All Blog
จัดรักให้ลงล็อค บทที่26





บทที่26

ชายหนุ่มผิวขาวหน้าคมตาคมนั่งกอดอกพิงโซฟาตัวนิ่มอยู่มุมหนึ่งในห้องเสื้อ Nooniza คิ้วคมขมวดมุ่นไม่คลายมาหลายชั่วโมงแล้วในวันนี้ วันหยุดสุดสัปดาห์วันเดียวของคนทำงานบริษัท เจ้าตัววาดหวังและวางแผนในใจมาหลายวันว่าจะใช่เวลาร่วมกันกับนิศากร หลังจัดการมัดมือชกหญิงสาวคนที่เดินไปทางโน้นทีทางนี้ทีท่ามกลางพวกพ้องร่วมรุ่น ดูโน่นนี่วุ่นวายโดยไม่หันมามองเขาเลยสักนิดเดียวมาเป็นยึดตำแหน่งเจ้าของหัวใจได้แล้ว เจ้าของตำแหน่งเดินเฉียดเขาไปมาแต่ไม่แลเหมือนว่าจะลืมไปแล้วว่ามีเขานั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ด้วย

ภูดิสคิดค้านอยู่ในใจทั้งที่ตอนแรกก็เห็นดีด้วยทีนิศากรบอกว่าตัดสินใจจะจัดการงานเปิดตัวด้วยตัวเอง หญิงสาวเล่าด้วยสีหน้าท่าทางเป็นสุข ดวงตากลมวาวระยับราวกับดวงดาวกระพริบแสง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าน่าสนุกขนาดไหน แต่มาตอนนี้ตามประสาคนเป็นเจ้านายและคนที่ถูกลืม ภูดิสคิดขวางขึ้นมาแทนด้วยความหงุดหงิดที่ถูกงานแย่งเวลาของคนรักสาวจากเขาไปเสียหมด ทั้งยังห่วงคนทำงานตัวเป็นเกลียวจนไม่ค่อยทานข้าวตามเวลาอีก

จัดการเรียกออแกไนท์เซอร์มาจัดการวางแผนงานซะก็หมดเรื่อง ไม่รู้จะจัดการเองทำไม วุ่นวายให้เหนื่อย แค่คิดว่าอยากได้อะไรก็บอกเขาไป แค่นี้ก็ออกมาเรียบร้อยเพอร์เฟ็กซ์ ไม่เหนื่อยอีกด้วย

แล้วอีกความขุ่นเคืองก็แล่นขึ้นมาทันที คราวนี้ต้องโทษแพรพรรณ น้องสาวตัวดี เจ้าของความคิดนี้ ดูสิ เพราะความช่างเจรจาเสนอความคิดดีนัก เป็นเพราะเขาไม่ว่างมาหาคนรักสาวเมื่อสองก่อนวันที่ช่างนัดตรวจงานแท้ๆ เลยส่งข่าวให้แพรพรรณไปปฏิบัติหน้าที่แทน รู้อย่างนี้ไม่ปล่อยให้มาหานิศากรก็ดีหรอก

สองสาวเพื่อนซี้นั่งๆนอนๆบนโซฟานุ่มสีขาวหลังช่างกลับไปเรียบร้อยสุมหัวกันอยู่ภายในร้านที่บัดนี้เริ่มมีเสื้อผ้าหลากหลายรูปแบบเรียงรายบนราวสีเงินเงาวับสะท้อนแสงไฟสีส้มนวลตา หลังจากฝ่ายคนตัวเล็กร่างผอมบางเที่ยวหยิบชุดนั้นชุดนี้มาลองจนเพลิดเพลินใจแล้ว ก็กลับมานั่งกอดเข่าเจ่าจุกเป็นที่ปรึกษาให้เจ้าของร้านที่นั่งกุมขมับวางแผนเปิดตัวห้องเสื้อของตนเองอยู่หลายตลบ

“งานนี้ต้องมีแฟชั่นโชว์เป็นของตาย เพื่อนำเสนอแบบเสื้อผ้า เอานางแบบมาเดินๆเข้าสิ” แพรพรรณเสนอ

“รู้แล้วล่ะ แต่ว่าถ้าเราจะจ้างนางแบบมืออาชีพก็ค่าตัวแพงจะตายไป เราว่าเก็บเงินไปทำอย่างอื่นดีกว่า”

“นั่นสิ ฟุ่มเฟือย แถมยังมีสิทธิที่เขาจะไม่รับงานอีก แล้วจะหานางแบบมาจากไหนดีล่ะ เดินกันเองเลยดีมะ เหมือนงานที่มหาวิทยาลัยไง” ประโยคท้ายแพรพรรณพูดเล่นสนุกๆ เพราะนึกไปถึงเมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัย โปรเจคงานประจำปีของคณะ เหล่าคณาจารย์ปล่อยให้ลูกศิษย์โชว์ฝีมือและความคิดกันได้อย่างเต็มที่ ฝ่ายออกแบบแฟชั่นก็ไม่พลาดจัดแฟชั่นโชว์ตามใจพวกฉันออกมาประกาศความแปลกประหลาด ใจกล้าหน้าด้านออกมาอย่างเต็มที่ เพราะนานๆทีจะมีโอกาสโชว์ตัวสู่สาธารณชนสักทีหนึ่ง

นิศากรเกิดปิ๊งไอเดีย ดวงตากลมจึงวิบวับเป็นประกายซุกซนขึ้นมาทันทีอย่างเห็นได้ชัด แพรพรรณมองแล้วขมวดคิ้ว

“ไม่นะหนูนิ ทำท่าอย่างนั้นคงไม่คิดจะเอาจริงหรอกนะ มันประหลาดเกินไป” แพรพรรณทำท่าขนลุก

“ก็ลดความแปลกลงมาซะบ้าง เรามีคอนเซปเสื้อผ้าบังคับอยู่ว่าให้คนใส่ในโลกนี้ได้ ใส่ทุกวัน ไม่ใช่เฉพาะวันฮัลโลวีนอย่างตอนนั้นเสียหน่อย”

หญิงสาวเน้นคำว่าคน โลกนี้และทุกวัน ซึ่งเป็นคีย์เวิร์ดสำคัญสุดๆสำหรับนักออกแบบหัวบรรเจิดไม่ธรรมดาอย่างเช่นพวกเธอและเพื่อนๆร่วมรุ่น

ใจหนึ่งของแพรพรรณอยากจะคัดค้าน เนื่องจากประหวั่นว่าความแปลกประหลาดสุดขั้วของพวกเธอที่ถูกเก็บกดไว้หลังจากเรียนจบมา ไม่สามารถแสดงออกได้เต็มที่ในงานที่ตัวเองทำ เหล่าพวกพ้องได้ยินข้อเสนอปล่อยผีของนิศากรเข้าคงตาโต แล้วในที่สุดก็จะมาปลดปล่อยเอาในงานนี้ กลัวว่าคนธรรมดาๆจะไม่สามารถรับได้

แต่อีกใจหนึ่งก็อยากลอง ยิ่งได้กลับมารวมตัวกันเฉพาะกิจทำอะไรสนุกๆแล้วล่ะก็ ยิ่งน่าเข้าร่วมเข้าไปใหญ่ แล้วลองนิศากรเห็นสนุกแล้วล่ะก็ เจ้าตัวไม่เปลี่ยนใจง่ายๆ ค้านไปก็ไร้ผล ได้แต่ยอมกระโจนตามมาร่วมโครงการด้วย

ภูดิสมองน้องสาวเปลี่ยนชุดนั้น ลองแต่งหน้าแบบนี้ ทำผมแบบนั้นสนุกสนานในขณะที่เขาได้แต่นั่งมองอย่างเดียวอย่างเคืองๆ ฝ่ายน้องสาวตัวดีเหมือนจะรับรู้ถึงกระแสจิตนั้น จึงหันขวับมาสู้สายตา ส่งเสียงแหวกลับมา ด้วยความโมโห หลังโดนพี่ชายทำท่าอยากบีบคอมาตั้งแต่เมื่อวาน เพราะนิศากรไม่มีเวลามาเหลียวแล ทั้งที่ควรอยู่ในช่วงจี๋จ๋าแท้ๆ

“เลิกมองแพรแบบนั้นเสียทีนะพี่ภู ไม่อย่างงั้นจะควักลูกตาออกมาเลยด้วย” แพรพรรณแหวเสียงดังข้ามห้องมา คนถูกแหวทำท่ายักไหล่นิด กอดอกกระดิกขาทำหน้าวส่งสัญญาณกลับมาประมาณว่า

ไม่เห็นกลัว แน่จริงก็เข้ามาได้เลย

แพรพรรณความดันพุ่งปรี๊ด ตรงรี่เข้ามาหาเรื่องตามคำท้า ใบหน้าคมสุภาพยังคงนิ่งเฉย ขัดกับดวงตาคมที่เหล่มองน้องสาวตัวเองซึ่งบัดนี้สวยคมด้วยการตกแต่งค่อนข้างจัด ให้เข้ากับเสื้อผ้าที่จะต้องสวมใส่ คนเป็นน้องเท้าสะเอวหมับเข้าสองข้าง แยกขาแยกเขี้ยวตั้งท่าเป็นยักษ์วัดแจ้ง

“นี่ แพรไม่ผิดนะ อย่ามาโยนโทษให้แบบนี้ พาลหาเรื่องกันชัดๆ คนพาล” แพรพรรณต่อว่าเสียงดังไม่ลดละ ภูดิสเสียดแก้วหูเพราะอยู่ในระยะประชิด เอานิ้วอุดหูทำท่ากวนโทสะน้องสาวต่อไป แพรพรรณหันรีหันขวาง หาตัวช่วยเพราะรู้ว่าเปลืองแรงต่อสู้แน่ ภูดิสไม่เคยปล่อยตัวเองให้เป็นเหยื่อการแก้แค้นของเธอสักหน มีแต่เพิ่มความขุ่นเคืองให้ตัวเองเป็นทวีคูณ

“หนูนิมานี่เร็วๆเข้า มาดูคนพาลเร็วๆเข้า” แพรพรรณร้องเรียกตัวช่วยตัวใหม่ล่าสุดมา ท่ามกลางความสนใจของเพื่อนๆที่ร้องโห่ฮิ้วด้วยความอิจฉาในครั้งแรกที่ชายหนุ่มผู้มีสถานะพี่ชายแพรพรรณและคนรักของนิศากรมาปรากฏตัว สถานะหลังนี้ได้รับการป่าวประกาศให้ทราบกันโดยทั่วด้วยฝีมือของแพรพรรณ

นิศากรได้ยินเสียงเรียกอยู่ลั่นๆเลยออกมาตามเสียง หน้าตางงงวยกับเสียงหัวเราะคิกคักและท่าทางเท้าสะเอวหน้าบึ้งของแพรพรรณ

“มีอะไรแพร เรียกเสียงลั่นไปหมด” นิศากรถามพลางเดินเข้ามาหา ภูดิสเห็นดังนั้นก็รีบเขยิบตัวเว้นที่ว่างให้หญิงสาวทันที พอนิศากรเข้ามาใกล้ก็คว้าข้อมือฉุดให้นั่งลง แพรพรรณทำหน้าหมั่นไส้พี่ชายตัวเอง ฟ้องเพื่อนสาวทันควัน

“เรียกให้มาดูคนพาลน่ะสิ หาเรื่องเราตั้งแต่เมื่อวานแล้ว พี่อะไรก็ไม่รู้”

นิศากรเลิกคิ้ว หน้าเอ๋อ ไม่เข้าใจสักนิด แต่ที่แน่ๆ สองพี่น้องนี่ ทะเลาะกันอีกแล้ว แต่คราวนี้เรื่องอะไรกันล่ะเนี่ย

“อะไรกัน?”

“ก็ลองถามคนนั้นดูสิ” แพรพรรณโยนไปทางเจ้าของเรื่อง ภูดิสตีหน้าซื่อ ส่งขนมกับน้ำหวานให้นิศากรอย่างเอาอกเอาใจ ไม่สนคำพูดใดๆทั้งนั้น

“หนอยแน่ะ ไม่ต้องทำตีหน้าซื่อนะ เมื่อกี้ยังทำหน้าเหมือนอยากจะบีบคออยู่เลย เปลี่ยนไวอย่างกับจิ้งจกเปลี่ยนสี” แพรพรรณต่อว่าต่อขานอย่างหมั่นไส้

“ดูไว้นะหนูนิ อย่าโดนหลอกเชียว ตีหน้าตายเก่งนักละคนนี้น่ะ” แพรพรรณเตือนอย่างคนที่รู้จักพี่ชายตัวเองดี วิชาสำคัญของคนที่ต้องเข้าสังคมบ่อยๆ วิชาสวมหน้ากาก พี่ชายเธอฝึกมาอย่างดี เพื่อใช้ในงานเลี้ยงแวดวงธุรกิจที่มีแต่เล่ห์เหลี่ยมร้ายกาจ บ้างตีสนิทเพื่อผลประโยชน์ของฝ่ายตัว ทักทายอย่างเป็นกันเองทั้งที่เพิ่งแย่งลูกค้ากันไปก็มี หลอกเขาบ้าง เขาหลอกเราบ้าง สลับกัน

นิศากรหัวเราะเบาๆ มองหน้าคนตีหน้าตายแล้วพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ภูดิสค้อนขวับใส่น้องสาว แพรพรรณฟ้องต่อทันที

“เมื่อกี้ยังหาเรื่องเราอยู่เลยจะบอกให้ หาว่าเป็นเพราะเราไปยุให้หนูนิจัดงานเอง วุ่นจนไม่มีเวลาให้ เลยพาลเราหาว่าเป็นต้นเหตุ”

นิศากรฉุกใจมองคนพาลหน้ามุ่ยแล้วยิ้มแหยๆ หลายวันแล้วที่เธอมัวแต่สนใจงานเปิดตัวของห้องเสื้อเธอ วางแผนงานและออกแบบสไตล์งาน โปรโมทต่างๆนานา ลืมแฟนหมาดๆไปเสียเกือบสนิท หากเขาไม่โผล่หน้ามาในหาหรือส่งเสียงตามสายมาด้วยความคิดถึง เธอตั้งอกตั้งใจร่วมไปกับผองเพื่อนที่อุตส่าห์สละเวลามาช่วยงานกันอย่างพร้อมเพรียง สนุกสนานไปกับบรรยากาศเก่าๆที่เหมือนไหลย้อนมาอีกครั้ง

“อย่าทะเลาะกันเลยนะคะ นิผิดเอง มัวแต่สนใจงาน” นิศากรขอโทษเสียงอ่อน

“เห็นไหม ได้ยินไหม” แพรพรรณรีบเสริมทันที ภูดิสมองสีหน้าสำนึกผิดของคนรักแล้วก็อยากซัดน้องสาวสักเผียะ

“หนูนิ พี่ไม่ได้โกรธนะ แค่เป็นห่วงแล้วก็อยากมีเวลาคุยกันบ้าง” ภูดิสรีบแก้และสารภาพความในใจ กระชับมือน้อยไว้ในมือใหญ่

“พี่เห็นเอาแต่ทำโน่นนี่ อุตส่าห์หาของกินมาตุนให้เพราะคุณป้าฟ้องว่าหนูนิไม่ยอมกินข้าว แต่ดูสิ” ชายหนุ่มพยักเพยิดไปยังถุงอาหารใบใหญ่ เต็มไปด้วยสรรพอาหารหลากหลายชนิดในส่วนของคนรักซึ่งพร่องไปเพียงน้อยนิด ต่างกับถุงอื่นๆที่เป็นส่วนของเพื่อนๆของหญิงสาวที่ตอนนี้เหลือแต่กล่องกับถุงเปล่าๆ

“นั่นสิ จะมาลดความอ้วนตอนนี้รึไง ไม่ต้องหรอกแค่นี้แหละสวยแล้ว เกิดสวยกว่านี้พี่ภูก็ยุ่งหรอก” แพรพรรณสนับสนุนแกมล้อ คนฟังรู้ดี เพื่อนเตือนด้วยความห่วงใย

“เปล่า ก็ลืมน่ะ” หญิงสาวสารภาพเก้อๆ นิศากรเป็นเช่นนี้ประจำ หากมีสิ่งที่ดึงดูดความสนใจได้อย่างดีแล้วเป็นอันลืมหมดทุกอย่าง สองพี่น้องส่ายหัวพร้อมกันไม่ได้นัดหมาย

“งั้นก็กินซะตอนนี้เลย ไม่งั้นอีแร้งลงทึ้งหมดแน่ๆ” แพรพรรณชี้กราดไปยังบุคคลรอบบริเวณซึ่งกำลังแอบมองแอบฟังอย่างสนใจ ได้ยินคำครหาชัดเจน เหล่าอีแร้งจึงเท้าเอวส่งสายตาจิกทึ้งมาทันควัน แล้วก็กรูกันมาแยกคนประนามไปจัดการ ทิ้งสองหนุ่มสาวไว้เบื้องหลัง

“แย่แน่ๆยัยแพร ก่อสงครามซะแล้ว โดนรุมทึ้งของแท้แน่ๆ พี่ชายไม่ช่วยน้องหน่อยเหรอคะ”

นิศากรมองตามหัวเราะตาพราวแล้วชะงักเมื่อหันมาสบเข้ากับตาคมที่จ้องมาก่อนแล้วในระยะใกล้ มุมปากยกขึ้นน้อยๆอย่างที่ชอบทำเป็นประจำ

“คิดถึงจัง” เสียงนุ่มทุ้มเอ่ย เขยิบเข้าใกล้อีก

“เหนื่อยมากไหมครับ” เขาถามด้วยความเป็นห่วง ขยับไปจับปอยผมที่ร่วงลงมาทัดหูให้หญิงสาวอย่างอ่อนโยน

“ก็นิดหน่อยค่ะ”

“ปวดขาไหม” เขาถามแล้วก้มดูขาเธอ นิศากรตีหน้าเป๋อเหลอแล้วคิ้วเรียวก็เริ่มขมวดอย่างไม่เข้าใจคำถามเลยสักนิด ภูดิสเลยเฉลย

“วันนี้หนูนิเดินไปมาตั้งหลายเที่ยว ถ้านับระยะทางแล้วคงได้ประมาณสักสิบกิโลได้แล้วละมั้ง”

“ไม่ถึงสักหน่อยค่ะ เว่อร์เกินไปแล้ว” หญิงสาวทำหน้ายู่ใส่ ชายหนุ่มยื่นกล่องขนมมาตรงหน้า ใช้สายตาบังคับให้หญิงสาวต้องหยิบมาทาน

“พี่ภูพาลแพรเพราะนิจริงๆน่ะเหรอ ทำไมทำอย่างนั้นล่ะคะ ไม่มีเหตุผลเลยนะ” หญิงสาวตั้งคำถามอย่างสงสัย ปกติภูดิสเป็นคนมีเหตุผล ไม่คิดพาลแบบเด็กๆแบบนั้นแน่นอน ภูดิสหัวเราะพลางสารภาพ

“ตอนแรกก็คิดอย่างนั้น แต่ก็แค่แวบเดียวนั่นแหละ ทีนี้ตอนหลังคิดได้ว่าไม่ถูก แล้วยิ่งเห็นยัยแพรคิดนั่นนี่ให้หนูนิ ช่วยเหลือได้แทบทุกอย่าง แต่พี่ได้แต่นั่งมอง ทำอะไรไม่ได้เลยรำคาญตัวเอง แถมหมั่นไส้ยัยแพรด้วย เลยอยากแกล้งเล่นน่ะ”

“แค่อยากแกล้งน้องนี่นะคะ โธ่เอ๊ย!” นิศากรถอนใจแล้วขำ คงแก้ไม่หาย นิสัยชอบยั่วน้องตัวเองนี่

“ขอบคุณค่ะที่อยากช่วยนิ แค่พี่ภูหาของอร่อยๆมาให้ก็ดีใจจะแย่แล้ว แล้ว...พี่ภูคงไม่ได้อยากช่วยนิจัดการแต่งหน้าทำผมสาวๆหรอกนะคะ” นิศากรแกล้งมองด้วยสายตาหวาดระแวง ภูดิสทำหน้าพิลึกก่อนแปรเปลี่ยนเป็นแหยพลางส่ายหน้าดิก หญิงสาวกลั้นยิ้มตาพราวปิดความขบขันไม่มิด ทีนี้ชายหนุ่มเลยจับได้ว่าถูกแกล้งล้อเล่นเสียแล้ว

“แกล้งพี่งั้นเหรอ เดี๋ยวเถอะระวังจะโดนเอาคืน” นิศากรหัวเราะคิกยักไหล่ไม่กลัวท่าทางดุๆ กับคำเตือนของคนรัก

“ใครไม่รู้มาแอบมองเราอยู่ตรงนั้นน่ะ ดูสิ” ภูดิสกระซิบบอกพลางเขม้นมองไปตรงมุมเสาหนึ่ง นิศากรชะเง้อมองตามก็ไม่เห็นใคร

“ไหนคะ ไม่เห็นเลย” หญิงสาวหันกลับมาถามแล้วก็หลุดเสียงอุทานออกมา

“อุ๊ย!” แก้มนวลใสกระทบเข้าอย่างจังกับจมูกปากของคนรอท่าอยู่แล้ว เพราะหญิงสาวมัวแต่ชะเง้อชะแง้มอง จึงไม่ทันเห็นสีหน้ากับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ พอหันกลับมาปุ๊บก็สายเกินไป เผลอตัวตกเข้าไปในแผนของนักธุรกิจหนุ่มเสียแล้ว

“แกล้งเหรอ คนบ้า!” หญิงสาวแหวใส่

ภูดิสยิ้มอย่างสมใจ ตาคมส่งกระแสหวานวิบวับให้คนรัก นิศากรหน้าแดงก่ำ โดนขโมยหอมแก้มอีกจนได้ มือบางกุมแก้มใสไว้แถมเขวี้ยงค้อนใส่คนรักไปหนึ่งที

“โอ๊ย!!! อิจฉาเว้ย!!” เสียงตะโกนดังจากมุมหนึ่ง ทีนี้คนอำสะดุ้งโหยง ไม่คิดว่าจะมีคนแอบดูจริงๆ ถึงว่าทำไมมันเงียบๆ มาแอบดูกันหมดนี่เอง พวกอีกแอบค่อยๆทะยอยออกมาจากที่ซ่อน

“พวกแก มาแอบตั้งแต่เมื่อไหร่” ใบหน้านิศากรยิ่งมีเลือดคั่งเพิ่มขึ้น ตั้งคำถามเสียงเขียว

“นานพอจะเห็นเลิฟซีนแหละ ฮิ้ว!” ส่งเสียงโห่ร้องแซวกันยกใหญ่ นิศากรปิดหู หันมาเอาเรื่องคนต้นเหตุแทน ภูดิสเสเสยผมทำหน้านิ่งไม่สบตา เลยได้ขนมเปียะจากคนรักสาวไปหนึ่งที



ร่างสูงเพรียวในชุดสีแดงเพลิง พยายามข่มอาการปวดศรีษะไว้เต็มความสามารถ ท่ามกลางความห่วงกังวลของอิมมี่ผู้จัดการสาว ถึงจะไม่พอใจอยู่เสมอกับนิสัยแย่ๆของรัญชิดา แต่ความใกล้ชิดทำให้มีเยื่อใยผูกพันอยู่บ้าง คนอยู่ด้วยกันแทบจะยี่สิบสี่ชั่วโมง สังเกตุเห็นได้ไม่ยากว่าสีหน้าของนางร้ายสาวซีดเซียวเข้าทุกขณะภายใต้การแต่งหน้าเข้มจัด ให้เหมาะสมกับคาแรกเตอร์ของตัวละคร

รัญชิดากรอกยาแก้ปวดเข้าไปสองครั้งแล้วตั้งแต่เช้า หากแต่ดูจะไม่เป็นผลใดๆต่ออาการของเธอเลย ฉากอารมณ์ที่ต้องแสดงอยู่ตอนนี้ยิ่งเพิ่มความทรมานให้เป็นทบทวี ต้องใช้ทั้งสมาธิมาก ขัดกับความต้องการพักผ่อนของเจ้าตัวขณะนี้อย่างยิ่ง

ฉากนี้เป็นฉากสุดท้ายแล้ว เป็นฉากจบอันสุดแสนรันทด ตัวร้ายทำบาปกรรมหลอกลวงแล้วถูกจับได้ ผลสุดท้ายเกินความกลัวจนกลายเป็นคนสติแตก ผลกรรมที่สร้างไว้ทำให้ถูกตามล่า รุมโทรมจนตาย สะท้อนความโหดร้ายของสังคมและข้อคิดสำคัญ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

ข้อคิดนี้ เหมือนมีดตรงเข้าปักใจนางร้ายสาวอย่างจัง ทำชั่วได้ชั่ว เธอประสบมาด้วยตนเอง เสียเพื่อนที่แสนดีที่สุดในชีวิต เพราะแผนการชั่วร้ายของตัวเอง

ไม่น่าเลย ไม่น่าเลยจริงๆ

เธอควรจะพอใจ ในความเป็นเพื่อนที่เขามอบให้ เพราะคิดเข้าข้างตัวเองว่าดีเด่น กระหยิ่มใจว่าตัวมีพร้อม ไม่มีวันที่ภูดิสจะเปลี่ยนใจไปรักใครอื่น ทั้งที่เธอเลือกที่จะผลักไสเขาออกไปเองตั้งแต่แรก มันเป็นการเห็นแก่ตัวอย่างไม่น่าให้อภัย หวังยึดเขาไว้ เพียงเพื่อจะใช้จิตใจที่ดีงาม ความอบอุ่นอ่อนโยนมาช่วยปลุกปลอบชั่วคราวยามมีปัญหาไม่มีคนเห็นใจ ไม่เคยเห็นค่าของมันอย่างแท้จริง ไม่เคยคิดจะรักษามิตรภาพอันดีเอาไว้ เห็นประโยชน์แค่ใช้เป็นที่พักพิง

“พร้อมนะ กล้อง แอคชั่น” เสียงห้าวห้วนของผู้กำกับสั่ง

รัญชิดาเก็บกดความเจ็บปวดที่เหมือนเพิ่มขึ้นทุกขณะไว้ ปลอบใจตัวเองว่าอีกนิดเดียว นิดเดียว เดี๋ยวก็จะได้พักแล้ว หญิงสาวสูดหายใจลึก แล้วกรีดร้องอาละวาดไปตามบทบาท การตะโกนเสียงแหลทเหมือนเข็มพันเล่มพุ่งเข้าปักเนื้อสมอง เหงื่อการแตกพลักเมื่อพยายามต่อสู้จนล้มลงไปกับพื้นตามคิวการแสดง เรียวแรงเริ่มหดหาย หน้าซีดลงเป็นลำดับ และสุดท้ายก็แน่นิ่งไป

“คัด! เรียบร้อยดีมาก เยี่ยมไปเลยคุณรัน”

ตัวแสดงประกอบลุกขึ้นปรบมือให้นางร้ายสาวตามผู้กำกับและเจ้าหน้าที่อื่นๆ หากจนเมื่อเสียงปรบมือคลายคง ร่างสูงเพรียวก็ยังคงนอนนิ่งไปกับพื้น ไม่ลืมตาหรือขยับตัวแต่อย่างใด อิมมี่รีบตรงรี่ไปหา เขย่าตัวนางร้ายสาวอย่างแรงก็ไม่เป็นผลใดๆ หลายคนหน้าตื่นร้องเรียกหยูกยาเป็นการใหญ่ ผู้กำกับวิ่งเข้ามาดูอาการอีกคน เห็นใบหน้าซีดขาวกระจ่างชัดออกมาจากใต้รองพื้นหนาก็รีบเร่งให้เรียกรถพยาบาลด่วน!


-----------โปรดติดตามตอนต่อไป-------------


//punnarm-farin.bloggang.com


*;...คุยกันนิดหน่อยกับฟ้าริน...;*

keroobob - เอาให้ตามคำขอ หวีดหน่อยๆลางร้ายนิดๆ

Ormmie - เอามาชนกันแล้วนะจ๊ะ




Create Date : 10 พฤศจิกายน 2550
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2551 17:29:52 น.
Counter : 297 Pageviews.

4 comments
  
หู ได้ comment เป็นคนแรกด้วย ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลย ดีจั๊ย ดีใจ

จริงๆ จะแวะมาบอกว่าผู้ชายไม่ปากแข็ง ก็ขี้ลืม หรือไม่งั้นก็เป็นพวกไม่ค่อยรู้ใจตัวเอง ว่ามะ

พออ่านไปอ่านมา เริ่มเห็นแววว่า พี่ภูของเราอาจจะต้องเทใจไปสงสารนางร้ายอีกรึเปล่าเนี่ย นี่ก็แอบกังวลแทนนู่นิแล้วล่ะ เห็นทีอาจจะต้องหึงพี่ภูอีกกระมังงานนี้

เพธยาธร
โดย: วิมานเพธยาธร วันที่: 10 พฤศจิกายน 2550 เวลา:20:51:53 น.
  
เจ้าเลห์นักนะพี่ภูนี่

หวังว่ารัญชิดาคงจะคิดได้ ก่อนสลบไปนะคะ ไม่งั้นผื้นขึ้นมา คงได้มีการปวดหัวกันอีกเป็นแน่เลย
โดย: Ormmie IP: 125.24.94.134 วันที่: 12 พฤศจิกายน 2550 เวลา:11:31:34 น.
  
เขียนดี blog สวย..สบายตา..
โดย: kidakarn วันที่: 12 พฤศจิกายน 2550 เวลา:12:34:14 น.
  
โดย: ปั้นน้ำกะฟ้าริน วันที่: 16 พฤศจิกายน 2550 เวลา:21:54:39 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ปั้นน้ำกะฟ้าริน
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]








  • งานเขียนใน Blog นี้ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายลิขสิทธิ์ ไม่อนุญาตให้คัดลอก หรือ ดัดแปลงเนื้อหา นำไปเผยแพร่ต่อที่อื่นๆ ทุกรูปแบบ

  • Thanks design by freepik


Designed by Freepik