่อนแขนเสลา ผมสีน้ำตาลเข้มถูกรวบเก็บไว้ ปล่อยปอยผมบางปอยมาระแก้มและท้ายทอยม้วนเป็นเกลียวอ่อนๆช่วยเพิ่มความหวานใสให้ใบหน้าซึ่งตกแต่งด้วยเครื่องสำอางค์เฉดสีชมพู เน้นขอบดวงตากลมใสให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ริมฝีปากอิ่มทาด้วยสีชมพูโอลโรส ทั้งเนื้อทั้งตัวไร้เครื่องประดับใดนอกเสียจากต่างหูเพชรเส้นยาวกับแหวนเพชรวงเล็กที่สวมติดนิ้วนางซ้ายมาอาทิตย์กว่าแล้ว

“โอ๊ย หนูนิหมุนไปมาจนจะอ้วกอยู่แล้ว เลิกเช็คซะทีมันเรียบร้อยทุกอย่างแล้ว เชื่อเถอะ” คนถูกตรวจตราร้องรำพัน ทำท่าจะอาเจียน แพรพรรณมองแล้วถอนหายใจโล่งอกที่มีคนเบรกเพื่อนรักเสียที เพราะเธอเองกำลังเป็นคิวต่อไปที่จะต้องโดนตรวจอย่างนั้น

“ก็เราตื่นเต้น กลัวจะมีอะไรผิดพลาด เช็คไว้ก่อนจะได้แน่ใจ” คนถูกเบรคอธิบายอาการของตัวเอง แพรพรรณที่ถูกจับแปลงโฉมให้โฉบเฉี่ยวแบบหญิงสไตล์มั่นใจเปรี้ยวเท่ในชุดกระโปรงทำงานกึ่งลำลองเข้ามาแตะไหล่นวล มืออีกข้างก็กำมือขาวของเพื่อนรักไว้ บีบเบาๆเป็นการให้กำลังใจ


“ไม่มีอะไรพลาดแน่นอน งานนี้พวกเราทุ่มกันเต็มที่แล้ว พวกเรามือฉมังกันขนาดไหนก็รู้ๆอยู่ หรือว่าไม่เชื่อใจเสียแล้ว”

“เปล่าๆๆ เปล่านะ เชื่อใจสิ แต่มันอดตื่นเต้นไม่ได้นี่นา” คนพูดเสียงสั่นมือเย็นอย่างกับแช่แข็ง เพื่อนทุกคนเข้าใจ ต่างเข้ามารุมล้อมเกาะกอดให้กำลังใจกันเป็นการใหญ่ เริ่มจากเบาๆเป็นการปลอบขวัญเป็นรัดแน่นขึ้นๆๆๆ จนกลายเป็นแกล้งหวังช่วยคลายเครียดให้เพื่อน นิศากรร้องอุทรณ์กระท่อนกระแท่นเนื่องจากขาดอากาศหายใจ ทุกคนในที่นั้นเลยได้หัวเราะร่ากันอย่างสมใจ

นิศากรยื่นมือขาวออกมาข้างหน้า แพรพรรณและเพื่อนทุกคนจิ้มนิ้วลงบนมือนั้น กดแรงๆลงไป ส่วนมือบางที่เป็นฐานก็ดันขึ้นแล้วร้องเฮ พร้อมกันดังๆ สัญลักษณ์แห่งการรวมใจเป็นหนึ่ง เหมือนสมัยเรียนที่ร่วมกันทำงานหรือแข่งกีฬาต่างๆ

ดวงตาคมที่ทอดมองมายิ้มๆ พอใจในมิตรภาพอันดีที่เพื่อนๆมีให้กัน คอยช่วยเหลือเจือจุนกันด้วยความสามัคคี ใบหน้าหวานในวันปกติยิ่งหวานล้ำกว่าเดิมนักในวันนี้ ครั้งแรกที่เห็นสาวน้อยเดินกระสับกระส่ายไปมา คิ้วขมวดนิดอย่างวิตกกังวลก็อดเป็นห่วงไม่ได้ กลัวสาวคนรักจะเครียดเกินไป ตั้งใจจะเดินเข้าไปปลอบก็ไม่ทันน้องสาวเสียแล้ว

กำลังแอบมองอยู่เพลินๆ น้ำหนักมือจากใครคนหนึ่งตบลงแรงๆ บนไหล่หนา เจ้าตัวสะดุ้งเฮือก หันหน้าหาคนประทุษร้าย พอรู้ว่าใครก็ตีหน้ายักษ์ใส่ ค่าที่ทำเสียอารมณ์


“เป็นอีแอบรึไงวะ ดูทำเข้า” เสียงห้าวทักเสียงเครือ หัวเราะหึๆในลำคอตั้งแต่พบเพื่อนสนิทเกาะประตูยื่นหน้าทำท่าเหมือนโจรถ้ำมองอยู่


“ฉันไม่ได้โรคจิตแบบแก” เสียงทุ้มสะบัดอย่างขัดเคืองเล็กน้อย คนแซวคงตั้งใจจะหาว่าเป็นพวกโรคจิตชอบเจาะรูดูสาวๆ แต่ดันจงใจใช้คำผิดความหมาย หาว่ากลายเป็นชาวสีม่วงไป ใครบ้างไม่โมโห

“เหอะ แล้วมาชะเง้อชะแง้อะไรแถวนี้ นี่มันห้องแต่งตัวนะโว้ย”

“มาดูเฉยๆ ว่าเรียบร้อยรึเปล่า เกิดมีอะไรจะได้ช่วยกันได้ แล้วแกมาทำอะไร” นักธุรกิจหนุ่มหันมาถาม เหล่สายตามองอย่างระแวง

ไอ้โรคจิต

ธเนศรับรู้ได้ทางกระแสจิตหรือสายตาที่ตั้งใจสื่อความหมายแบบนั้นก็ไม่ทราบหรืออาจจะทั้งสองอย่างหันขวับไปส่ายหน้าดิก ทั้งที่ไม่ได้มองคนพูดแม้แต่น้อย สายตาคมหวานแบบผู้หญิงเลื่อนไปมาตามร่างเล็กแบบบางซึ่งสอดส่องตัวเองอยู่หน้ากระจกไม่ยอมเคลื่อนกายไปไหน

“ไม่ได้มาแอบดูนะโว้ย แม่แกใช้ให้มาตามหาแก เล่นหายหัวไปหมด ไม่มีใครช่วยรับแขก” ขณะพูดก็ยังอดเหลือบมองใบหน้าเล็กหวานที่สะท้อนในกระจกไม่ได้

วันนี้ยัยเปี๊ยกดูแปลก แต่ก็...สวยดี...ละมั้ง

ร่างสูงทั้งสองขยับตัวตรง เมื่อสำรวจว่าเหตุการณ์ภายในห้องนั้นสงบเรียบร้อยดีแล้ว ตั้งท่าเดินกลับไปภายในงาน ไม่ทันเห็นร่างเล็กแบบบางคล้ายแพรพรรณ หากผิวขาวกระจ่างและเครื่องหน้าแบบเชื้อสายจีนผสมไทยยิ้มอย่างลังเล เดินตรงเข้าหาแพรพรรณ จับมือเธอแล้วพูดอะไรบางอย่าง ทำท่าเหมือนขอร้อง หากไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำขอร้องนั้นคือสิ่งใด แต่มันทำให้สีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสมีอันมลายหายไปพักหนึ่ง ก่อนเจ้าตัวจะรีบปรับเป็นแย้มเยือน พยักให้หญิงสาวคนนั้นซึ่งผละจากไปด้วยความยินดียิ่ง หลังจากนั้น แพรพรรณก็ยืนนิ่งส่องกระจกดูตัวเองในรูปลักษณ์ที่แปลกตาไปจากเดิม ดวงตาโตหลุบต่ำทันควัน เหมือนอยากจะหลบอะไรบางอย่างที่ตนมองเห็นผ่านกระจกยาวบานนั้น เจ้าตัวผละไปจากที่เดิมไม่ปราถนาจะมองอะไรผ่านเงานั้นอีก



ด้านหน้าอาคารสองคูหาแขกเหรื่อทั้งหลายป้องปากซุบซิบกันยกใหญ่ เนื่องจากร่างสูงตรงของบุตรชายคุณลักษิกาเดินตรวจตรา ต้อนรับแขกอยู่เคียงข้างมารดาตนบ้าง มารดาเจ้าของร้านสาวบ้างสลับกันไป เสมือนการตอบรับกระแสข่าวที่ลือกันมาพักใหญ่

รักสามเส้าระหว่างนักธุรกิจหนุ่ม นางร้ายสาวและลูกสาวไฮโซ ครั้งก่อนหน้านี้ไม่นาน ข่าวซุบซิบที่แพร่ไปทั่วเมือง นางร้ายสาวพ่ายแพ้เสน่ห์นักเรียนนอกหน้าใส ไม่รู้ข่าวจริงเท็จย่างไร หมู่คนเกาะติดสถานการณ์ดาราติดตามกระชั้นชิด จนได้มีข่าวเล็ดลอดอีกข่าวที่เสริมขึ้นมาจากวงใน

รัญชิดานางร้าย ร้ายสมบทบาท วางแผนสร้างข่าวลวง สวีทหนุ่มนักธุรกิจกลางงานวันเกิดตัวเอง สุดท้ายถูกจับได้โดยละม่อม

ใบหน้านิ่งหากกระจ่างด้วยรอยยิ้มสุภาพยินดีที่ดวงตาคมเข้มและมุมปากซึ่งยกขึ้นแบบที่เป็นเอกลักษณ์ประจำตัว ท่วงท่าสง่าแบบนักธุรกิจจับไปทุกอิริยาบทชวนมอง พูดคุยต้อนรับผู้มีเกียรติแทนคนรักสาวชั่วครู่ เพราะอีกฝ่ายยังมือสั่นใจสั่นอยู่ไม่ไกล ถึงจะแอบเข้ามุมเสาจนมิดแล้วลอบชะเง้อมองมาชั่วแวบที่ฝูงชนขนาดย่อมเริ่มมาออกกันข้างทางเดินปูพรมสีแดงยขึ้นสูงจากพื้นเล็กน้อยที่จะใช้เป็นแคทวอล์กสำหรับนางแบบ หากสายตาคมยังจับได้ ร่างกลมกลึงในชุดสีขาวอยู่ในสายตาเสมอ



เมื่อไหร่ไม่รู้ ร่างสูงก้าวเข้ามาใกล้คนที่ยืนตัวสั่นงันงก พนมมือแต้พึมพำขอพรไม่เลิก ด้วยหวั่นใจว่าไม่อาจสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้าได้ ทั้งที่ตัวนางแบบทั้งหลายต่างจับจองชุดที่ตัวเองเป็นแบบก่อนจะเริ่มเปิดตัวอย่างเป็นทางการเสียด้วยซ้ำ หากความขลาดกลัวทำให้อดคิดไม่ได้ว่าเป็นเพราะเพื่อนอยากให้กำลังใจเป็นทุนในงานใหญ่ครั้งแรก

“สวดมนตร์ครบบทรึยังครับ” เสียงทุ้มทักขึ้นชิดใกล้แค่ไหน ก็ใกล้แค่ถูกทักสะดุ้งแล้วเบี่ยงตัวตามเสียงเล็กน้อยก็ชนเข้ากับอกกว้างแล้วนั่นแหละ นิศากรอุทานเสียงไม่ดังนักแล้วถอยห่างมาเล็กน้อยก่อนหันไปเผชิญหน้าด้วยยิ้มค่อนข้างแหย

“พี่ภู ทำไงดี ตื่นเต้นจังเลยค่ะ” มือขาวบางเปลี่ยนจากพนมกันไว้เป็นบีบแน่นแทนสั่นน้อยๆด้วยความไม่มั่นใจ ภูดิสยิ้มอบอุ่น ปลอบประโลมคนขวัญเสียด้วยอุ้งมืออบอุ่น รวบมือน้อยทั้งสองมาไว้ในกำมือตน รู้สึกได้ทันทีว่ามันเย็นเฉียบ

“หนูนิ” เมื่อชายหนุ่มเรียกชื่อเล่นของนิศากร ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่น้ำเสียงมักจะทอดอ่อนชวนฟังกว่าใครๆ ไม่แน่ใจนักว่าเจ้าตัวจะรู้หรือไม่ หากทุกครั้งที่ได้ยิน คนฟังเคลิ้มและต้องยิ้มรับทุกครั้งไป

“ความกลัวอะไรก็ตาม ไม่ร้ายเท่ากันความกลัวที่เราสร้างขึ้นมาเองหรอกนะครับ” นิศากรนิ่งไปนิดแล้วพยักหน้าเห็นด้วย มือใหญ่ประกบมือเล็กทั้งสองข้างไว้บีบน้อยๆอย่างให้กำลังใจ

“มั่นใจหน่อย พี่เชื่อว่ามันจะผ่านไปด้วยดี”

“ค่ะ”

ใบหน้าหวานเงยขึ้นเล็กน้อย หญิงสาวหลับตาสูดลมหายใจเข้าลึกยืดตัวตรง พอลืมขึ้นดวงตากลมสีน้ำตาลเข้มมีประกายความเชื่อมั่นมากกว่าเดิม ภูดิสเห็นอย่างนั้นแล้วก็โล่งใจ ประสบความสำเร็จในการเพิ่มความมั่นใจให้คนรัก สองหนุ่มสาวยิ้มให้กัน งานนี้นักข่าวไม่พลาด เก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกฝากคอลัมภ์ซุบซิบไฮโซหรือจะซุบซิบดาราดีก็ยังไม่แน่ใจ




ไฟเกือบทุกดวงในร้านหรี่ลงจนเหรอแค่ความสลัว เสียงเพลงดังก้องตามติดพิธีกรซึ่งรับหน้าที่โดยสาวเทียมผู้มีเสียงและลีลาจัดจ้านไม่แพ้มืออาชีพเดินลงบันไดวนจากชั้นลอยลาดด้วยพรมแดงลงมาด้วยท่าทางมาดมั่น ประกาศต้อนรับและเชื้อเชิญแขกผู้มีเกียรติทุกท่านชมการเดินแบบเสื้อผ้าจากห้องเสื้อ Nooniza

เสียงปรบมือคลายลง พร้อมร่างเพรียวบางของเหล่านางแบบสมัครเล่น ตกแต่งใบหน้าด้วยเครื่องสำอางค์อย่างเฉียบเนี้ยบ

น้ำเสียงเร้าใจของพิธีกรเริ่มขึ้น แขกผู้มีเกียรติมาออกันข้างพรมแดงตั้งแต่หัวบันได นางแบบกิตติมาศักดิ์ทั้งหลายวาดลวดลายจนผู้ชมอึ้งกิมกี่ งานนี้คอนเซปคือ up to u แปลว่า ทำอะไรตามใจแกเหอะ แค่ให้คนดูเขาเห็นความงามของชุดแล้วเกิดความอยากได้ก็พอ คุณๆนางแบบเลยใส่กันซะเต็มที่แบบว่าไม่กลัวขาดทุน ไม่งั้นก็หวังเกิดในงานนี้เลยทีเดียว อีกหนึ่งความแปลกที่ไม่คิดว่าจะมีแฟชั่นโชว์ไหนทำแน่นอนคือ การบรรยายคุณลักษณะของเสื้อผ้า ประโยชน์ใช้สอย การพากย์สด แปลกประหลาดปนขำขัน และเริ่มหนักข้อเรื่อยๆเมื่อถึงคราวแพรพรรณ

หญิงสาวร่างเล็กปรากฎกายขึ้นที่หัวบันไดในชุดกระโปรงแดงสลับขาวแนบลำตัวยาวจนถึงต้นขาขาวเรียวเหนือเข่ามาหนึ่งฝ่ามือ เสื้อสูทตัวสั้นสีขาวแขนยาว คอตั้งติดกระดุมครบทุกเม็ด ผมดัดเป็นลอนรวบเก็บปลายเรียบร้อยไว้ด้วยปิ่นปักผม

แพรพรรณยิ้มอย่างมาดมั่น กวาดสายตาไปทั่ว ก้าวลงบันไดลาดพรมแดงมาเรื่อย จนกระทั่งลงมาหยุดที่ขั้นสุดท้าย เดินตรงดิ่งหน้าเชิดแบบคนมั่นใจบนส้นเข็มสูงปรี๊ดเพิ่มความเพรียวบาง ก้าวยาวๆแบบสาวเปรี้ยวมั่นใจในเสน่ห์ตนเต็มที่ ดวงตาโตเป็นประกายเลื่อนไปมาตามทางที่เดิน ยิ้มกว้างโบกมือน้อยๆให้ผู้ชมข้างแคทวอล์กแล้วชะงักเล็กน้อย เมื่อผ่านร่างสูงหนา ผิวน้ำผึ้ง ใบหน้าคมเข้มกับดวงตาหวานคล้ายผู้หญิงเป็นประกายขบขัน

ยัยเปี๊ยกเอ๊ย คงนึกว่าตัวเองสวยล่ะสิ เหมือนเด็กแก่แดดเสียล่ะมากกว่า

ธเนศรู้สึกเหมือนแพรพรรณเอาชุดผู้ใหญ่มาแต่งเล่นเสียมากกว่า คนขำแบบไม่ปกปิดฉีกยิ้มกว้างจนเกือบเห็นฟันขาวตัดกับสีผิวครบทุกซี่ต้องชะงัก เมื่อแพรพรรณหมุนตัวผ่านกลับมาด้วยใบหน้าและสายตาเฉยเมยเหมือนไม่ใส่ใจ ทั้งที่ควรจะได้ตาเขียวๆ หน้าบึ้งเข่นเขี้ยวอยากกระโดดถีบเพราะโกรธที่ถูกหัวเราะมากกว่า ไหงกลับเป็นแบบนั้นไปได้ เอ หรือจะตาฝาดหว่า

“ชุดนี้นะคะ ไม่ได้เป็นเพียงแค่ชุดทำงานแสนเปรี้ยวเพียงเท่านี้นะคะ คุณนางแบบช่วยสลัดคราบสาวออฟฟิศออกฝากไว้ที่คุณผู้ชายคนหล่อๆคนนั้นทีค่ะ”

แพรพรรณชี้มือไปที่ชายหนุ่มวัยรุ่นคนหนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้ๆ แล้วหันไปทำหน้าเป็นเชิงถามพิธีกรสาวเทียมฝีปากจัดจ้านว่า คนนี้ใช่หรือเปล่า สาวเทียมพยักหน้าทำมือเป็นรูปตัวโอ แปลว่าถูกต้อง

“และแล้วนางสาวเฝ้าออฟฟิศแสนมาดมั่นก็กลายเป็นสาวสวยพร้อมสำหรับงานปาร์ตี้หรืองานเลี้ยงในมาดสาวเซี้ยวเปรี้ยวจี๊ด”

แพรพรรณจึงแกะกระดุมเสื้อตัวสั้น ถอดออกเหลือเพียงชุดเกาะอกแนบลำตัวจนเห็นส่วนโค้งเว้าของวัยสาวเต็มที่ เผยช่วงลาดไหล่บอบบางชวนมอง มือเล็กบางปลดปิ่นออก ผมเป็นลอนสลวยทิ้งตัวลงมา ปกปิดผิวนวลได้บางส่วน

แพรพรรณฝากของทั้งหมดไว้กับชายคนที่ถูกเลือกเมื่อครู่ ผิวขาวตัดกับชุดขาวแดง เพิ่มความโดนเด่นให้ผู้สวมใส่ เจ้าตัวเปิดกระเป๋าถือใบเล็ก นำสร้อยเส้นยาวมีจี้คริสตัลส่องประกายวอบแวบมาสวมแล้วปิดกระเป๋า ผู้ชมหลายคนมองยามร่างบางโฉบผ่านหน้าไปอีกรอบ โดยเฉพาะหนุ่มๆ ไม่เว้นแม้คนที่หัวเราะขำขันเมื่อครู่

ยัยเปี๊ยก โตขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย

ธเนศกวาดสายตาไปทั่วร่างบาง พบความเป็นจริงที่ไม่อยากยอมรับ แพรพรรณโตเป็นสาวเต็มที่และมีเสน่ห์ไม่น้อย เขาเพิ่งเห็นเต็มตาก็วันนี้เอง สายตาของหนุ่มๆหลายคู่คงมองเห็นเช่นเดียวกัน คนข้างเคียงสอบถามหญิงกลางคนข้างตัว อยากรู้ เธอเป็นใคร

จะรู้ไปทำไม แค่ภาพลวงตา โบ๊ะหน้าหนาเตอะ อยู่นิ่งๆก็สวยดีหรอก แต่พอล้างออกแล้วให้พูดสิ ได้เผ่นกันไม่ทันหรอก เฮอะ!

หญิงสาวที่ถูกสั่งมากำชับให้ทำหน้ายั่วยวนชวนหลงไหลพยายามหว่านเสน่ห์เต็มที่ให้เข้ากับชุด ส่งรอยยิ้มที่พยายามสั่งให้ตัวเองเซ็กซี่สุดให้ทุกคน แล้วก็สะดุดอีกรอบเมื่อพานพบตาขวางๆมองมาอย่างไม่พอใจ แพรพรรณพิศวง อยากถามเหลือเกิน เป็นบ้าอะไรยะ ตาขวางโดนน้ำมาหรือไง แต่สำนึกได้ว่าตนกำลังทำหน้าที่ใดกับคำขอร้องของเพื่อนเธอเมื่อครู่นี้ จึงตัดใจเดินผ่านไปอย่างไม่ไยดีทำตัวเซ็กซี่สวยสดของตนต่อไป จนสุดท้ายยิ้มหวานขอเสื้อคืนจากหนุ่มวัยรุ่นคนนั้น ธเนศเห็นแล้วยิ่งโมโห

ทำเชิดใส่เหรอ ยัยเปี๊ยกเดี๋ยวเจอกันแน่

ปิดท้ายด้วยการเปิดตัวดีไซน์เนอร์สาวคน เจ้าของห้องเสื้อคนใหม่ นิศากรในชุดสีขาวสะอาด สวยหวานก้าวออกมาพร้อมรอยยิ้มและดวงตากลมบ่งบอกความมั่นใจและภูมิใจในสิ่งที่ตนเองทำมากแค่ไหน เสียงปรบมือดังกึกก้องส่งให้รอยยิ้มหวานกว้างขึ้น

ใครคนหนึ่งมองอย่างตกตะลึงและดีใจจนแทบกระโจนเข้าไปหา หากมีคนเรียกและดึงไว้ก่อน

“คุณนนท์จะทำอะไร”

“ฉันรู้จัก เธอคนนั้น” อานนท์ทำท่าจะก้าวไปหาอีก

“แต่เราไม่ได้มาหาคนนั้นนะ คุณภูดิสต่างหาก”

“ในที่สุดก็เจอจนได้”



คุณกังสดาลและคุณลักษิกาก้าวขึ้นพรมแดง หญิงทั้งสองผลัดกันแสดงความยินดี หอมแก้มนวลใสคนละข้างด้วยความยินดี พยักให้ร่างสูงก้าวตามพร้อมช่อดอกไม้ช่อใหญ่ยื่นให้สาวน้อยที่ยื่นมือมารับไว้เต็มอ้อมแขน ท่ามกลางแสงแฟรชจากกล้องทั้งหลายที่ไม่ยอมพลาดช็อตเด็ดที่เท่ากับเป็นการประกาศความสัมพันธ์ของสองหนุ่มสาวให้รู้กันทั่วอย่างชัดเจนตามความต้องการของสองมารดา

“เอาให้น้องสิลูก” คุณลักษิกาขยับมาบอกลูกชายยิ้มๆ ทวงของขวัญแทนสองแม่ลูกที่ทำหน้าแปลกใจ

ภูดิสเหลือบสายตาคมมองปราดไปยังผู้ชมหลายสิบเล็กน้อย ใจจริงเขาอยากเก็บไว้ให้หญิงสาวเองเป็นการส่วนตัว ไม่อยากทำประเจิดประเจ้อต่อหน้าผู้คนแปลกหน้าที่มองมาอย่างสนใจ แต่ตอนนี้ถูกทักเข้าแล้ว เขาจึงต้องล้วงอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อ

กล่องสีแดงยาวเปิดอ้า นิ้วแข็งแรงบรรจงหยิบสร้อยข้อมือทองคำขาวเส้นเล็กออกมา ประดับด้วยพลอยสีแดงเจียระไนเป็นรูปหัวใจอันเล็กน่ารัก ภายในโลหะเส้นบางร้อยสานกันโปร่งๆคล้ายลูกตะกร้อทรงกลม

คุณลักษิกาเอื้อมมาฉวยช่อดอกไม้ไปจากมือนิศากร ปล่อยให้สองมือเล็กว่างเปล่า แต่เจ้าตัวคิดอยากให้มันกลับมาอยู่ในอ้อมแขนอย่างเดิมมากกว่า จะได้ไม่รู้สึกเหมือนไม่รู้จะเอามือไปวางตรงไหนดีเช่นนี้

ดวงตากลมเหลือบขึ้นสบกับเจ้าของสร้อย เห็นสีหน้าเก้อเขินนิดๆภายใต้ท่าทางนิ่งสงบอยู่เหมือนกัน มือแข็งแรงยื่นมาตรงหน้า ทำท่าขออะไรสักอย่าง นิศากรเข้าใจทันใด แต่ยังอยู่นิ่ง ไม่ยอมให้ตามคำขอ เพราะรู้สึกหน้าแดงเห่อขึ้นมายังไงไม่รู้ ภูดิสเลยคว้ามือนิ่มมาเองเสียเลย นิศากรขืนไว้ในทีแรกแล้วผ่อนลงเมื่อเสียงทุ้มกระซิบ

“เอาเถอะครับ เราตกหลุมแม่พี่เสียแล้ว ถอยไม่ทันแล้วล่ะ ต้องยอมหวานต่อหน้านักข่าวนิดหน่อย หรืออยากหวานนานๆครับ อย่าเลย พี่เขินนะ” ท้ายประโยคเจ้าตัวบอกอย่างจริงใจแกมขำขัน เลยได้เสียงแหวเบาๆจากหญิงสาวกลับไป

“บ้า!”

โลหะเย็นลูบผิวเนื้อนวลข้างเดียวกับมือน้อยที่สวมแหวนเพชรวงน้อยไว้ ช่างภาพที่ตั้งใจจับภาพของขวัญบนข้อมือเล็กสังเกตเห็น นักข่าวรายการซุบซิบไฮโซปากไวส่งเสียงถามไถ่ แหวนนี้ได้แต่ใดมา คำตอบไม่มีเป็นเสียงหวานใส หากแต่สายตาทั้งคู่ที่มองกันทำให้ได้คำตอบ

อานนท์ที่ถูกรั้งไว้จากคนๆหนึ่งสะบัดหลุดออกมาด้วยความร้อนใจ รี่ตรงเข้าไปหาหญิงสาวที่เฝ้ารออยากพบทำความรู้จักมาหลายเพลา บัดนี้เขาได้พบแล้ว และไม่ว่าอย่างไร เธอจะมีใคร หากในความคิดเขาแล้ว คติประจำใจมีอยู่ว่า ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้เสมอ คนที่รักในวันนี้ อาจไม่ใช่คนที่ใช่ในวันหน้า ดังนั้น เขามีสิทธิจะลงแข่ง





-----------โปรดติดตามตอนต่อไป-------------


//punnarm-farin.bloggang.com


*;...คุยกันนิดหน่อยกับฟ้าริน...;*

เพทยาธร - จริงค่ะ พวกผู้ชายนี่ แย่จริงๆ แถวนี้ก็มีพวกขี้ลืม ปากแข็งแล้วก็ไม่รู้ตัวอยุ่ครบเสียด้วย

Ormmie - เอ ไม่รู้สิคะ คิดได้หรือเปล่า หรือฟื้นมาจะป่วนหนักกว่าเดิม หรือกลับใจได้แล้วก็ไม่รู้สิคะ

kidakarn - สวัสดีค่ะ ยินดีๆๆๆๆที่เข้ามาเยี่ยมนะคะ ส่วนblog 555 เปลี่ยนมาไม่รู้กี่แบบแล้ว 5555 เจ้าของโรคจิต เดี๋ยวซักพักก็เปลี่ยนอีก ดูอย่าง โลโก้ปะไร

Create Date : 18 พฤศจิกายน 2550
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2551 17:28:07 น.
Counter : 265 Pageviews.

5 comment

จัดรักให้ลงล็อค บทที่26





บทที่26

ชายหนุ่มผิวขาวหน้าคมตาคมนั่งกอดอกพิงโซฟาตัวนิ่มอยู่มุมหนึ่งในห้องเสื้อ Nooniza คิ้วคมขมวดมุ่นไม่คลายมาหลายชั่วโมงแล้วในวันนี้ วันหยุดสุดสัปดาห์วันเดียวของคนทำงานบริษัท เจ้าตัววาดหวังและวางแผนในใจมาหลายวันว่าจะใช่เวลาร่วมกันกับนิศากร หลังจัดการมัดมือชกหญิงสาวคนที่เดินไปทางโน้นทีทางนี้ทีท่ามกลางพวกพ้องร่วมรุ่น ดูโน่นนี่วุ่นวายโดยไม่หันมามองเขาเลยสักนิดเดียวมาเป็นยึดตำแหน่งเจ้าของหัวใจได้แล้ว เจ้าของตำแหน่งเดินเฉียดเขาไปมาแต่ไม่แลเหมือนว่าจะลืมไปแล้วว่ามีเขานั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ด้วย

ภูดิสคิดค้านอยู่ในใจทั้งที่ตอนแรกก็เห็นดีด้วยทีนิศากรบอกว่าตัดสินใจจะจัดการงานเปิดตัวด้วยตัวเอง หญิงสาวเล่าด้วยสีหน้าท่าทางเป็นสุข ดวงตากลมวาวระยับราวกับดวงดาวกระพริบแสง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าน่าสนุกขนาดไหน แต่มาตอนนี้ตามประสาคนเป็นเจ้านายและคนที่ถูกลืม ภูดิสคิดขวางขึ้นมาแทนด้วยความหงุดหงิดที่ถูกงานแย่งเวลาของคนรักสาวจากเขาไปเสียหมด ทั้งยังห่วงคนทำงานตัวเป็นเกลียวจนไม่ค่อยทานข้าวตามเวลาอีก

จัดการเรียกออแกไนท์เซอร์มาจัดการวางแผนงานซะก็หมดเรื่อง ไม่รู้จะจัดการเองทำไม วุ่นวายให้เหนื่อย แค่คิดว่าอยากได้อะไรก็บอกเขาไป แค่นี้ก็ออกมาเรียบร้อยเพอร์เฟ็กซ์ ไม่เหนื่อยอีกด้วย

แล้วอีกความขุ่นเคืองก็แล่นขึ้นมาทันที คราวนี้ต้องโทษแพรพรรณ น้องสาวตัวดี เจ้าของความคิดนี้ ดูสิ เพราะความช่างเจรจาเสนอความคิดดีนัก เป็นเพราะเขาไม่ว่างมาหาคนรักสาวเมื่อสองก่อนวันที่ช่างนัดตรวจงานแท้ๆ เลยส่งข่าวให้แพรพรรณไปปฏิบัติหน้าที่แทน รู้อย่างนี้ไม่ปล่อยให้มาหานิศากรก็ดีหรอก

สองสาวเพื่อนซี้นั่งๆนอนๆบนโซฟานุ่มสีขาวหลังช่างกลับไปเรียบร้อยสุมหัวกันอยู่ภายในร้านที่บัดนี้เริ่มมีเสื้อผ้าหลากหลายรูปแบบเรียงรายบนราวสีเงินเงาวับสะท้อนแสงไฟสีส้มนวลตา หลังจากฝ่ายคนตัวเล็กร่างผอมบางเที่ยวหยิบชุดนั้นชุดนี้มาลองจนเพลิดเพลินใจแล้ว ก็กลับมานั่งกอดเข่าเจ่าจุกเป็นที่ปรึกษาให้เจ้าของร้านที่นั่งกุมขมับวางแผนเปิดตัวห้องเสื้อของตนเองอยู่หลายตลบ

“งานนี้ต้องมีแฟชั่นโชว์เป็นของตาย เพื่อนำเสนอแบบเสื้อผ้า เอานางแบบมาเดินๆเข้าสิ” แพรพรรณเสนอ

“รู้แล้วล่ะ แต่ว่าถ้าเราจะจ้างนางแบบมืออาชีพก็ค่าตัวแพงจะตายไป เราว่าเก็บเงินไปทำอย่างอื่นดีกว่า”

“นั่นสิ ฟุ่มเฟือย แถมยังมีสิทธิที่เขาจะไม่รับงานอีก แล้วจะหานางแบบมาจากไหนดีล่ะ เดินกันเองเลยดีมะ เหมือนงานที่มหาวิทยาลัยไง” ประโยคท้ายแพรพรรณพูดเล่นสนุกๆ เพราะนึกไปถึงเมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัย โปรเจคงานประจำปีของคณะ เหล่าคณาจารย์ปล่อยให้ลูกศิษย์โชว์ฝีมือและความคิดกันได้อย่างเต็มที่ ฝ่ายออกแบบแฟชั่นก็ไม่พลาดจัดแฟชั่นโชว์ตามใจพวกฉันออกมาประกาศความแปลกประหลาด ใจกล้าหน้าด้านออกมาอย่างเต็มที่ เพราะนานๆทีจะมีโอกาสโชว์ตัวสู่สาธารณชนสักทีหนึ่ง

นิศากรเกิดปิ๊งไอเดีย ดวงตากลมจึงวิบวับเป็นประกายซุกซนขึ้นมาทันทีอย่างเห็นได้ชัด แพรพรรณมองแล้วขมวดคิ้ว

“ไม่นะหนูนิ ทำท่าอย่างนั้นคงไม่คิดจะเอาจริงหรอกนะ มันประหลาดเกินไป” แพรพรรณทำท่าขนลุก

“ก็ลดความแปลกลงมาซะบ้าง เรามีคอนเซปเสื้อผ้าบังคับอยู่ว่าให้คนใส่ในโลกนี้ได้ ใส่ทุกวัน ไม่ใช่เฉพาะวันฮัลโลวีนอย่างตอนนั้นเสียหน่อย”

หญิงสาวเน้นคำว่าคน โลกนี้และทุกวัน ซึ่งเป็นคีย์เวิร์ดสำคัญสุดๆสำหรับนักออกแบบหัวบรรเจิดไม่ธรรมดาอย่างเช่นพวกเธอและเพื่อนๆร่วมรุ่น

ใจหนึ่งของแพรพรรณอยากจะคัดค้าน เนื่องจากประหวั่นว่าความแปลกประหลาดสุดขั้วของพวกเธอที่ถูกเก็บกดไว้หลังจากเรียนจบมา ไม่สามารถแสดงออกได้เต็มที่ในงานที่ตัวเองทำ เหล่าพวกพ้องได้ยินข้อเสนอปล่อยผีของนิศากรเข้าคงตาโต แล้วในที่สุดก็จะมาปลดปล่อยเอาในงานนี้ กลัวว่าคนธรรมดาๆจะไม่สามารถรับได้

แต่อีกใจหนึ่งก็อยากลอง ยิ่งได้กลับมารวมตัวกันเฉพาะกิจทำอะไรสนุกๆแล้วล่ะก็ ยิ่งน่าเข้าร่วมเข้าไปใหญ่ แล้วลองนิศากรเห็นสนุกแล้วล่ะก็ เจ้าตัวไม่เปลี่ยนใจง่ายๆ ค้านไปก็ไร้ผล ได้แต่ยอมกระโจนตามมาร่วมโครงการด้วย

ภูดิสมองน้องสาวเปลี่ยนชุดนั้น ลองแต่งหน้าแบบนี้ ทำผมแบบนั้นสนุกสนานในขณะที่เขาได้แต่นั่งมองอย่างเดียวอย่างเคืองๆ ฝ่ายน้องสาวตัวดีเหมือนจะรับรู้ถึงกระแสจิตนั้น จึงหันขวับมาสู้สายตา ส่งเสียงแหวกลับมา ด้วยความโมโห หลังโดนพี่ชายทำท่าอยากบีบคอมาตั้งแต่เมื่อวาน เพราะนิศากรไม่มีเวลามาเหลียวแล ทั้งที่ควรอยู่ในช่วงจี๋จ๋าแท้ๆ

“เลิกมองแพรแบบนั้นเสียทีนะพี่ภู ไม่อย่างงั้นจะควักลูกตาออกมาเลยด้วย” แพรพรรณแหวเสียงดังข้ามห้องมา คนถูกแหวทำท่ายักไหล่นิด กอดอกกระดิกขาทำหน้าวส่งสัญญาณกลับมาประมาณว่า

ไม่เห็นกลัว แน่จริงก็เข้ามาได้เลย

แพรพรรณความดันพุ่งปรี๊ด ตรงรี่เข้ามาหาเรื่องตามคำท้า ใบหน้าคมสุภาพยังคงนิ่งเฉย ขัดกับดวงตาคมที่เหล่มองน้องสาวตัวเองซึ่งบัดนี้สวยคมด้วยการตกแต่งค่อนข้างจัด ให้เข้ากับเสื้อผ้าที่จะต้องสวมใส่ คนเป็นน้องเท้าสะเอวหมับเข้าสองข้าง แยกขาแยกเขี้ยวตั้งท่าเป็นยักษ์วัดแจ้ง

“นี่ แพรไม่ผิดนะ อย่ามาโยนโทษให้แบบนี้ พาลหาเรื่องกันชัดๆ คนพาล” แพรพรรณต่อว่าเสียงดังไม่ลดละ ภูดิสเสียดแก้วหูเพราะอยู่ในระยะประชิด เอานิ้วอุดหูทำท่ากวนโทสะน้องสาวต่อไป แพรพรรณหันรีหันขวาง หาตัวช่วยเพราะรู้ว่าเปลืองแรงต่อสู้แน่ ภูดิสไม่เคยปล่อยตัวเองให้เป็นเหยื่อการแก้แค้นของเธอสักหน มีแต่เพิ่มความขุ่นเคืองให้ตัวเองเป็นทวีคูณ

“หนูนิมานี่เร็วๆเข้า มาดูคนพาลเร็วๆเข้า” แพรพรรณร้องเรียกตัวช่วยตัวใหม่ล่าสุดมา ท่ามกลางความสนใจของเพื่อนๆที่ร้องโห่ฮิ้วด้วยความอิจฉาในครั้งแรกที่ชายหนุ่มผู้มีสถานะพี่ชายแพรพรรณและคนรักของนิศากรมาปรากฏตัว สถานะหลังนี้ได้รับการป่าวประกาศให้ทราบกันโดยทั่วด้วยฝีมือของแพรพรรณ

นิศากรได้ยินเสียงเรียกอยู่ลั่นๆเลยออกมาตามเสียง หน้าตางงงวยกับเสียงหัวเราะคิกคักและท่าทางเท้าสะเอวหน้าบึ้งของแพรพรรณ

“มีอะไรแพร เรียกเสียงลั่นไปหมด” นิศากรถามพลางเดินเข้ามาหา ภูดิสเห็นดังนั้นก็รีบเขยิบตัวเว้นที่ว่างให้หญิงสาวทันที พอนิศากรเข้ามาใกล้ก็คว้าข้อมือฉุดให้นั่งลง แพรพรรณทำหน้าหมั่นไส้พี่ชายตัวเอง ฟ้องเพื่อนสาวทันควัน

“เรียกให้มาดูคนพาลน่ะสิ หาเรื่องเราตั้งแต่เมื่อวานแล้ว พี่อะไรก็ไม่รู้”

นิศากรเลิกคิ้ว หน้าเอ๋อ ไม่เข้าใจสักนิด แต่ที่แน่ๆ สองพี่น้องนี่ ทะเลาะกันอีกแล้ว แต่คราวนี้เรื่องอะไรกันล่ะเนี่ย

“อะไรกัน?”

“ก็ลองถามคนนั้นดูสิ” แพรพรรณโยนไปทางเจ้าของเรื่อง ภูดิสตีหน้าซื่อ ส่งขนมกับน้ำหวานให้นิศากรอย่างเอาอกเอาใจ ไม่สนคำพูดใดๆทั้งนั้น

“หนอยแน่ะ ไม่ต้องทำตีหน้าซื่อนะ เมื่อกี้ยังทำหน้าเหมือนอยากจะบีบคออยู่เลย เปลี่ยนไวอย่างกับจิ้งจกเปลี่ยนสี” แพรพรรณต่อว่าต่อขานอย่างหมั่นไส้

“ดูไว้นะหนูนิ อย่าโดนหลอกเชียว ตีหน้าตายเก่งนักละคนนี้น่ะ” แพรพรรณเตือนอย่างคนที่รู้จักพี่ชายตัวเองดี วิชาสำคัญของคนที่ต้องเข้าสังคมบ่อยๆ วิชาสวมหน้ากาก พี่ชายเธอฝึกมาอย่างดี เพื่อใช้ในงานเลี้ยงแวดวงธุรกิจที่มีแต่เล่ห์เหลี่ยมร้ายกาจ บ้างตีสนิทเพื่อผลประโยชน์ของฝ่ายตัว ทักทายอย่างเป็นกันเองทั้งที่เพิ่งแย่งลูกค้ากันไปก็มี หลอกเขาบ้าง เขาหลอกเราบ้าง สลับกัน

นิศากรหัวเราะเบาๆ มองหน้าคนตีหน้าตายแล้วพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ภูดิสค้อนขวับใส่น้องสาว แพรพรรณฟ้องต่อทันที

“เมื่อกี้ยังหาเรื่องเราอยู่เลยจะบอกให้ หาว่าเป็นเพราะเราไปยุให้หนูนิจัดงานเอง วุ่นจนไม่มีเวลาให้ เลยพาลเราหาว่าเป็นต้นเหตุ”

นิศากรฉุกใจมองคนพาลหน้ามุ่ยแล้วยิ้มแหยๆ หลายวันแล้วที่เธอมัวแต่สนใจงานเปิดตัวของห้องเสื้อเธอ วางแผนงานและออกแบบสไตล์งาน โปรโมทต่างๆนานา ลืมแฟนหมาดๆไปเสียเกือบสนิท หากเขาไม่โผล่หน้ามาในหาหรือส่งเสียงตามสายมาด้วยความคิดถึง เธอตั้งอกตั้งใจร่วมไปกับผองเพื่อนที่อุตส่าห์สละเวลามาช่วยงานกันอย่างพร้อมเพรียง สนุกสนานไปกับบรรยากาศเก่าๆที่เหมือนไหลย้อนมาอีกครั้ง

“อย่าทะเลาะกันเลยนะคะ นิผิดเอง มัวแต่สนใจงาน” นิศากรขอโทษเสียงอ่อน

“เห็นไหม ได้ยินไหม” แพรพรรณรีบเสริมทันที ภูดิสมองสีหน้าสำนึกผิดของคนรักแล้วก็อยากซัดน้องสาวสักเผียะ

“หนูนิ พี่ไม่ได้โกรธนะ แค่เป็นห่วงแล้วก็อยากมีเวลาคุยกันบ้าง” ภูดิสรีบแก้และสารภาพความในใจ กระชับมือน้อยไว้ในมือใหญ่

“พี่เห็นเอาแต่ทำโน่นนี่ อุตส่าห์หาของกินมาตุนให้เพราะคุณป้าฟ้องว่าหนูนิไม่ยอมกินข้าว แต่ดูสิ” ชายหนุ่มพยักเพยิดไปยังถุงอาหารใบใหญ่ เต็มไปด้วยสรรพอาหารหลากหลายชนิดในส่วนของคนรักซึ่งพร่องไปเพียงน้อยนิด ต่างกับถุงอื่นๆที่เป็นส่วนของเพื่อนๆของหญิงสาวที่ตอนนี้เหลือแต่กล่องกับถุงเปล่าๆ

“นั่นสิ จะมาลดความอ้วนตอนนี้รึไง ไม่ต้องหรอกแค่นี้แหละสวยแล้ว เกิดสวยกว่านี้พี่ภูก็ยุ่งหรอก” แพรพรรณสนับสนุนแกมล้อ คนฟังรู้ดี เพื่อนเตือนด้วยความห่วงใย

“เปล่า ก็ลืมน่ะ” หญิงสาวสารภาพเก้อๆ นิศากรเป็นเช่นนี้ประจำ หากมีสิ่งที่ดึงดูดความสนใจได้อย่างดีแล้วเป็นอันลืมหมดทุกอย่าง สองพี่น้องส่ายหัวพร้อมกันไม่ได้นัดหมาย

“งั้นก็กินซะตอนนี้เลย ไม่งั้นอีแร้งลงทึ้งหมดแน่ๆ” แพรพรรณชี้กราดไปยังบุคคลรอบบริเวณซึ่งกำลังแอบมองแอบฟังอย่างสนใจ ได้ยินคำครหาชัดเจน เหล่าอีแร้งจึงเท้าเอวส่งสายตาจิกทึ้งมาทันควัน แล้วก็กรูกันมาแยกคนประนามไปจัดการ ทิ้งสองหนุ่มสาวไว้เบื้องหลัง

“แย่แน่ๆยัยแพร ก่อสงครามซะแล้ว โดนรุมทึ้งของแท้แน่ๆ พี่ชายไม่ช่วยน้องหน่อยเหรอคะ”

นิศากรมองตามหัวเราะตาพราวแล้วชะงักเมื่อหันมาสบเข้ากับตาคมที่จ้องมาก่อนแล้วในระยะใกล้ มุมปากยกขึ้นน้อยๆอย่างที่ชอบทำเป็นประจำ

“คิดถึงจัง” เสียงนุ่มทุ้มเอ่ย เขยิบเข้าใกล้อีก

“เหนื่อยมากไหมครับ” เขาถามด้วยความเป็นห่วง ขยับไปจับปอยผมที่ร่วงลงมาทัดหูให้หญิงสาวอย่างอ่อนโยน

“ก็นิดหน่อยค่ะ”

“ปวดขาไหม” เขาถามแล้วก้มดูขาเธอ นิศากรตีหน้าเป๋อเหลอแล้วคิ้วเรียวก็เริ่มขมวดอย่างไม่เข้าใจคำถามเลยสักนิด ภูดิสเลยเฉลย

“วันนี้หนูนิเดินไปมาตั้งหลายเที่ยว ถ้านับระยะทางแล้วคงได้ประมาณสักสิบกิโลได้แล้วละมั้ง”

“ไม่ถึงสักหน่อยค่ะ เว่อร์เกินไปแล้ว” หญิงสาวทำหน้ายู่ใส่ ชายหนุ่มยื่นกล่องขนมมาตรงหน้า ใช้สายตาบังคับให้หญิงสาวต้องหยิบมาทาน

“พี่ภูพาลแพรเพราะนิจริงๆน่ะเหรอ ทำไมทำอย่างนั้นล่ะคะ ไม่มีเหตุผลเลยนะ” หญิงสาวตั้งคำถามอย่างสงสัย ปกติภูดิสเป็นคนมีเหตุผล ไม่คิดพาลแบบเด็กๆแบบนั้นแน่นอน ภูดิสหัวเราะพลางสารภาพ

“ตอนแรกก็คิดอย่างนั้น แต่ก็แค่แวบเดียวนั่นแหละ ทีนี้ตอนหลังคิดได้ว่าไม่ถูก แล้วยิ่งเห็นยัยแพรคิดนั่นนี่ให้หนูนิ ช่วยเหลือได้แทบทุกอย่าง แต่พี่ได้แต่นั่งมอง ทำอะไรไม่ได้เลยรำคาญตัวเอง แถมหมั่นไส้ยัยแพรด้วย เลยอยากแกล้งเล่นน่ะ”

“แค่อยากแกล้งน้องนี่นะคะ โธ่เอ๊ย!” นิศากรถอนใจแล้วขำ คงแก้ไม่หาย นิสัยชอบยั่วน้องตัวเองนี่

“ขอบคุณค่ะที่อยากช่วยนิ แค่พี่ภูหาของอร่อยๆมาให้ก็ดีใจจะแย่แล้ว แล้ว...พี่ภูคงไม่ได้อยากช่วยนิจัดการแต่งหน้าทำผมสาวๆหรอกนะคะ” นิศากรแกล้งมองด้วยสายตาหวาดระแวง ภูดิสทำหน้าพิลึกก่อนแปรเปลี่ยนเป็นแหยพลางส่ายหน้าดิก หญิงสาวกลั้นยิ้มตาพราวปิดความขบขันไม่มิด ทีนี้ชายหนุ่มเลยจับได้ว่าถูกแกล้งล้อเล่นเสียแล้ว

“แกล้งพี่งั้นเหรอ เดี๋ยวเถอะระวังจะโดนเอาคืน” นิศากรหัวเราะคิกยักไหล่ไม่กลัวท่าทางดุๆ กับคำเตือนของคนรัก

“ใครไม่รู้มาแอบมองเราอยู่ตรงนั้นน่ะ ดูสิ” ภูดิสกระซิบบอกพลางเขม้นมองไปตรงมุมเสาหนึ่ง นิศากรชะเง้อมองตามก็ไม่เห็นใคร

“ไหนคะ ไม่เห็นเลย” หญิงสาวหันกลับมาถามแล้วก็หลุดเสียงอุทานออกมา

“อุ๊ย!” แก้มนวลใสกระทบเข้าอย่างจังกับจมูกปากของคนรอท่าอยู่แล้ว เพราะหญิงสาวมัวแต่ชะเง้อชะแง้มอง จึงไม่ทันเห็นสีหน้ากับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ พอหันกลับมาปุ๊บก็สายเกินไป เผลอตัวตกเข้าไปในแผนของนักธุรกิจหนุ่มเสียแล้ว

“แกล้งเหรอ คนบ้า!” หญิงสาวแหวใส่

ภูดิสยิ้มอย่างสมใจ ตาคมส่งกระแสหวานวิบวับให้คนรัก นิศากรหน้าแดงก่ำ โดนขโมยหอมแก้มอีกจนได้ มือบางกุมแก้มใสไว้แถมเขวี้ยงค้อนใส่คนรักไปหนึ่งที

“โอ๊ย!!! อิจฉาเว้ย!!” เสียงตะโกนดังจากมุมหนึ่ง ทีนี้คนอำสะดุ้งโหยง ไม่คิดว่าจะมีคนแอบดูจริงๆ ถึงว่าทำไมมันเงียบๆ มาแอบดูกันหมดนี่เอง พวกอีกแอบค่อยๆทะยอยออกมาจากที่ซ่อน

“พวกแก มาแอบตั้งแต่เมื่อไหร่” ใบหน้านิศากรยิ่งมีเลือดคั่งเพิ่มขึ้น ตั้งคำถามเสียงเขียว

“นานพอจะเห็นเลิฟซีนแหละ ฮิ้ว!” ส่งเสียงโห่ร้องแซวกันยกใหญ่ นิศากรปิดหู หันมาเอาเรื่องคนต้นเหตุแทน ภูดิสเสเสยผมทำหน้านิ่งไม่สบตา เลยได้ขนมเปียะจากคนรักสาวไปหนึ่งที



ร่างสูงเพรียวในชุดสีแดงเพลิง พยายามข่มอาการปวดศรีษะไว้เต็มความสามารถ ท่ามกลางความห่วงกังวลของอิมมี่ผู้จัดการสาว ถึงจะไม่พอใจอยู่เสมอกับนิสัยแย่ๆของรัญชิดา แต่ความใกล้ชิดทำให้มีเยื่อใยผูกพันอยู่บ้าง คนอยู่ด้วยกันแทบจะยี่สิบสี่ชั่วโมง สังเกตุเห็นได้ไม่ยากว่าสีหน้าของนางร้ายสาวซีดเซียวเข้าทุกขณะภายใต้การแต่งหน้าเข้มจัด ให้เหมาะสมกับคาแรกเตอร์ของตัวละคร

รัญชิดากรอกยาแก้ปวดเข้าไปสองครั้งแล้วตั้งแต่เช้า หากแต่ดูจะไม่เป็นผลใดๆต่ออาการของเธอเลย ฉากอารมณ์ที่ต้องแสดงอยู่ตอนนี้ยิ่งเพิ่มความทรมานให้เป็นทบทวี ต้องใช้ทั้งสมาธิมาก ขัดกับความต้องการพักผ่อนของเจ้าตัวขณะนี้อย่างยิ่ง

ฉากนี้เป็นฉากสุดท้ายแล้ว เป็นฉากจบอันสุดแสนรันทด ตัวร้ายทำบาปกรรมหลอกลวงแล้วถูกจับได้ ผลสุดท้ายเกินความกลัวจนกลายเป็นคนสติแตก ผลกรรมที่สร้างไว้ทำให้ถูกตามล่า รุมโทรมจนตาย สะท้อนความโหดร้ายของสังคมและข้อคิดสำคัญ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

ข้อคิดนี้ เหมือนมีดตรงเข้าปักใจนางร้ายสาวอย่างจัง ทำชั่วได้ชั่ว เธอประสบมาด้วยตนเอง เสียเพื่อนที่แสนดีที่สุดในชีวิต เพราะแผนการชั่วร้ายของตัวเอง

ไม่น่าเลย ไม่น่าเลยจริงๆ

เธอควรจะพอใจ ในความเป็นเพื่อนที่เขามอบให้ เพราะคิดเข้าข้างตัวเองว่าดีเด่น กระหยิ่มใจว่าตัวมีพร้อม ไม่มีวันที่ภูดิสจะเปลี่ยนใจไปรักใครอื่น ทั้งที่เธอเลือกที่จะผลักไสเขาออกไปเองตั้งแต่แรก มันเป็นการเห็นแก่ตัวอย่างไม่น่าให้อภัย หวังยึดเขาไว้ เพียงเพื่อจะใช้จิตใจที่ดีงาม ความอบอุ่นอ่อนโยนมาช่วยปลุกปลอบชั่วคราวยามมีปัญหาไม่มีคนเห็นใจ ไม่เคยเห็นค่าของมันอย่างแท้จริง ไม่เคยคิดจะรักษามิตรภาพอันดีเอาไว้ เห็นประโยชน์แค่ใช้เป็นที่พักพิง

“พร้อมนะ กล้อง แอคชั่น” เสียงห้าวห้วนของผู้กำกับสั่ง

รัญชิดาเก็บกดความเจ็บปวดที่เหมือนเพิ่มขึ้นทุกขณะไว้ ปลอบใจตัวเองว่าอีกนิดเดียว นิดเดียว เดี๋ยวก็จะได้พักแล้ว หญิงสาวสูดหายใจลึก แล้วกรีดร้องอาละวาดไปตามบทบาท การตะโกนเสียงแหลทเหมือนเข็มพันเล่มพุ่งเข้าปักเนื้อสมอง เหงื่อการแตกพลักเมื่อพยายามต่อสู้จนล้มลงไปกับพื้นตามคิวการแสดง เรียวแรงเริ่มหดหาย หน้าซีดลงเป็นลำดับ และสุดท้ายก็แน่นิ่งไป

“คัด! เรียบร้อยดีมาก เยี่ยมไปเลยคุณรัน”

ตัวแสดงประกอบลุกขึ้นปรบมือให้นางร้ายสาวตามผู้กำกับและเจ้าหน้าที่อื่นๆ หากจนเมื่อเสียงปรบมือคลายคง ร่างสูงเพรียวก็ยังคงนอนนิ่งไปกับพื้น ไม่ลืมตาหรือขยับตัวแต่อย่างใด อิมมี่รีบตรงรี่ไปหา เขย่าตัวนางร้ายสาวอย่างแรงก็ไม่เป็นผลใดๆ หลายคนหน้าตื่นร้องเรียกหยูกยาเป็นการใหญ่ ผู้กำกับวิ่งเข้ามาดูอาการอีกคน เห็นใบหน้าซีดขาวกระจ่างชัดออกมาจากใต้รองพื้นหนาก็รีบเร่งให้เรียกรถพยาบาลด่วน!


-----------โปรดติดตามตอนต่อไป-------------


//punnarm-farin.bloggang.com


*;...คุยกันนิดหน่อยกับฟ้าริน...;*

keroobob - เอาให้ตามคำขอ หวีดหน่อยๆลางร้ายนิดๆ

Ormmie - เอามาชนกันแล้วนะจ๊ะ




Create Date : 10 พฤศจิกายน 2550
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2551 17:29:52 น.
Counter : 296 Pageviews.

4 comment
จัดรักให้ลงล็อค บทที่25





บทที่25

ร่างสูงในชุดนักศึกษานอนทอดตัวราบไปกับผืนหญ้าสีเขียวขจีข้างสระน้ำของมหาวิทยาลัย ต่างหูเงินกับห่วงหูสะท้อนกับแสงตะวันเป็นประกาย เน็คไทถูกปลดกองไว้กับหนังสือเรียนข้างๆตัว ดวงตาเป็นประกายสองชั้นมองเหม่อไปบนฟากฟ้าแล้วยิ้ม จึงตกเป็นที่จับจ้องของคนผ่านไปมา

“เสียดายอ่ะ หน้าตาดีไม่น่าเพี้ยนเลย” นักศึกษาสาวๆที่โฉบเฉียดมาใกล้ต่างพูดทำนองนี้กันเกือบทุกคน

หากแต่คนถูกมองและถูกนินทาไม่ใส่ใจหรือหากมองให้ดีคือ อานนท์หลุดไปอยู่อีกโลกหนึ่งเสียแล้ว ไม่รับรู้สิ่งรอบกายภายนอกใดๆทั้งสิ้น ในความคิดคำนึงคงมีแต่ภาพใบหน้ากับเสียงหวานใสของหญิงสาวที่พบเพียงไม่กี่นาทีที่ผับหรู แต่ก็ติดตรึงใจไม่คลายแม่จะผ่านมาหลายชั่วโมงเต็มทีแล้วก็ตาม

เขาหวังและเฝ้ารอโอกาสที่จะได้รู้จักเธอตลอดคืน แต่ไม่มีวี่แววเงาของเธอหลังจากหายไปในห้องน้ำหญิง เธออาจจะออกมาแล้วและพากันกลับไปในช่วงที่เขาถูกชักชวนให้คุยกับสาวหน้าใหม่ที่แวะเวียนมาที่โต๊ะไม่ขาดสาย

น่าเสียดายนัก เขาไม่น่าพลาดไปเลยจริงๆ คืนนี้แหละ เขาจะไปที่นั่นอีก เผื่อจะมีโอกาสได้พบกับเธออีก ครั้งนี้จะไม่ปล่อยให้เสียเวลาอีกต่อไป



สองสาวที่ยึดพื้นที่ในร้านกาแฟมาเป็นเวลานานพอสมควรแล้ว ใบหน้าเนียนเปลี่ยนไปตามอารมณ์ที่เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ คนหนึ่งฮึดฮัดกระแทกแก้วกาแฟเย็นรสกลมกล่อมอักแน่นด้วยเกล็ดน้ำแข็งเย็นฉ่ำจนกระไอน้ำเกาะพราวเต็มข้างแก้ว คนสั่งหวังจะนำมาช่วยลดความร้อนในอารมณ์ๆได้บ้าง แต่ดูท่าแล้วจะไม่เป็นผลใดๆ

“บ้ามากๆ คิดทำอะไรได้ตั้งเยอะแยะ แต่กลับมองข้ามเรื่องสำคัญไปได้“ แพรพรรณส่ายหน้าอย่างระอาในความประหลาดของพี่ชายหรืออาจจะเป็นผู้ชายทุกคนก็ได้ที่ประหลาดแบบนี้ อย่างที่เคยดูในละครไง ตอนนางเอกรักพรพะเอก ก็แกล้งทำเฉย พอนางเอกไปมองคนอื่นก็ไม่ยอม คอยขัดขวางต่างๆนานา พอถามก็ไม่ยอมเปิดปากบอกเหตุผล น่ารำคาญที่สุด

แล้วดูพี่ชายเธอสิ มีอย่างที่ไหน เอ่ยปากขอกับแม่เป็นสมัครแฟนลูกสาว เจ้าตัวก็นั่งเอ๋ออยู่ไม่ขอเขาสักคำเดียว พอสมใจแล้วก็ไป พอเช้าก็โผล่หน้ามาสวมแหวนเสร็จก็กินข้าวสบายใจไปทำงานอย่างรื่นรมย์

“หนูนิ คงไม่ได้คิดหรอกนะว่า ที่พี่ภูทำทั้งหมดนั่นแค่รับผิดชอบที่ไปแต๊ะอั๋งน่ะ” คำถามหยั่งเชิงโดนใจคนฟังไปส่วนหนึ่ง นิศากรเลยสะดุ้งนิดๆ เบนสายตาไปทางอื่นไม่กล้าสบเข้ากับดวงตาโตหวานที่เหมือนมีเลเซอร์คอยสแกนความรู้สึกคนที่เผลอไปมองเข้าได้

“ไม่นะ!” ถึงจะแค่มองปราบเพียงแวบเดียว แต่ไม่ทุกอากัปกิริยาของนิศากรไม่ได้รอดพ้นสแกนเนอร์อย่างแพรพรรณไปได้ “โอ๊ย ตายๆๆๆ ห้ามคิดอะไรแบบนั้นเชียว นางเอกเกินไปแล้วนิศากร” แพรพรรณเรียกชื่อเต็มแบบดุๆทำเสียงออกคำสั่งเหมือนอาจารย์

“ถึงพี่ภูจะสุภาพบุรุษสุดจะซุปเปอร์แมน แต่ก็ไม่คิดจะเอาเชือกมาตัวเองเข้าไปอย่างนั้นหรอก สุภาพบุรุษสมัยใหม่ย่ะ ไม่โง่ แม่สอนว่า ไม่รักก็อย่าฝืน แล้วก็ถ้ารู้แล้วว่ารักก็จงรีบตะครุบไว้”

“สุภาษิตอะไรกัน อันแรกก็พอเข้าใจ แต่อันหลังนี่เราเดาว่าแพรคิดเองซะมากกว่า” แพรพรรณหัวเราะคิกคัก ยอมรับหน้าชื่นตาบาน

“ใช่ เราคิดเอง แหม...โลกเรามันหมุนเร็วขึ้นทุกวัน คนก็เดินเร็ว ยิ่งคนดีๆมั่นคงจริงจังยิ่งเดินเร็ว เพราะเขาจะไม่คอยเหล่สาวๆดะไปตามข้างทางหรอก เพราะฉะนั้นพอเขาผ่านมาเราก็เลยต้องรีบโดดไปตะครุบไว้ไงเล่า”

นิศากรพยักหน้าเป็นเชิงว่า เข้าใจแล้วจ้า แต่ก็อดถึงไม่ได้ในมุมที่ตรงกันข้าม

“บางทีคนเดินเร็วไม่มองข้างทางก็เพราะว่าไม่มีเวลามองต่างหาก เมียวิ่งตามมาข้างหลังไง แอบไปมีกิ๊กแล้วโดนจับได้ เลยต้องรีบหนี ไม่ก็อาจจะเป็นโจร ตั้งหน้าตั้งตาเดินเข้าร้านทอง ไปปล้นทอง”

แพรพรรณค้อนขวับเข้าให้ ค่าที่ทำคติประจำตัวที่คิดมาดีแล้วเสียหายยับเยิน เลยโวยวายเปลี่ยนเรื่องซะ

“จะยังไงก็เหอะ สรุปว่าพี่ภูน่ะ ขอคบด้วยความจริงใจ ไม่มีอะไรแอบแฝง ไม่เกี่ยวกับความรับผิดชอบใดๆทั้งสิ้น ความรักนะ ไม่ใช่ธุรกิจ ทำผิดแล้วจะได้ต้องชดใช้ ถึงพี่ภูจะเป็นนักธุรกิจเต็มตัวก็เถอะ แต่เขาก็แยกออกเสมอ เชื่อถือได้นะ”

นิศากรไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธออกมา หากแต่ในดวงตาคงความไม่แน่ใจอยู่ลึกๆ สายตาสแกนเนอร์จ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมใส ก็พบความไม่แน่ใจนั้นอยู่ แพรพรรณลอบถอนหายใจ เสียใจ

ไม่น่าปากไวและอยากรู้อยากเห็น จนไปสะกิดใจเพื่อนเข้าเลย น่ากระโดดเตะปากตัวเองนัก ยัยแพรเอ๊ย

แต่มันพลั้งปากไปแล้ว มีวิธีแก้อยู่ทางเดียวคือ ต้องทำให้นิศากรมั่นใจให้ได้ว่าภูดิสรักจริงๆ ไม่ได้ทำเพื่อสิ่งอื่นใดเลย เรื่องต่างๆทุกอย่างจึงถูกขุดคุ้ยมาหว่านล้อมเพื่อนสาว

“อย่าคิดมากน่า บอกแล้วว่าไม่รักก็ไม่ฝืนหรอก เราเป็นน้องนะ ก็ต้องรู้จักพี่ชายตัวเองดีสิ ถึงไม่บอกว่ารัก แต่ที่รีบตะเกียกตะกายไปหาเราสองคนเมื่อคืนก็เพราะเป็นห่วงมากใช่ไหมล่ะ แล้วยังหาข้ออ้างต่างๆนานาให้ไปหา ไปดูแลตอนเจ็บอีก ไม่ชอบก็คงปฏิเสธไปเรียบร้อยแล้ว แล้วยังที่ร้านอาหารอีกที่พี่ภูไปง้อ แล้วก็ยัง...”

“พอแล้วพอแล้ว รู้หมดทุกเรื่องนั่นแหละน่ะ” นิศากรรีบเบรก ก่อนที่เรื่องในอดีตทั้งหมดจะถูกงัดมาฟื้นความจำ

“รู้แล้วก็พิจารณาด้วย แล้วก็จะเห็นความรักและจริงใจของพี่ภู”

คำหว่านล้อมทุกอย่างดูจะได้ผลดี ใครบางคนบอกว่า สำหรับพวกผู้ชายแล้ว แปดสิบเปอร์เซนต์คิดว่าการกระทำสำคัญกว่าคำพูดทั้งนั้น หนึ่งในนั้นอาจรวมถึงคนตัวสูงตาคม เจ้าของแหวนวงเล็กบนนิ้วนางนี้

และในทางตรงกันข้าม ฝ่ายหญิงให้ความสำคัญกับคำพูด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการกระทำจะไม่สำคัญ ในเรื่องของความรัก ผู้หญิงทุกคนอยากได้ความมั่นใจจากคนรักทั้งนั้น ไม่มีใครอยากคิดเองเออเอง

แค่คำว่ารักเพียงคำเดียว เคยบันดาลให้คนเรามีพลังมากมาย เธอเองก็อยากได้ยินคำนั้นเหมือนกัน

เอาเถอะ สักวันเธอคงมีโอกาสได้ฟังนั่นแหละ ไม่รู้เมื่อไหร่ ภูดิสอาจจะคิดได้พรุ่งนี้แล้วก็รีบมาบอกก็ได้ แค่รอเท่านั้น

“โอเค เชื่อก็เชื่อ มันก็แค่คำคำเดียวแหละนะ ลืมๆไปบ้างก็ไม่หนักหนาอะไร” นิศากรยิ้มบางๆ ยักไหล่นิดๆทำท่าไม่ยี่หระ แพรพรรณเลยพลอยโล่งอก สั่งเค้กของโปรดมากินเพิ่มอีกสองชื้นสองสาวชนช้อนกันดังกิ๊งเป็นการฉลอง

“ยินดีต้อนรับหนูนิ เพื่อนซี้และว่าที่พี่สะใภ้เข้ามาสู่ครอบครัวของเราอีกชั้นหนึ่ง เย้ๆๆๆ”

นิศากรทำไม่รู้ไม่ชี้ แต่ว่าแก้มน่ะ แดงไปจนถึงแขนแล้ว



ส่วนเจ้าตัวคนที่ทำให้สองสาววุ่นวายก็จามเพราะโดนยกเป็นประเด็นถกเถียงนั่งในห้องประชุมถี่จนเลขาคุณแม่ยังสาวยื่นพาราเซ็ตตามอนมาให้สองเม็ดพร้อมน้ำอุ่นอีกหนึ่งแก้วโตๆ ที่ไปหามาระหว่างพักครึ่งการประชุมด้วยความหวังดี คิดว่าเจ้านายคงเป็นหวัดอาการเริ่มแรก

ภูดิสส่ายหน้าปฏิเสธ พลางยกมือแตะซอกคอและหน้าผาก สำรวจไข้ด้วยตัวเอง

“ผมไม่ได้เป็นหวัดนะ ไม่ต้องกินหรอก”

“งั้นจามแทบทุกห้านาทีทำไมล่ะคะ จะว่าแพ้ฝุ่นก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะก่อนหน้าจะประชุมก็สั่งให้แม่บ้านมาทำความสะอาดจนเนี้ยบแล้ว” นันทาวินิจฉัยแล้วเอานิ้วปาดโต๊ะประชุมตัวใหญ่ให้ดู ปรากฎว่านิ้วนั้นสะอาดหมดจด

“เอ ไม่รู้สิครับ แต่ผมแน่ใจว่าแข็งแรงดีนะ” ชายหนุ่มยืนยัน คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันนิดๆอย่างสงสัย

“หรือว่า จะมีคนคิดถึงคะ” ภูดิสมองคุณเลขาด้วยสายตาที่เป็นคำถาม นันทาจึงอธิบายไปว่า “อย่างที่เขาว่าเวลาเราจามแสดงว่ามีคนคิดถึงไงคะ”

ชายหนุ่มทำท่าคิดอยู่ชั่วครู่ มุมปากก็ขยับยกขึ้น ดวงตาคมเป็นประกายวับวาวเพราะใจกระหวัดไปถึงสาวน้อยผมยาว ดวงหน้าหวานใสกับตากลมๆ ผิวขาวนวลเนียนมีสีแดงอ่อนระเรื่อที่สองข้างแก้ม สาวน้อยที่พยายามตีหน้าดุกลบความเขิน ไม่ได้ตั้งใจแกล้งจ้องมองตลอดเวลาหรอกนะ แต่มันอดไม่ได้จริงๆ ทานอาหารร่วมโต๊ะกันมาก็หลายหน แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่ทำให้เขารู้สึกว่าจะอิ่มทั้งท้อง ตาและใจได้ขนาดนี้เลย

นันทามองเห็นรอยยิ้มสดใสๆของเจ้านายแล้วก็ยิ้มตาม ในใจอยากซักถามให้รู้ แต่จากสถานภาพและระดับความสนิทสนมรู้สึกจะไม่สมควร อาจมีบ้างที่ยิ้มแย้มล้อเล่นกันเป็นการคลายเครียด หากก็นั่นเป็นบางครั้งคราวเท่านั้น บุคลิกท่าทางสุภาพนิ่งๆสงบๆนั้น ทำให้คนรู้สึกเกรงใจและอีกอย่างการเป็นลูกน้องที่ดี ไม่ควรสอดรู้สอดเห็นเรื่องส่วนตัวเจ้านาย นอกจากเรื่องมันผ่านมาให้เห็นเอง

ใครกันที่ทำให้เจ้านายเธอยิ้มกริ่ม ตาพราวได้ขนาดนี้ เลขาสาวไม่แน่ใจนักว่าจะเป็นอย่างที่หวังรึเปล่า สาวน้อยน่ารักคนนั้น เพื่อนสาวของเจ้านายหญิงคนเล็ก ผู้หญิงคนแรกที่ชายหนุ่มพามาถึงห้องทำงาน คนตัวเล็กหน้ามุ่ยแลบลิ้นไล่หลังผู้ชายในฝันของสาวๆ หน้าบึ้งไม่พอ หนักเข้าก็วิ่งหนีเอาเสียอย่างนั้น น่าตลกดีแท้ ที่คนวิ่งหนีผู้หญิงสาวๆสวยๆกลับต้องมาวิ่งตามผู้หญิงตัวเล็ก

ผู้ร่วมประชุมต่างทยอยกลับเข้าสู่ที่ของตน เป็นสัญญาณการเริ่มประชุมอีกครั้ง ประธานที่จามไม่หยุดเมื่อครู่ ตอนนี้หายแล้ว แต่มุมปากที่แย้มละมุนเมื่อครู่กลับคลายลง คิ้วขมวดน้อยๆด้วยซ้ำ เจ้าตัวรู้ว่าไม่ใช่เพราะปัญหาที่กำลังถกกันอยู่ขณะนี้ หากแต่เป็นเพราะชายหนุ่มกำลังคิดว่า สาเหตุที่ตัวเองหยุดจาม เพราะไม่มีใครคิดถึงน่ะสิ!



-----------โปรดติดตามตอนต่อไป-------------


//punnarm-farin.bloggang.com


*;...คุยกันนิดหน่อยกับฟ้าริน...;*
ฟ้ารินไปตะลุยงานคอมมาร์ทมา คนเยอะมากกกกกกกค่ะ เยอะกว่างานหนังสือเสียอีก งานนี้ก็เสียไปหลายค่ะ เฮ้อ จนๆๆๆๆ แต่ก็มาพร้อมหน้าจอใหม่ ไฉไลกว่าเดิม แล้วก็ได้มานั่งพิมๆๆๆอยู่อย่างนี้แหละค่ะ

ปัญหาหมดไปพร้อมกันกับเวลาเปิดเทอม โอ๊ยๆๆๆๆๆ นี่มันไม่ใช่ปิดเทอมนี่นา ปิดเทอมน่ะ มันต้องนานๆๆๆๆๆๆสิ นี่มันแค่14วันเองอ้ะ ฮือๆๆๆๆ ปิดกับเปิดเทอมนี่มันไม่ได้ต่างกันเล้ย มีงานให้ทำไม่หยุดสิน่า น่าเห็นใจไหมคะ ทุกคน

kakok_riwkiw - โอย หวิดไป คิดถึงหมดนัดเหรอจ๊ะ เดี๋ยวนะ ไปตามมาให้

keroobob - นั่นสิคะ ดีใจมากไปจนลืม อย่านี้มันน่าเอาคืนเน้อ

azui07 - ไปเยี่ยมบล็อคแล้วนะคะ

Ormmie - 555 คนมันกำลังดีใจเลยคิดไรไม่ออก เหมือนฟ้าริน ดีใจได้จอใหม่เลยลืมกินข้าวเลย มัวแต่ประเดิมของใหม่อยุ่

วิมานเพธยาธร - ใช่ค่ะ บางทีมันก็พูดยากนา จะพูดยังไงให้ซึ้งจริงๆว่า รัก




Create Date : 06 พฤศจิกายน 2550
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2551 17:37:00 น.
Counter : 234 Pageviews.

2 comment
จัดรักให้ลงล็อค บทที่24





บทที่24


หลังจากกวาดสายตาหามารดากับพี่ชายแล้วไม่พบ ซักไซ้กับคนรับใช้ในบ้านก็ได้เรื่องแค่ว่า ทั้งสองคนพร้อมใจกันตื่นแต่เช้า ควงแขนกันยิ้มกริ่มออกไปจากบ้าน ปฏิเสธอาหารเช้าที่กำลังจะเตรียมขึ้นโต๊ะ หากจะไปที่ไหน ไม่มีใครบอกสักคน

แพรพรรณได้แต่สงสัย หงุดหงิดใจเป็นกำลัง ทั้งแม่ทั้งพี่ชาย ต่างพากันปล่อยเธอทิ้งไว้ให้นอนแบ็บอยู่กับบ้าน เมาค้างจากค็อกเทลรสนุ่มแต่ฤทธิ์บาดสมองนัก บ้านหลังใหญ่เหลือสาวน้อยผู้น่าสงสารต้องอยู่บ้านคนเดียว อ่อ...ไม่สิ มีตาคนตัวดำอยู่ด้วย

ไม่รู้จักกลับบ้านกลับช่องตัวเองไปเสียที รำคาญจะแย่อยู่แล้ว!

แพรพรรณขุ่นเคือง

อย่างกับกดรีโมทเปลี่ยนช่องทีวี จากละครโศกเศร้า น้ำตาแทบหยดแหมะ เป็นหนังสงครามตอนนายทหารสั่งการเสียงลั่นๆ ธเนศทำคิ้วขมวด เหมือนนึกอะไรได้ เขาเหลือบมองนาฬิกาแล้วลุกพรวดพราด

“สายขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย หิวไหม?” คนตัวสูงยืนสูงท่วมหัว แพรพรรณที่นั่งบนโซฟาต้องแหงนคอตั้งบ่า ส่ายหน้าปฏิเสธ


“ปวดหัว อยากนอน” หญิงสาวยกมือกุมขมับ

“ไม่ได้ ต้องกิน” หนุ่มผิวน้ำผึ้งก้าวพรวดๆไปหายไปทางห้องครัว ไม่นาน

“แบบนี้คนป่วยที่ไหนจะทานได้ ฝืดคอตาย ยิ่งไม่อยากกินอยู่ ข้าวต้มสิ ทำข้าวต้มร้อนๆมา” เสียงห้าวบ่นแกมสั่งดังมาจากห้องอาหาร

แล้วก็โผล่หน้ามา พร้อมแก้วใบเล็กในมือ อะไรบางอย่างในนั้นคงร้อน เพราะมีควันกรุ่นลอยเหนือแก้วมา พอหนุ่มผิวน้ำผึ้งทรุดลงนั่งข้างนั่นแหละ จึงเห็นและได้กลิ่นกาแฟดำเข้ม ขนิดที่ดื่มเข้าไปคงตาค้างแข็งไปข้ามวันข้ามคืนเลยก็ได้


“เอ้า ดื่มซะ” มือใหญ่ยื่นมาตรงหน้า หากมือเล็กขาวผลักออก ธเนศเลยหน้ายู่ ไม่พอใจ

“ทำไม ดื่มสิ แก้เมาค้างได้นะ”

“ไม่เอา ขมแน่ๆ” หญิงสาวชะเง้อมาดูแล้วถอยออก เบ้ปากให้

“ไม่ขมเท่าไหร่ ใส่น้ำตาล กินเหอะ” ธเนศคะยั้นคะยอซ้ำ แต่แพรพรรณก็ยังส่ายหน้า

“เธอเป็นโรคจิต ซาดิสต์ชอบความเจ็บปวดหรือไง ทรมานตัวเองอยู่ได้ อุตส่าห์หายามาให้แล้วยังไม่ยอมกินอีก” หนุ่มผิวน้ำผึ้งมองอย่างไม่เคลือบแคลง สงสัย

“บ้า!ไม่ได้โรคจิตนะ”

“ไม่ใช่ก็กินเสียสิ กิน เร็วๆเข้า” คราวนี้เลยดุเข้าให้ แพรพรรณดึงมากรอกเข้าปาก ความขมแผ่ซ่าน ติดลิ้นไม่ยอมหาย สงสัยที่ว่าแก้เมาค้างได้ ท่าจะเป็นขมจนลืมอย่างอื่นมากกว่า เลยนึกว่าหาย

“ดีมาก”

ไม่หมดเท่านั้น ท่าทางจะลืมไปแล้วว่าตัวเองเป็นเจ้าของสปอร์คลับ ไม่ใช่ผู้บังคับบัญชาที่สั่งๆๆๆๆ

“กินเข้าไปอีก กินได้นิดเดียวเดี๋ยวยาก็กัดกระเพาะ”

“ไม่เอาแล้ว” พออาหารลงท้อง อาการผะอืดผะอมก็เริ่มกำเริบ ยิ่งธเนศสั่งให้เติมของใหม่เข้าไปมากเท่าไหร่ ก็อยากจะขย้อนเอาของเก่าออกมากเท่านั้น

“ไม่ได้ ต้องกิน เดี๋ยวทานยาแล้วนอนพัก” สั่งอีกแล้ว น่ารำคาญ หนวกหูชะมัด!

“นอนพักเลยแล้วกัน” แพรพรรณบอกเสียงสะบัด ทำท่าลุกแล้วก็ต้องทิ้งตัวลงตามเดิม มือใหญ่กดไหล่ไว้ บอกเสียงเย็น

“ไม่ได้ กินข้าวซะ ให้หมดด้วย ไม่งั้นกินยาไม่ได้ จะแสบท้อง ต้องไปโรงพยาบาลนะ” ประโยคหลังออกขู่กลายๆ แพรพรรณตวัดตามอง โรงพยาบาลน่ะไม่กลัว แต่กลัวเลือดในโรงพยาบาลต่างหาก ที่นั่นน่ะมีเลือดเต็มไปหมด น่าขนลุกจะตายไป มือแข็งแรงตักข้าวต้มรอจ่อที่ปากเล็กยื่นอย่างไม่พอใจ

บ้าๆๆๆๆๆๆๆๆ!!

“เจ้าภู ไปบ้านหนูนิกับแม่เธอ” เสียงห้าวบอกลอยๆ ทำท่าพอใจมองชามข้าวต้มว่างเปล่า

“หือ?ว่าไงนะ ไปทำอะไรแต่เช้า” แพรพรรณซักอย่างสนใจทันที

“ไม่รู้ ถามไม่ทัน แต่เมื่อคืนเห็นมันยิ้มกริ่มพิลึกตอนกลับเข้ามานอนอีกที” แพรพรรณขมวดคิ้วยุ่ง “นอนมองแหวนที่นิ้วแล้วก็ยิ้ม ประหลาด” ธเนศว่าแล้วส่ายหัว ไม่เข้าใจ ไม่ถามด้วย เพราะตอนนั้นเขายังอยู่ในอาการสติแตกน้อยๆอยู่ เลยไม่อยากสนใจอะไรเท่าไร่

“แหวน แหวนอะไร ทำไมต้องมองด้วย”

“ไม่รู้สิ วงเล็ก เหมือนแหวนผู้หญิง” ธเนศวิเคราะห์พลางส่งยาแก้ปวดให้สองเม็ดแล้วชะงัก แพรพรรณทบทวนแล้วจัดการปะติดปะต่อเรื่องทุกอย่างเข้าด้วยกัน ตั้งแต่แม่กับพี่ชายรีบออกจากบ้านไปแต่เช้า ที่สำคัญไปบ้านหนูนิ ภูดิสนอนมองแหวนที่เหมือนแหวนของผู้หญิง ไม่มีข้อมูลไรมากไปกว่านี้ แต่รู้สึกสังหรณ์ใจยังไงไม่รู้ ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายแน่นอน เพราะภูดิสไปบ้านนิศากร สองคนนั้นไปทำไม พี่ชายนอนยิ้มกริ่ม

อะไรกันนะ สงสัยๆๆๆๆ

ว่าแล้วก็ไม่ยอมปล่อยความสงสัยไว้นานตามนิสัย อยากรู้อะไร เป็นต้องรู้ให้ได้ แพรพรรณเดินตัวปลิวไปคว้าโทรศัพท์ต่อสายตรงรี่ไปหาคนที่ต้องการทันที พี่ชายของตัวนั่นแหละ แล้วก็ต้องหงุดหงิดที่ปลายสายไม่ยอมรับโทรศัพท์ ด้วยเหตุใดไม่ทราบ แต่สันนิษฐานไว้ก่อนเป็นอันดับแรกว่า คงเป็นเพราะกำลังง่วนกับงานตรงหน้า หากผิดไปจากนี้เป็นอยากแกล้งอมความละก็ ฮึ่ม!

ไม่ได้ประโยชน์จะรอต่อไป จึงเปลี่ยนเป้าหมาย คราวนี้เป็นมารดา คุณลักษิกาตอบรับเสียงใสก็ไม่รอช้า ซักไซ้ไล่เรียงเรื่องราวทันที ฟังอยู่ไม่นานนัก ก็ร้องกรี๊ดกร๊าดกระโดดโลดเต้นจนคนตามมาใกล้ด้วยความเป็นห่วง กลัวแม่สาวร่างเล็กจะร่วงผลอยลงไปกองกับพื้นอีกรอบเกาหัวยิกๆ

“สำเร็จแล้ว สำเร็จแล้ว เย้!” แพรพรรณร้องตะโกนดังลั่น ดวงตากลมโตพราวระยับอย่างตื่นเต้น ดีใจ หายป่วยเป็นปลิดทิ้ง

“รู้ไหมๆๆๆๆๆ สองคนนั่น ลงเอยกันได้แล้ว เย้!”

“หา!! จริงเหรอ ตอนไหนกันล่ะเนี่ย”

ไม่มีคำตอบนอกจากอาการยิ้มกริ่มจากแพรพรรณ หน้าบานเป็นจานเชิงอย่างถูกอกถูกใจ มองๆไปแล้ว ธเนศก็แน่ใจ หน้าอย่างนี้แหละ เหมือนภูดิสเมื่อคืนไม่มีผิด หนุ่มผิวน้ำผึ้งเกาหัวอีกรอบ เมื่อจับแพรพรรณที่บิดตัวไปมาทำท่าเขิลแทนเพื่อนสาวให้อยู่นิ่งๆได้

“ไม่ปวดหัวแล้วเรอะ”

“ไม่ หายแล้ว สบายดีสุดๆเลยด้วย” แพรพรรณฉีกยิ้มกว้างตาโตเป็นประกายแป๋วตอบมา น่ามองกว่าตอนหน้าบูดเป็นไหนๆ



นิศากรสะดุ้งวูบสุดตัว ชุดสวยในมือที่เพ่งพินิจรายละเอียดแทบทุกฝีเข็มเพื่อทำสมาธิกับจิตใจที่ไม่ค่อยอยู่กับตัวตั้งแต่เรื่องตื่นเต้นคาดไม่ถึงเมื่อคืนจนเช้าและเพิ่งทำได้เมื่อไม่ถึงชั่วโมงที่ผ่านมาหลุดผล่อยลงพื้น ต้นเหตุจากมือถือเครื่องจิ๋วที่แนบสนิทกับต้นขาสั่นเป็นสัญญาณเรียกเข้าจากใครคนหนึ่ง หญิงสาวลูบอกตัวเองผ่อนลมหายใจยาว ควักมือถือเจ้ากรรมมากดรับพลางเก็บเสื้อตัวสวยขึ้นจากพื้น

“ว่าไงแพร ตื่นแล้วเหรอ เป็นไงบ้าง” นิศากรซักถามด้วยความเป็นห่วง แต่อีกฝ่ายไม่ยักตอบคำถาม กลับถามอีกคำถามกลับมาด้วยซ้ำ ทักทายด้วยคำที่ทำให้เธอร้อนวูบที่แก้มและหัวใจเต้นตึกตักอีกครั้ง

“คุณว่าที่พี่สะใภ้ แว่วๆว่าหัวแตกเป็นไงบ้าง เจ็บมากรึเปล่าหนูนิ”

“...”

“เอ๋ ฮัลโหลๆ เฮ้ หนูนิยังอยู่รึเปล่า ฮัลโหล พี่สะใภ้” คำตอบเงียบหาย ทำให้แพรพรรณลองเคาะหูโทรศัพท์แล้วเงี่ยหูฟังอีกที เผื่อมีข้อขัดข้องทางเทคนิคในตัวเครื่องก็ได้

“บ้า! แพรบ้า เหมือนกันทั้งพี่น้องเลยเชียว”

“แน้ มาว่าเราเสียแล้ว” ท้ายประโยคมีเสียงหัวเราะคิกคักแว่วมาให้ได้ยิน นิศากรเลยเงียบไปอีก ไม่ตอบโต้ให้เข้าตัวอีกจะดีหว่า ทนเอาหน่อย เดี๋ยวก็เลิกไปเอง ละมั้ง?

“อ้าว ไม่คุยกับเราเสียแล้ว ไม่เอาละ เลิกล้อก็ได้ เปลี่ยนเป็นเรื่องอื่นที่น่าสนใจกว่านี้จะดีกว่า...” สุ้มเสียงมีเลศนัยแล้วเว้นช่วง แล้วต่อด้วยขู่บังคับ “เล่ามาเสียดีๆ เร็วๆเข้า ไม่งั้นล่ะก็จะงอนด้วย”

“เรื่องอาไร้” นิศากรทำไขสือเลี่ยงประเด็นไปอีก “ไม่เห็นจะมีอะไรน่าสนใจไปกว่าเรื่องนางเมรีขี้เมา เมาไม่รู้เรื่อง ไม่สะดุ้งสะเทือนบ้างเลยรึไงรถชนโครมเข้าไปขนาดนั้น อยากรู้จริงๆเชียว ไอ้ที่แพรกินเข้าไปนั่นมันใส่สารอะไร”

“แฮะๆ ก็คนมันคออ้อน จริงสิหนูนิเป็นไงบ้าง เจ็บตรงไหนบ้างรึเปล่า”

ความทรงจำที่ประติดประต่อไม่ครบถ้วนที่บันทึกในสมองมีเพียงคำบอกเล่าจากหนุ่มผิวน้ำผึ้งที่สติสัมปชัญญะไม่ครบเหมือนกัน เนื่องเพราะความหวาดกลัวในอดีต ที่นึกขึ้นทีไรก็พาให้ธเนศอยากลบมันทิ้งไปให้หมดสิ้น แต่ยังไงก็ไม่อาจทำได้ และคิดว่าชาตินี้เหตุการณ์เลวร้ายครั้งนั้นคงติดกับตัวเขาไปจนตาย แพรพรรณนึกสงสารจับใจ แต่ก็ไม่รู้จะช่วยได้อย่างไร ได้แต่ปลอบประโลมเท่าที่สามารถทำได้ก็เท่านั้น

“ก็...หัวแตกนิดเดียว สงสัยมันคงกระแทกเข้ากับพวงมาลัยตอนรถชน นอกนั้นก็ปกติดี“

“มันน่าวิสามัญซะให้หมดเลยทีเดียว เลวจริงๆ อย่างนี้มันเรียกพวกสวะสังคม อยู่ไปก็รกพื้นที่ประเทศไทยเสียเปล่าๆ” แพรพรรณทำน้ำเสียงเดือดดาล คาดหมายในใจอย่างที่พูด หากเมื่อใดได้เป็นตำรวจจริงๆ จะทำอย่างนั้นให้ดู

“เอาเถอะน่า พวกเรารอดมาได้ก็บุญแล้วนะ คิดแล้วยังใจสั่นไม่หาย ตื่นเต้นกว่าตอนดูสปีดเสียอีก เร็วท้านรกให้ความรู้สึกอย่างนี้นี่เอง”

คนพูดหัวเราะร่า แต่คนฟังทำท่าขนลุกขนพอง การขับรถกับแพรพรรณเป็นของแสลง ให้ตายยังไงก็ไม่เอา ความสามารถด้านนี้ของแพรพรรณ ขนาดภูดิส พี่ชายผู้ใจเย็นสงบขรึมยังบ่นพึมทั้งวัน หลังจากหัดน้องสาวคนเดียวให้ขับรถ นอกจากไต่ต้วมเตี้ยมแล้ว ยังปัดซ้ายปัดขวาไปตลอดทาง คนนั่งข้างถึงกับต้องลงมานั่งพักข้างทางแก้เวียนหัว เตะความคิดเรื่องหัดขับรถให้น้องสาวลงคูข้างทางแล้วกลับขึ้นรถขับฉิวไม่เหลือบแลคูนั้นอีกเลย

“อะฮึ่ม หมดเวลาเฉไฉลากเรานอกเรื่องเสียที” แพรพรรณตัดบท โยงเข้าเรื่องที่ตัวเองอยากรู้เต็มแก่โดยเร็ว

“เล่ามาๆๆๆๆๆ เกิดอะไรขึ้นเมื่อคืนนี้บ้าง และที่สำคัญ ลีลาสารภาพรักของพี่ภูเป็นยังไง หนูนิครับ พี่ตกหลุมรักหนูนิซะแล้ว เรามาเป็นแฟนกันเถิดนะครับ แบบนี้ หรือว่า พี่รักหนูนิครับ ได้โปรดมาเป็นแฟนพี่จะได้ไหมครับ”

แพรพรรณทำเสียงทุ้มนุ่มนวลเลียนแบบพี่ชาย คราวแรกยืมบทหนุ่มเฮี้ยวสุดเซอร์จากละครเกาหลีมา ส่วนอันหลังยกมาจากนวนิยายสุดซาบซึ้ง เสียงหวานใสคงจะแหวดังมาอีกแน่ๆ หากแต่รอแล้วรอเล่า แพรพรรณก็ไม่ได้ยินคำพูดใดๆตอบกลับมา

ส่วนคนที่ถูกถามได้แต่นิ่งงัน ไม่ใช่ว่าเขินอาย หากแต่ไม่รู้จะตอบไปว่ายังไง!

ภูดิสขออนุญาตคบหาหญิงสาวกับคุณกังสดาล ไม่ได้ของนิศากรสักหน่อย เธอยังไม่ได้ยินคำว่า ’รัก’ ใดๆหลุดออกจากปากเขาสักคำ สองคนนั้นตกลงกันเองเสร็จสรรพ ไม่ได้ถามคนที่นั่งตะลึงตาค้างอยู่ในกองผ้าห่มสักคำ

“หนูนิ จะทรมานเราไปถึงไหน เล่ามาสิๆๆๆ”

“แพร...” นิศากรเรียกเพื่อนเสียงแผ่ว

“หือ? ว่าไงหนูนิ”

“คือ...พี่ภู...”

“ฮื้อ” แพรพรรณส่งเสียงขัดใจเร่งอีกครั้ง”ว้า อ้ำๆอึ้งอยู่นั่นแหละเร็วๆเข้าซี่”

“ไม่มี ไม่มีเลยแพร พี่ภูไม่ได้พูดอย่างนั้นสักคำ”

“เอ๋? หมายความว่าไง อย่าบอกนะว่าพี่ภูไม่ได้สารภาพรักหนูนิน่ะ” เสียงเล็กตะโกนก้อง

“อือ” นิศากรรับเสียงอ่อย

“ได้ไงล่ะเนี่ย ไม่เอาล่ะ คุยโทรศัพท์ไม่รู้เรื่อง เดี๋ยวเราจะไปหาหนูนิเดี๋ยวนี้ พอเจอหน้ากับต้องเล่ามาให้หมดเชียว ห้ามปิดบังเด็ดขาด!” แพรพรรณสั่งเสียงเขียว ชักจะเริ่มปวดหัวขึ้นมาอีกทีแล้วสิ


-----------โปรดติดตามตอนต่อไป-------------


//punnarm-farin.bloggang.com


*;...คุยกันนิดหน่อยกับฟ้าริน...;*
ซวยอีกแล้วค่ะ คุณผู้อ่านทุกท่าน ขณะนี้ จอมอร์นิเตอร์ของฟ้าริน มีอาการประหลาดพิลึกกึกกืก บางทีก็ติด บางทีไม่ติด ทำให้การส่งตอนต่อไปนี้ล่าช้าจนเกินลิมิตหนึ่งอาทิตย์ ต้องขอโทษทุกคนด้วยค่ะ วันนี้ลองเปิดดูปรากฎว่ามันขึ้นเลยรีบชิงพิมพ์ๆๆๆๆๆ แล้วก็เอามาส่งก่อน หากต่อจากนี้เป็นอะไรขึ้นมาอีก ฟ้ารินหายไปอีก ก็เป็นอันว่า หน้าจอดับสนิทค่ะ เฮ้อ เซ็ง

Ormmie - แฮะๆ ไม่รุ้เหมือนกันค่ะ อันนี้ต้องสืบต่อไปนะคะ

kakok_riwkiw - โอ๊ย เซ็งอ่ะ หน้าจอดับวูบ หน้ามืดไปเลย แล้วก็เจ้าtagนั่น ไม่มีประโยชน์ต่อการอ่านเลยสักน้อยเนอะ 555

Pim - อ้าว ลุ้นนายดำเหรอคะ เอาเลยค่ะ ช่วยลุ้นก็ดี เพราะดูท่าสองคนนี้จะไม่ค่อยรู้ตัวเองสักท่าไหร่ มัวแต่ยุ่งเรื่องคนอื่นเขา

icemermaid - ขอบคุณที่เข้าเยี่ยมค่ะ เดี๋ยวจะไปบุกบ้างนะคะ

null - มาแล้วค่ะ ขอโทษค่ะที่ให้คอย มีการผิดพลาดจริงๆ ไม่ได้ตั้งใจนะคะ




Create Date : 31 ตุลาคม 2550
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2551 17:51:23 น.
Counter : 337 Pageviews.

5 comment
จัดรักให้ลงล็อค บทที่23






เพราะฉะนั้นรอยอุ่นจากเจ้าของแหวนที่ยังติดอยู่กับโลหะเนื้อลื่น จึงสร้างความอบอุ่นจากปลายนิ้วไปจนถึงหัวใจเธอเช่นกัน

“พี่จองไว้ด้วยแหวนวงนี้แล้วนะ รู้ไหมครับ” หญิงสาวไม่ตอบ กลับก้มหน้างุดซ่อนรอยแดงบนผิวแก้มที่เพิ่มมากขึ้นทุกทีราวกับจะเป็นไข้

“สวัสดีตอนเช้าอีกครั้งครับ หนูนิของพี่” เสียงทุ้มกระซิบทักทายด้วยคำหวานอย่างอ่อนโยน ทำเอาใจที่เต้นตึกตักอยู่แล้ว ยิ่งเต้นแรงเข้าไปใหญ่ คนฟังต้องสูดหายใยเข้าแรงๆแล้วกลั้นไว้ก่อนผ่อนออกเบาๆ เพื่อบังคับให้จังหวะหัวใจช้าลงก่อนมันจะวายตายไปเสียก่อน

ไม่นึกเลยว่าคนนิ่งๆเฉยๆจะเป็นได้ถึงขนาดนี้ ก่อนหน้านี้ก็มีบ้างหรอก แต่มันก็แค่นิดๆหน่อยๆ ไม่ได้โจ่งแจ้ง แถมเธอยังสามารถแก้ลำได้โดยไม่ลำบากอะไรเท่าไหร่เลย แต่วันนี้ไหงเป็นหนักขนาดนี้ได้นะ ไม่ไหวๆๆๆ หัวใจจะระเบิดตายอยู่แล้ว ฮึดหน่อยหนูนิ สงบสติหน่อย

“ทำอะไรครับ” ภูดิสมองคนหลับตาหน้าแดงอย่างสงสัย คนกำลังทำสมาธิกระพริบตาปริบๆขึ้น กลืนน้ำลายเอือก

“มองอะไรคะ” นิศากรชักหงุดหงิด ถอยหลังหนีคนชอบยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผิดปกติ จึงถามอย่างหาเรื่องซะอย่างนั้น อย่างน้อยก็แก้เขินได้หน่อยล่ะ ภูดิสเลิกคิ้วฉงน

“ไปทานข้าวสิคะ ไม่หิวหรือไงคะ” เสียงใสดุเอาทั้งยังหน้าระเรื่อ

“ก็นิดหน่อยครับ”

“งั้นก็รีบไปทานเข้าสิคะ เดี๋ยวก็ไปทำงานสายกันพอดี” คนตัวเล็กทำหน้าขึงขัง ดุแกมสั่งติ๊ต่างว่าชายหนุ่มเป็นเด็กตัวเล็กๆที่ต้องกวาดต้อนให้รีบทานอาหารให้เสร็จก่อนรถโรงเรียนจะมารับ

“เร็วๆสิคะ” นิศากรเรียกซ้ำหลังนำหน้าเขาไปก่อน หากติดที่มือน้อยยังถูกเกาะกุม แกะก็ไม่หลุดจึงยังไปไหนไม่ได้

“ดุอีกแล้ว ทำไมเดี๋ยวนี้ดุบ่อยจังเลย พี่กลัวจะแย่แล้วนะ” น่าเชื่อมากเลย ทั้งน้ำเสียงและหน้าตาที่หญิงสาวใช้หางตาเหลือบๆดู ไม่กล้ามองตรงๆสักที มันช่างตรงข้ามกับสิ่งที่พูดมาโดยสิ้นเชิง

ขี้เล่นเกินไปแล้ว นิศากรคิดอย่างขุ่นเคือง แก้มป่องนิดๆ เพราะเสียงหัวเราะเบาๆ

“โอเค ไปทานข้าวดีกว่าครับ ท้องร้องแล้ว” คราวนี้คนรั้งร่างเล็กไว้แต่แรกกลายเป็นคนดึงเธอไปร่วมโต๊ะที่สองมารดารออยู่แล้ว แถมยังซุบซิบกัน เสียงหัวเราะระรื่นเมื่อคุณลักษิกาชี้ชวนคุณกังสดาลให้ดูแหวนวงเล็กที่นิ้วนางซ้ายของนิศากร







บทที่23


“โอย...หัวจะระเบิด แม่ขา ช่วยด้วย ปวดหัวจังเลย”

แพรพรรณร้องหามารดาเหมือนเด็กตัวน้อย คราวแรกที่ลืมตาตื่นมากฌยังไม่รู้สึกอะไร จนแพรพรรณนึกแปลกใจว่าไม่เห็นเป็นอย่างที่เขาเล่ากันเลย หรือว่าเธอจะเป็นข้อยกเว้น อาการแฮ้งค์หลังดื่มแอลกอฮอล์ ดีจังเลยแฮะ

จนกระทั่งขยับตัวลุกขึ้นนั่งนี่แหละ อาการปวดแล่นจี๊ดจากไหนไม่ทราบ พุ่งขึ้นสมอง จากจุดเล็กลามไปทั้งศีรษะอย่างรวดเร็ว หญิงสาวหลับตานอนนิ่ง เผื่อจะช่วยลดความมึนได้ หากไม่เป็นผลสักเท่าไหร่นัก ไพล่คิดโทษโน่นนี่นี่เป็นสาเหตุของความเจ็บปวดครั้งนี้เป็นชุดยาวเหยียด

ไอ้เพื่อนบ้า พวกแกใจร้าย รู้ว่าฉันคออ่อน ไม่มีใครห้ามฉันเลยรึไงปล่อยให้ฉันกินเอาๆใช่ไหมเนี่ย พวกแกไม่รักฉัน หรือตั้งใจจะแกล้งฉันใช่ไหม ฮือ ปวดหัวอ่ะ แม่จ๋า ช่วยแพรด้วย ปวดหัวจังเลย อ้อ!แล้วอีกหนึ่งกระทง คือพวกแกชวนฉันคุยแข่งกับเสียงเพลงทำไม ฉันเจ็บคอก็ต้องหาน้ำกินน่ะสิ


ไอ้ค็อกเทลบ้า แกใช้ความอร่อยมาหลอกลวงฉัน แกใช้สีสวยๆมาลวงตาฉัน ทำให้ฉันหลงใหลไปกับแกจนไม่คิดถึงพิษร้ายที่ซ่อนอยู่ในตัวแก แก แกหลอกให้ฉันติดกับแก แง้...

ต้องโทษคนทำด้วย นิสัยไม่ดี ทำรสชาติดีเกินไป เลยพาให้กระดกไปเรื่อย ลืมสนใจว่ามันมีส่วนผสมของน้ำเมา ส่งผลต่อร่างกายอย่างรุนแรง ไม่เอาแล้ว คราวหลังไม่กินแล้ว

หญิงสาวตั้งปณิธานในใจ กลิ้งเกลือกเอาหัวกดลงในหมอน เคาะขมับปึ้กๆ แล้วสูดหายใจเข้าแรงๆ รวมพลังยันตัวขึ้นจากที่นอน ไปหาน้ำเย็นๆราดหัว อาบน้ำให้สดชื่น บางทีอาจช่วยได้บ้างกระมัง

“แม่ขา ช่วยแพรด้วย ปวดหัวเหลือเกิน” แพรพรรณร้องโอดโอยไต่ลงบันได มือข้างหนึ่งเกี่ยวกระเป๋าใบงามเช้ากับสีชุด หน้าตาที่ตกแต่งไว้อย่างมีสไตล์มองยังไงก็ยังดูซีดกว่าปกติอยู่ดี ทั้งเจ้าตัวยังทำเหมือนลืมตาไว้ได้แค่ครึ่งๆขณะก้าวลงขั้นบันไดแบบอาศัยความเคยชิน ท่าทางสะโหลสะเหลจะล้มลงพับเสียให้ได้

“ใครก็ได้ ขอยาแก้ปวดหน่อย” เสียงเล็กพยายามตะโกนร้องหายาสามัญประจำบ้านจากคนในบ้าน หย่อนขาลงบันไดมาเรื่อย


จนเกือบถึงขั้นสุดท้ายแล้วเชียว!

ร่างบางเกิดขาอ่อนเอาง่ายๆเสียอย่างนั้น ดิ่งวูบคะมำลงมาไม่ทันรู้ตัว ไม่ทันได้ส่งเสียงร้องเสียด้วยซ้ำ หัวใจเสียววูบ ได้แต่หลับตาปี๋รอคอยว่าคงได้แผลอีกแน่ๆเชียว แต่ความรู้สึกเจ็บอย่างที่รออยู่กลับไม่มีเลย

จนแพรพรรณคิดว่าจริงเสียแล้ว ที่ว่าแอลกอฮอล์ทำให้ประสาทสั่งการมีประสิทธิภาพลดลงสี่สิบเปอร์เซนต์ ตอนนี้ตัวเธอสมควรจะรู้สึกได้แล้วว่าต้องเจ็บแน่ๆ หัวเข่า แขน ขา ตรงไหนสักแห่ง

แต่...

“เฮ้อ!” เสียงถอนใจดังเฮือก

เอ๋ ไม่เจ็บแฮะ แล้วเสียงใครถอนใจล่ะเนี่ย เอ...กลิ่นคุ้นๆแฮะ

แพรพรรณลืมตาขึ้นมอง เห็นเพียงเสื้อเชิ้ตลายคุ้นตา หญิงสาวซุกหน้าลงดมกลิ่นจากเสื้อนั่นก็คิดได้ว่าคงเป็นพี่ชายตัวแน่ๆ แรงรัดที่เอวกับอกกว้างๆตรงหน้าทำให้เธอคิดได้ว่าพี่ชายคงช่วยรับเธอเอาไว้ได้ แล้วก็คงถอนใจ เบื่อกับความซุ่มซ่ามปัญญาอ่อนจนตกบันได้บ้านตัวเอง

เดี๋ยวก็คงได้ยินเสียงบ่นแน่ๆ ไม่เชื่อคอยดูสิ ขี้เกียจฟังชะมัด อ้อนว่าป่วยหนักดีกว่า ไม่ได้ทำสำออยนะ ก็คนปวดหัวจริงๆนี่นา

ลำแขนเล็กสองข้างโอบคอร่างสูงของคนที่คิดว่าเป็นพี่ชาย ซุกหัวกับอกแข็งแรง เอนพิงเต็มที่เหมือนตอนเด็กๆที่เคยอ้อนให้พี่ชายอุ้มไปส่งบนห้องนอนเพราะขี้เกียจเดิน เสียงเล็กบอกอ่อยๆเรียกร้องความสงสารเต็มที่

“ปวดหัวจังเลย”

“เฮ้ย ท...ทำอะไรน่ะยัยเปี๊ยก ยัง...ยังเมาไม่หายหรือไง” เสียงห้าวตะกุกตะกักตั้งข้อสัญนิษฐาน

แพรพรรณเงยหน้าขึ้นดูคนที่เธออ้อน คิ้วเรียวขมวด เพราะสะดุดหูกับสรรพนามที่ใช้เรียก แล้วยังเสียงอีก เสียงห้าวๆอย่างนี้ ไม่เหมือนพี่เธอเลย แต่มันเหมือนเสียงเพื่อนพี่ชายเสียละมากกว่า แล้วยิ่งเมื่อเห็นถนัดชัดตาว่าต้นคอที่เธอเกาะอยู่เป็นของใคร หญิงสาวก็หน้าแดงแซ๊ด หดมือกลับลงมาแทบทันที กระเด้งตัวออกมาห่างไปเกาะหัวบันไดแทน

“นะ น นายดำ”

“ฮื่อ” เสียงห้าวตอบรับ ใบหน้าคมของหนุ่มผิวน้ำผึ้งที่แพรพรรณทำตาโตมองอยู่ หากสังเกตดีๆมีรอยแดงนิดๆที่โหนกแก้ม

สองคนรู้สึกหน้าร้อนๆ ใจหวิวไหวชอบกลไม่ต่างกัน

ฝ่ายชายเสยกมือที่หลุดจากเอวบางมาลูบหน้ากับหน้าอกข้างซ้ายตัวเองอย่างไม่เข้าใจ แกเป็นอะไรไอ้ธเนศ แกเป็นอะไร

ฝ่ายหญิงสอดส่ายสายตาหาพวก หากไม่มีผู้ใดผ่านมาหรือเยี่ยมเงามาให้เห็นแม้แต่น้อย จะได้หลุดจากบรรยากาศแปลกๆนี่

ต่างคนต่างเงียบงัน ทำอะไรไม่ถูก ต่างจากปกติอย่างสิ้นเชิงที่เอาแต่ทะเลาะทุ่มถียง เสียงเอ็ดตะโรไปเรื่อยตามแต่เรื่องราวและฝีปากว่าจะใครจะทำให้อีกฝ่ายเต้นได้มากกว่ากัน

“ทำไม ทำไมอยู่นี่ได้ล่ะ” แพรพรรณถามไม่มองหน้า

“เมื่อคืนฉันนอนที่นี่”

“บ้านตัวเองมีทำไมไม่กลับนอน” นั่นแหละแพรพรรณ เริ่มหาเรื่องได้อีกแล้ว

“ก็เพราะใครล่ะ ทำให้ฉันต้องออกไปตะลอนๆดึกดื่นจนค่อนคืน” อีกฝ่ายโต้กลับทันควัน ตีหน้าเฉย มองใบหน้าเรียวเล็ก ให้รู้ว่าเพราะใคร ดูเหมือนต้นเหตุจะไม่รู้สึกอะไร เพราะทำท่าไม่รู้เรื่องราว ลอยหน้าลอยตามองฟ้ามองดินตอบกลับมาอย่างที่ทำให้คนฟังน้อยใจฉับพลัน

“ไม่ได้ขอ อยากออกไปเอง ช่วยไม่ได้”

“ไม่สำนึกบุญคุณเลย แย่ที่สุด” ธเนศว่าเข้าให้ คนฟังไม่รู้สึกรู้สาเช่นเคย แถมยังแลบลิ้นเล็กๆสีชมพูมาเย้ยกันเสียอีก

หนอยแน่ะ ยัยเปี๊ยกบ้า คนเป็นห่วงจนเกือบประสาทกินตาย กลัวเหลือเกิน กลัวว่าอดีตจะซ้ำรอย

“อย่างนี้มันน่าทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลกับถุงเลือด ไม่แบกกลับมาบ้านให้นอนสบายๆอย่างนี้หรอก”

คนได้ยินคำว่า เลือด ทำตาโตเท่าไข่ห่าน แพรพรรณกลัวเลือดยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ขนาดภาพยนตร์แนวบู๊ล้างผลาญ สงครามฆ่าฟัน และแนวผีถูกฆาตรกรรม หญิงสาวหลีกห่างสุดตัว ก็เพราะภาพยนตร์แนวนั้น มักมีฉากโลหิตไหลพุ่งกระฉูดออกมาแปดสิบเปอร์เซ็นต์ คนกลัวเลือดอย่างเธอ จะไปกล้าดูได้ยังไง ทั้งๆที่รู้ว่ามันก็คือน้ำแดงกับส่วนผสม เป็นของปลอมที่เขาทำขึ้นมา แต่เมื่อเห็นมันไหลออกมาจากร่างกายมนุษย์ มือเธอก็เย็นเฉียบ จะเป็นลมเอาตลอดเวลา แล้วตอนนี้ ธเนศมาขู่อย่างนั้น

“เลือด สีแดง สดๆ เหม็นคาว ในห้องมืด เลือดเต็มพื้นเลย ไหลจากตรงนี้” เขาชี้ไปที่พื้นแล้วลากเป็นทางไปสู่ขาเธอ “ไปถึงตรงนั้นแล้ว!” หญิงสาวสะดุ้งแล้วก็ขาอ่อน ทรุดตัวลงแบ็บบนพื้นหน้าซีด

“อ้าว? เข่าอ่อนเสียแล้ว ยังไม่ถึงฉากเด็ดเลย” ธเนศย่อเข้าลงมองคนกลัวเลือดแล้วอยากหัวเราะในทีแรก แต่แล้วก็ต้องหน้าเสียด้วยความเป็นห่วง เพราะแพรพรรณหน้าซีดเหงื่อออกทำท่าจะเป็นลม

“แพร เฮ้ย!หน้าซีดมากเลย” ธเนศจับมือเย็นเฉียบมาบีบนวด แต่หญิงสาวสะบัด มองเขาตาวาวทั้งๆที่หน้าเผือดสี

“ไม่ต้องมาจับนะ ไปไกลๆเลย”

“ขอโทษ ไม่แกล้งแล้ว ขอโทษนะ” เสียงห้าวขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ ดูเหมือนว่าการเอาคืนของเขาจะรุนแรงเกินไป ช้อนร่างเล็กขึ้นแนบอก พาไปยังโซฟาตัวนุ่มในห้องนั่งเล่น

“นายแกล้งฉัน ก็รู้ ว่าฉันกลัว” เสียงเล็กสั่นพริ้ว แขนขาอ่อนเปลี้ย

“ขอโทษ ไม่พูดแล้ว รอก่อนนะ จะไปหายา” เขาวางร่างเล็กบางลงอย่างนิ่มนวล จัดหญิงสาวให้นอนราบลงในท่าที่สบายที่สุดแล้ววิ่งไปหาหยูกยา แพรพรรณหลับตาได้ยินเสียงห้าวร้องเรียกสาวใช้ดังลั่นบ้านไปหมด ไม่นานสาวใช้ก็รี่เข้ามาพร้อมยาที่ต้องการ ธเนศทรุดนั่งลงบนพื้นใกล้ตัว เอาหนังสือเล่มบางแถวนั้นมาพัดเป็นการใหญ่ บีบนวดมือเล็กตลอดเวลาจากเย็นเฉียบกลายเป็นอุ่นเหมือนปกติ

“พอแล้ว หายแล้ว” แพรพรรณร้องบอก นั่นแหละเขาจึงรามือ ยกน้ำเย็นๆมาจ่อแล้วประคองหญิงสาวให้ลุกขึ้น แต่แพรพรรณปัดออก ธเนศมองอย่างสงสัย แล้วก็เข้าใจ เมื่อพบว่าน้ำในแก้วนั้นเป็นสีแดง มันทำให้แพรพรรณจิตนาการไปถึงโลหิตสีแดงเข้มที่เธอหวาดกลัว

“ไปเปลี่ยนมา ไม่เอาน้ำแดง เอาอย่างอื่น” เขาสั่งสาวใช้ที่หวังดี คิดว่าน้ำหวานๆจะช่วยให้นายหญิงของตัวสดชื่นขึ้ เขาลูบศีรษะเล็กเบาๆ “ไม่เป็นไร ไม่ต้องกลัวนะ ไม่มีแล้วลืมซะ”

เสียงห้าวปลอบอ่อนโยน เหมือนเธอเป็นเด็กเล็กๆทำให้หันไปมอง ดวงตาคมหวานทอดมองมาอย่างห่วงใย

“ไม่เป็นไรแล้ว” หญิงสาวบอกเสียงอ่อน หวังคลายความกังวลให้เขาบ้าง

“ขอโทษนะ ฉันจะไม่แกล้งเธอย่างนั้นอีก” เสียงเขาสลด ขอโทษอย่างจริงใจ

“บอกว่าไม่เป็นไร”

“ยกโทษให้นะ”

“อืม” แพรพรรณพยักหน้า เรียกรอยยิ้มสดใสคืนสู่ใบหน้าคมสีน้ำผึ้ง ยิ้มบาดใจสาวปรากฏอีกครั้ง

“ขอบคุณ” แพรพรรณบอกขึ้นมาลอยๆ ธเนศเลิกคิ้ว ทำหน้างง

“หือ?”

“บอกว่าขอบคุณ”

“เรื่องอะไร”

“เรื่องเมื่อคืนไง” เขาพยักหน้าเข้าใจ แล้วก็กลับส่ายหน้า คนนอนมองเลยงง

“ส่ายหน้าทำไม หมายความว่าไง หรือว่าจริงๆแล้วนายไปได้ถ่อออกไปจริงๆอย่างที่พูด” นิ้วเล็กๆยกขึ้นชี้หน้า มองอย่างเคลือบแคลง เมื่อคืนมันก็เลือนๆงงๆ ไม่แน่ใจยังไงไม่รู้ แต่ทำดุไว้ก่อนแหละดีแล้ว

“ไปสิน่า จำไม่ได้รึไง ฉันหิ้วปีกเธอขึ้นรถมา ทายาให้ด้วย” เขาแจ้งวีรกรรม แพรพรรณทำท่านึก

“เธอ เมาจนเลอะเลือนล่ะสิ จำไม่ได้ใช่ไหม แย่จริงๆ ทีตอนทำดีไม่เคยจำ” ทำเสียงดังพ้อ มองค้อนอย่างกับผู้หญิง จนแพรพรรณหมั่นไส้ปนขำ

“ค้อนอย่างกะตุ๊ด”

“ว่าอะไรนะ” ตาคมหวานกลับวาววับอย่างเอาเรื่อง แพรพรรณแกล้งทำเฉย ไม่รู้เรื่อง

“ยัยตัวแสบ ตัวกะเปี๊ยก ริใส่สายเดี่ยวไปกินเหล้าจนเมาเละ เธอมันแย่” ธเนศต่อว่าทำตาดุใส่ ทำท่าถูมือเหมือนจะตีเธอย่างนั้นแหละ

“จะทำอะไร อย่านะ” เสียงเล็กขู่หวาดๆ มองมือหนาเขม็ง

“ฉันถือว่าน้องเพื่อนก็เหมือนน้องฉัน เพื่อนรักน้องฉันก็รักด้วย เขาว่าถ้ารักต้องตี ขอสักทีเถอะน่า” เหมือนตาคมหวานจ้องอย่างหมายมาด จะลุกขึ้นวิ่งหนีไปก็คงไม่ทัน ได้แต่หลับตาปี๋เมื่อมันเข้ามาใกล้

เพี๊ยะ

“โอ๊ย!” เสียงเล็กร้อง ยกมือแตะหน้าผาก ฝ่ามือใหญ่ที่ทำท่าจะฟาดเธอแรงๆ กลายเป็นดีดเบาๆที่กลางหน้าผากสั่งสอน

“เธอไม่รู้หรอกว่าตอนได้ยินว่ามีอุบัติเหตุ ฉันตกใจมากแค่ไหน” ธเนศเสียงเศร้า แผ่วเบา หน้าคมสลด ตาคมหวานอมโศกเหมือนเหม่อลอยไปไกล ไปยังอดีตอันแสนเศร้า เจ็บปวดและอ้างว้าง

“ฉันกลัว กลัวว่าเธอจะไม่ได้คุยกันฉันอีก กลัวจนทำอะไรไม่ถูก กลัวว่าเธอจะเหมือนครอบครัวของฉัน”

ครอบครัวที่จากไปในอุบัติเหตุ ทุกคนเสียชีวิต เหลือเพียงเขา ครอบครัวอันแสนอบอุ่น ถูกพรากจากไปในชั่ววินาที กระทันหันจนเขารับความสูญเสียใหญ่หลวงนั้นไม่ทัน ประสาทอยู่พักใหญ่ก่อนทำใจให้เป็นปกติได้อย่างยากเย็น ญาติพี่น้องไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่ เพราะความห่างเหินเป็นทุนเดิม เขาต้องพึ่งตนเอง มีเพียงตัวเขาเอง ที่ต้องตะกายลุกขึ้นยืนเพียงลำพัง

แพรพรรณมองเขาอย่างเห็นใจ สงสาร เรื่องน่าเศร้าของครอบครัวธเนศ เธอรับรู้มาจากปากพี่ชาย น่าเห็นใจ และประหลาดใจนัก เมื่อได้รู้ ไม่นึกเลยว่าคนที่สดใสร่าเริงแบบนี้ จะมีความในใจแสนเศร้าซุกซ่อนไว้ มือเล็กเอื้อมไปแตะข้างแก้มเขาเบาๆ ลูบเบาๆอย่างอ่อนโยน

“ฉันอยู่นี่ ไม่เป็นอะไรแล้ว ดูสิ อยู่นี่ไง”

มือใหญ่อุ่นจับมือเล็กนิ่มไว้แน่น พยักหน้า ยิ้มรับรอยยิ้มหวานที่ส่งมาให้ เป็นการปลอบประโลมว่าเขาไม่ได้เสียใครไปอย่งที่นึกกลัว เธอยังอยู่ที่นี่ ไม่ได้จากไปไหน ธเนศถอนใจ โล่งและปลอดโปร่งที่สุด บางสิ่งหนาหนักที่ทับหัวใจไว้ หายวับไปในชั่วนาที


-----------โปรดติดตามตอนต่อไป-------------


//punnarm-farin.bloggang.com




*;...คุยกันนิดหน่อยกับฟ้าริน...;*
มาแล้วค่ะ มาแล้ว คราวที่แล้วมีคนบอกว่า มันค้างๆใช่ไหมคะ เลยต่อให้จบแบบไม่เขินค้างนะคะ แล้วก็เป็นบทหวานหน่อยๆของหนูแพรกะนายดำอีกสักกะติ๊ด
สอบเสร็จแล้ว แต่ก็เครียดกว่าเดิม ลุ้นเกรด ขอบคุณอีกครั้งนะคะ สำหรับคำอวยพรของทุกคน ฟ้ารินก็ภาวนาขอเอสักตัวเถอะน่า เพี้ยง ขอให้ได้ๆๆๆๆๆค่ะ

Pim - น่ารักต่อนะคะ อันนี้ก็พอหวานบ้างเนอะ

Smillzz - สู้ค่ะ สู้สุดใจขาดดิ้นแล้วด้วยค่ะ ที่เหลือก็รอลุ้นเกรดต่อ

ยารีส - ยาวพอไหมเนี่ย ถ้าอ่านแล้วไม่หลับ แนะนำให้กินยานอนหลับก่อนแล้วค่อยอ่านค่ะ 555

g - สมใจต่อไหมคะ หวานนิดๆเนอะตอนนี้

Ormmie - ต่อให้แล้วนะคะ ไม่ค้างแล้วเน้อ

kakok_riwkiw - 555 ออนเอ็มให้เปลืองไฟเล่น ไม่ยักได้ข่าวว่าข้อสอบออกไร ขอบอกว่า เมื่อวันเสาร์แอร์รถเสียด้วย ไดร์เป่าผมก็เสีย ไปถึงช้าเลย อดไปมุง อดเจอฟิวด้วย ว่าแต่เบอร์ฟิวนี่เบอร์ไหนเหรอ หลายเบอร์มาก แล้วก็มีคนโทรมาเต็มไปหมด งงมากเลยอ่ะ




Create Date : 22 ตุลาคม 2550
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2551 17:52:41 น.
Counter : 253 Pageviews.

6 comment

1  2  3  4  5  6  7  8  

ปั้นน้ำกะฟ้าริน
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]








  • งานเขียนใน Blog นี้ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายลิขสิทธิ์ ไม่อนุญาตให้คัดลอก หรือ ดัดแปลงเนื้อหา นำไปเผยแพร่ต่อที่อื่นๆ ทุกรูปแบบ

  • Thanks design by freepik


Designed by Freepik