ก็ชื่นใจ...ได้รักเธอ ตอนที่3 จบ!


ดูเหมือนคำพูดของเขาจะไม่ได้ดังแทรกเข้าสู่สมองเจ้าเพื่อนหน้าทะเล้นเลยซักนิด โจนาธานคอยมาวนเวียนที่บริษัทเขาหลายวันแล้ว อารมณ์หงุดหงิดงุ่นง่านพลันบังเกิดทุกครั้งที่หน้าหล่อลูกครึ่งของเพื่อนปรากฏสู่สายตา

โจนาธานมาป่วนที่บริษัทอีก ก่อนอื่นเจ้านั่นเดินหน้าเป็นเข้ามาในห้องเขาทวงถามแกมหว่านล้อมถึงเรื่องงาน สักพักก็รี่ตามผู้ช่วยเลขาสาวของเขาที่เข้ามาเสริฟกาแฟออกไป ท่ามกลางความตระหนกจนสำลักกาแฟและหัวเสียของวาโย ที่กระแทกแก้วกาแฟลงบนจานรองจนเสียงดังเกร้ง!ไล่หลังเสียงเปิดและปิดประตูออกจากห้องไปของเจ้าเพื่อนหน้าทะเล้น

“โธ่เว้ย...ไอ้บ้า”

อีกฝ่ายที่ออกมาอยู่นอกห้องเรียบร้อยแล้ว นั่งหน้าแป้นแล้นตาพราวเป็นประกายขำขันอยู่ที่โต๊ะว่างข้างตัวของอัญญานี อาการไม่สบอารมณ์ยามที่เขาผละมากระทันหันแทบจะเป็นตามก้นหญิงสาวมาติดๆยังคงสร้างความสำราญให้เขาอยู่ไม่เลิกรา แม้จะออกมานั่งคุยกับอัญญานีได้พักนึงแล้ว
หญิงสาวมีความสามารถในการทำสองสิ่งได้โดยไม่เสียงาน ซึ่งเป็นเรื่องที่เขาไม่สามารถเลยซักครั้ง นั่นคือ พิมพ์จดหมายที่ได้รับมอบมา พร้อมตอบคำถามเขาได้รวดเร็วฉับไวโดยไม่ได้หยุดมือและไม่ผิดเลยซักตัวหนึ่ง

เรื่องที่คุยไม่ใช่เรื่องอื่นใด เป็นมุมมองเกี่ยวกับความรักของเธอเอง โดยเขาบอกกับเธอว่าต้องการหาแรงบันดาลใจไปแต่งเพลง เขาไม่ได้โกหกสักนิด เขายกสถานการณ์ต่างๆนานามาลองถามว่าถ้าเป็นเธอประสบเหตุการณ์เช่นนั้น จะทำอย่างไร คำตอบของเธอออกแนวสาวเพ้อฝันนิดๆจนเขาอดหัวเราะไม่ได้ ดูว่านั่นจะสร้างความขุ่นมัวให้เพื่อนเขาโดยไม่ได้ตั้งใจหลายครั้ง

ช่วงหลายวันนี้โจนาธานจงใจมาแอบยั่วอารมณ์เพื่อนตนอย่างตั้งอกตั้งใจ ด้วยอยากจะดูพฤติกรรมเพื่อนคู่หูว่าจะเป็นอย่างไร เวลาที่คนนิ่งเงียบหึงหวงขึ้นมา ความเป็นคนช่างสังเกต ทำให้เขาจับความผิดปกติของเพื่อนได้ตั้งแต่คราวแรกที่หน้าบูดบึ้งไม่ถูกใจอะไรซักอย่าง พอลองเขี่ยให้เคืองขุ่นด้วยการจ้องจะจีบก็ยิ่งแน่ใจ แม่ผู้ช่วยเลขาตรงหน้านี้ สะกิดความสนใจเพื่อนเขาแน่แล้ว

“แล้วเจ้าชายของอันเนี่ย หน้าตาเป็นแบบไหนเหรอ” วงหน้านวลแต่งอ่อนๆเป็นธรรมชาติมีแววชวนฝัน

“สูง ขาวหน่อยๆ จมูกโด่งเป็นสัน คิ้วเข้ม ตาคมเป็นประกาย” ดวงตากลมโตน่ารักไม่ได้ละออกจากจอคอมพิวเตอร์ แต่เสียงใสตอบมาเจื้อยแจ้ว

“แล้วนิสัยล่ะ”

“ก็ต้องใจดี สุภาพ อ่อนโยนสิคะ” รอยยิ้มหวานเคลิ้มฝันประดับอยู่รอบริมฝีปากสีชมพูอ่อนระเรื่อ

“แบบนายวาโยสินะ เจ้าชายของอันน่ะ” ดวงหน้าใสแดงระเรื่อขึ้นทันตา มือที่กดแป้นพิมชะงักค้างที่ถูกจับได้ ถึงความนิยมชมชอบในตัวเจ้านายหนุ่มของตัว

“เอ่อ...เหรอ เหรอคะ” โจนาธานหลุบตาต่ำมองมือน้อยของเจ้าตัวที่เริ่มขยับไปมา แต่ไม่รู้จะกดพิมตัวไหนก่อนดี

“อัน ถ้าหากว่ามีเจ้าชายที่ชอบมาบอกรัก จะทำไง”

“หา...ถ ถะ ถ้าบอกรักเหรอคะ” ผู้ช่วยเลขาสาวออกอาการเงอะงะ พูดตะกุกตะกัก แค่คิดวาดฝันถึงเจ้าชาย...วาโย ก็พาให้หัวใจเธอพองโตเต้นรัวเร็วแทบไม่เป็นจังหวะ หันไปอีกทางยกมือปิดแก้มร้อนผ่าวของตัวหลบสายตาที่จับจ้องมา

สิ่งเล็กน้อยที่เธอมีโอกาสได้ทำเพื่อเขา เป็นสิ่งที่ทำให้หัวใจเธอชุ่มชื่น ความนิยมชมชอบหน้าตาเสียงร้อง จากที่เคยเป็นเพียงแฟนคลับ คอยวิ่งตามถ่ายรูปขอลายเซ็นต์ชั่วครั้งคราว บัดนี้กลายเป็นชมชอบหยั่งลึกลงในหัวใจมากขึ้นทุกวัน ไม่ใช่เพียงรูปลักษณ์ หากแต่คือทั้งหมดที่รวมเป็นผู้ชายคนนี้

อินเตอร์คอมดังขึ้นขัดจังหวะความคิดวูบไหว เสียงนุ่มทุ้มในห้วงคำนึงติดจะเข้มดุดังมา

“อัญญานี จดหมายที่ให้พิมเสร็จเรียบร้อยรึยัง”

“เอ่อ...ใกล้แล้วค่ะบอส”

“เร็วๆหน่อย ผมต้องการใช้เดี๋ยวนี้”

“ค่ะ” เสียงใสตอบรับกระตือรือร้น หันกลับไปเร่งพิมเอกสารที่ค้างอยู่บนหน้าจอ กดเซฟ ตรวจทานอีกทีก่อนสั่งพิมพ์ออกมา

“ว้า...นายโยนี่ดุจริง ไม่รู้ไปกินน้ำตาลมาจากไหน เผ่นก่อนดีกว่า ฝากลานายโยด้วยนะครับอัน” ว่าจบแล้วก็โกยอ้าวไม่เหลียวหลังลับหายไปซะอย่างนั้น อัญญานีเคาะประตูสามทีก่อนเปิดเข้าไป พยายามยิ้มสดใสรายงาน

“จดหมายเรียบร้อยแล้วค่ะ คุณโจฝากลาบอสด้วยคะ” ดวงตาคมตวัดมองรอยยิ้มบนหน้าใส หงุดหงิดนักที่แม่ผู้ช่วยเลขาเอ่ยชื่ออดีตคู่หูเขาอย่างสนิทสนมสดใส

เขาเห็นแล้วว่าโจนาธานจากไปโดยไม่ลา แถมก่อนหน้านั้นยังยักคิ้วยิ้มกวนอารมณ์ส่งให้เขาทางกระจกใสที่ตอนนี้เปิดมู่ลี่ไว้ให้เห็นภาพภายนอกได้ถนัดนัก

“แล้วยังไงอีก”

“คะ?” เสียงใสตอบรับเสียงสูงเป็นเชิงถาม เอียงคอน้อยๆอย่างที่ชอบทำเสมอ ดวงตากลมโตส่อแววไม่เข้าใจเปิดเผย วาโยมองท่าทางนั้นแล้วความรู้สึกขุ่นมัวลดระดับลงเล็กน้อย เพราะเจ้าหล่อนคงไม่ได้รู้ตัวว่าตนเองทำให้ใจเขาวุ่นวายใจแค่ไหน

ภาพที่เห็นผ่านกระจกใสที่เขาไขมู่ลี่บังตาให้เปิดกว้างสุดเมื่อครู่ อัญญานีหน้าแดงเขินอาย ส่วนเจ้าเพื่อนหน้าทะเล้นยิ้มตาพราวหัวเราะอยู่ตลอดเวลา หากคาดไม่ผิด เจ้าเพื่อนเขาคงหว่านคำหวานใส่เธอเป็นแน่ ทำให้เขาอารมณ์พุ่งปรี๊ด ต้องแกล้งกดอินเตอร์คอมไปทวงงานที่ไม่ได้เร่งรีบอย่างที่บอกออกไป เพื่อขัดจังหวะและดึงตัวเธอเข้ามาให้ห่างจากคู่หูของเขา เหมือนเช่นที่เคยทำเสมอตลอดช่วงที่โจนาธานพาตัวเข้ามาในเขตแดนของเขา

หากโจนาธานอยู่ในห้องกับเขา อัญญานีแทบไม่ต้องขยับออกจากโต๊ะ นอกจากเข้ามาเสริฟน้ำ แล้วเขาก็ออกไปประจำที่โต๊ะดังเดิม แต่ก็ยังอดคิ้วกระตุกนิดๆไม่ได้ เนื่องเพราะเธอช่างยิ้มสดใสนักหนาโปรยให้เขาอย่างที่ทำเป็นประจำ แต่เจ้าหล่อนดันเผื่อแผ่ไปถึงแขกที่มาเยือนด้วยนี่แหละ ที่ทำให้ตาเขาขุ่นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

และก็อีกนั่นแหละ เจ้าเพื่อนตัวดีมันทำตัวเหลือเกินจริงๆ กล้าหาญถึงกับตามออกไปนั่งคุยกระซิกกระซี้ หน้าชื่นตาบาน เมื่อนั้นอัญญานีเป็นได้ขาขวิด เดินไปมาเป็นว่าเล่น งานยุ่งขึ้นมาทันที เพราะเขาหามาสุมให้ไม่ว่างเว้น แต่เจ้าหล่อนดันมีความสามารถพิเศษ ทำงานไปคุยไปได้โดยงานไม่บกพร่องเลยแม้แต่น้อย เป็นข้อดีที่เขาไม่ชื่นชมเลยซักนิด

“เมื่อกี้คุยอะไรกับนายโจ ท่าทางน่าสนุก” เสียงทุ้มหาได้แสดงถึงว่าน่าสนุกอย่างที่พูดไม่ กลับติดแววดุอยู่เช่นเดิม แม้จะอ่อนกว่าเมื่อกี้ซักหน่อยก็เถอะ

“เอ่อ...” เสียงใสอึกอัก ไม่สามารถบอกได้ว่าที่คุยเมื่อกี้ โจนาธานถามถึงเจ้าชายในดวงใจของเธอ ซึ่งก็คือเขา หน้าร้อนขึ้นอีกครา แต่คนตรงหน้าเข้าใจเขวไปว่าคงเขินอายกับเสน่ห์ที่เพื่อนเขาโปรยทิ้งไว้ เสียงทุ้มจึงเข้มยิ่งกว่าเดิม แถมร่ายยาวเป็นชุด

“เอาเวลางานไปคุยเล่นเสียหมดแบบนี้ใช้ไม่ได้เลยอัญญานี งานการถึงได้ล่าช้า ผมคิดว่าคุณจะตั้งใจทำงานให้ดีที่สุดอย่างที่เคยบอกไว้กับเลขาผมเสียอีก ทำได้ไม่เท่าไหร่ก็เขวเสียแล้ว ใช้ได้หรืออัญญานี”

อารมณ์แปรปรวนขึ้นลงไม่มีจังหวะที่แน่นอนของเขา ทำให้อัญญานีงุนงง หลายวันมานี้เธอพยายามทำงาน
ทุกอย่างอย่างดีที่สุด แม้ว่าจะผิดพลาดบ้างเพราะมันกองสุมกันจนแทบไม่รู้จะทำสิ่งไหนก่อนในบางช่วงเวลา เมื่อถูกทวงถามถึงงานที่มอบหมายให้ บางครั้งเธอไม่อาจทำเสร็จทันตามความต้องการของเขา ทั้งหน้าดุๆเสียงดุๆมองเธอเข้มเหมือนเธอน่าหงุดหงิดนักหนา

“ขอโทษค่ะบอส” เสียงเคยสดใสบัดนี้อ่อยลง หน้าใสไม่ร่าเริงสดใสแต่มีแววหมอง หากแต่ไม่มีผู้ใดในห้องนั้นมองดู

“คุณควรจะรู้จักหน้าที่ของตัวเองมากกว่านี้นะ อย่าทำให้คนที่เขาฝากหน้าที่ไว้ให้ดูแลต้องผิดหวังในตัวคุณสิ”

“ค่ะ” เสียงอ่อยแผ่ว สั่นน้อยๆ ดวงตากลมโตเริ่มแดง อัญญานีรู้สึกทดท้อ ที่ไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างใจเขา สั่งสมมากเข้าจนอัดแน่นในอก ตอนนี้เสียงทุ้มของเขากำลังดุเธออีกแล้ว

“อันขอโทษค่ะ อันจะตั้งใจทำงานให้มากกว่านี้ จะไม่คุย ไม่...พูดเวลา...ทำงาน...อีกแล้ว ไม่พูดแล้ว” หยดน้ำตาใสไหลลงสู่พวงแก้มนวล ตัวสั่นน้อยๆ เสียงพูดขาดเป็นห้วงๆด้วยความพยายามกลั้นก้อนสะอื้น ใบหน้าคมเงยขึ้นมองหญิงสาวที่กัดปากเก็บเสียงแน่น

วาโยนิ่งอึ้ง เมื่อเห็นหยดน้ำใสไหลออกมาจากดวงตากลมที่บัดนี้แดงก่ำ อยากต่อยตัวเองให้หน้าหงาย เขารู้ตัวว่าเผลอใช้อารมณ์หงุดหงิดของตัวพาลพาโลไปดุเธอ คิดอยากดึงคำพูดตัวเองกลับเหลือเกิน แต่มันช้าไปซะแล้ว
อัญญานียกมือปาดน้ำตาออกจากแก้ม แรงสะอื้นเพิ่มขึ้นจนไหล่บางไหว และสุดจะกักเก็บไว้ได้อีก ร่างบางหน้าโต๊ะจึงหลับหูหลับตาปล่อยโฮ พร่ำคำขอโทษไม่หยุดปาก หยดน้ำรินเป็นสายจากตากลม

เขาคงเกลียดเธอแล้ว วาโยคนที่ใจดีอ่อนโยนหายไปหลายเพลาแล้ว คงนึกรำคาญเธอเต็มที ถึงได้ดุเธอไม่หยุดอย่างนี้ ค่าที่ไม่สามารถทำงานได้อย่างที่ใจเขาต้องการ แถมยังเบอะบ๊ะไม่เข้าท่าหลายอย่าง สวยก็ไม่สวย ไม่มีอย่างใดจะเทียบได้อย่างเลขารุ่นพี่ที่เขาพอใจทำงานร่วมกันมาหลายปีเลย

เธอมันแย่อย่างที่เขาว่านั่นแหละ

“อัน คุณอัน” เสียงนุ่มทุ้มคุ้นหูดังอยู่ตรงหน้าในระยะใกล้ หญิงสาวที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นลืมตาขึ้นมอง ภาพเจ้านายขวัญใจออกจะพร่ามัวเพราะม่านน้ำคลอตา ร่างสูงเบื้องหน้าเธออยืนชิดเหมือนระยะเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่ หน้าขาวตัดกับคิ้วเข้มฉายแววตื่นตกใจแกมเสียใจและยุ่งยากใจ

“อันขอโทษ อันไม่ทำอย่างนั้นอีกแล้ว ขอโทษบอส ขอ...” คำสุดท้ายเลือนหายไปกับนิ้วมือแข็งแรงที่ปาดน้ำตาออกจากแก้มละมุนทั้งสองข้าง

“อย่าร้องไห้เลยนะ ผมขอโทษ ไม่ตั้งใจทำให้คุณร้องไห้อย่างนี้เลย” เสียงทุ้มนุ่มอ่อนโยนลงไปเหมือนเดิมเช่นที่เคยเป็นเสมอ

เมื่อได้ยินเสียงอย่างนี้ของเขา กับสัมผัสอ่อนโยนปลอบประโลม ดวงตาคมขอลุแก่โทษชัดแจ้งแฝงความอบอุ่นดังเดิม น้ำตาแทบเหือดหายไปราวกับถูกสูบจนสิ้น

“ขอโทษที่อารมณ์ไม่ดีแล้วพาลใส่คุณ เพราะไอ้เจ้าบ้านั่นแท้ๆเชียว” ตาสีเข้มขึ้นกับประโยคหลัง “เล่นบ้าจนได้เรื่อง”

“คะ?”

“มันก็อย่างนี้หละนะ ปากหวานปะเหลาะไปทั่ว คุณอย่าไปสนใจตกหลุมมันเข้าล่ะ สั่งมันแล้วว่าอย่ามายุ่งยังไม่เข้าหูอีก”

ไอ้เพื่อนบ้ามันเฉลยว่าแอบจับพิรุธเขาได้ง่ายดายเพียงใดและถ่ายทอดความถ้อยความแสดงว่าอัญญานีชื่นชอบในตัวเขาเท่าไหร่ มันไม่ใช่เพียงรูปลักษณ์ภายนอกอย่างที่เคยเข้าใจ หากแต่เป็นตัวตนของเขาทั้งหมด ความแช่มชื่นในหัวใจมีมากเพียงใด เขาเท่านั้นที่รู้

เมื่อรู้แล้วเขาก็ไม่คิดจะปิด ออกคำสั่งแบบเขินนิดๆแต่เฉียบขาดว่า อย่ามายุ่ง! แต่ดูมันจะไม่สะทกสะท้าน แถมต่อหน้าทะเล้นก่อนหัวเราะร่าปิดท้ายตามแบบฉบับ

‘…ซื่อบื้อจริงวะโย ฉันจะแสดงให้ดูว่าจีบสาวเขาทำกันยังไง แต่ถ้าเขาเกิดหันมาชอบฉันแทนขึ้นมาจริงๆ ฉันขอนะเพื่อน...’

ถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจมายั่วอารมณ์กัน แต่ก็อดเคืองไม่ได้เมื่อเห็นเธอยิ้มสดใสให้อีกฝ่ายที่หันมายักคิ้วหลิ่วตาเย้าไม่เลิกรา

อัญญานีที่หายจากอาการสะอื้นไห้ จมูกรูปชมพู่ยังแดงเรื่อจากการปล่อยโฮเมื่อครู่ หญิงสาวเอียงคอมองดวงตากลมฉายชัดถึงความไม่เข้าใจ หยดน้ำที่ยังหลงเหลือเอ่อคลอเมื่อครู่ไหลตามการเอียงและกระพริบตา

อีกอารมณ์หนึ่งที่ทำให้หยาดเหือดหาย นั่นคือตกใจเมื่อนิ้วยาวแข็งแรงสัมผัสแก้มนุ่มไล่รอยน้ำตาอีกครั้งแผ่วเบา เร่งชีพจรเธอให้เต้นแรงสูบฉีดเร็วขึ้น แก้มนวลแดงขึ้นด้วยเลือดฝาดทันใด ชายหนุ่มยิ้มรับอ่อนโยนกับท่าทางนั้น

‘…ดูท่าจะไม่สำเร็จ เหมือนโลกของเขาจะไม่มีเงาฉันผ่านเข้าไปเลยซักนิด เฮ้อ…’

เสียงบ่นของโจนาธานจุดประกายรอยยิ้มพึงพอใจบนหน้าคม แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นบึ้งแทบไม่ทันกับคำพูดต่อไป

‘...แต่ขอลองอีกซักตั้ง เผื่อฟลุ๊ค...’

“บอสพูดเรื่องอะไรคะ อันไม่เห็นรู้เรื่องเลยซักกะติ๊ดเดียว” ใบหน้าใสก้มนิดๆหลบสายตาอ่อนโยนและรอยยิ้มบาดใจเธอเสมอด้วยเขินอาย

“นายโจนาธานน่ะสิ อย่างอื่นมันดี แต่นิสัยจีบดะไปทั่วนี่ไม่ไหวเลยจริงๆ สั่งห้ามไม่ให้มายุ่งกับคุณแล้วแท้ๆ”

“หา...คุณโจน่ะเหรอ จีบอัน เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะบอส” ตากลมโตเบิกกว้าง

ไม่มีเลย เธอไม่ได้โง่หรือหน้าตาแย่ขนาดไม่เคยมีคนตาบอดมาตกหลุม หรืออย่างน้อยก็เคยเห็นท่าทางและได้ยินคำหวานที่บังเอิญส่งผ่านไปยังเพื่อนสาวหน้าสวยมาบ้าง สำหรับโจนาธานเธอแน่ใจว่าไม่ได้มีอาการส่อแววอย่างนั้นเลยซักนิด

“หือ?”

“ไม่มีแน่นอนเลย จริงๆนะคะ”

“คุยอะไรกันกับนายโจทีละตั้งนานสองนาน”

“ก็...ถามเกี่ยวความคิดเห็นเรื่องความรัก คุณโจบอกว่าจะเอาไปแต่งเพลง”

“แต่งเพลง”

“ค่ะ”

“แล้วเมื่อกี้ทำไมต้องหน้าแดง” คิ้วเข้มขมวดถามน้ำเสียงคาดคั้นปนสงสัยในที คำถามนั้นทำให้เธอหน้าเห่อขึ้นมาอีกครั้งอย่างไม่ตั้งใจ

เอ่อ เอาไงดีล่ะ จะพูดได้ยังไง มันอายนะ

“ว่ายังไง อัญญานี” เสียงเขาเข้มดุขึ้นมาอีกแล้ว แถมยังเรียกชื่อเต็มๆเสียอีก ดวงตากลมโต

“เอ่อ...ถาม ถามว่า...”

“อัญญานี ตอบมาเดี๋ยวนี้ ผมขอสั่งให้คุณตอบ” เสียงขุ่นมัวที่ตวัดถามเธอกับตาคมดุ ทำให้หญิงสาวเริ่มตาแดงๆอีกรอบ

“ทำไมบอสต้องดุอันด้วยล่ะ” เสียงใสตวัดตอบกลับเช่นกัน อารมณ์เขาแปรปรวนจนเธอชักมีน้ำโหบ้างเช่นกัน ทั้งเสียใจและไม่เข้าใจความเปลี่ยนแปลงของเขาสะสมมาหลายวัน เลยต่อปากต่อคำสวนกลับไป แถมเชิดหน้าท้าทาย

“แล้วทำไมไม่บอกซักทีล่ะ”

“ก็แล้วบอสจะอยากรู้ทำไมล่ะ”

“อยากรู้ว่าทำไมต้องไปทำหน้าแดงให้คนอื่นเห็นด้วยล่ะ”

“แล้วบอสจะโกรธทำไมเนี่ย”

“ก็หึงน่ะสิ”

“หา?”

อัญญานีตื่นตะลึงกับประโยคโต้ตอบสุดท้ายของเจ้าชายใน
ดวงใจที่ทำตัวประหลาดมาหลายเพลา เช่นเดียวกับเจ้าตัวสะดุดคำพูดตัวเองที่เผลอหลุดออกมาด้วยอารมณ์ปั่นป่วน เคืองขุ่นที่เจ้าหล่อนอ้ำอึ้งไม่ยอมตอบคำถามที่ค้างคาใจ
สองหนุ่มสาวยืนนิ่งไม่ไหวติง คนหนึ่งตากลมโตเบิกกว้าง หน้าเหวอ ส่วนอีกหนึ่งคน ใบหน้าหล่อแดงน้อยที่โหนกแก้ม เก้อเขิน

เสียงหัวเราะคิกคักดังแว่วมาก่อนเพิ่มระดับขึ้นเรื่อยๆ จากหน้าประตูที่ตอนนี้แง้มออกนิดๆเพื่อจะได้ฟังเสียงจากภายในได้ถนัดชัดเจน

ร่างที่แอบอยู่ตรงประตู โผล่หัวมาดูเป็นระยะๆกลัวว่าคนในห้องจะเบนสายตามาพบเข้า จึงต้องแฝงกายเบื้องหลังประตูหนาทึบ หัวเราะเสียงดังอย่างกลั้นไม่อยู่ก่อนชะงักกึกเมื่อบานประตูนั้นถูกกระชากออกแรงเร็ว

คนผู้นั้นไม่ใช่ใครอื่น โจนาธานตัวต้นเหตุที่ทำให้วาโยอารมณ์เสียจนพลั้งเผยความในใจเมื่อครู่ออกมา เมื่อโดนจับได้ เจ้าตัวก็หาได้สำนึกผิดและเกรงกลัวต่อสายตาคมดุของเจ้าของห้องไม่ ยังเปิดยิ้มกว้างเดินผ่านประตูเข้ามานั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะท่าทางสนุกสนาน

“อยากรู้มากเหรอวะโย ว่าฉันไปทำอะไรให้อันเขาหน้าแดงได้” อัญญานีเงยหน้ามองบุคคลที่สามสลับกับเจ้าของห้อง หน้าร้อนซู่อีกระลอกจนได้

“ไม่เอานะคุณโจ” มือบางเขย่าแขนชายหนุ่มขอร้อง แค่นี้ก็อายจะแย่แล้ว ดวงตาคมของวาโยตวัดมองไม่พอใจเพิ่มขึ้นอีก

“เอาน่าอัน บอกไปมีแต่นายโยจะดีใจ ไม่หัวฟัดฟัวเหวี่ยงแบบที่เป็นอยู่นี่”

“อะไร” วาโยส่งเสียงขุ่นแทรกถาม โจนาธานขำในลำคอนิดนึงก่อนตอบไปไม่สนใจแขนตนที่ถูกเขย่าไม่หยุด

“ฉันถามเขาว่า เจ้าชายของอัน หน้าตานิสัยเป็นไง” โจนาธานหรี่ตามองอดีตคู่หูอย่างพิจารณา “เสก็ทในใจดูคร่าวๆ หน้าเหมือนนายวาโยยังไงไม่รู้” หน้าคมดุเมื่อครู่จางหายไปเหลือเพียงดวงตาพราวระยับขึ้น

“แล้วก็ต่อถามว่า ถ้าเจ้าชายมาบอกรัก จะทำยังไงน้า”
ตอนนี้อัญญานีรู้สึกว่าเธอร้อนหน้า ร้อนตัวไปหมดแล้ว ไม่กล้ามองหน้าใครสักคนเดียว มือบางจับแก้มดูก็พบว่าร้อนจริงอย่างที่คิด

“อันนี้ยังไม่ได้ตอบ มัวแต่เขินอยู่ แล้วก็มีเสียงดุๆมาขัดจังหวะซะนี่ เลยไม่ได้รู้คำตอบกันซะที ฝากถามต่อให้ทีวะโย มีธุระ” โจนาธานชิ่งหนีปรูดไป ไม่ร่ำลาเสียด้วยซ้ำ ทิ้งคนสองคนไว้เบื้องหลัง ก่อนออกไปยังดึงมู่ลี่ปิดให้ พร้อมหลิ่วตาล้อเลียนจนวาโยอยากหาอะไรเขวี้ยงใส่สักทีสองที

“เอ่อ...อันครับ อัน” เสียงทุ้มอ่อนโยนเรียกหญิงสาวให้หันมาหา เพราะเจ้าหล่อนก้มหน้างุดแถมยังหันหน้าออกหน้าต่างอีกต่างหาก

คุณโจบ้า บอกไปได้ยังไงเล่า คนนิสัยไม่ดี คราวหน้าถามอะไรจะไม่ตอบแล้ว

“ค...ค...คะ อะไรคะบอส” เสียงใสตะกุกตะกัก

“ดูอะไรที่หน้าต่างเหรอ น่าสนใจมากไหมครับ” เสียงทุ้มนุ่มติดจะล้อเลียน เสียงหัวเราะเบาๆนั่นด้วย

“อย่าเพิ่งดูได้ไหม ไม่มองหน้าคนพูดด้วย เสียมารยาทนะครับ” ประโยคท้ายต่อว่าแต่ไม่จริงจัง อัญญานีข่มความอายหันกลับตามเสียง เพราะกลัวเสียมารยาท พบดวงตาคมทอดมาแพราวพราว เธอไม่สามารถสบตาคมได้จึงก้มหน้าหลบวูบเสีย

“อ้าว จะหลบไปไหนล่ะครับ” ชายหนุ่มกระเซ้าเจือหัวเราะ นึกเอ็นดูท่าทางเอียงอายนั้นจับใจ ร่างสูงเอียงคอก้มมองตามใบหน้าแดงก่ำที่หลบไปมา

“ฮื้อ...บอสน่ะ” เสียงเง้างอดส่งมาเพราะถูกขัดใจที่หลบไม่พ้น เรียกเสียงหัวเราะในลำคอวาโย เขาใช้นิ้วแข็งแรงเชยปลายคางบังคับให้เธอเงยหน้ามามองสบตา

“อันครับ ผมไม่ใช่เจ้าชาย แต่จะเป็นก็ได้ ถ้าอันอยากให้เป็น” ดวงตาคมทอแสงอ่อนหวาน ตรึงดวงตากลมโตให้ไม่สามารถเคลื่อนคลายไปทางอื่นใด

“แต่ถ้าเป็นเจ้าชายแล้ว ยังไม่มีเจ้าหญิง มันก็แปลกๆว่ามั้ย” เขาขอความคิดเห็น แต่ไม่มีเสียงตอบกลับมา เนื่องจากคนถูกถามหัวใจเต้นโครมครามจนแทบจะหลุดออกมาจากขั้วอยู่แล้ว อยากรวบรวมสติคิดหาคำตอบให้เขา แต่ก็ทำไม่ค่อยได้

“ไม่ทราบว่า อันอยากเป็นเจ้าหญิงบ้างไหมครับ” คำถามอ่อนหวานนั้นส่งตรงเข้าปักใจเธอ ดังก้องในโสตประสาทกังวานไปทั่วสมอง

“ว่ายังไงครับ” เสียงทุ้มทวนถามอีกครั้ง

“คะ...ค่ะ...อยากเป็นค่ะ” เสียงตอบแผ่วหวิวจากใจสู่เรียวปากชมพูระเรื่อ

ดวงหน้าคมปรากฏประกายตาพราวระยับด้วยความยินดีอย่างสุดซึ้งและรอยยิ้มบาดใจมากกว่าเคยสาดเข้าสู่ดวงตากลมโตของหญิงสาว

“ขอบคุณครับ เจ้าหญิงของผม” ประโยคหวานนั้นเปรียบเหมือนลมพัดแรงจนเธอรู้สึกเหมือนเซๆจะปลิวตามลมไป จนเมื่อรู้สึกถึงลำแขนแข็งแรงที่กระชับตรงช่วงเอว จึงได้รู้ว่าเธอเซจริงๆ สัมผัสใกล้ชิดทำให้หัวใจดวงน้อยที่เต้นแรงอยู่แล้ว ยิ่งสูบฉีดรัวเร็วเข้าไปกว่าเดิมเสียอีก

และเมื่อเขากระชับแน่นขึ้นจนร่างบางแนบอกกว้าง หญิงสาวก็รู้สึกว่าขาแข้งอ่อนแรงจนต้องเกาะเขาไว้ไม่ให้ล้มลงไป แสงแดดทอผ่านกระจกใสเข้ามาต้องใบหน้าคมที่ก้มมองใบหน้านวลซึ่งเป็นสีชมพูอ่อนเปี่ยมด้วยความสุขสดชื่นล้นพ้นอย่างไม่อยากเชื่อ แต่สัมผัสที่ได้รับ กำลังบอกชัดว่ามันจริงแท้แน่นอนเลยทีเดียว

ก็ชื่นใจ ได้รักเธอย่างนี้ แอบรักเธอ ก็รู้สึกตื้นตัน ความในใจที่ฉันมีให้เธอ ไม่เคยต้องการให้เธอมารับฟังขอมีความสุข มีเธอในฝัน

แต่ตอนนี้ อัญญานี ไม่ต้องแอบรัก แอบชื่นใจอีกต่อๆไปแล้ว ก็เจ้าชายในฝัน ออกมาปรากฎตัวอยู่ตรงหน้าแล้วนี่ไง

--------------จบ------------------


/td>




Create Date : 30 เมษายน 2550
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2551 18:48:38 น.
Counter : 615 Pageviews.

5 comment
ก็ชื่นใจได้รักเธอ ตอนที่2


แต่อย่างว่าแหละนะ ความสุขมักจะติดปีกบิน ไม่ค่อยอยู่กับใครนานนักหรอก ทฤษฎีนี้ อัญญานีลืมคิดถึงไป


หลังจากช่วงเวลาน่ายินดีที่เพิ่งผ่านพ้นไปไม่นาน ช่วงเวลาหัวหมุนก็เริ่มต้นขึ้น หญิงสาวเดินไปมาระหว่างโต๊ะตัวเอง โต๊ะเลขาคุณแม่ยังสาวและเปิดเข้าเปิดออกประตูห้องวาโย เจ้านายสุดหล่อหรืออดีตนักร้องขวัญใจเธอวุ่นวาย ผมนุ่มสไลด์เข้าทรงที่รวบเป็นเปียไว้อย่างดีเมื่อเช้า เริ่มยุ่ง ปอยผมบางส่วนตกลงมาเพราะเจ้าตัวเผลอเกาหัวด้วยความหงุดหงิดเมื่อตนเองไม่สามารถทำงานได้ว่องไวอย่างที่ใจคิด และคาดว่าตนคงทำให้การทำงานที่เคยราบรื่น เรียกหาสิ่งใดเป็นได้ดังใจรวดเร็วมีอันต้องขลุกขลัก


วาโยลอบมองผู้ช่วยเลขาที่ตอนนี้ทำหน้าที่แทนเลขาตัวจริงเดินแกมวิ่งเข้าๆออกๆ และอาการเสยผมที่ตกระแก้มแดงระเรื่อเพราะต้องออกกำลังมากกว่าปกติอย่างสงสารนิดๆแกมขำขัน

หลายครั้งที่เจ้าหล่อนลอบถอนใจเหนื่อยหน่ายกับงานใหม่อย่างกระทันหัน ตอนหันหลังออกจากห้องเขา แต่ก็ยังฉีกยิ้มทุกครั้งเมื่อเดินกลับเข้ามาซึ่งหลังๆเป็นยิ้มนั้นจะดูค่อยๆเจื่อนไปซักนิดก็เถอะ


กว่าจะถึงเวลาพักเที่ยง อัญญานีก็แทบขาลากทั้งยังรู้สึกว่าหิวมากกว่าปกติ เธอคิดว่าคงกินไก่ได้ทั้งตัวคนเดียวหมดภายในเวลาไม่เกินยี่สิบนาที รับประกันได้เลย แต่ก่อนหน้านั้น ขอไปล้างหน้าล้างตาเสียก่อนออกไปเผชิญหน้ากับสาธารณชน เธอรู้ตัวว่าสารรูปเธอตอนนี้คงไม่เรียบร้อยอย่างที่ควรเป็น แต่มันไม่น่าจะเลวร้ายนาดนี้

นี่มันยายเพิ้งชัดๆ!

เธอปล่อยให้สภาพตัวประหลาดแบบนี้ออกสู่สายตาของวาโย เจ้านายขวัญใจของเธอไปได้ยังไง เสื้อผ้าเธอที่ยับนิดๆชายเสื้อหลุดหน่อยๆทางด้านหลังเพราะเธอดึงสมุดโน๊ตเข้าๆออกๆจากที่เหน็บไว้ แต่นี่ไม่ได้น่าเกลียดร้ายแรงเท่าสภาพส่วนหัวของเธอ

ใบหน้าที่ออกจะซีดน้อยๆ เพราะเครื่องสำอางค์ที่เธอแต่งเติมมาเบาบางจางหายรวดเร็วกว่าปกติ อาจเพราะวันนี้เธอโต้ลมมากไปจากเดิม ด้วยการสวมวิญญาณเด็กส่งเอกสารเดินแกมวิ่งไปนู่นมานี่ในหน้าที่เธอและควบหน้าที่ใหม่ที่เพิ่งได้รับ แป้งที่ตบมาบางเบาจึงปลิวหายไปกับสายลม หน้าเธอเลยมันแผล็บอย่างที่เห็นในกระจกตรงหน้า มันเหมือนกระทะที่เพิ่งทอดไข่เจียวเสร็จใหม่ๆยังไงยังงั้นเลย

ผมนี่ก็อีก เธออุตส่าห์รวบไว้เป็นเปียเดี่ยวด้านหลังอย่างสวยงาม ตอนนี้หลุดลุ่ยยุ่งเหยิงไม่มีชิ้นดี พอดึงออกมาถักใหม่ก็ไม่ได้ดังใจ ออกจะเบี้ยวๆบูดๆยังไงไม่รู้ สุดท้ายเมื่อไม่ได้ดังใจ จึงปล่อยสยายออก รวบตึงมัดไว้แค่ครึ่งหนึ่ง ผมตรงสไลด์เข้ารูปบัดนี้สยายเป็นคลื่นสวยแผ่เต็มหลัง โชคดีที่ผมสีน้ำตาลเข้มของเธอนุ่มสลวยมาแต่เด็กโดยไม่ต้องบำรุงอะไรให้วุ่นวายอย่างคนอื่นเขา นี่คือสิ่งที่เธอพอใจมากที่สุดในตัวเธอ

หน้าตาประหลาดนี่ด้วย เธอรู้ตัวว่าไม่ได้สวยสะอย่างคนอื่นเขา ออกจะจืดๆไปเสียด้วยซ้ำ แต่จะทำไงได้ แม่ให้มาอย่างนี้นี่นา เมื่อไม่สวยเด่นก็ต้องเสริมสวยสักหน่อย แต่ก็อีกละนะ ความขี้รำคาญของเธอนี่แหละ ทำให้ไม่สามารถโบะหน้าเต็มสตรีมกลบริ้วรอยได้ตลอดรอดฝั่งเสียที เพียงแค่ทารองพื้นก็รู้สึกเหนียวหน้าจนทนไม่ได้ต้องเช็ดออกอยู่ร่ำไป สุดท้ายเลยขอตบแค่แป้งพัฟที่มีคุณสมบัติเบาบางสุดๆเหมือนเช่นทาแป้งเด็กก็ไม่ปาน เติมลิปกรอส เสริมสวยที่ตากลมโตอีกหนึ่งความภูมิใจที่สุดบนใบหน้า
อย่างนี้ค่อยดูได้หน่อย ไม่เป็นเหมือนคนบ้าเพิ่งวิ่งหนีผีมาอย่างเมื่อตะกี้

พอแต่งแต้มให้มีสีสันมากขึ้นจนพอใจแล้ว ก็กลับออกไปจากห้องน้ำหญิง ตรงไปที่ลิฟท์ที่สุดปลายทาง ยิ้มทักทายพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานในชั้นนั้นบ้างตามประสา เสียงแหบห้าวแต่มีเสน่ห์ดังขึ้นข้างตัวเรียกความสนใจเธอให้หันไป

“ขอโทษครับ ไม่ทราบว่าห้องคุณวาโยไปทางไหนครับ”

ทรงผมตามสมัยนิยมทำสีเป็นบางแห่งอย่างทันสมัย กางเกงยีนส์สีเข้มกับเสื้อยืดพอดีตัวทีทับด้วยแจ็คเกต ชายหนุ่มถอดแว่นตาสีชาที่บดบังใบหน้าไปกว่าครึ่งออก เผยให้เห็นดวงตาหวานซึ้งบนใบหน้าหล่อเหลาสไตล์ลูกครึ่ง
เสียงกรีดร้องอุทานแสบแก้วหูดังขึ้นรอบกาย สาวๆวัยรุ่นกรูกันเข้ามารุมล้อมชายหนุ่มตรงหน้า ทั้งเบียดทั้งกระแทกตัวเธอจนปลิวแทบล้มคะมำ ดีว่าความสามารถในการทรงตัวเธอดีเยี่ยม การันตีด้วยเกรดวิชาพละศึกษาได้ตลอดทั้งชีวิตด้วยเลขสี่สวยงามเรียงเป็นแถวไม่มีว่างเว้นสักเทอม อัญญานียังคงสภาพตัวตรงเรียบร้อยแต่หลุดออกจากพิกัดที่ยืนอยู่เมื่อครู่หลายวา

และแล้วเธอก็ตั้งตัวได้ สมองทำงาน สายตารับภาพชายหนุ่มที่ถูกรุมล้อม สำเหนียกได้ว่าไม่ใช่ใครอื่นไกลเลย เขาคือ โจนาธาน อดีตคู่หูดูโอเจ้านายสุดหล่อของเธอนั่นเอง
อัญญานีก็ชื่นชมในน้ำเสียงและหน้าตาของเขาอีกคนเช่นกัน แต่เห็นท่าว่าไม่อาจฝ่าวงล้อมทั้งที่ตัวเองค่อนข้างไร้เรี่ยวแรงเข้าไปได้ จึงเพียงแค่ควักมือถือที่มีกล้องในตัวชนิดที่มีประสิทธิภาพความละเอียดภาพชั้นเยี่ยมออกมาเก็บภาพนักร้องหนุ่มในระยะห่างแทน

ขณะนี้เขายังคงทำงานในวงการบันเทิง โดยเปลี่ยนมาออกอัลบั้มเดี่ยวของตัวเอง เปลี่ยนแนวจากเพลงป๊อปมาเป็นร็อคและโชว์ฝีมือแต่งเพลงเองจนติดชาร์ทเพลงฮิต
วงล้อมแฟนเพลงของโจนาธานบางตาลง เขาก็กลับมาถามหาเจ้านายสุดหล่อของเธออีกครั้ง ซึ่งทุกคนร่วมใจกันชี้ตรงมาที่เธอว่า ต้องไปติดต่อกับผู้หญิงที่ยืนยิ้มค้างกับโทรศัพท์มือถือ หน้าตาจืดๆนั่นแหละ

“คุณเป็นเลขานายโยเหรอเนี่ย ไม่น่าเชื่อเลย”

หมายความว่าไง?

รู้ตัวอยู่บ้างว่าตัวเธอไม่ได้มาดเนี้ยบคล่องแคล่วอย่างคุณเลขารุ่นพี่ ออกจะกะโปโลประกอบกับหน้าตาอ่อนจืดชืดเลยยิ่งดูไม่ค่อยหน้าเชื่อถือซักเท่าไหร่ ยิ้มของเธอยังคงติดอยู่กับเรียวปากสีชมพูอ่อนดูจืดเจื่อนลงเล็กน้อยกับถ้อยคำของชายหนุ่มที่โพล่งถามขึ้นขณะเดินมายังห้องวาโย

“ไม่เชื่อก็ถูกแล้วล่ะค่ะ ก็ฉันเป็นแค่ผู้ช่วยเลขา ไม่ใช่เลขาจริงๆซักกะหน่อย แค่มารับหน้าที่แทนชั่วคราวเท่านั้น”

อุตส่าห์เก๊กให้ดูเป็นสาวมั่นน่าเชื่อถือแล้วนะเนี่ย ยังไม่ได้ผลอีก สงสัยหน้าเธอคงจะปัญญาอ่อนอย่างปิดไม่มิดจริงๆ

“อืม...ผมก็ว่าอย่างนั้น หน้าคุณยังเด็กอยู่เลย อายุเท่าไหร่เหรอ”

ดูเหมือนว่ามารยาทการถามอายุผู้หญิงเป็นสิ่งไม่ควรจะไม่ค่อยอยู่ในสมองนักร้องคนนี้สักเท่าไหร่ บุคลิกที่แตกต่างกับเจ้านายเธออย่างกับอยู่คนละที่นาหน้าร้อยไร่ คนหนึ่งวางตัวดูดีมีมาด สุภาพนุ่มนวล อ่อนโยนจนสัมผัสได้ แต่อีกคนกลับดูเซอร์สบาย ทะเล้นขี้เล่นเปิดเผย พูดคุยกับคนแปลกหน้าได้อย่างกับคนสนิทชิดเชื้อ ราวกับเธอเป็นเด็กข้างบ้านมานั่งคุยกันเล่น

“ถ้าให้เดานะ ไม่เกินยี่สิบสี่ชัวร์ ถูกมั้ย” โจนาธานชี้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้ประกอบ หน้าหล่อมีแววทะเล้นรอคอยคำตอบอย่างระทึก พร้อมทำปากพะงาบๆแบบพิธีกรชื่อดังชอบทำในรายการเกมส์โชว์รายการหนึ่ง อัญญานีเผลอเล่นไปกับเขาด้วย

“ถ...ถ...ถ...ถูกต้องนะคร๊าบ”

พอสิ้นเสียงเธอ โจนาธานก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังไปแปดบ้านจนเธอตกใจ ดีที่ตอนนี้เธอกับเขามาหยุดที่หน้าโต๊ะของเธอซึ่งจัดเป็นสัดส่วนห่างจากส่วนของพนักงานอื่นๆแล้ว รีบจุ๊ปากให้เขาลดเสียงลง นึกในใจอย่างกระดากนิดๆที่ดันเผลอปล่อยภาคประหลาดออกมาอีกแล้ว

“คุณนี่ตลกดีนะ ชื่ออะไรครับ”

“อะ...อัญญานีค่ะ”

“ผมโจนาธาน” ชายหนุ่มแนะนำตัวกลับ มือใหญ่เอื้อมมาสัมผัสกับมือเล็กที่ยื่นออกมารับอย่างรู้หน้าที่ ทักทายทำความรู้จักตามแบบฉบับวัฒนธรรมตะวันตก

“รู้แล้วค่ะ ไม่เห็นต้องบอกเลย” หญิงสาวตอบหน้าตาเฉย เป็นผลให้เขาหัวเราะออกมาอีกครั้ง แต่คราวนี้แค่ดังไปแค่สองบ้านเท่านั้น แต่ก็สามารถเรียกความสนใจจากคนในห้องได้

“เฮ้ย...โจ”

วาโยเยี่ยมหน้าออกมาจากห้อง เรียกเพื่อน สีตาเข้มดุแปลกไปจากเดิมในสายตาอัญญานี รอยแย้มยิ้มหวานสดใสที่ส่งไปทางต้นเสียงมีอันเหือดหดหายไป เมื่อเสียงเข้มเหมือนสีตาดังขึ้นอีก

“เสียงดังโหวกเหวกเข้าไปถึงในห้อง เกรงใจชาวคนอื่นบ้าง”

“ว้า...กินรังแตนมาจากไหน เห็นหน้าก็ดุใส่เลย” โจนาธานหน้าแกล้งทำหน้าแหย แถมหยอดคำถามทะเล้นเสียงออดไม่กริ่งเกรงหน้าดุๆต่ออีกประโยค”หรือหงุดหงิดเพราะคิดถึงเค้ามากใช่มั้ยล่ะ”

“ไอ้บ้า!” วาโยปัดมือโจนาธานออกจากไหล่หนาแหยงๆ พลางส่ายหน้าระอาถ้อยคำล้อเล่นของเพื่อน เรียกเสียงขำขันได้อีกระลอกหนึ่ง

อัญญานีมองภาพความเป็นกันเองตรงหน้ายิ้มๆ เธอไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนในช่วงระยะเวลาที่ทำงานร่วมกันเขามาหนึ่งปี ชายหนุ่มมีท่าทางสุภาพอ่อนโยนนุ่มนวลเสมอ นี่เป็นอีกภาพลักษณ์หนึ่งที่เธอจะได้ซึมซับเก็บไว้ใน วาโยคอเลคชั่น

วาโยมองนาฬิกาข้อมือเรือนงาม ส่งสายตาแทนคำพูดเป็นเชิงถามว่า ไปได้รึยัง โจนาธานพยักหน้ารับรู้ แต่ยังไม่ขยับตัว กลับเลื่อนสายตาพราวระยับไปยังหญิงสาวคนเดียวในที่นั้น

“เจอกันใหม่โอกาสหน้านะคุณ ไว้ผมมาเยี่ยมใหม่นะ คุณอัญญานี ว้า ยาวจัง ไม่มีชื่อเล่นเหรอ”

“อันค่ะ”

“โอเค พบกันใหม่คราวหน้านะครับ อัน” โจนาธานเปลี่ยนสรรพนามที่เรียกหญิงสาวใหม่ทันควัน น้ำเสียงสนิทสนมสดใส แถมขยิบตาให้อีก อัญญานียิ้มตอบออกแนวขำซะมากกว่าจะรู้สึกขัดเขินกับท่าทางขี้เล่นพราวเสน่ห์นั้น แต่อีกคนที่เหลือไม่ค่อยขำ ติดจะหงุดหงิดน้อยๆ เพราะคิ้วเข้มขมวดเข้าหาหน่อยๆ ทำเสียงกระแอมไอในลำคอ พลางยกนาฬิกาขึ้นดูอีกครั้ง คนขี้เล่นจึงยอมออกเดินเคียงไปกับเจ้านายหนุ่มของเธอได้เสียที


อัญญานีตะกายลงไปหาอาหารใส่ท้อง คล้อยหลังจากเจ้านายและอดีตคู่หูดูโอจากไปแล้ว เธอเขมือบข้าวมันไก่ไปสองจานรวด งานนี้ไขมันและแคลอรี่คงเต็มเอี้ยดกระเพาะของเธอแน่นอน แต่หวังว่าคงจะไปเติมเต็มพลังงานที่หดหายไปราวกับถูกสูบ พอให้ปริมาณความอ้วนที่รับเข้าไปลดระดับลงไปกว่าครึ่งได้ เหลืออีกครึ่งที่ต้องเก็บไว้ใช้ในครึ่งบ่ายที่เหลือต่อไป

หญิงสาวกลับมานั่งพิมพ์จดหมายต่ออย่างสบายอารมณ์ออกจะง่วงนิดๆ อย่างว่าแหละนะ อาหารเข้าปากเรียบร้อย หนังท้องก็ตึงแล้วมันก็ชักจะดึงหนังตาให้หย่อนตาม จึงต้องสลัดหน้าไล่ความรู้สึกง่วงงุนออกไป รู้สึกจะสลัดแรงไปจนชักมึนจึงหยุด ตากลมโตกระพริบปริบๆ รับภาพเจ้านายหนุ่มที่เดินกลับเข้ามา อัญญานียิ้มต้อนรับเช่นเคย แต่หน้าคมที่เข้ามาใกล้มีแววดุ บึ้งตึงอย่างปิดไม่มิด แถมจ้องหน้าเธอเขม็งอีก อัญญานีหน้าแหยปนงุนงง ดวงตาคมมีประกายเข้มจนเธอต้องก้มหน้าหลบ ไม่วายเหลือบตามองนิดๆวาโยเดินผ่านเข้าห้องไป

บอสโมโหอะไรหว่า หน้าบึ้งจัง แต่ก็ยังหล่ออยู่ดี แฮะๆ
หญิงสาวไม่ได้รับรู้ถึงกระแสความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้าจนทำให้เธอต้องเสียน้ำตา

วาโยทิ้งตัวลงบนเก้าอี้นุ่มหลังโต๊ะทำงานในห้องที่จัดไว้เป็นระเบียบ มีดอกไม้แต่งไว้เป็นบางมุม อารมณ์ขุ่นมัวยังตกค้างไม่จางหาย แม้ว่าอาหารมื้อเที่ยงเมื่อครู่จะมีรสชาติและบรรยากาศดี ชวนให้เจริญอาหาร แต่คนที่ไปร่วมโต๊ะด้วยกลับพาให้เขารู้สึกว่ารสชาติอาหารมันจืดเจื่อนชอบกล
หลังการพูดเป็นงานเป็นการเป็นงานชักชวนให้วาโยร่วมร้องเพลงในอัลบั้มพิเศษของโจนาธานที่กำลังเดินหน้าทำอยู่ตอนนี้ ด้วยการเชิญคนพิเศษมาร่วมแจม หนึ่งในนั้นคือวาโย คู่หูดูโอที่ร่วมงานกันมาตั้งแต่อัลบั้มแรก เปิดตัวพวกเขาสองคนให้ดังเป็นพลุแตก ก่อนจะลาจากไปเรียนต่อ ส่วนโจนาธานได้โอกาสพลิกผันไปหาแนวเพลงที่ตัวเองชอบอย่างเต็มตัว

ครั้งนี้เขาได้โอกาสเสนอโปรดิวเซอร์เกี่ยวกับอัลบั้มพิเศษตอบแทนแฟนเพลง จึงนึกถึงเพื่อนสนิทร่วมอัลบั้มคนแรกขึ้นมา คำตอบที่ได้เป็นอย่างที่คาดคิด วาโยขอคิดดูก่อนตัดสินใจ เพราะนั่นอาจจะกระทบกับเวลางานปกติของเขา หลังจากมีอัลบั้มแล้ว แน่นอนมันไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้น ยังต้องมีรายการโปรโมท ออกรายการต่างๆตามมาอีกยาวเหยียด โจนาธานไม่ได้ขู่บังคับ แต่หว่านล้อมกวนๆตามสไตล์

‘มีสาวๆหลายคนรอนายสละสิทธิ์เป็นแถวเพื่อจะได้ใกล้ชิดฉันนะ นี่ฉันยอมตัดโอกาสสาวๆพวกนั้น เลือกนายมากกว่าถึงมาชวนเองถึงที่ ถ้ายังชักช้าไม่ให้คำตอบที่น่าพอใจ นายจะต้องเสียใจมากๆทีหลังแน่ๆ’

พอจบการสนทนาเรื่องงาน โจนาธานก็วกกลับมาหาข้อมูลผู้ช่วยเลขาเขาไม่หยุดหย่อน แววตาคมจึงมีแววขุ่นอีกครั้ง แต่ดูเหมือนคนตรงข้ามจะไม่ได้รู้สึกรู้สา ยังคงซักไซ้ไม่หยุดหย่อน

“อัน เขามีแฟนรึยังวะ หน้าจืดไปหน่อย แต่ถ้าเติมๆอีกนิดน่าจะใช้ได้เลยนะ”

ไม่เห็นต้องแต่งหน้าหนาเตอะเลย แค่นี้ก็ดีแล้ว ยุ่งจริง

“น่ารัก ตลกๆดี ตอนเขาเก๊กเป็นสาวมาดมั่นแล้วหน้าเหี่ยวฉับพลันตอนฉันบอกว่าไม่เชื่อว่าเขาเป็นเลขานาย ฮ่าๆๆ”
คนเขาอุตส่าห์ตั้งใจวางมาด ยังไปขำเขาอีก นายมันแย่จริงๆ

“ตอนฉันทายอายุเขา นึกว่ามุขจะแป๊ก ไม่เคยเล่นผ่านซะที ไม่นึกว่าอันจะเล่นด้วย กลายเป็นฉันปล่อยฮาแทน”
อยู่ดีๆไปเรียกชื่อเล่นเขา เจ้าของเขาไม่ได้อนุญาตสักหน่อย ขี้โมเมชะมัด

“ฉันไปหานายบ่อยๆหน่อยดีกว่า ถือซะว่าฉันรอคำตอบที่น่าพอใจจากนายแล้วกัน”

เฮ้ยๆๆๆไม่มีงานทำรึไง

“ว่าแต่ฉันขอเบอร์เขาได้เปล่า เผื่อว่าแรงบันดาลใจแต่งเพลงฉันหมด จะได้โทรไปขอความคิดเห็นได้บ้าง”
เกินไปแล้ว เพิ่งเจอกันแป๊บเดียวไม่ถึงครึ่งชั่วโมง แกมีแรงบันดาลใจอะไร แล้วทำไมต้องไปขอความคิดเห็นอะไร ขอเบอร์ไปแล้วแน่ใจเหรอว่าเขาอยากคุยด้วย ชิ!
วาโยใช้ส้อมจิ้มกุ้งชุบแป้งทอดเหลืองอร่ามที่นอนแน่นิ่งอยู่เคียงข้างผักหลากชนิดสีเขียวอ่อนแก่วางสลับกัน ดูสวยกรอบน่ารับประทาน แต่ตอนนี้ชักไม่น่าส่งเข้าปากแล้ว

ฉึก!!!

อารมณ์ขุ่นมัวเพิ่มระดับขึ้นตามจำนวนคำถามที่พรั่งพรูออกจากปากของเจ้าอดีตคู่หูดูโอของเขาไม่หยุดหย่อน วาโยไม่ขยับปากส่งสียงตอบกลับไปซักแอะ และชักหงุดหงิดไม่อยากฟังเสียงห้าวแหบมีเสน่ห์ตรึงใจสาวนั้นขึ้นมากระทันหัน หลังจากเปลี่ยนหัวข้อสนทนาจากเรื่องงานมาเป็นผู้ช่วยเลขาสาวของเขา

วาโยตั้งคำถามในใจอย่างสงสัยปนเคืองขุ่นว่า ทำไมรู้สึกวันนี้เจ้าเพื่อนหน้าทะเล้นจึงพล่ามพูดมากกว่าปกติ อีกทั้งหน้าระรื่นอย่างน่าซัดนั่นอีก มันน่าหาอะไรอุดปากสักอย่างสองอย่าง ค่าที่ช่างซักช่างถามเสียจริง และจะได้โอกาสอุดรอยยิ้มกริ่มนั่นเสียด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ตวัดตามองเพื่อนแวบนึง เขารู้อยู่ว่าคนหน้าทะเล้นตรงหน้าไม่ใช่คนเลวร้าย เพียงแต่ชอบมีเพื่อนคุย ผูกมิตรไปทั่วด้วยความเป็นคนขี้เหงา ซึ่งดูจะชอบเลือกผูกกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เสห่ห์แพรวพราวนั่นก็ชวนให้ผู้อื่นหลงใหลไม่น้อย ความช่างบริการก็อีก ทำให้สาวๆตกหลุมกันเป็นทิวแถว แต่ไม่เคยมีคนใดที่โจนาธานจะดึงไว้ข้างกายยาวนาน สาวๆเหล่านั้นต่างผลัดเปลี่ยนกันรับไมตรีจากโจนาธาน

คราวนี้โจนาธานแสดงท่าทีว่าสนใจอยากผูกไมตรีกับผู้ช่วยเลขาของเขา จุดอารมณ์เคืองขุ่นให้วาโยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เขารวบช้อนยกแก้วน้ำขึ้นจิบ เป็นสัญญาณว่าต้องการรามือจากอาหารมื้อนี้เสียที

“อ้าว อิ่มซะแล้วเหรอ ขนมหวานต่อมั้ย ร้านนี้เขาอร่อยนะ”

วาโยส่ายหัวน้อยๆปฏิเสธ โจนาธานทำหน้าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ กวักมือเรียกพนักงานมาสั่งขนมหวานเพิ่มและให้จัดการห่อกลับบ้านให้ด้วย

“ฉันฝากไปให้อันด้วย เวลาเขากินจะได้คิดถึงฉัน”
คิ้วเข้มขมวดมุ่น เสียงนุ่มทุ้มกลายเป็นเข้มกับข้อความสุดท้ายก่อนจาก เขายกนาฬิกาขึ้นมองแล้วลุกพรวดจากเก้าอี้

“เลิกคิดไปเลย อัญญานีไม่ใช่เพื่อนแก้เหงาของแก แล้วไม่ต้องไปยุ่งที่บริษัทให้วุ่นวาย ฉันขี้เกียจโดนตัดเงินเดือน ส่วนคำตอบมีเมื่อไหร่จะโทรไปหาเอง อ้อ แล้วจ่ายให้ด้วย คราวหน้าค่อยคืน”

“อ้าว? ไหนว่าจะเลี้ยงไงวะ เฮ้ย!”

โจนาธานมองตามตื่นตระหนกและงงงัน แต่ต่อมากลับกลายเป็นยิ้มกริ่ม

แหม...หวงซะด้วย ชักตะหงิดๆยังไงอยู่นะ นายวาโย

-----โปรดติดตามตอนต่อไป----





Create Date : 29 เมษายน 2550
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2551 18:49:17 น.
Counter : 305 Pageviews.

0 comment
ก็ชื่นใจ...ได้รักเธอ ตอนที่1


เรื่อง ก็ชื่นใจ...ได้รักเธอ

วันนี้เป็นวันดีสำหรับอัญญานี ไม่คิดว่าผลบุญที่ได้ทำเมื่อเช้าก่อนมาทำงาน กรวดน้ำอธิษฐานขอพรให้เธอได้มีโอกาสใกล้ชิดเขาบ้างจะส่งผลรวดเร็วแบบนี้
คุณเลขาตัวจริงดันเกิดอาการวิงเวียน คลื่นเหียนอาเจียนอย่างรุนแรงและเป็นลมแถมท้าย จนสามีที่รักตกใจหน้าซีดลนลานพาคุณเลขาไปส่งโรงพยาบาลเป็นการด่วน ผลการตรวจออกมาปรากฎว่า คุณเลขาเกิดอาการแพ้ท้อง สามีที่รักได้ยินคุณหมอวินิจฉัยเลยกระโดดโลดเต้นกอดหมอกอดภรรยาวุ่นไปหมด แต่เกือบถูกภรรยาที่รักเล่นงานเพราะดีใจมากไปเกือบโผไปกอดคุณพยาบาลด้วยอีกคน

ทั้งหมดนี้คุณเลขาตัวจริงเพิ่งรู้ตัวว่าเป็นคุณแม่ไม่ถึงชั่วโมงโทรมาฝากงานและหน้าที่เลขาไว้กับผู้ช่วยเลขาอย่างเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหยโรยแรงเพราะอาการแพ้ท้องรุนแรง ทว่ามีแววยินดีล้นพ้นในน้ำเสียงนั้นด้วยเช่นกันก่อนที่จะให้เธอโอนสายเข้าไปหาเจ้านายในห้องเพื่อลางานด้วยตนเอง เป็นเวลาสองอาทิตย์ เพื่อพักผ่อนให้อาการดีขึ้นเสียก่อน

“กรี๊ดดดดดดด ไม่อยากเชื่อเลย” อัญญานีร้องเสียงเบาอยู่หน้าคอมพิวเตอร์บนโต๊ะของตัวเอง หลังจากโอนสายเข้าไปในห้องเจ้านายแล้ว

‘อันต้องทำหน้าที่แทนพี่สักระยะ ฝากด้วยนะจ๊ะ แล้วพี่จะรีบกลับไป’ เสียงคุณเลขาตัวจริงยังดังก้องอยู่ในโสตประสาทการรับรู้ทางเสียง หัวใจเธอเต้นแรงเมื่อได้ฟังประโยคนั้น

ไม่ต้องรีบหรอกค่ะพี่ขา ไม่ต้องห่วงเลยค่ะ โอกาสดีๆที่จะได้ใกล้ชิดคนที่เธอปลื้มและชื่นชมมานานมาถึงแล้ว ยะฮู้!

วาโย อดีตนักร้องคู่ดูโอและนายแบบรูปหล่อ มีเชื้อจีนนิดๆผิวขาวๆจึงตัดกับคิ้วเข้มและดวงตาคมอย่างมีเสน่ห์ เมื่อหลายปีก่อนหลังจากวางไมค์และเดินทางไปศึกษาต่อในเส้นทางที่ตนเองสนใจในต่างแดน และกลับพลิกผันมาทำงานที่ตนชอบและถนัด ปฎิเสธที่จะกลับเข้าสู่วงการอีกครั้งอย่างที่แฟนๆรอคอย และเธอก็คือหนึ่งในนั้นแฟนๆที่รอคอยเช่นเดียวกัน มีบ้างที่บางครั้งเขาได้รับเชิญให้เป็นแขก สัมภาษณ์ตามรายการทีวีต่างๆ และห่างหายไปโดยสิ้นเชิงในระยะหลังมานี้ แฟนคลับทั้งหลายเลยได้แต่คอยเงกในความหวังว่าจะได้ใกล้ชิดนักร้องในดวงใจกันไป แต่ไม่ใช่สำหรับ อัญญานี
ก็เพราะว่าขณะนี้ เธอได้เป็นผู้ช่วยเลขาของวาโย และเขาเป็นเจ้านายของเธอแล้ว!

วันแรกที่เธอมาเริ่มงานเมื่อหนึ่งปีก่อน และได้พบกับเจ้านายเธอเป็นครั้งแรก อัญญานียกมือไหว้อ้าปากค้าง

“บอสคะ อัญญานี ผู้ช่วยเลขาคนใหม่ค่ะ” คุณเลขารุ่นพี่แนะนำกับวาโย

พี่วาโย กรี๊ดดดดดดดดดดดดด ได้เห็นใกล้ติดขอบจอแบบนี้ หัวใจอัญญานีจะล้มเหลวไปแบบเฉียบพลัน

ตาโตๆของเธอที่เป็นจุดเด่นที่สุดบนใบหน้า รับรู้ภาพของเจ้านายหนุ่มมือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกง อีกข้างถือกระเป๋าเอกสาร พยักหน้ารับไหว้เธอ แล้วทำหน้าประหลาด คงเป็นเพราะเห็นผู้หญิงประหลาดอย่างเธอยังพนมมือค้างอ้าปากหวอหลุดโลกอยู่ไม่เลิก ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย จึงปรากฎรอยยิ้มขำ

โอ๊ย อย่ามายิ้มแบบเจ้าชายอย่างนั้นได้มั้ย สาบานได้เธอเห็นมงกุฎอยู่ประดับอยู่บนผมสีเข้มของเขา แถมยังมีผ้าคลุมปลิวอยู่ข้างหลังด้วย

อัญญานียกกล้องดิจิตอลที่ถือติดมืออยู่ขึ้นมาในสภาพพร้อมใช้งาน กดชัตเตอร์ แชะ! เก็บภาพนักร้องสุดหล่อในดวงใจและตำแหน่งเจ้านายของเธอไว้เรียบร้อย

แรงสะกิดจากคุณเลขารุ่นพี่ ทำให้เธอหลุดออกจากภวังค์ความฝันมาได้ และรับรู้ว่าเมื่อกี้เธอคงเผลอทำท่าประหลาดๆออกไปแน่นอน ความกระดากอายแล่นขึ้นมาสู่สมองสั่งให้เธอหน้าแดง วาโยยังคงยิ้มบาดใจแฝงอาการอึ้งนิดๆอยู่ตรงหน้า

“เอ่อ ยินดีต้อนรับและยินดีที่ได้รู้จักครับ” เสียงทุ้มเอ่ยต้อนรับพนักงานใหม่ แล้วหมุนตัวเดินเข้าห้องไป
นี่เธอทำอะไรไปเนี่ย ทำอะไรประหลาดๆแบบนั้นออกไปได้ยังไง

“พี่คะ อันขอไปเข้าห้องน้ำหน่อยนะคะ” อัญญานีขออนุญาตเสียงอ่อยๆ

“ไม่เป็นไรหรอก บอสชินแล้วหล่ะ สาวๆหลายคนที่เจอบอสก็ออกอาการแบบนี้แหละ แต่พี่ว่าก่อนถ่ายรูปน่าจะบอกบอสก่อน บอสจะได้เก๊กหล่อทัน” เลขารุ่นพี่หัวเราะน้อยๆหลังจากปลอบเธอและอนุญาตให้ไปได้


ปกติหน้าที่ของเธอไม่ค่อยได้ข้องเกี่ยวเยี่ยมหน้าเข้าไปในห้องของเจ้านายหนุ่มสักเท่าไหร่ งานของเธออยู่ที่โต๊ะข้างเลขารุ่นพี่ของเธอนี่แหละ คอยรับหน้าที่จากเลขาสาวเป็นส่วนใหญ่ มีเพียงเวลาที่วาโยเรียกหากาแฟเท่านั้น ถึงจะได้มีโอกาสก้าวล่วงเข้าสู่ดินแดนของเจ้านายสุดหล่อไปเก็บภาพความประทับใจและเสียงทุ้มที่แสนไพเราะจับใจ พูดกับเธอด้วยคำเดิมๆทุกครั้งที่เธอนำกาแฟเข้ามาให้ อาจมีเสริมต่อบ้างบางครั้งคลายความเคร่งเครียดให้เขาด้วยความเปิ่นประหลาดของเธอโดยไม่ได้ตั้งใจ สร้างรอยยิ้มอ่อนโยนเสมอให้ผุดขึ้นบนหน้าแทนคิ้วขมวดมุ่น แต่เพียงเท่านั้น กลับเป็นแรงดลใจให้เธออยากมาทำงานทุกวัน

และวันนี้วันที่เธอจะได้มีโอกาสเดินเข้านอกออกในห้องของเขาเป็นว่าเล่นอย่างที่เลขาคุณแม่สดๆร้อนๆเคยทำ แค่จินตนาการภาพว่าเธอจะได้อยู่ใกล้ชิดเขาตลอดทั้งวันแล้ว เธอก็ยิ้มแทบไม่หุบ หัวใจพองเหมือนโตเป็นลูกโป่ง ขณะนั่งยิ้มแป้นอยู่เสียงอินเตอร์คอมก็ดังขึ้น เสียงนุ่มทุ้มดังมา

“ขอกาแฟแก้วนึงนะครับ แล้วก็ตารางนัดวันนี้ด้วย”
อัญญานีตอบรับก่อนเตรียมกาแฟและหยิบตารางเวลาบนโต๊ะเลขารุ่นพี่เดินไปเคาะประตูแล้วเปิดเข้าไป วาโยนั่งหันหน้าเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์โน๊ตบุคเครื่องเล็กบนโต๊ะมุดหนึ่ง เธอเข้าไปเสริฟกาแฟให้เจ้านายหนุ่ม ที่หันมายิ้มบาดใจแทนคำขอบคุณนิดหนึ่งตามความเคยชิน แล้วยกขึ้นจิบ

อย่ายิ้มได้มั้ยคะ จะละลาย

อัญญานีกระแอมเรียกเสียงนิดหนึ่งก่อนรายงานตารางเวลานัดของวันนี้อย่างตั้งใจ รายงานจบก็แอบเหลือบตามองคุณเจ้านายเสียหน่อยเป็นกำลังใจ แต่ต้องตกใจเมื่อพบว่าเขามองเธออยู่ก่อนแล้ว ตาคมเข้มมีเสน่ห์ดึงดูดเสมอ

“หมดแล้วหรือครับ” เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยถาม

“ค่ะ หมดแล้ว บอสมีอะไรจะสั่งอีกมั้ยคะ” อัญญานีต้องหลบสายตานั้น ไม่เช่นนั้นเธอรู้ตัวว่าจะต้องเผลอทำอะไรแปลกอีกแน่ เธอดึงสมุดเล่มเล็กที่เหน็บไว้ที่ด้านหลังมาเตรียมพร้อมอย่างที่เลขาตัวจริงสั่งไว้ก่อนวางสาย

ชายหนุ่มครุ่นคิดนิดหนึ่งก่อนบอกว่าไม่มี อัญญานีเตรียมหันหลังเดินออกจากห้องไปทำหน้าที่ของเธอต่อ

“เดี๋ยวครับคุณอัน” เสียงนุ่มทุ้มเรียกเธอไว้ก่อน
แค่เรียกชื่อก็จะชื่นใจแล้ว เอ๋ เมื่อกี้เรียกเธอว่าอะไรนะ

“เมื่อกี้บอสเรียกอันว่าอะไรนะคะ” เธอหันกลับไป น้ำเสียงและหน้าตาของเธอมีประกายความแปลกใจเต็มเปี่ยม

“คุณอัน” เขาเรียกหญิงสาวอีกครั้ง

นั่นไง เขาเรียกชื่อเล่นเธอเฉยๆ ไม่ได้เรียก อัญญานี เต็มๆแบบที่เคยเรียก

“ผมเรียกแบบนี้ได้รึเปล่า” ใบหน้าหล่อเหลาปรากฎความไม่แน่ใจ

“ได้สิคะ ดูเป็นกันเองกว่าแบบเดิมเยอะเลยค่ะ” ดวงตากลมโตของเธอส่องประกายสดใสดีใจเต็มเปี่ยม เรียวปากแต่งแต้มสีชมพูอ่อนยิ้มร่าเริง ทำให้วาโยยิ้มตามไปด้วย
ยิ้มแบบเจ้าชายอีกแล้ว อย่าทำให้ใจแกว่งกันนักได้มั้ย

“แล้วบอสเรียกอันมีอะไรจะสั่งหรือคะ”

“เปล่าครับ แต่มีอะไรจะถามซักหน่อยเท่านั้น” อัญญานีเลิกคิ้วสงสัย ดวงตากลมโตมีแววสงสัย เอียงคอน้อยๆ เจ้านายหนุ่มมองท่าทางคล้ายเด็กนิ่งนิดหนึ่งก่อนกระพริบตา เปลี่ยนไปมองถ้วยกาแฟแทน

“ถามอะไรคะบอส”

“ใครชงกาแฟให้ผม มันไม่เหมือนเดิม”

“อันเองค่ะ”

กาแฟที่เธอชงมันรสชาติแย่ หรือเธอฟั่นเฟือนหยิบเกลือแทนน้ำตาลใส่ลงไปรึเปล่า
ปกติจะมีแม่บ้านเป็นคนจัดการให้ เพียงเธอเดินไปบอกว่าต้องการกาแฟให้เจ้านายหนุ่ม แม่บ้านก็จะชงสูตรที่เจ้านายหนุ่มชอบ ส่วนเธอยืนมองจนจำได้ขึ้นใจ และแอบเอาไปชงดื่มเองที่บ้านและพบว่ามันรสชาติดีแต่เข้มไปซักนิด เลยเพิ่มนมเข้าไปอีกหน่อยให้รสชาติกลมกล่อมขึ้น และคาเฟอีนจะได้ไม่ค่อยไปกระตุ้นสมองมากนัก

เมื่อครู่เธอก็เดินไปสั่งตามปกติ แต่ปรากฎว่าแม่บ้านหายตัวลาไปทำธุระครึ่งวัน เธอเลยจัดการชงด้วยฝีมือเธอเอง

“คือแม่บ้านที่ชงให้ไม่อยู่น่ะค่ะ อันเลยต้องชงเอง ไม่ถูกใจบอสเหรอคะ หรือว่าอันยิบขวดผิดใส่เกลือแทนน้ำตาลรึเปล่าคะบอส” วาโยหัวเราะเบาๆกับอาการตื่นตระหนกกลัวว่าตนเองจะทำผิดพลาดรึเปล่า

“เปล่าครับ คุณหยิบขวดถูก” หญิงสาวถอนหายใจโล่งอกนิดหนึ่ง

“งั้นอันคงชงไม่ได้เรื่องใช่มั้ยคะ อันไปเปลี่ยนให้ใหม่” อัญญานีเอื้อมจะมาหยิบแก้วกาแฟไปอย่างที่บอก แต่เจ้านายหนุ่มห้ามไว้ก่อน

“เปล่าครับ ไม่ใช่อย่างนั้น” หญิงสาวเอียงคอสงสัยอีกรอบ

“มันรสชาติดีกว่าเดิมต่างหาก” วาโยเฉลย เรียกรอยยิ้มโล่งใจและปลาบปลื้มจากเธอได้

“จริงเหรอคะบอส” เจ้านายหนุ่มพยักหน้า

“คราวหน้ารบกวนคุณอันเป็นคนชงได้มั้ย” วาโยร้องขอ

“ได้เลยค่ะบอส ไม่มีปัญหา” หญิงสาวตอบรับรื่นเริงยินดีเป็นที่สุด

เขาบอกว่าชอบกาแฟที่เธอชงให้ และต่อไปนี้เธอจะได้ชงกาแฟให้เขาทุกวัน เยสๆๆๆ

“ขอบคุณครับ” เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยพร้อมรอยยิ้มบาดใจสาวอีกครั้ง

หลังจากออกมาจากห้องเขาแล้ว อัญญานีทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ของเธอ รอยยิ้มบาดใจยังติดตา แม้ว่าจะได้เห็นมาเสมอ เป็นเวลาหนึ่งปี แต่วันนี้เธอรู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นมันบาดจิตบาดใจเธอมากกว่าวันไหนๆ

วันนี้มันวันอะไรหนอ เธอถึงได้โชคดีอย่างกับถูกล็อตเตอรี่สามตัวท้ายซ้ำกันติดๆถึงสองครั้ง หนึ่ง เธอได้ทำหน้าที่เลขาตัวจริงให้เขา และสอง เขาออกปากขอเธอให้ชงกาแฟให้เขาทุกวัน ชื่นใจจริงๆเลย เฮ้อ จะมีอะไรดีๆเกิดขึ้นอีกรึเปล่าน้า แต่แค่นี้ก็ชื่นใจจนยิ้มไม่หุบแล้ว

แต่อย่างว่าแหละนะ ความสุขมักจะติดปีกบิน ไม่ค่อยอยู่กับใครนานนักหรอก ทฤษฎีนี้ อัญญานีลืมคิดถึงไป

โปรดติดตามตอนต่อไป




Create Date : 29 เมษายน 2550
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2551 18:47:55 น.
Counter : 200 Pageviews.

0 comment
ผลักหัวใจ ให้รับรัก ตอนที่3 จบแล้วจ้า


อึ๋ย เอาแล้วมั้ยล่ะ เขามาทวงของเขาคืนแล้ว จากบทสนทนาก็สามารถบ่งบอกได้ว่าสนิทสนมกัน จะประมาณไหนก็แล้วแต่เถอะ ถึงจะหน้าตาน่ารักอย่างนั้น แต่ตาเขียวๆกับรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาก็ทำให้หวาดผวา ฉันเปล่านะ อย่ามองแบบนั้นอีตานี่ก็กล้าหาญชาญชัยเหลือเกิน ไม่รู้สึกรู้สาอะไรซักนิดเหรอ แล้วเรื่องอะไรมาทะเลาะกันที่หน้าบริษัทกันล่ะ เธอไม่อยากเป็นข่าวว่าเป็นมือที่สามนะ

สาลินทั้งกรุ่นโกรธและเสียใจ พยายามกระตุกข้อมือออกจากมือใหญ่ ไม่ได้แอบทำนะอย่างในละครนะ ทั้งดึงทั้งกระชากเลยหล่ะ แต่ชานนท์กลับยิ่งยึดไว้แน่นไม่ยอมปล่อยเข้าไปอีกแถมยังมองเธอดุๆอีกแน่ะ

“ไม่ได้ผิดนัด บอกแต่แรกแล้วว่าไม่ไปๆ ก็ไม่มีใครฟัง พี่มีเรื่องต้องทำเยอะแยะไม่มีเวลาไปงานนัดบอดของเธอกับแม่หรอก”

“ทำงี้ได้ไง หนูนุ่นก็แย่อยู่คนเดียวน่ะสิ แม่ต้องวีนแตกแน่ๆ”

สาวน้อยเดินเท้าสะเอวแก้มป่องเข้ามาใกล้ อะไรกันนักหนานะ พาสาวมาหาดันหนีซะอีก มีแต่คนเขาดีใจ พ่อพี่ชายตัวดีของเธอไม่เอา ไม่ใช่ว่าจะกลัวว่าพี่ชายหาแฟนไม่ได้หรอกนะ แต่ผู้หญิงมาตามหลงเสน่ห์พี่ชายเธอนี่สิ แต่ละคน หลากหลายรูปแบบ ยิ่งคนที่บุกตามมาถึงบ้านช่อง วุ่นวายให้ปวดหัวนี่สิ ไล่ก็ไม่ไป พูดก็ไม่ฟัง อย่างเมื่อคนที่พ่อคุณเคยคบหาเมื่อสมัยยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย แรกๆเธอดีน่ารัก ไปๆมาๆกลับดีแตก ตามหึงหวงไม่เว้นแต่ละวัน จนต้องเลิกรากันไป ห่างไปได้สามเดือน แม่คุณกลับมาแอบบุกบ้าน ถือวิสาสะเข้าไปดักพี่ชายเธอถึงในห้องนอน เล่นเอาวุ่นกันทั้งบ้าน

“ช่วยไม่ได้ครับคุณน้องสาว” ชานนท์วางมือบนไหล่บางของสาวน้อย ก่อนคว้าหมับเข้าที่ใบหู

หา....เมื่อกี้เขาว่าอะไรนะ น้องสาว เหรอ ใช่รึเปล่า

“อ้อ...ก่อนจะถูกแม่วีน เธอต้องชดใช้บาปกรรมที่ก่อไว้ซะก่อน” เขาบิดมือที่จับใบหูเธอไว้ สาวน้อยหน้าเหยเก

“โอ๊ย...เรื่องอะไรกันเนี่ย”

“เรื่องอะไรมาเที่ยวยุ่มย่ามเปลี่ยนข้อมูลในมือถือของคนอื่นเขาฮะ ยัยน้องตัวดี”

“ฮือ...ทำอย่างนี้กับน้องต่อหน้าคนอื่นได้ไงกัน พี่นนท์” สาวน้อยร้องอุธรณ์ ชานนท์จึงปล่อยมือออก สาวน้อยเขย่งกระซิบข้างหูพี่ชาย

“นี่ คนนี้น่ารักดีใช้ได้ ไม่แนะนำหน่อยเหรอ” จากที่เห็นก่อนจะวีนพี่ชายคนเท่ห์ของเธอ ชานนท์กำลังทั้งดึงทั้งลากและเกลี้ยกล่อมหญิงสาวคนนี้ เธอทั้งขำทั้งสมน้ำหน้า ไม่นึกว่าจะมีสาวไหนทำท่าหลีกหนีอย่างนั้นกับพี่ชายเธอ

“นี่ยัยหนูนุ่นตัวแสบ ต้นเหตุที่ทำให้คุณประทุษร้ายผม น้องสาวผมเองครับสาลิน” ชานนท์แนะนำตามคำบอกของน้องสาว ทีนี้เป็นสาลินที่ตวัดหางตามองชานนท์ สาลินยิ้มอ่อนๆส่งให้หนูนุ่น ถึงว่าทำไมที่เห็นคราวแรกเธอถึงได้นึกว่าสาวน้อยคนนี้หน้าตากระเดียดไปทางเขา

จ๊อก...ก...ก...ก...ก

เสียงท้องเจ้ากรรมกลับมาดังอีกรอบ ประท้วงว่าเลยเวลาอาหารมานานแล้ว สองพี่น้องหลุดเสียงหัวเราะขึ้นมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย สาลินหน้าแดงที่ทำเปิ่นต่อหน้าคนเพิ่งรู้จัก จะให้ทำไงได้ ก็เธอหิวจนตาลาย ร่างกายมันก็เลยเรียกร้องอย่างนี้

“อุ๊บ!ขอโทษค่ะ หนูนุ่นไม่ได้ตั้งใจ พี่นนท์ก็ ยืนบื้ออยู่ทำไมเล่า รีบไปหาอะไรทานกันดีกว่าน่ะ หนูนุ่นก็หิวเหมือนกัน”

ทั้งสามคนมุ่งหน้าไปที่ร้านอาหารทันที

“เชิญครับ รับประกันโดยเชลชวนชิมนายชานนท์”

‘อ้ะๆไม่ต้องมาทำยิ้มหน้าตาสุขกายสบายใจอย่างนั้น ข้อหาของคุณยังไม่หมด คนเจ้าชู้อย่างคุณ ฉันไม่ใจอ่อนยวบยาบง่ายๆหรอก อย่างน้อยก็ตอนนี้หล่ะ แต่นาทีนี้ ขอกินก่อนหล่ะน้า’

********** ***************** ********** ********

กลิ่นหอมเย็นจากในแจกันใบเล็กผอม ทำรูปร่างเลี้ยนแบบคล้ายหลอดทดลอง ดอกมะลิซ้อนวางเสียบอยู่ในฐานตั้ง ทำจากลวด ขดเป็นเถาไม้เลื้อยแลดูน่ารัก สาลินวางมันไว้เคียงคู่กับรูปใบเล็กในกรอบสีขาว รูปของเธอเอง กระดาษใบเล็กๆสีอ่อนหลายใบ ข้างในเขียนข้อมความสั้นๆไว้ สาลินหยิบมาจากกระเป๋าสตางค์ อ่านอีกครั้งเรียงกันไปแต่ละใบตามวันที่ได้รับ

กระดาษแผ่นน้อยเหล่านี้ ผูกติดมากับมะลิซ้อนสีขาวจาก ชานนท์ เขายื่นมันจ่อหน้าเธอพร้อมรอยยิ้มบาดใจกับแววตาพราวระยับ

“คุณว่าน่ารักมั้ย”

“ค่ะ น่ารักดีค่ะ”

“หอมด้วยนะครับ หอมเย็นชื่นใจ”

“ค่ะ หอมจริงๆค่ะ แล้วไงคะ”

ชายหนุ่มยิ้มชักมือกลับมาจ่อดอกไม้ที่จมูกตัวเองก่อนสูดกลิ่นหอมยาวนาน ทำไมไม่รู้ สาลินร้อนที่หน้าอีกแล้ว

“กลีบสีขาวนุ่มละมุน ดอกเล็กๆน่ารักดีจัง แถมกลิ่นหอมอีกตะหาก เหมือนคุณเลย ผมชอบที่สุด” คำพูดเหมือนบอกเล่าความคิดไปเรื่อยเปื่อย สุดท้ายวกกลับมาลงท้ายที่เธออย่างจัง อีกทั้งประโยคสุดท้ายที่เขาบอก ยิ่งทำให้หญิงสาวใจเต้นแรงจนกลัวว่ามันจะทะลุเสื้อออกมา อุณหภูมิในหน้าพุ่งขึ้นอีก

กระดาษม้วนๆแผ่นเล็กๆถูกคลี่ออก คราวนี้มีหลายใบซ้อนกัน ข้อความสั้นๆในนั้นเขียนไว้ว่า

‘คุณรู้รึเปล่า วันนี้วันอะไร ห้ามตอบว่าวันศุกร์’

สาลินขมวดคิ้ว มองปฏิทินตั้งโต๊ะ ไม่มีอะไรบ่งบอกว่าเป็นวันสำคัญหรือมีความหมายอะไรเป็นพิเศษ เธอคลี่กระดาษแผ่นต่อไปออก

‘ไม่ต้องคิดให้เมื่อย คุณไม่รู้หรอก เพราะในโลกนี้ผมรู้เพียงคนเดียวเท่านั้น ผมยังไม่บอกคุณหรอก ปล่อยให้งงเล่นดีกว่า’

“อ้าว...แล้วถามทำไมไม่ทราบยะ ไม่อยากรู้ด้วย” คราวนี้เธอเผลอออกเสียงมาตามความคิดอีกแล้ว

‘เย็นนี้คุณว่างมั้ยครับ ถ้าคุณมีนัดแล้วก็โทรไปบอกเลิกนัดเขาซะ ยังไงคุณก็ต้องไปกับผมอยู่ดี’

“ทำไมฉันต้องทำตามด้วยไม่ทราบ ถ้าไม่ไปมีอะไรมั้ยล่ะ” ตอนนี้สาลินกำลังพูดกับกระดาษอยู่คนเดียว ใครเห็นคงขำและสงสัยไม่ใช่น้อย

‘คุณก็รู้ใช่มั้ย ผมมีวิธีทำให้คุณไปกับผมได้’

เธอหน้าร้อนขึ้นมาอีกแล้ว คนเอาแต่ใจ ไม่คิดเลยว่าอยู่ดีๆเธอจะต้องถูกเขาบังคับได้ง่ายๆอย่างนี้ แปลว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา หลายครั้งเธอเถียงชนะเขา แปลว่าแค่อ่อยให้อย่างนั้นเหรอ วิธีที่เอ่ยถึงนี้ คงไม่ใช่แบบเดียวกับครั้งโทรศัพท์เจ้ากรรมนั่นหรอกนะ อ้อมแขนอุ่นๆนั่น สายตาหวานแวววาวนั่น โอ๊ย! ไม่เอาน้า ใจมันสั่นวูบวาบยังไงไม่รู้

‘ปล. หันหลังหน่อยสิครับ’

หือ สาลินเลิกคิ้ว ใจไม่อยากทำตามแต่ตัวมันไปเอง ไม่ยักตรงกับใจ

“สวัสดีตอนเช้าครับ” ชานนท์เกาะขอบกั้นรออยู่แล้วพร้อมแก้วกาแฟหอมกรุ่นในมือ รอยยิ้มสดชื่นกว้างขึ้น เดี๋ยวนี้เธอหน้าแดงบ่อยๆ จะสาเหตุจากอะไรอื่นอื่น ถ้าไม่ใช่หน้าคมตาหวานกับรอยยิ้มบาดใจตรงหน้านี่

ตั้งแต่วันนั้นที่เธอถูกชานนท์ลากออกจากออฟฟิศไป หลายคนโดยเฉพาะสปายที่แฝงตัวมาในคราบของแม่บ้านทำความสะอาดทั้งหลายแพร่ข่าวไปทั่ว จากที่เธอถูกลากออกไปกลายเป็นทั้งสองควงกันกระหนุงกระหนิงออกไปทานข้าวพร้อมกัน เหมือนที่ตอนเด็กเธอเล่นเกมในค่ายลูกเสือโดยแท้ เกมที่ส่งต่อเรื่องราวจากคนแรกไปจนถึงคนสุดท้าย แล้วให้ออกมาเล่า ปรากฎว่าคนแรกกับคนสุดท้าย เล่ามาคนละเรื่องคนละทาง รายละเอียดเปลี่ยนไปจนไม่เหลือเค้าเดิม เธอเล่นเกมนี้ไม่เคยขาดเลยซักปี รวมถึงตอนรับน้องก็ยังตามติดมาอีก แต่ไม่เคยคิดว่าเธอจะกลายเป็นข่าวที่บิดเบือนนั้นเสียเอง ส่วนชานนท์ เขายิ่งตอกย้ำหลายวิธีการให้ข่าวกระพือไปมากขึ้นกว่าเดิม อย่างเช่นตอนนี้

‘อึ๋ย มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ยังมายิ้มใส่อีก แล้วทำไมต้องมองอย่างนั้นอีกแล้ว แววตาอย่างนั้น ยิ่งทำให้ใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ โอ๊ย พอซะที’

“อ้าว เงียบไปเลย เมื่อกี้ยังได้ยินเสียงแจ๋วๆอยู่เลย” เสียงทุ้มเอ่ยล้อ หัวเราะร่วนในลำคอ

“มาแอบฟังคนอื่นเขา เสียมารยาทที่สุด” สาลินกลบเกลื่อนด้วยอารมณ์ขุ่น กอดอกเชิดหน้าเล็กน้อยเป็นทีตำหนิ แต่แก้มใสยังคงออกอาการแดงเรื่อๆอยู่อย่างปิดไม่มิด

ชานนาท์ก้าวเข้ามาภายในบริเวณโต๊ะของหญิงสาว พิงขอบโต๊ะไว้แล้วหมุนเก้าอี้ให้เธอมาหันหน้ามาสบตาเขา

“ผมแค่จะมาบอกว่า.....”ชานนท์เว้นช่วงไว้ สาลินกลั้นหายใจรอคอยอย่างตั้งใจจนแทบจะหมดลม ชานนท์มองแล้วอมยิ้ม

“คิดถึงคุณจัง”

*********** ********** ***********

ข้อกล่าวหาในตัวชานนท์ที่เธอตั้งให้ เขาเริ่มคลี่คลายให้กระจ่างแก่สายตาเธอ สาวๆหลายคนที่เป็นหัวข้อซุบซิบนินทา ยังคงวนเวียนมาในรัศมีสายตาเสมอ ตัวอย่างเช่นวันนี้

สาวสุดเซ็กซี่ เดินนวยนาดเข้ามาในส่วนพื้นที่ของชานนท์ สาลินมองผ่านกระจกกั้นไปจากโต๊ะข้างๆ เสียงหวานจ๋อยดังลอดมากระทบแก้วหูหญิงสาว

“เอกสารที่ขอมาพร้อมกับคนสวยแล้วจ้า” แขนขาววางซองสีน้ำตาลลงบนโต๊ะ

“ขอบคุณครับ ขอโทษด้วยที่ต้องรบกวน คุณจะ จะ จ๋า” ท้ายประโยคชานนท์อึกอักเล็กน้อย เนื่องจากเนินอกที่พ้นคอเสื้อผ่าลึกปรากฎต่อสายตาอย่างจังเมื่อเขาหมุนตัวละจากหน้าคอมพิวเตอร์มาทางเสียงหวานนั้น เธอก้มลงมือเท้าโต๊ะเอียงคอดูหน้าจอร่วมด้วย

สาลินหลบไปแอบข้างตู้เอกสารแอบดูเหตุการณ์นั้นเงียบๆ เธอมาเซฟข้อมูลที่โต๊ะข้างๆชานนท์ แต่เพราะตานั่นง่วนอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ไม่เงยหน้ามองสิ่งแวดล้อมรอบกายแม้แต่น้อย ว่าแต่ทำไมต้องเธอแอบด้วยล่ะ ไม่มีใครหันมาสนใจเธอซักคนเดียว เธอจึงทิ้งตัวกลับลงนั่งที่เก้าอี้ตามเดิม ติดตามเหตุการณ์ข้างตัวอย่างใกล้ชิดติดขอบ

สาวสวยเซ็กซี่นามว่าจ๋าหัวเราะร่วน ชานนท์เลื่อนเก้าอี้ถอยออกมาสูดหายใจเข้าลึกๆทีหนึ่ง ปรับสีหน้าเป็นปกติ ดึงแผ่นข้อมูลออกจากเครื่อง

“ผมอยากจะฝากแผ่นดิสก์ไปคืนคุณสมศักดิ์ด้วยได้มั้ยครับ”

“ยินดีรับใช้เสมอค่ะ มีอะไรจะฝากอีกมั้ยคะ อย่างเช่น...” หญิงสาวยกนิ้วชี้เล็บเป็นสีขาว ประดับด้วยเพชรเม็ดเล็กๆ จิ้มลงที่อกข้างซ้ายชานนท์ “หัวใจ”

“ไม่ต้องครับ” เขาตอบหนักแน่น “เพราะผมเอาไปฝากคนอื่นไว้แล้ว” ชานนท์อมยิ้มในหน้าปรายตามองไปที่มะลิซ้อนสีขาวดอกเล็กบนโต๊ะ

“คุณนนท์น่ะ ใจร้าย” สาวเซ็กซี่ค้อนขวับ กระทืบเท้าออกไปไม่เหลียวหลัง ชานนท์หันกลับเข้าหาคอมพิวเตอร์ต่อไป

“ว่าไงครับลิน ทำไมนานจังล่ะ หาไม่เจอเหรอครับ” ชายหนุ่มเจ้าของโต๊ะเดินกลับมาพร้อมกาแฟสองแก้วเผื่อสาลินแก้วหนึ่ง

“อ๋อ เจอแล้วค่ะ กำลังเซฟอยู่น่ะค่ะ ไฟล์มันค่อนข้างใหญ่เลยต้องเสียเวลาย่อก่อนน่ะค่ะ”

ชานนท์ละสายตาจากจอภาพเบื้องหน้า ลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อดูให้แน่ใจว่าเจ้าของเสียงนี้ใช่สาลินหรือเปล่า สาลินยกกาแฟขึ้นจิบ

“คุณเห็นหมดเลยล่ะสิ สาวสุดเซ็กซี่มาโปรยเสน่ห์นายนนท์อีกแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยตบท้ายด้วยเสียงถอนหายใจ

“หึงมั้ยล่ะคุณลิน” สาลินสำลักกาแฟพรวด กระเด็นเลอะแก้มและคาง

“อ้าว เลอะเทอะเลยคุณ” ชายหนุ่มดึงทิชชู่ส่งให้ เธอรับมาเช็ดแต่ยังคงเหลืออยู่ ฝ่ายชายเอ่ยขอโทษก่อนนำทิชชู่อีกแผ่นซับหยดกาแฟตรงปลายคางให้ ชานนท์ถอดแว่นโยนโครมลงบนโต๊ะ ขยำกระดาษเป็นก้อนเขวี้ยงไปตรงกลางกระหม่อมเพื่อนดังโป๊ก!กระเด้งตกลงบนโต๊ะ

“เฮ้ย!อะไรวะ ใครมันบังอาจปาหัวฉัน” ชายหนุ่มสอดส่ายหาที่มาของก้อนกระดาษ สายตาคมกล้าของชานนท์ลอยมาปะทะสายตา เขานิ่งงันไปชั่วครู่ รับรู้ถึงรัศมีฉุนเฉียวแรงกล้าที่ส่งมาไม่หยุดหย่อน

“อุ๊ยโหย๋ กาแฟขมจัง ไปเปลี่ยนถ้วยใหม่ดีกว่า” ว่าแล้วเขาก็เดินกลับออกไปทางเดิม สาลินมองตามแล้วเลยกลับมาที่คนที่อยู่อีกฝั่งของที่กั้น หัวใจพองโตกับการกระทำของเขา ดวงหน้าคมกระตุกยิ้มอย่างพอใจ

หึ สมน้ำหน้า บังอาจเอามือมาแตะ หวงโว้ย ห้ามยุ่ง รู้ไว้ซะ!

-------------------- -------------------------- ------------------------

สายลมเย็นประทะผิวกาย ริมน้ำในสวนสาธารณะร่มรื่น ผู้คนที่มาออกกำลังกายเริ่มบางตาลง ท้องฟ้าจากที่เป็นสีฟ้าสว่างเริ่มกลายเป็นสีส้ม ใกล้จะมืดแล้ว ตานี่จะเอายังไงกันแน่นะ พอเลิกงานปุ๊บ ก็มาวางอำนาจ จัดการโกยข้าวของเธอลงลิ้นชัก ปิดคอมพิวเตอร์ เก็บกระเป๋าแล้วก็ลากเธอมาที่นี่ เนี่ยน่ะเหรอ วิธีการอย่างที่ว่าในโน๊ตแผ่นน้อยเมื่อเช้านี้ เขาไม่พูดอะไรซักคำ เอาแต่นั่งจ้องๆๆๆแล้วก็ถอนหายใจเฮือกๆ

“อะไรของคุณเนี่ย ถอนใจอยู่ได้ แล้วมันเรื่องอะไรมานั่งจ้องคนอื่นเขม็งแบบนี้กัน”

ชานนท์ยกมือกอดอก จ้องสาลินเงียบเหมือนเดิม เอาไงล่ะทีนี้ ความกล้าหาญชาญชัยของเขามันเหือดหายไปไหนหมดนะ ตอนนี้ใจเขามันสั่นหวิวราวกับมีคนมาเขย่ามันอย่างแรง ไม่ยอมหยุดเสียด้วย เขาไม่แน่ใจเท่าไหร่ ว่าคราวนี้เขาจะไม่ผิดหวังอีก ถ้าเขาจะขอเธอ ให้มาเป็นคนรักของเขาอีกครั้ง แต่ถ้าเธอตอบว่า ไม่ เขารู้ว่าเขาคงไม่แค่ “ผิดหวัง” แต่จะกลายเป็น “เจ็บปวด เศร้า เสียใจอย่างที่สุด” เพราะมันไม่ใช่แค่ความรู้สึก “ชอบ” อย่างที่เคยเป็นมา แต่ตอนนี้เขาทั้งหวงและห่วงเธอจับใจ ไม่พอใจหงุดหงิดอารมณ์เสียหากมีใครมาแตะต้องตัวเธอแม้แต่น้อย คิดถึงเธออยู่ตลอดเวลา คอยมองหาเสมอว่าเธอทำอะไรอยู่กับใครที่ไหน อยากได้ยินเสียงหวานใสจนต้องหนีงานไปชวนคุยชวนทะเลาะอยู่เกือบทุกชั่วโมง แบบนี้ มันแปลว่า “รัก” สินะ

“ว่าไงล่ะคุณ ตกลงเรามาทำอะไรที่นี่กันล่ะคะ หรือว่าวันนี้มีคอนเสิร์ตที่นี่หรือไงคะ”

สาลินถาม ตากลมใสแจ๋ว ดวงหน้าขาวมีเครื่องหมายคำถามปรากฎ แต่ไม่ได้คำตอบอยู่ดี เธอชักเซ็งแล้วก็โมโห ถามก็ไม่บอกอะไรซักอย่าง จะเอายังไงนะ เดี๋ยวแม่จิ้มตาบอดเลย ความจริงตอนแรกเธอเขินนะ ต่อมากลายเป็นงง สุดท้ายตอนนี้เธอทั้งงงทั้งเซ็งทั้งเริ่มจะหงุดหงิด เพราะฉะนั้นเธอควรหาอย่างอื่นทำแก้อารมณ์ต่างๆเหล่านี้ซะ

อ๋า นั่นไง ไอศกรีมสุดโปรดของฉัน ฮ่าๆ

สาลินย้ายตัวเองไปสั่งไอศกรีมที่รถเข็น ชานนท์ใจหายวาบตอนเธอลุกไปไม่บอกกล่าว เขาลุกพรวดตามเกือบจะคว้าแขนเธอไว้ ถ้าเธอไม่หยุดที่รถเข็นขายไอศกรีมเสียก่อน

“เอาบ้างมั้ยล่ะคุณ” เสียงใสลอยมา

ชานนท์ทำหน้าปูเลี่ยนไม่รู้จะยิ้มหรือร้องไห้ดี เฮ้อ! ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย เขากำลังเครียดว่าจะบอกรักเธอยังไง ไม่ให้เธอปฎิเสธได้อีก แต่ดูยัยคนตัวเล็กนี่สิ นั่งกินไอติมหน้าตาเฉย

“เป็นไรไปล่ะคุณ ทำหน้าแปลกๆชอบกล ปวดท้องหรือไง นี่!ฉันไม่ได้บ้านะให้ฉันพูดคนเดียวอยู่ได้ คุณนี่ยังไงกันนะ

พอได้ยินเสียงแหวฉอดๆๆ อาการใจสั่นใจหวิวก็คลายลง

“ฉันละงงกับคุณจริงๆเลย โลกมันเอียงมากไปคุณเลยมีทำอะไรประหลาดๆออกมารึไงกัน หรือว่าคุณ...”

“ผมรักคุณ”

เขาอยากจะสรรหาคำพูดมากมายมาหว่านล้อมและกีดกันการปฏิเสธที่อาจเกิดขึ้น แต่เขาคิดไม่ออกเลย นอกจากคำๆเดียวที่เวียนวนอยู่เต็มไปหมดในหัวสมอง ชานนท์สูดหายใจเข้าลึกยาวสาลินชะงักกึก ไม่คิดว่าอยู่ดีๆเขาจะขัดขึ้นมาด้วยประโยคนี้

“คะ” คำเดียวเช่นกันที่เธอสามารถเอื้อนเอ่ยออกมาได้

“ผมรักคุณ” เขาย้ำหนักแน่นอีกครั้ง นอกจากคำพูดแล้ว ดวงตาที่มองสบกันและกันก็บอกย้ำความหมายเช่นเดียวกัน

“หา...เอ่อ” สาลินกระพริบตาปริบๆ เหมือนกันว่าตอนนี้หน้าตาเธอเป็นอย่างไร แต่เธอว่ามันคงจะแดงอีกแล้ว เพราะเธอรู้สึกร้อนไปจนถึงหู แล้วก็คงจะเหวอไม่ใช่น้อยเลย

“ผมรักคุณ รักคุณนะลิน ผมรักคุณ”

“โอ๊ย รู้แล้วๆๆ แล้วยังไงต่อเล่า คนบ้า”

ชานนท์เลิกคิ้ว อุ๊บส์ นี่เธอเผลอพูดออกมาตามใจคิดอีกแล้วใช่มั้ยเนี่ย สาลินจับแก้มสองข้างบิดบังหน้าที่แดงเรื่อขึ้นอีก ชานนท์หัวเราะเสียงดัง

“ขอโทษ ผมคิดอะไรอย่างอื่นไม่ออก” คราวนี้กลายเป็นชานนท์ที่เกาท้ายทอย กระอักกระอ่วน ขัดเขินยังไงชอบกล คราวที่แล้วไม่ยักมีอาการอย่างนี้

บางทีเขาอาจจะเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอลข่มมันไว้ แต่หนนี้ ไม่มีฤทธิ์อย่างว่ามากลบความเขินอายอีก มันจึงแสดงออกมาทางสีหน้าอย่างนี้ ชานนท์ตัดสินใจข่มความรู้สึกนั้นไว้ ดึงสองมือนุ่มของเธอมากุมไว้ เสียงทุ้มเอ่ยต่อเว้าวอน

“คุณจะคบกับผมได้รึเปล่าครับ ให้โอกาสผมสักครั้งเถอะนะ นะครับลิน นะ”

หญิงสาวนิ่งเงียบไป หัวใจเต้นโครมคราม เอาอีกแล้ว สายตาแบบนี้ น้ำเสียงแบบนี้ ทำให้เธอเหมือนต้องมนตร์ ทำให้เธอต้องใจอ่อนยวบยาบ ยอมให้เขามาหลายครั้งแล้ว

“ผมรักคุณนะ ตกลงเป็นแฟนผมนะครับลิน นะครับ นะ” เขาวิงวอนสมทบเข้าไปอีก

“ฉันตกลงอยู่แล้วไม่ต้องทำตาทำเสียงแบบนั้นก็ได้ มันหวั่นไหวนะ”

ชานนท์ยิ้มแก้มปริกับคำตอบรับแบบเผลอๆของเธอ ชายหนุ่มจรดมือนุ่มที่กุมอยู่กับริมฝีปากจุมพิตแผ่วเบา โล่งอกเหมือนตัวจะลอย ขาไม่ติดพื้นยังไงไม่รู้

“ขอบคุณครับลิน ขอบคุณมากครับ”

“หา อุ๊ย นี่ฉันเผลอพูดออกมาอีกแล้วใช่มั้ยเนี่ย” สาลินตาโต เสียฟอร์มหมดเลยฉัน ทำไมนะ ฉันต้องเป็นแบบนี้ทุกทีเวลาสบตากับเขานะ เธอก้มหน้างุดเพราะเขินอาย

“ไม่รู้ล่ะ ยังไงคุณก็ตกลงแล้ว ห้ามคืนคำเด็ดขาด” ชานนท์โอบเอวเธอเข้ามาใกล้ เชยคางเธอขึ้นมา ก้มลงหน้าผากชนกับเธอ เป็นการบังคับให้สบตาเขาอีกครั้ง สาลินนิ่งงัน

“ผมรักคุณ คุณก็รักผมใช่มั้ย” สาลินต้องมนตร์จากดวงตาคมนั้นอีกครั้ง

“ค่ะ” หญิงสาวตอบรับ แต่ดูเหมือนเขาจะยังไม่พอใจกับคำตอบนั้น

“บอกผมสักหน่อยได้ไหม ว่าคุณก็รักผม นะครับลิน นะ” เสียงทุ้มวิงวอนคะยั้นคะยอ

“ค่ะ ฉันก็รักคุณค่ะ” รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้น ตาคมเป็นประกายพราว

“ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มจุมพิตแผ่วเบาๆที่แก้มใสละเลยมาที่ริมฝีปากนุ่มแตะเบาๆ สาลินกระพริบตาปริบๆ ทำอะไรไม่ถูก แก้มใสแดงแจ๊ดขึ้น หลุดจากมนตราที่ชายหนุ่มร่ายไว้

“ตาบ้า ทำอะไรน่ะ ใครให้ทำอย่างนี้” สาลินหยิกเข้าที่แขน ชานนท์ร้องอูย

“หัวใจครับ ผมไม่ชอบฝืนใจตัวเองซะด้วย” ชานนท์ทำตาพราวเจ้าเล่ห์ รวบตัวเธอให้เข้ามาใกล้ขึ้นอีก ตาคมสอดส่ายหันซ้ายหันขวาไม่มีใครอยู่ในบริเวณนั้น เขาได้ที หน้าคมฉกวูบขโมยจุมพิตจากเรียวปากนุ่มอีกครา หากคราวนี้ประทับแนบแน่นราวกับจะให้ตรึงตราไปถึงหัวใจ

ท่ามกลางแสงสีทองสุดท้ายของดวงตะวัน สองหนุ่มสาวคลอเคลียกันไม่ห่าง ชานนท์ทั้งผลักทั้งดันให้เธอรับรักเขาได้สำเร็จ ต่อไปต้องผลักให้เธอตกหลุมเป็นเจ้าสาวของเขาให้ได้ เขายิ้มกริ่มกับแผนอนาคตในใจ คงไม่ยากไปกว่าให้เธอรับรักเขานักหรอก แต่ถึงจะยากเย็นต้องผลักต้องกระชากเพียงไร เขาก็ยินดี หากจะได้เธอมาอยู่คู่กับเขาตลอดไป

-----------จบแล้วจ้า--------

By.ฟ้าริน

แหม...ยาวเฟื้อยเลยค่ะ ไม่นึกว่าจะยาวขนาดนี้นะเนี่ย แฮะๆ เขียนไปเขียนมาเพลินมือไปหน่อย เรื่องต่อไป เอาเรื่องไหนดีน้า




Create Date : 27 มีนาคม 2550
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2551 18:44:56 น.
Counter : 423 Pageviews.

8 comment
ผลักหัวใจ ให้รับรัก ตอนที่ 2


เสียงเรียกเข้าดังเป็นรอบที่สามแล้ว ผู้เรียกเข้ายังคงเป็นชื่อเดิม คิดอีกที

‘หรือมีธุระสำคัญคง ไม่งั้นไม่โทรถึงสามครั้งหรอก’

ขณะที่เธอชั่งใจจะรับดีหรือไม่ สายก็กดตัดไปเสียก่อน กลับมีเสียงฝีเท้าคนเดินกลับเข้ามาแทนและมันหยุดลงใกล้กับตัวเธอ

“อยู่นี่จริงๆด้วย” สาลินสะดุ้ง ชานนท์ยืนพิงทางเข้าเฉยอยู่

“ฉันได้ยินเสียงเลยเดินมาดู ไม่ได้รับสามสาย เขาคงจะมีธุระสำคัญติดต่อคุณ”สาลินยื่นโทรศัพท์ในมือส่งให้ชายหนุ่ม ชานนท์เดินเข้ามาใกล้อีกนิด

“แอบดูอย่างนี้ ไม่ดีเลยนะคุณ แค่บอกคำเดียวผมก็ยินดีให้เช็คทั้งเครื่องอยู่แล้ว” สาลินหน้ายู่กับข้อกล่าวหานั้น

“บ้า....ฉันเปล่าซักหน่อย แล้วทำไมฉันต้องทำอะไรอย่างนั้นด้วย”สาลินเชิดหน้าขึ้น ก็แค่บังเอิญ ไม่อย่างนั้นก็จะไม่ก้าวเข้ามาให้ต้องเจอเรื่องแบบนี้หรอก

“อืม...ผมไม่แน่ใจนักหรอก ถ้าคุณนึกรักผมขึ้นมาแล้วหึงผมเรื่องข่าวเมื่อเช้านั้นเลยจะมาจับผิด มันก็เป็นเหตุจูงใจได้อย่างหนึ่ง”

สาลินหน้าร้อนขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อนึกถึงอารมณ์เมื่อครู่ที่เกิดในใจ

‘หึง ไม่ใช่หรอก ไม่เป็นอย่างนั้นเด็ดขาด’

“ถ้าอย่างนั้นคงไม่ใช่แล้วหล่ะ คุณจะทำอะไรก็ไม่เห็นจะต้องสนใจ พวกเจ้าชู้หว่านเสน่ห์ไปทั่ว ฉันไม่สน”

ชานนท์หน้าเคร่งขรึม สามครั้งแล้วที่เธอกล่าวหาเขาแบบนี้ ครั้งแรกคือคืนนั้นที่เขาตัดสินใจบอกความรู้สึกในใจกับเธอ แต่เธอตอกกลับเขามาว่า

…จะบอกให้นะ ฉันไม่อยากเสียใจทุกวันหรือวันละหลายๆครั้งเพราะคนเจ้าชู้แบบคุณ…

“คุณเอาอะไรมาตัดสินว่าผมเป็นอย่างนั้น”

เสียงโทรศัพท์ของชานนท์ในมือสาลินดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้รูปภาพเปลี่ยนเป็นสาวน้อยอีกคนหนึ่ง สาลินโชว์หน้าจอให้จำเลยดู ชานนท์รวบทั้งมือถือทั้งมือเธอไว้ แล้วดึงเข้าหาตัว

“หลักฐานไม่เพียงพอ ผมไม่รับข้อกล่าวหา” เขาดึงมือถือออกจากมือหญิงสาวแล้วจัดการกดตัดสาย เสียงเพลงเรียกเข้าจึงหยุดลง ชานนท์โยนโทรศัพท์โครมลงบนโต๊ะ ไม่สนใจว่ามันจะกระแทกกับอะไรบ้าง

“ว้าย!” เขากระตุกแขนเธออีกครั้ง สาลินขืนตัวไว้ไม่ยอมให้ถูกดึงไปตามแรงของอีกฝ่าย

“ปล่อยนะ จะทำอะไรน่ะ” สาลินยันเท้าไว้กับพื้นต้านทานแรงฉุด ดังนั้นเมื่อชานนท์แกล้งคลายมือออก สาลินเสียหลัก จึงคว้ามือใหญ่ไว้โดยสัญชาตญาณ ไม่ยากเลยที่ชานนท์จะดึงตัวเธอกลับมาสู่อ้อมแขน แขนอีกข้างที่ว่างคว้าหมับเข้าที่เอวสาลินล็อคไว้

“ผมไม่ยอมถูกกล่าวหาง่ายๆอย่างนั้นอีกแล้ว สาลิน เพราะอะไรคุณถึงมองผมเป็นคนแย่ๆแบบนั้น ผมไม่เคยจีบผู้หญิงไปทั่วเลยซักครั้ง” ชานนท์หน้าเครียด เสียงเข้มขึ้น ทำเอาสาลินชะงักไปนิดนึง ก่อนปลุกใจให้กล้าขึ้นอีกครั้ง

“ไม่เชื่อ! ปล่อยนะ ฉันไม่อยากเป็นผู้หญิงหนึ่งในบัญชีข่าวลือของคุณ” สาลินเถียงสู้ไม่ถอย

“ถ้าคุณเชื่อพวกแม่บ้านขี้เม้าท์พวกนั้นแสดงว่าคุณหูเบาไม่ใช่เล่นเลย” ชานนท์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ข่าวบ้าๆพวกนี้ทำเหตุให้เขาจนได้ เขาไม่เคยคิดว่าเธอจะถือเอาเรื่องพวกนี้เป็นจริงเป็นจัง แต่ตอนนี้เธอกลับยกมันขึ้นมาตัดเยื่อใยกับเขาอย่างไม่ใยดี

“ก็ถ้ามันไม่มีมูลแล้วคนเค้าจะเอามาพูดกันได้ยังไง”

เอาอีกแล้ว สาลินสะบัดหน้าใส่เขาอีกแล้ว วันนี้เขาถูกเธอทำอย่างนี้มากี่ครั้งแล้วเนี่ย ชานนท์จับหน้าเธอเบาๆ ให้หันกลับมา

“เอ๊ะ!ปล่อยนะ จะแต๊ะอั๋งฉันไปถึงเมื่อไหร่กัน” เสียงใสร้องประท้วง ผลักมือเขาออกห่าง

“คุณก็อย่าหันหน้าหนีสิ ทำไม...ไม่กล้ามองหน้าผม สบตาผมเพราะกลัวจะหวั่นไหวหรือไงครับ” เท่านั้นแหละ สาลินก็หันขวับสบตาวาววับกับคนท้าทาย เขาก้มมองจ้องอยู่ก่อนแล้ว ตาคมเข้มฉายแววหวานระยับ ดึงดูดใจได้อย่างดี

“มันก็แค่เรื่องงานที่จำเป็นต้องติดต่อกัน คุยเล่นแก้เครียดกันบ้างก็เท่านั้น พวกนั้นจ้องจะหาเรื่องเม้าท์กันอยู่แล้ว เห็นอะไรนิดหน่อยก็คิดกันไปต่างๆนานา ผมไม่เคยจีบคนพวกนั้นเลยซักครั้ง แม้แต่จะคิดก็ไม่เคย สาบานต่อหน้าคุณเลยก็ได้ คนอื่นจะพูดจะเล่าอะไร คุณอย่าสนใจเลยได้มั้ย สงสัยตรงไหน คุณถามผมได้เสมอ สำหรับคุณผมเปิดอกให้อยู่แล้ว นะครับ เชื่อผมเถอะนะ”
น้ำเสียงนุ่มทุ้มทอดเสียงอ่อน เว้าวอน เชื้อชวนให้ใจอ่อนยวบลงง่ายๆ

...สุดที่รัก ถ้าโทรมาช่วยรับหน่อย อย่าปล่อยให้คอยน้ำตาปรอยด้วยใจรอ.....

เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือของชานนท์ที่ถูกโยนไปเมื่อครู่กลับดังขึ้นมาอีก ปลุกหญิงสาวให้ตื่นจากภวังค์ ชานนท์เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์โดยที่ยังคงเหนี่ยวตัวหญิงสาวให้ติดมาด้วย หน้าจอมือถือแสดงภาพหญิงสาวคนเดิม เจ้าของสามสายแรก

‘ยัยหนูนุ่น โทรมาไม่รู้จักเวล่ำเวลา เอ๊ะ!’ ชานนท์รู้สึกสะดุดชื่อที่ขึ้นบนหน้าจอ มันแปลกไปจากเดิม

‘หือ หนูนุ่น...ที่รัก! เฮ้ย!ยัยตัวแสบ เล่นซนกับโทรศัพท์เขาอีกแล้ว ’ ชานนท์กดตัดสายทิ้ง

“วางทำไมล่ะ ไม่กล้ารับรึไง หนูนุ่นที่รัก เชอะ!” สาลินกลับมาเสียงห้วน ตาวาววับอย่างเก่า

“เสียใจด้วยที่หลอกฉันไม่สำเร็จ คงต้องหามุขใหม่ซะแล้ว แต่ทางที่ดี อย่ามายุ่งกับฉันอีกจะดีที่สุด”

เอาอีกแล้ว ขับไล่ไสส่งอีกแล้ว ครั้งที่เท่าไหร่แล้วล่ะเนี่ย

“ไม่ใช่นะคุณ มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนะ ผมเปล่า…” ชานนท์รีบบอกรัวเร็ว แต่สาลินไม่ฟังเสียง

“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ คนบ้า บอกแล้วไงว่าไม่สนคนเจ้าชู้อย่างคุณ จะไปไหนก็ไป อย่ามายุ่ง ปล่อยฉันซะที” สองมือน้อยๆทั้งหยิกทั้งตีเขาไม่ยั้ง

“โอ๊ย! เจ็บนะคุณ ไม่ใช่อย่างนั้น ฟังผมก่อน โอ๊ย...” ชานนท์ต้องรวบข้อมือเล็กๆที่ประทุษร้ายเขาไว้แขนอีกข้างของเขายังคงล็อคตัวเธอเอาไว้ไม่ปล่อย ก่อนจะเกิดเหตุให้เลือดตกยางออก เพราะดวงตากลมวาวใสมองหาของทุ่นแรงอื่นนอกจากกระเป๋าถือสีขาวใบเล็กในมือเธอ

จ๊อก....ก.....ก......ก....ก

เสียงท้องร้องประท้วงดังแทรกขึ้นมา สาลินรู้สึกหมดแรง เพราะใช้พลังงานไปมากจากการยื้อยุดฉุดกระชากกับคนตรงหน้า

“โอ๊ย...หิวข้าวจังเลย ปล่อยซักที ฉันจะไปกินข้าว” สาลินเผลอพูดออกมาตามใจคิดอีกแล้ว ชานนท์หัวเราะออกมาดังๆ เพราะเหตุผลและสีหน้าขณะนี้ของเธอทั้งน่ารักและน่าสงสาร มันบ่งบอกชัดเจนว่าเธอหิวจริงๆ

“ขำบ้าอะไร” ตอนนี้สาลินหงุดหงิดทั้งโมโห ไม่ปฎิเสธว่าส่วนหนึ่งมาจากความหิว

“ดี...ผมก็หิวแล้วเหมือนกัน” ชานนท์มองนาฬิกาคำนวณเวลา “ต้องรีบหน่อยแล้ว เหลือเวลาพักไม่ถึงชั่วโมงดี คุณชอบเกี๊ยวผมรู้ มีร้านอร่อยเปิดใหม่ซอยข้างๆนี้เอง ใช้ได้ทีเดียว”

ชานนท์คลายอ้อมแขนออก รั้งข้อมือเล็กของเธอให้ออกเดินตามเขาออกไปทานอาหารเที่ยงด้วยกัน

“หยุดนะ! ใครบอกจะไปกับคุณ อย่ามามั่วนะ”

“เอาน่าคุณ หรือคุณจะไปคนเดียวโดเดี่ยวเอกา ป่านนี้เพื่อนคุณเขาอิ่ม กินขนมหวานกันไปหมดแล้ว ไปกับผมดีกว่า อย่างน้อยก็เป็นเพื่อนกันทานข้าวสักมื้อ นะครับ นะ”

ท้ายประโยคชานนท์ทอดเสียงอ่อนขอร้องแกมชักชวนอีกแล้ว ไม่พูดเปล่า เขาเข้ามาดึงเอากระเป๋าใบเล็กในมือเธอไปด้วย ทรัพย์สินทั้งหมดของเธออยู่ในนั้น สาลินจำต้องเดินตามอย่างช่วยไม่ได้ เธอเหนื่อยแล้วก็หิว ไม่อยากจะทำอะไรให้สูญเสียพลังงานมากไปอีก คงไม่มีใครรอเธอจนป่านนี้จริง เพราะเธอบอกไว้แล้ว และเรี่ยวแรงของเธอตอนนี้ก็ไม่พอจะเดินไปถึงร้านอาหารตามที่นัดกันไว้

“พี่นนท์!” เสียงห้วนดังจากข้างหลัง สาวน้อยหน้าหวานในชุดกระโปรงสีชมพูแบบตามแฟชั่นนิยม ยืนเท้าสะเอวตาเขียวอยู่ไม่ไกล ชานนท์กุมขมับปวดหัวจี๊ดขึ้นมาทันที เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนหมุนตัวกลับไปยังต้นเสียง

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ไป อย่ามาเซ้าซี้น่า” ชานนท์ทำเสียงเหนื่อยหน่าย แถมโบกมือไล่อีกตะหาก

“อ๋อ ผิดนัดเพราะจะไปกับผู้หญิงคนอื่นงั้นเหรอ”

สาวน้อยคนนี้ เจ้าของสายที่ไม่ได้รับสามสายนั้น ‘หนูนุ่นที่รัก’เธอเบี่ยงประเด็นมาเป็นสาลินที่ยืนเหวออ้าปากหวออยู่ ปรายตามองไปที่กระเป๋าถือผู้หญิงในมือชานนท์กับข้อมือสาลินที่ถูกชานนท์ยึดไว้แล้วเลื่อนมาที่หน้าสาลินอย่างประเมิน

‘ใครกันอีกล่ะเนี่ย ทำไมชีวิตมันถึงได้น่าเหนื่อยหน่ายอย่างนี้นะ ต้องมารับมือกับผู้หญิงมากหน้าหลายตาของพ่อคุณกี่คนกันเนี่ย หวังว่าคนนี้คงไม่มีปัญหา เฮ้อ หนูนุ่นปวดหัว’

-------------------โปรดติดตามตอนต่อไป----------------




Create Date : 26 มีนาคม 2550
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2551 18:42:52 น.
Counter : 301 Pageviews.

4 comment
1  2  

ปั้นน้ำกะฟ้าริน
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]








  • งานเขียนใน Blog นี้ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายลิขสิทธิ์ ไม่อนุญาตให้คัดลอก หรือ ดัดแปลงเนื้อหา นำไปเผยแพร่ต่อที่อื่นๆ ทุกรูปแบบ

  • Thanks design by freepik


Designed by Freepik