All Blog
จัดรักให้ลงล็อค บทที่30/2







บทที่30/2


‘คนใจร้ายอย่างคุณ มีดีอะไรนะ รันถึงเรียกร้องอยากพบนัก’ อานนท์ที่นั่งเต๊ะจุ๊ยอยู่ฝั่งตรงข้ามกล่าวขึ้นทันทีที่เลขาของภูดิสลับหายไปทางประตู

ภูดิสสบสายตาแพรวพราว สีหน้ายียวนของรุ่นน้องอย่างช่างใจ เขาได้รับโทรศัพท์แจ้งข่าวจากอิมมี่ ผู้จัดการสาวเทียมของรัญชิดาว่า หญิงสาวป่วยหนักเข้าโรงพยาบาล ขอร้องให้เธอโทรมาแจ้งเขา นางร้ายสาวมีเรื่องอยากพูดด้วย

ภูดิสอดคิดไม่ได้ นี่อาจเป็นแผนการเรียกร้องความสนใจอีก เขาเคยถูกหลอกเช่นนี้มาแล้ว และที่รัญชิดาเคยลงทุนจัดงานลวงเขาอีก ภูดิสไม่อาจเชื่อใจนางร้ายสาว ซ้ำแล้วอานนท์ ญาติหนุ่มรุ่นน้องที่ประกาศตัวเป็นคู่แข่งแย่งนิศากรต่อหน้าผู้คนมากมายจนเป็นข่าวกระฉ่อนไปทั่วอีก

หรือรัญชิดาไม่ยอมล่าถอย อานนท์จึงทำเช่นนั้น

‘ทำไมต้องมองผมอย่างนั้นด้วย’ อานนท์รู้สึกถึงสายตาหวั่นระแวง อีกฝ่ายไม่ปริปากตอบ นิสัยวัยรุ่น ทำให้ไม่สามารถอดใจรอได้นานนัก

‘เลิกมองแล้วตอบคำถามผมเสียที’

‘จะคุยเรื่องรันหรือ’ ภูดิสเลี่ยงไปถามคำถามให้อีกฝ่ายตอบแทน อานนท์รับแล้วต่อว่าทันควัน

‘ใช่ ไหนว่าสนิทสนมกัน เคยชมกันดีอย่างนู้นอย่างนี้ แล้วไหนล่ะน้ำใจไปเยี่ยมสักนิดไม่มี รันร้องหาคุณวันละสามเวลาจนพี่อิมมี่ปวดประสาท’

‘มีเรื่องที่นายไม่รู้’

‘โกรธกัน?’

‘…’

‘ปัญญาอ่อนน่า โตกันแล้วนะคุณ’ อานนท์ทำเสียงคล้ายผู้ใหญ่เอือมเด็ก ภูดิสส่ายหน้า

‘มันมากกว่านั้น’

‘แล้วมันอะไรเล่า บอกสิ ผมช่วยก็ได้นะฮะ เรื่องเคลียร์กับผู้หญิงน่ะง่ายจะตาย จะได้หายโกรธกัน ไปเป็นแฟนกันเหมือนเดิม’

‘ฉันกับรันไม่ได้เป็นอย่างที่บอก ไม่ต้องช่วยอะไรทั้งนั้น’ ภูดิสปฏิเสธคนหวังดีประสงค์ร้ายอย่างไม่ใยดี แล้วตัดบท ‘แค่นี้ใช่ไหม’

‘คุณต้องไปพบรัน ยังไงคุณต้องไป เขาไม่สบายมาก ผมไม่ได้ล้อเล่น หมอบอกต้องผ่าตัด’

ภูดิสสะดุด ผ่าตัด ทำไมต้องผ่าตัด การผ่าตัดความหมายชวนให้คิดไปในทางร้ายแรง

‘เนื้องอก รันเป็นเนื้องอก คุณคงไม่รู้เพราะเราปิดข่าว หมดไปหลายเชียวล่ะงานนี้’ อานนท์บ่น

‘เป็นไปได้ยังไง’ ภูดิสครางอย่างไม่อยากเชื่อ

‘ผมไม่มีเวลาว่างมาหลอกคุณเล่นหรอก มีเรื่องสำคัญมากกว่านั้นสำหรับผมที่ต้องทำ อย่างเช่นเรื่องหนูนิ’ ภูดิสตวัดตาคมไม่พอใจใส่อานนท์ทันควัน

‘เผลอนอกเรื่องจนได้ คุณภูดิส เราไม่แน่ใจว่าเนื้องอกนั่นจะเป็นมะเร็งรึเปล่า มีสิทธิเป็นไปได้มาก’

‘มากเท่าไหร่’

‘ห้าสิบห้าสิบละมั้ง ผมแนะนำว่าคุณควรไปพบรัน คุณเคยได้ยินไหม เราควรทำดีต่อกันในเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ อย่ารอจนต้องเสียใจภายหลังเมื่อเวลาที่เขาไม่อยู่แล้ว มันไม่มีประโยชน์เมื่อถึงตอนนั้น มีอะไรก็ควรรีบๆทำซะตั้งแต่ตอนยังมีชีวิต อย่างผมไง’

‘เกิดมาครั้งหนึ่งต้องแย่งแฟนคนอื่นให้สำเร็จงั้นสินะ’

อานนท์ผงะอย่างคาดไม่ถึง ภูดิสจะมีวาจาร้ายกาจแทงใจเขาได้อย่างจัง ไม่อยากยอมรับว่าต้องแย่งแฟนคนอื่น แต่มันก็เป็นเรื่องจริง หากก็นั่นแหละ ช่วยไม่ได้นี่นา ใครจะรู้ความรักของทั้งสองคนนี้อาจไม่ใช่ของแท้ ดูแต่คนที่แต่งงานกันหลายคู่ มั่นอกมั่นใจซึ่งกันและกันนักหนาสิ ยังเลิกกันอย่างง่ายดายไม่ถึงสองปี

‘คิดดูให้ดีคุณภู แต่ผมยืนยันว่าคุณควรไป’

ภูดิสไม่ได้ลุกไปส่ง นั่งจมอยู่กับความคิดบนโซฟาตัวเดิม ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่อานนท์พูดมาทั้งหมดจริงเท่าใด แล้วหากจริง เขาจะไปพบรัญชิดาหรือ


-----------โปรดติดตามตอนต่อไป-------------



*;...คุยกันนิดหน่อยกับฟ้าริน...;*

เดี๋ยวรวบตอบเม้นท์ที่ตอนหน้าเลยนะคะ




Create Date : 23 ธันวาคม 2550
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2551 16:10:54 น.
Counter : 374 Pageviews.

3 comment
จัดรักให้ลงล็อค บทที่30/1







บทที่30/1

แพรพรรณหน้าหงิกบอกบุญไม่รับ มือเกร็งเกาะประตูข้างหนึ่ง จิกเบาะรถไว้อีกข้างหนึ่ง ภาวนาในใจถึงเจ้ากรรมนายเวรอย่าเพิ่งมาตัดรอนชีวิตเธอตอนนี้เลย หญิงสาวบอกตัวเองในใจ จะตายทั้งทีขอศพสวยๆและไม่ใช่อุบัติเหตุทางรถยนตร์แบบนี้เลย ขอร้องช่วยห้ามความมาดร้ายของเธอที อย่าให้แพรพรรณยั้งใจไม่อยู่ คิดวิธีฆาตรกรรมนายตัวดำกวนโทสะได้ในตอนนี้เลย รอก่อนๆรอให้จอดรถก่อนเถิด เธอยังไม่อยากเริ่มต้นชีวิตใหม่ ถึงจะอยากมีผิวหน้านวลเนียนอ่อนใสแบบเด็กแบเบาะจนหลายครั้งคิดอยากเกิดใหม่ก็เถอะนะ

ฝ่ายคนที่เป็นผู้เหวี่ยงแพรพรรณเข้ามาในรถคันนี้ จัดการรัดเข็มขัดให้เสร็จสรรพในแบบที่คล้ายๆจะมัดร่างเล็กติดไว้กับเบาะเสียมากกว่า นั่นคือธเนศกดตัวล็อคอย่างแรงจนอย่างกับตอกตะปู ซ้ำยังดึงสายให้รัดแน่นตรงช่วงลำตัวจนหญิงสาวร้องโวยวาย ประนามความโหดสารพัดสารเพ แต่เขาไม่สนใจ คว้ากระดาษทิชชู่มาปั้นอุดหูไว้ทั้งสองข้างแล้วตั้งหน้าตั้งตาขับรถ มองถนนไม่วอกแวกสักนิดเดียว

ระยะเวลาไม่เกินสิบนาที ลำแขนแข็งแรงตวัดเลี้ยวเข้าที่จอดรถร้านอาหารชั้นเดียวอย่างแรง ไม่ผิดจากความตั้งใจ แพรพรรณตัวเอียงไปซบกระจกรถ อุทานอย่างตกใจ เท่านั้นไม่พอ ธเนศเบรกเอี๊ยดเข้าที่จอด ร่างบางรั้งตัวไม่อยู่ผวาไปข้างหน้า เห็นคอนโซลรถก็อยากจะจับ แต่ไม่ถึงเพราะเข็มขัดนิรภัยรั้งไว้ทันท่วงที

แพรพรรณตวัดสายตาเอาเรื่องใส่นายตัวดำ แต่ไร้วี่แววคนขับเสียแล้ว ร่างสูงล่ำสันลงไปยึดกระดิกนิ้วเรียกอยู่ด้านนอกแล้ว

“นายตั้งใจแกล้งฉัน อีตาดำ”

เสียงเล็กแว๊ดใส่ทันควัน หลังจากปลุกปล้ำกับสายนิรภัยที่มีนิสัยเหมือนเจ้าของรถ ปลดเท่าไหร่ก็ไม่ออก ราวกับจะแกล้งให้เธอโมโหหนักเข้าอีก ใบหน้าคมกระตุกริมฝีปากนิดๆ ยักไหล่ทำท่าไม่ใส่ใจ หันหลังนำเข้าไปในร้าน

“นายพาฉันมาทำบ้าอะไรที่นี่” แพรพรรณยืนนิ่งไม่ขยับตาม ตะเบ็งเสียงถามไล่หลัง

“ทำหน้าที่ของเธอไง อยากช่วยเพื่อนนักไม่ใช่หรือไง มาสิ อรรออยู่ข้างใน”

“แล้วเอาฉันมาเป็นก้างทำไม บ้ารึไง นัดเขาไว้ก็ไปคนเดียวสิ ลาล่ะ”

แพรพรรณมุ่งหน้ากลับออกถนนหน้าร้านฉับๆ แต่ช่วงขานั้นมีหรือจะยาวกว่าคนตัวสูงที่เข้าทางด้านหลัง แขนล่ำสันล็อคเอวบางไว้ อุ้มตัวลอยหันกลับไปทางเดิม ริมฝีปากบางเผยอจะโวยกลับไร้เสียงใดจะสามารถหลุดรอดมือใหญ่หนาที่คว้าหมับอย่างรู้ทัน

“อะไรกันคะเนี่ย”

อรอุมาหน้าเหลอพอๆกับผู้คนในร้านอาหารแห่งนั้น ต่างแปลกใจระคนสงสัย พฤติกรรมประหลาดของคนสองคน ฝ่ายหนึ่งดิ้นสะบัดตัวลอยอยู่ด้านหน้า อีกฝ่ายทำหน้ามุ่ยเพราะขาเล็กๆเตะเข้าหน้าแข้งหลายที มองเผินๆคล้ายพ่อจิงโจ้ที่เก็บลูกสาวแสนดื้อไว้ในกระเป๋า

“ขอโทษที ช้าไปหน่อยนะ” ธเนศบ่นพลางจับแพรพรรณดันเข้าไปติดพุ่มไม้ด้านในม้านั่งยาวฝั่งเดียวกัน ใช้ตัวเองกั้นทางออกไว้

“พี่ธเนศไม่เห็นบอกอรว่าแพรจะมาด้วย นึกว่ามีแค่เรา...” สายตาอรอุมาตกลง ประโยคหลังแผ่วเบาจนอีกสองคนไม่ได้ยิน ธเนศไม่ได้ตอบว่าอะไร เพียงแต่ยิ้มอ่อนๆให้ เปิดเมนูที่บริกรนำมายื่นให้เล่มหนึ่ง อีกเล่มส่งให้แพรพรรณซึ่งยกมือปัดออก

“หลีกไปเดี๋ยวนี้นะ เรื่องของนายฉันไม่ยุ่ง” เสียงเล็กกระซิบเข้มดุ สามคนพร้อมหน้าดุจดังอดีตย้อนกลับ ทำให้รู้สึกแปลบในหัวใจอีกครั้ง ส่วนเกิน เธอจะหลีกเลี่ยงคำนี้ไปไม่ได้เลยหรือยังไงกันนะ ทำไมต้องบังคับให้มาเผชิญมันอีกครั้งด้วย

ธเนศยังนิ่งเงียบ ไม่ขยับกายไม่หันไม่ตอบรับ แม้แพรพรรณจะทั้งผลักทั้งดันเท่าไรก็ไม่เขยื้อน อย่างกับตัวติดกาวไว้กับเก้าอี้ เขาทำเสียงจิ๊กจั๊กในลำคอคล้ายรำคาญแล้วหันไปสั่งอาหารกับบริกร ปิดเมนูลงไม่พูดอะไรต่อ

“ถอยไปเดี๋ยวนี้ ฉันจะกลับ” มุมปากธเนศกระตุกยิ้มนิดหนึ่งให้อย่างกวนอารมณ์

“เธอยังไม่ได้แสดงฝีมือแม่สื่อเลย จะรีบไปไหนเล่า” แพรพรรณคว้าส้อมบนโต๊ะมากำ อยากข่วนหน้านั้นให้เลือดซิบนัก

“มีอะไรกันเหรอคะ” อรอุมามองอย่างช่างใจอยู่นาน ก่อนตัดสินใจแทรกขึ้นมา อยากร่วมบมสนทนานั้นบ้าง อรอุมามองธเนศขอคำตอบ แต่เขาเพียงยิ้มให้เช่นเดิม ไม่พูดกับเธอสักคำ

“ไม่มีอะไร เรา...คือ...” แพรพรรณไม่รู้จะบอกยังไง จะให้พูดตรงๆว่าไม่อยากพบเพื่อนสาว ไม่อยากอยู่ร่วมมื้ออาหารด้วยก็คงไม่ดีแน่นอน

“เราปวดหัว มาก อยากกลับบ้านน่ะ ขอตัวก่อนนะ” หญิงสาวผลุดลุกขึ้นหาทางชิ่งได้ มารร้ายตัวดำโพล่งขึ้นดักคอ

“เอ๋ เมื่อกี้ยังดีๆอยู่เลยนี่ อยู่ๆเป็นได้ไงน่ะ” ธเนศทำหน้าสงสัยอย่างใสซื่อ ยกมือแตะหน้าผากวัดอุณหภูมิ กวักมือเรียกเด็กเสริฟที่วิ่งเข้ามาทันควันเช่นกัน “น้องๆ ช่วยไปซื้อยาให้พี่หน่อย น้องพี่เขาปวดหัว เดี๋ยวอาละวาดใหญ่”

“ไม่สบายเหรอแพร เป็นอะไรมากไหม” อรอุมาถามด้วยความเป็นห่วง แม้น้อยใจและอิจฉาแพรพรรณอยู่บ้างที่ธเนศใส่ใจเพื่อนสาว ผิดกับเธอ เขาพูดและทักทายด้วยน้อยคำนัก แต่มิตรภาพที่เคยมีมา ทำให้เธอเป็นห่วงเพื่อนสาวอย่างจริงใจ


“จะไปหาหมอที่โรงพยาบาลเลย หลบสิ”

แพรพรรณบอกให้ธเนศหลีกทางไป แต่ธเนศกลลับลุกขึ้นยืนเคียงบอกหน้าตาเฉย ทำท่าเดินนำ

“เอา ไปโรงพยาบาลก็ดี ไปก่อนนะอร โอกาสหน้าค่อยเจอกัน”

“หา เอ่อ พี่ธเนศ...คะ” อรอุมากระอึกกระอักรั้งหน้าเสีย แพรพรรณเห็นสีหน้าเพื่อนแล้วก็สงสาร ดึงแขนล่ำสันไว้ น้ำเสียงเอาเรื่อง

“เดี๋ยว นายจะทิ้งอรไว้ได้ยังไง”

“ฉันไม่ทิ้งเธอ ทิ้งไม่ได้ ไปด้วยกัน” เสียงห้าวหนักแน่น ตาคมหวานราวผู้หญิงสบตาโตแน่วแน่ แพรพรรณชะงักนิ่ง ถ้อยคำหนักแน่นตรงดิ่งเข้ากระทบใจสองดวง

ดวงหนึ่ง เต็มตื้นดังได้ยารักษาแผลชั้นดี

อีกดวงหนึ่ง แปลบปลาบด้วยคมหนามกรีดในความรู้สึก ไม่ว่าอย่างไร เมื่อใด เธอไม่สามารถแทรกและผลักใครอีกคนออกจากเขาได้

แพ้เสียแล้ว

ทั้งที่เพิ่งออกตัวสู้มาได้ไม่กี่ก้าว

โธ่เอ๊ย อรอุมา

ใบหน้าเศร้าหมองลงทุกที ธเนศเหลือบมองแล้วนึกเห็นใจ แต่อะไรที่ฝืนใจตัวเองหรือจะทำให้อีกฝ่ายเกิดความหวังใดๆในตัวเขานั้น ไม่สามารถทำได้ แพรพรรณทรุดนั่งลงที่เดิม ดูท่าแล้วเธอคงไม่สามารถเอาชนะนายตัวดำได้และนั่นจะทำให้อรอุมาเสียใจและเสียความรู้สึกด้วย โดยไม่รู้ความหวังดีจะกลายเป็นหอกทิ่มแทง

“เอาไว้ก่อนก็ได้ กินข้าวก่อนแล้วค่อยไป”

ธเนศนั่งตาม ไม่แย้งอะไร ทำหน้าตาสมใจนักหนา อรอุมาจำต้องกลืนน้ำตาไว้ ปั้นยิ้มอ่อนหวาน หนึ่งความสามารถที่เธอได้ฝึกฝนมา เฝ้ามองคู่หนุ่มสาวตรงข้ามอย่างเจ็บปวด



ร่างสูงอิงพนักโซฟาตัวยาวริมหน้าต่างนิ่งอยู่ ครุ่นคิดในใจวุ่นวาย นันทาเคาะประตูเปิดเข้ามาเอง เพราะรอแล้วรอเล่า ไม่ได้ยินเสียงอนุญาตจากเจ้าของห้อง เลขาสาวรู้ดี เจ้านายอยู่ภายในจึงเปิดเข้ามาด้วยความเป็นห่วง

เครื่องดื่มและอาหารว่างยังวางอยู่บนโต๊ะ ไร้ร่องรอยการแตะต้อง ทั้งของเจ้าของห้องและผู้มาเยือน ตัวภูดิสเองก็ยังคงนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่รู้สึกตัวแม้กระทั่งเลขาสาวเข้ามาใกล้

เจ้าเด็กท่าทางเชื่อมั่นสุดขีดผู้นั้นเป็นใคร ทำอะไรให้เจ้านายของเธอเป็นแบบนี้

ก่อนหน้านี้ ร่างสูงของหนุ่มน้อยแต่งตัวดี ท่าทางมาดมั่น พนักงานสาวหลายคนมองตามอย่างสนใจ ใบหน้าเรียวหล่อเหลาแบบดาราเกาหลีหรือญี่ปุ่นอะไรเทือกนั้นมาหยุดยืนหน้าโต๊ะ ขอพบภูดิสโดยไม่นัดล่วงหน้า เจ้าเด็กนั่นโชคดีนัก มากได้ถูกจังหวะ ภูดิสตามมาสมทบเข้าพอดิบพอดี นันทาทันเห็นสีหน้าประหลาดใจต่อมาเป็นไม่พอใจบนใบหน้าคมได้ถนัดถนี่ เพราะเจ้านายเธอไม่ได้ปิดบังมันแม้แต่น้อย จงใจระบายลมหายใจเนื่อยหน่ายและรำคาญให้แขกฟังเชียว นันทามองอย่างไม่ค่อยอยากเชื่อสายตา ภูดิสผู้สุภาพ ขรึม ไม่ค่อยแสดงท่าทีใดๆ กลับเปิดเผยชัด ไม่อยากเสวนาด้วย กับหนุ่มรุ่นน้องผู้นี้ ผู้ที่คงความมั่นใจหรือจะเรียกหน้าด้านดี เพราะเด็กหนุ่มไม่ใส่ใจ ไม่รู้สึกรู้สมท่าทางรังเกียจนั้นเลยสักนิด หนุ่มสองรุ่นเดินตามกันเข้าไปแล้วเงียบหาย

“คุณภู เจ้านาย เจ้านายคะ” นันทาสะกิดเรียก อีกฝ่ายสะดุ้ง

“ครับ”

“คนเมื่อกี้ คนในข่าวใช่ไหมคะ” นันทาทำใจกล้า เสี่ยงถามดูด้วยความไม่แน่ใจ เรื่องโกลาหนที่ห้องเสื้อเปิดใหม่ของนิศากร ไม่รอดพ้นการเป็นข่าวในคอลัมภ์ซุบซิบพร้อมรูปภาพโชว์หน้าตาผู้ร้ายเป็นชายหนุ่มหน้าตาอ่อนเยาว์ คล้ายเด็กมั่นไฟแรงที่เดินดุ่มเข้ามาหาภูดิส

คู่แท้รอดพ้นอุปสรรคได้ไม่เท่าไหร่ มรสุมใหม่ก็ดาหน้าเข้าโจมตีอีกระลอก หนุ่มน้อยคิดรักข้ามรุ่น ท้าทายนักธุรกิจหนุ่มจะพรากสาวหน้าใสจากอกมาให้ได้ งานนี้ไม่ใช่ใคร น้องชายนางร้ายไฮโซสาวรัญชิดานั่นเอง แหม...ท่าทางความร้ายกาจจะตกทอดผ่านพันธุกรรมซะละมั้ง

“น้องชายคุณรัญชิดา”

ภูดิสนิ่ง ปรับสีหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกอะไร แต่หากได้แลเห็นดวงตาคมจะพบสิ่งผิดปกติ เขาระบายลมหายใจ ราวกับจะผ่อนความหนักใจลังเลบางอย่างออก ชายหนุ่มสาวเท้ากลับไปยังโต๊ะทำงาน ไม่มีคำตอบสำหรับคำถาม นันทาไม่เซ้าซี้ หากมองด้วยความเป็นห่วง




-----------โปรดติดตามตอนต่อไป-------------



*;...คุยกันนิดหน่อยกับฟ้าริน...;*

ช้าอีกแล้ว เฮ้อ ชีวิตปี4นี่ งานมันเยอะจริงๆนะเนี่ย เพิ่งมีเวลาว่างได้ อาจารย์ไม่สั่งงานสักอาทิตย์ ดีใจที่สุดเลย เลยว่างมานั่งปั่นแล้วก็โพสทันที ได้หยุดวันจันทร์ด้วย เย้ หวังไว้สุดๆว่า จะปั่นให้ได้มากที่สุดและโพสๆๆๆ ให้เร็วที่สุดค่ะ เอาครึ่งแรกไปก่อน แล้วเดี๋ยวจะมาเเปะครั้งหลังนะคะ

เด็กดอยซ่าส - มารับกำลังใจค่ะ ตามต่อกันนะคะ จบชัวร์ค่ะ ไม่ต้องกลัวจะหนีไปไหนนะคะ

kakok_riwkiw - ทำอย่างเงี้ย นายดำ โรคจิต

moomoo - ขอให้สนุกต่อไปทุกตอนเลยนะคะ เดี๋ยวเอามาต่อให้ค่ะ

Pim - สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับกลับนะคะ ฟ้ารินก็ยุ่งเหมือนกัน มีวันนี้เเหละค่ะ ปั่นมาสดๆให้เลยนะคะ

โอเล่รสส้ม - เง้อ ขี้โกง หาเจอได้ไงคะเนี่ย




Create Date : 22 ธันวาคม 2550
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2551 16:36:51 น.
Counter : 278 Pageviews.

2 comment
จัดรักให้ลงล็อค บทที่29






บทที่29

การจู่โจมของอานนท์ หนุ่มน้อยแปลกหน้าผู้กล้าหาญ บ้าบิ่นและมีความมั่นใจสูงเอาเรื่อง ไม่ได้ติดอยู่ในใจนิศากรผู้ที่ถูกบอกรักกลางงานเท่าไหร่ คงไว้เพียงความประหลาดใจและสงสัยในเหตุการณ์คลับคล้ายนิยายหรือละครหลังข่าวยังไงอย่างนั้น นึกในใจตัวแล้วก็อมยิ้มขำ ไม่อยากเชื่อ

นิศากรไม่ใช่หญิงสาวสวยพราวเสน่ห์ชนิดหยาดฟ้ามาดินแบบเจ้าหญิง ท่วงท่าเดินไม่ใช่นางพญาส่องรัศมีความน่าพิศมัยจนจับตาผู้ใดได้ในแวบแรกที่เห็น ดวงตาและใบหน้าไม่สวยคมบาดใจผู้ใด หากแต่รอยยิ้มและอุปนิสัยต่างหากที่อาจโดนใจคนที่มีปฏิสัมพันธ์ด้วย งานนี้จึงนับเป็นเรื่องแปลกประหลาดที่มีคนมาตกหลุมรักเพียงแรกเห็น

น่าสงสัยขนาดคันปากยิบๆอยากถามให้ได้ความเอาจริงๆจังๆ ว่าเหตุใด สิวเม็ดไหนหรือขนคิ้วเส้นไหนไปส่องประกายเข้าตาเด็กหนุ่มผู้นั้นเข้า

รถยนตร์เบนเข้าชิดริมถนน จอดกึกลงด้วยการเหยียบเบรกแรงๆของผู้ขับ ภูดิส ชายหนุ่มผู้สุภาพเงียบขรึมในสายตาใครหลายคนที่ไม่รู้จักถึงขั้นสนิมสนมมากคงจะไม่เคยเจอะเจอปฏิกิริยาขณะนี้ของเขามาก่อน หรือแม้แต่คนที่นั่งข้างซึ่งครองตำแหน่งคนรักก็ไม่เคยเห็น สายตาเอาเรื่องที่จ้องมองมาขณะนี้เลยสักครั้งเดียว

นิศากรแปลกใจ หลุดออกจากภวังค์ความคิดสงสัยของตัว สังเกตไปโดยรอบ ไม่พบบ้านตัวเองในระแวกนี้ หากนี่ก็คือทางเข้าตรงไปสู่บ้านหลังใหญ่ของเธอแน่ ระยะทางอีกไม่เท่าไหร่ก็ถึงแล้ว แต่เพราะอะไรสารถีจึงละทิ้งหน้าที่เสียกลางคันตรงแนวถนนที่ไฟฟ้าดันมาดับเสียพอดิบพอดี น่ากลัวออกจะตายไป มืดสลัวเสียอย่างนี้ หันไปจะถามกลับพบสิ่งที่ต้องทำให้สะดุ้ง

ใบหน้าคมเคยสุภาพอ่อนโยนมีริ้วรอยเคร่งเครียดจนเห็นได้ชัด คิ้วดำขมวดจนเกือบจะชิดกันสนิท ปากเม้มสนิทไร้สำเนียงใดๆสื่อสารและดวงตาคมเข้มดุจนน่ากลัว ดูดีๆ ออกจะมีสีเขียวปนให้เห็นอยู่รำไร

ทำหน้าตาโหดอย่างกับเจ้าพ่อมาเฟีย ดุจังเลย!

“หนูนิ!”


ในที่สุดเสียงทุ้มก็หลุดออกจากริมฝีปากของภูดิส เสียงเรียกเขียวดุ ไม่แพ้สายตาที่มองจ้องไม่วางเลยแม้แต่วินาทีเดียว

“คะ อะไรคะ” นิศากรกระถดตัวไปชิดกระจก ขานรับอย่างหวาดๆ ชายหนุ่มฟังแล้วยิ่งทำหน้าไม่พอใจเข้าไปอีก

“ทำไมต้องทำเสียงสั่นอย่างนั้นด้วยครับ”


“ก็อยู่ก็เรียก นิตกใจ แล้วก็ทำเสียงดุจะตายไป น่ากลัวนี่คะ”


“ก็ไม่รู้เหม่อคิดอะไรถึงได้ตกใจน่ะสิ พี่เห็นนะ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ได้” น้ำเสียงหงุดหงิดเปิดเผยชัด ไม่พอใจ ซ้ำยังหรี่ตามองอย่างพิจารณาอีก

เข้าใจแล้ว ยังโมโหไม่เลิกสินะ หลายชั่วโมงแล้ว ไม่หายเสียทีสิน่า




นับตั้งแต่อานนท์ก่อเหตุไว้ จนวันนี้ซึ่งเป็นวันรุ่งขึ้น หน้าตาภูดิสยังยู่ยี่ไม่คลาย ดีหน่อยก็มีแค่เรียบเฉย หากในแวบตาก็ยังขุ่น

‘เฮ้อ ทำหน้าแบบทั้งวัน เดี๋ยวก็คิ้วย่นติดย่างนี้ไปจนตายกันพอดี’

นิศากรแกล้งบ่น เอานิ้วกดไว้หว่างคิ้วตัว ดึงเข้าหากันจนเกิดรอยย่นเป็นตัวอย่าง หวังให้คนมองเกิดอารมณ์ขันบ้าง แต่ไม่ปรากฏอย่างที่หวังเลยสักน้อย คนมองยิ่งขมวดเข้าไปกันใหญ่ นิศากรได้แต่อ่อนใจ แต่อีกใจหนึ่งกลับแอบรื่นเริงลึกๆ ภูดิสแสดงให้เห็นชัดเจน

หึง!!!

‘ใช่สิ ต้องหน้าอ่อนแบบรนายอานนท์ ถึงจะมีคนคิดถึงสินะครับ’

ภูดิสเหน็บเข้าให้ หลังนิศากรเผลอหลุดปากระหว่างมื้ออาหารกลางวันในร้านอาหารใกล้ห้องเสื้อซึ่งเป็นจุดเกิดเหตุในสิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มเงยหน้าจากจานอาหารรวดเร็วจนเสียวไส้ว่าคอจะเคร็ดเอา

‘เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยนะคะเนี่ย ที่มีเด็กรุ่นน้องมาปลื้มนิ อยากรู้จังเลยว่าเพราะอะไร เจอคราวหน้าจะถามดู’

‘หมายความว่ายังไง เจอคราวหน้า หนูนิอยากเจอนายนั่นอีกงั้นเหรอ’

ภูดิสหน้าตึง หงิกสนิท อาหารมื้อนั้นเลยเป็นอันเหลือเป็นทานไปเกือบครึ่ง จะแก้ตัวอย่างไรก็ไม่ขึ้นเสียแล้ว แล้วนั่นก็เป็นสิ่งที่เธออยากรู้จริงๆในขณะนี้เสียด้วยสิ



“คิด คิด คิดถึงอาหารมื้อเย็นค่ะ หิวรึยังคะ” นิศากรเปลี่ยนเป็นฝ่ายถามแทน เพื่อจะได้หลีกเลี่ยงข้อสนทนาหัวข้อระอุนั้นไปเสีย

จากที่หันหน้าตรงไปทางถนนด้านหน้ารถ กลับเป็นเอี้ยวตัวหันมาหาสาวคนรักเต็มๆตัว มือใหญ่เอื้อมไปเปิดไฟในรถสว่างจ้า ขยับเข้าไปใกล้เพื่อมองใบหน้าหวานที่หวาดหวั่นให้ถนัด ซ้ำยังเท้าแขนพาดไปที่เบาะของนิศากรอีก นิศากรเห็นแล้วเบนตัวหนี

ก็บรรยากาศมันไม่น่าไว้วางใจยังไงไม่รู้นี่นา ทั้งมืดแล้วเหมาะเจาะอะไรเช่นนี้ ไม่มีรถจะผ่านมาสักคันเลยหรือไงนะ อยู่ในที่ปลอดมนุษย์กับคนที่กำลังหึงสองต่อสอง มันน่าสบายใจเสียที่ไหนกัน

“ไม่เชื่อ” มือใหญ่อบอุ่นคว้าแขนบางดึงเข้ามาใกล้

“ว้าย!พี่ภู”

ไม่ได้อยากคิดแบบละครน้ำเน่า แต่มันช่วยไม่ได้ ดูพ่อพระเอกของเธอทำเข้าสิ อย่างกับฉากนำเข้าเลิฟซีน

“ยังภูมิใจไม่เลิกสินะครับ มีเด็กหนุ่มๆติด”

อึ๋ย บ้านนี้นี่มีความสามารถพิเศษ รู้ความคิดคนอื่นได้รึไงนะ

“โฮ้ย เปล่าค่ะ พี่ภูก็ อย่าคิดมากสิคะ รีบเข้าบ้านเถอะค่ะ ตรงนี้มืดตึ๊ดตื๋อ นิกลัวผี” นิศากรดันอกอุ่นไว้ไม่ให้เข้าใกล้มากไป กุลสตรีที่ดีท่องไว้นิศากร

“ไม่ต้องเปลี่ยนเรื่องเลย” ภูดิสขู่ แล้วถอนหายใจเฮือก ออกคำสั่งกับคนรักอย่างถืออำนาจ “พี่ขอสั่ง ห้ามไม่ให้คิดถึงนายนั่นเด็ดขาด ไม่ต้องไปอยากรู้จัก สงสัยอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับนายนั่น”

ทั้งที่ไม่เคยบีบบังคับใครอย่างนี้มาก่อน แต่ไม่รู้อะไรหรือมารตัวไหน บังอาจมาชักนำสมองเขา ให้กลายไปเป็นคนนิสัยไม่ดีอย่างนี้ได้ เพราะไม่ต้องการให้ในสมองของนิศากรมีชายอื่นใด ไม่ชอบใจตัวเองนักหรอก แต่ช่วยไม่ได้ หากไม่ทำอะไรสักอย่าง เขาคงบ้าตาย บริษัทล่มจม งานการไม่เดินเพราะผู้บริหารคิดอะไรไม่ออก โมโหทั้งวัน

ลำแขนแข็งแรงร่างคนรักเข้ามาชิด กอดไว้แนบอก กระชับแขนแน่นเข้าอีกเป็นการสกัดกั้นแรงขืนจากหญิงสาว ความกังวลและลังเลฉายชัดในแววตาคม นิศากรไม่มีโอกาสมองเห็น

“หนูนิครับ ไม่ต้องสนใจ ไม่ต้องไปฟังใครนอกจากพี่คนเดียว ได้ไหม สัญญาสิ ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น หนูนิต้องเชื่อที่พี่พูด ถามพี่คนเดียว อย่าฟังคนอื่นเด็ดขาด” น้ำเสียงขอร้องจริงจัง นิศากรหยุดอาการดิ้นขลุกขลัก

“นะครับ สัญญาสิ” ชายหนุ่มเร่งเร้าขอคำตอบอย่างใจร้อน เหมือนครั้งหนึ่งที่เขาเคยขอ แต่ความน้ำหนักความสำคัญและจริงจังต่างกันอย่างเห็นได้ชัด แค่ฟังดูก็รู้

“ค่ะ” นิศากร ยอมรับคำขอนั้นแต่โดยดี ด้วยไม่ว่าอย่างไร เธอไม่เห็นข้อที่ไม่เป็นผลดีกับทั้งสองเลยแม้แต่น้อย การหันหน้าเข้าพูดคุยกันโดยตรงยามมีปัญหา เป็นทางแก้ไขที่ถูกที่สุดเสมอ

“ขอบคุณครับ” มุมปากขยับยกขึ้น ความหวั่นระแวงค่อยลดระดับ อย่างน้อยก็มีสิ่งให้ยึดมั่นได้ในคำสัญญา


“มีอะไรรึเปล่าคะพี่ภู” อ้อมแขนคลายลง นิศากรจึงถาม บางอย่างทำให้รู้สึก เขากำลังมีปัญหา

“ตอนนี้ยังครับ แต่อาจมีได้ในอนาคต เพราะฉะนั้นเราตกลงกันไว้ก่อน กันเอาไว้”

นิศากรไม่ถามอะไรอีก ในใจรู้สึกเหมือนถูกสะกิด ภูดิสผู้ที่รู้ว่าจะมีเรื่องวุ่นไม่ยอมปริปากบอก ถึงสิ่งที่กังวลใจ ขอนอนคิดก่อนสักคืน มันอาจจะไม่เป็นอย่างที่ระแวงก็ได้



เมื่อหลังมื้อเที่ยง หมดเวลาพักตามระเบียบของบริษัทแล้ว ทุกคนเข้าประจำโต๊ะทำงานของตัวเองอีกครั้ง ไม่เว้นแม้แต่แพรพรรณซึ่งจบจากมื้อเที่ยงง่ายๆ เป็นอาหารจานเดียวที่สั่งมาแล้วก็ลุกจากชุดโซฟาที่ธเนศเพิ่งลุกขึ้นนี้ กลับสู่หน้าคอมพิวเตอร์ ทำงานต่อไป

พอนั่งปุ๊บ ประตูห้องก็เปิดปั๊บ พร้อมๆกับร่างสูงตรงกำยำผ่านประตูเข้ามา เสียงห้าวๆดังรัวบอกกับคุณเลขาหน้าห้อง

‘ไม่เป็นไรไม่ต้องบอกหรอก มีอะไรผมจัดการให้เองคุณเลขา’

‘คุณแพรคะ’ คุณเลขาครางหน้าแหย เมื่อเจ้านายหญิงคนเล็กหน้ามุ่ยทันควัน

‘ช่างเถอะ คนไม่มีมารยาท พูดไปเท่าไหร่ก็ไม่รู้เรื่อง มาทำอะไรล่ะเนี่ย’ แขนเรียวกอดอกมองอย่างไม่พอใจ

มาทำไมเนี่ย ไม่อยากเห็นหน้า

‘มาดูหน้าเด็กนิสัยเสีย พูดจาไม่รู้เรื่อง หาเรื่องไว้ให้คนอื่นแล้วก็เดินหนี’ ธเนศเดินอาดๆมาเท้าเอว ก้มมองคนตัวเล็กกว่า ทำเสียงหาเรื่องเต็มที่


‘ไม่มีหรอกแถวนี้ มาผิดที่แล้วย่ะ ออกไปซะ’

‘ยืนหัวโด่อยู่นี่ไง เรื่องอะไรมาเจ้ากี้เจ้าการพาใครต่อใครมาป่วนฉันกันหา’

แพรพรรณเม้มปาก ตาวาววับอย่างเอาเรื่อง โดนหาว่าจุ้นจ้านเข้าอย่างนี้ แพรพรรณผลักอกยักษ์ตัวดำอย่างไม่เกรงกลัว

‘ฉันแค่ช่วยเพื่อน เหมือนอย่างคราวก่อนนั้นที่ฉันเคยช่วยนายให้ได้เจออรไงล่ะ เขากลับมาแล้ว ต้องการพบนายอีก ไม่ดีใจหรือไง’

‘ยุ่ง ยุ่งๆๆๆๆๆๆ’ เสียงห้าวรัวฉับๆ จับร่างเล็กบางเขย่าหัวสั่นหัวคลอน



เรื่องเมื่อครั้งก่อนนั้น ธเนศยังจำได้ดี คำบอกลาอย่างเจ้าแง่แสนงอนของอรอุมา เพื่อนสาวสมัยเรียนมัธยมร่างบาง ผิวขาวราวกับหยกเนื้อดี ใบหน้าอ่อนใส ดูลักษณะอ่อนหวานเรียบร้อยเสียเหลือเกิน น่ารักน่าทะนุถนอม ทั้งสองคนได้เจอกันในงานเลี้ยงแห่งหนึ่ง ธเนศมองอย่างสนใจ เผอิญที่สุด แพรพรรณตรงเข้าทักทายอย่างเป็นกันเองและชักนำให้ได้รู้จัก สานสัมพันธ์กันโดยมีแพรพรรณเป็นตัวเชื่อม การออกจากบ้านเพราะมีนัดกับชายหนุ่มสองต่อสอง ไม่เป็นที่ยอมรับสำหรับครอบครัวคนจีนอย่างอรอุมา พ่อแม่ของหญิงสาวไม่เห็นสมควรแน่ การนัดพบเจอะเจอหรือไปเที่ยวที่ต่างๆจึงมีกันสามคน

แพรพรรณพูดไม่หยุดเป็นนิสัย กล้าต่อล้อต่อเถียงด้วยอย่างสนิทสนม ต่างจากอรอุมาที่ค่อนข้างพูดน้อย เรียบร้อย ธเนศจึงชวนคุยด้วยเพื่อหญิงสาวจะได้รู้สึกดี จนบางครั้งที่รู้สึกตัวเสียงเจื้อยแจ้วก็หายไปเสียแล้ว เหลือเพียงเสียงอ่อนหวานเรียบเรื่อยที่เป็นคู่สนทนาอยู่

ระยะหลังๆธเนศพบว่า แพรพรรณตั้งใจปลีกตัวออกห่างเสียกลางคันทั้งที่ตัวเองเป็นคนเสนอโปรแกรมเที่ยวนี้เอง ไม่ยอมไปจนจบคอร์สที่ตั้งไว้

‘จะกลับได้ยังไง ไปคนเดียวเนี่ยนะ ไม่เอาหรอก ไอ้ภูมันได้เตะฉันกลิ้งพอดีถ้ารู้ว่าทิ้งน้องมันกลางทางแบบนี้’

‘นี่ฉันโตแล้ว เรียนมหาวิทาลัยแล้ว ดูแลตัวเองได้ย่ะ’

‘ไม่ให้ไป!!!’ ไม่พูดเปล่า ลำแขนแข็งแรงยังล็อคคอแพรพรรณไว้แน่น เป็นเชิงว่าถ้าจะไปก็จงถอดหัวไว้ที่นี่ ทำได้ก็เอา

อรบอกแพรเองค่ะ จะมีแค่เราสองคนบ้างไม่ได้หรือคะ อรงงไปหมดแล้ว พี่ธเนศคิดยังไงกันแน่ พี่ชอบอรหรือเปล่าคะ หรือเป็นแพรกันแน่ อรว่าเราห่างกันสักพักเถอะค่ะ ถ้าพี่ธเนศแน่ใจว่าชอบอรเมื่อไหร่เราค่อยพบกันอีกครั้ง แต่ครั้งหน้าต้องไม่มีแพร

ธเนศติดต่อกลับไปอีกครั้ง ข้อเสนอที่อรอุมาตั้งมาได้รับการตอบรับ ครั้งนั้นไม่มีแพรพรรณ หัวข้อสนทนาตีบตันเมื่อไม่มีคนช่างพูดและจบลงด้วยสองคนต่างแยกย้ายกันไป ด้วยเหตุผลที่ว่า

‘บ้านของอร ยังไม่อยากให้อรคบกับใครค่ะ ขอโทษพี่ธเนศด้วย’

แล้วก็ห่างหายไม่พบกันอีก จนกระทั่งเมื่อวานนี้

‘พี่ธเนศคะ เราเริ่มกันใหม่ได้ไหมคะ’

ธเนศอึ้งและงงงัน



‘ดี ยุ่งนัก เพราะฉะนั้นยุ่งให้ตลอดนะ ห้ามหนีไปไหน จะได้คอยดูว่ามันจะสำเร็จเหมือนอย่างที่เธอตั้งใจไว้สักเท่าไหร่’

‘ฉันไม่มีความตั้งใจอะไรทั้งสิ้น กลับไปได้แล้ว ฉันไม่ยุ่งเรื่องของนายอีก’

ร่างเล็กจบบทสนทนา ทำงานต่อไม่สนใจอีก ธเนศทำเช่นเดียวกัน ไม่มีเสียงพูดคุย หากจบลงด้วยการทิ้งตัวลงนอนเอกขเนกบนโซฟาตัวนิ่ม

แพรพรรณโยนปากกาลงบนโต๊ะ คว้าเมาส์มากระแทกโต๊ะ ลากไปกระแทกไป เสียงดังโครมครามอย่างไม่สบอารมณ์ ขวางหูขวางตาของดำที่กองอยู่บนโซฟาเสียเหลือเกิน กวาดเท่าไหร่แกะเท่าไหร่ก็ไม่หลุดไปเสียที ติดหนึบอย่างกับทากาว

โสดเฉพาะคืนนี้ พรุ่งนี้เห็นทีไม่โสด ใครมัวแต่ช้าจะอด เพราะพี่โสด เฉพาะคืนนี้

เสียงเรียกเข้ามือถือเครื่องจิ๋วที่มีความสามารถพิเศษหลายอย่างตามแบบนิยม แพรพรรณเบ้ปาก ทำเสียงแหวะออกมาดังๆ คนกระเด้งตัวจากท่านอนเอกขเนกบนโซฟามารับโทรศัพท์ มองนิดนึงก่อนส่งเสียงตอบรับ

“ฮัลโหล อรเหรอ ใช่ๆ นั่นแหละ ถูกแล้ว ใช่ รอเดี๋ยวนะ กำลังจะลงไปครับ” นิ้วแข็งแรงกดวางสาย ลุกขึ้นดึงเสื้อผ้าให้เรียบตึง ก้าวฉับๆไปคว้าแขนเล็กปลิวติดมือไปด้วย ไม่นำพาคนจิกเท้ากับพื้น ร้องโวยวายไปตลอดทางสักนิดเดียว



-----------โปรดติดตามตอนต่อไป-------------


//punnarm-farin.bloggang.com


*;...คุยกันนิดหน่อยกับฟ้าริน...;*

blue lily ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตค่ะ & คำชมพี่ภู พี่ภูดีใจสุดๆ ฝากมาจุ๊บ1ทีค่ะ นายธเนศเสียวสันหลังวาบๆ หมอนัดคิดถึงแฟนคลับทุกคนเช่นกันจ้า

kakok_riwkiw - สุขสันต์เช่นกันจ้า ขอบคุณมากที่มาโหวตให้นะคะ

bloggang Award ครั้งที่4 เริ่มขึ้นแล้วค่ะ โหวตได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่6มกรานะคะ

มีการปรับเปลี่ยนวิธีการโหวต จากเดิมที่ให้เลือกโหวตให้เพียงสาขาละ 1 คน ครั้งนี้จะสามารถให้โหวตได้สาขาละไม่เกิน 3 คน และสามารถให้คะแนนแต่ละคนที่คุณโหวต เพื่อเป็นการจัดลำดับความชอบอย่างชัดเจนได้ด้วย โดยมีสาขาการประกวดที่หลากหลายตามเนื้อหามากขึ้น

ส่วนของพวกเราชาวlove ที่มีblogทั้งหลายคงไม่พ้นสาขา Best Literature Blog : blog งานเขียน-บทประพันธ์ ที่คุณชื่นชอบมากที่สุด

เชิญชวนทุกคนนะคะ

ของฟ้ารินไปได้ที่//punnarm-farin.bloggang.com

link อยู่ทางด้านขวามือบนสุดนะคะ ขอสักคะแนน2คะแนนก็ยังดีนะ
ปล.อย่าลืมloginก่อนโหวตนะคะ




Create Date : 12 ธันวาคม 2550
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2551 16:40:26 น.
Counter : 252 Pageviews.

5 comment
จัดรักให้ลงล็อค บทที่28(ครึ่งหลัง)






บทที่28/2


เสียงเรียกคุ้นหูดังก้อง พาให้คนที่กำลังวิ่งราวกับหนีอะไรบางอย่างชะงัก หันกลับมองคนเรียกที่โผล่ออกจากประตูมาครึ่งตัว ไม่ใช่ใครอื่น นอกเสียจากคุณหมอหนุ่มผิวสะอ้านกับอาหารสองจานในมือใหญ่

“จะรีบวิ่งไปไหนน่ะ มีอะไรให้เราช่วยหรือเปล่า” หน้าตาบ่งบอกความอ่อนแรง หากยังคงมีน้ำใจเอื้อเฟื้อ

“ทำหน้าตาแปลกๆ แพรเป็นอะไร ไม่สบายเหรอ” นัฐกรถามพลางเดินเข้ามาใกล้ร่างเล็กที่หยุดชะงักอยู่กลางทาง สังเกตหน้าตาเริ่มเหยเกขึ้นทุกที ดวงตากลมโตแดงระเรื่อ เจ้าตัวพยายามกลืนก้อนแข็งที่จุกอยู่กลางลำคออย่างลำบากยากเย็น ส่ายหน้าปฏิเสธและยิ้มเยือนแทนคำว่าขอบใจ

“เข้าไปข้างในห้องกัน หนูนิก็อยู่” หมอหนุ่มชักชวนใช้ศอกสะกิดแขนเพื่อนให้เดินตามมาในทิศทางเดียวกัน

ภายในห้องเล็ก มุมหนึ่งมีโซฟาตัวยาวถูกครอบครองโดยสาวแปลกหน้านางหนึ่งซึ่งนัฐกรเดินเข้าไปหา นิศากรยืนทำอะไรบางอย่างอยู่ในอีกมุมหนึ่ง แพรพรรณตาวาวๆขึ้นมาอีกระลอกเมื่อนิศากรหันมาพบเข้า

“หนูนิ...” น้ำตาหยดหนึ่งกลิ้งจากขอบตาลงสู่แก้มนวล ท่ามกลางความตกตะลึงของภูดิสและนิศากร

“แพร ร้องไห้ทำไม ใครทำอะไร” นิศากรโอบเพื่อนสนิทไว้ในอ้อมแขน ลูบหลังไหล่เป็นการปลอบโยน แม้ไม่มีเสียงสะอื้นไห้ แต่อาการสั่นสะท้านบอกให้รู้ได้ สายน้ำตารินไหลเริ่มพรั่งพรู

ห้องทั้งห้องเงียบสงัด ไม่มีผู้ใดสอบถามอีก รอเท่านั้น รอ ให้เจ้าตัวระบายออกมาเสียให้หมดก่อน แล้วหลังจากนั้น ค่อยถามที่มาที่ไป

แพรพรรณหลับตา หวังให้มันปิดกั้นทางของหยดน้ำใสที่ไม่รู้ว่าออกมาจากไหนได้มากมายนัก

ระหว่างสองคนนั่น คือที่ที่แพรพรรณไม่อยากอยู่ เพราะที่ตรงนั้น เคยสร้างความรู้สึกหนึ่งที่เธอจะไม่ขอเป็นอีก

ส่วนเกิน

ไม่เอาอีกแล้ว ไม่เอา จะเป็นศิราณีให้ใครก็ได้ ยกเว้นสองคนนั่น ไม่เอา ไม่ต้องการ ขอหลีกหนีเสียให้พ้นไปจะดีกว่า

เวลาผ่านไป เขื่อนที่พังทลายเมื่อครู่ก็ถูกซ่อมแซม รอยรั่วแคบลงทุกขณะจนกระทั่งไม่เหลือร่องใดๆให้น้ำอุ่นๆไหลออกมาได้อีก

“มีอะไรเหรอแพร เล่าให้ฟังได้ไหม”

นิศากรบอกด้วยน้ำเสียงเบาแสนเบา ราวกับกลัวว่าคลื่นเสียงของตนจะไปกระทบกระแทกส่วนใดส่วนหนึ่งของคนฟังให้บาดเจ็บได้

แพรพรรณมองเพื่อนอย่างชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าตกลง ไม่ว่าเมื่อใด นิศากรเป็นผู้ฟังที่ดีเสมอ ยิ่งไปกว่านั้น นิศากรไม่เคยนำเรื่องส่วนตัวที่ผองเพื่อนนำไปปรึกษาบอกเล่าแก่ใครสักคนเดียว นิศากรผู้เก็บความลับได้เยี่ยมยอด

นัฐกรมองเพื่อนรักทั้งสองเป็นเชิงถาม มีอะไรให้ช่วยไหม แพรพรรณฝืนยิ้มให้นิดหนึ่ง นี่ก็อีกคนหนึ่ง พร้อมเสมอที่จะยื่นมือเข้าช่วยผู้ที่กำลังลำบาก สมแล้วที่เป็นคุณหมอ สองสาวเดินจูงมือกันออกไปหาที่สงบและเป็นส่วนตัวมากกว่านี้



“หนูนิ...หนูนิครับ”

ผู้เรียกชะเง้อคอโบกมือมาแต่ไกล ฝ่าฝูงชนเข้ามาใกล้สองสาวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสเสียเหลือเกิน แพรพรรณมองอย่างสงสัย หนุ่มหน้าอ่อนนี่อะไรจะยิ้มได้เบิกบานขนาดนี้ ตรงข้ามกับอารมณ์เธอในตอนนี้อย่างสิ้นเชิง

“คะ มีอะไรรึเปล่าคะ”

“หายไปไหนมาตั้งนานฮะ ผมรออยู่นี่ ไม่กล้าไปไหน เพราะยังไงวันนี้ผมต้องพูดให้ได้” อานนท์เอ่ยอย่างหมายมั่น สองสาวตกอยู่ในอาการงุนงงไม่แพ้กัน หากแพรพรรณถึงกับเกาหัว กระซิบถามเพื่อนว่าเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นใคร มาจากไหน

“เจอกันที่ผับวันที่แพรเมานั่นแหละ”

แพรพรรณถึงบางอ้อ ส่วนตัวนั้นไม่ได้บันทึกข้อมูลในคืนป่วนนั้นเข้าไปสักเท่าไหร่ เรื่องที่จะจำว่าเจอใคร ทำอะไรลงไปบ้าง ไม่มีอยู่ในหัวน้อยๆนี้หรอก

มือขาวนวลถูกรวบไปไว้ในมือแข็งแรงของหนุ่มน้อยข้างหนึ่ง ซึ่งนิ้วนางบนมือข้างนั้นสวมแหวนวงเล็กไว้ ช่างดูเหมาะสมกับผิวนวลเนียนอมชมพูนั้นเสียเหลือเกิน อานนท์มองมันนิดหนึ่งก่อนทำเป็นไม่สนใจ ไม่ถามว่าแหวนวงนี้ใครเป็นคนให้หรือเป็นของนิศากรเอง อานนท์ใช้นิ้วหัวแม่มือตัวเองปิดมันไว้ นิศากรที่ตระหนกเล็กน้อย กระตุกมือกลับ อานนท์ยื้อไว้

“นี่นาย ปล่อยนะ” แพรพรรณท้วงเสียงดัง พยายามช่วยเพื่อนแกะมือเหนียวอย่างกับตีนตุ๊กแกออก

เสียงเล็กหากดังก้องเรียกความสนใจจากผู้คนรอบข้างได้หลายสายตา รวมถึงอีกผู้หนึ่งซึ่งก้าวตรงเข้ามาโดยทันที กระชากไหล่ชายหนุ่มผู้อุกอาจอย่างแรง อานนท์แทบล้มลงไปกองกับพื้น หากไม่ปลิวไปประทะฝูงชนด้านหลัง

ร่างสูงก้าวเข้าใกล้คนรัก ดึงให้หลบอยู้ข้างหลัง ใช้ตัวเองกั้นไว้ราวกับเกราะกำบังภัย มือเล็กบางเกาะแขนภูดิสไว้ทันควัน ดวงตาคมเข้มดุตวัดมองหนุ่มน้อยที่เพิ่งพยุงตัวเองขึ้นได้ก็หันหน้ามาประจัน คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันจนเกือบชิด เมื่อเห็นหน้าค่าตาผู้ก่อเหตุได้ถนัดตา

“อานนท์”

“สวัสดีฮะ” อานนท์กล่าวทักทายราวกับเพิ่งได้พบ ทั้งที่บุคคลแรกที่อานนท์มองหาเมื่อแรกเข้างานมา คือคนที่กระชากไหล่เขาจนหงายหลังไปเมื่อครู่

“ได้พบก็ดี ผมมีเรื่องจะพูดด้วย แต่ตอนนี้ยังไม่ว่าง” อานนท์บอกอย่างไม่ใส่ใจ กลับมองนิศากรไม่วางตา ขยับเข้าหาโดยไม่กลัวเกรงคนตัวสูงเลยแม้แต่น้อย

“จะทำอะไร” ภูดิสใช้มือยันอกหนุ่มรุ่นน้องไว้ ถามเสียงดุเย็น มีทั้งความโกรธและสงสัยในพฤติกรรมอานนท์ระคนกัน

“ผมจะพูดกับหนูนิ ไม่ได้พูดกับคุณภู อย่าเพิ่งยุ่งได้ไหมฮะ” อานนท์เสียงสะบัดอย่างไม่พอใจที่โดนขัดขวาง

“หนูนิรู้จักอานนท์ด้วยเหรอ” ภูดิสเอี้ยวตัวไปถามด้วยความสงสัย เหตุใดอานนท์จึงมีเรื่องพูดกับหญิงสาว แถมยังเรียก หนูนิ เต็มปากเต็มคำราวกับเพื่อนสนิทโดยไม่มีคำนำหน้า ซึ่งควรจะเป็นคำว่า พี่ จากอายุที่ห่างกันหลายปีอยู่

หญิงสาวบอกเสียงเบา ย้อนไปถึงวันวิปโยคครั้งก่อนที่เริ่มด้วยการถูกชักชวนไปที่ผับหรูจนได้พบกับหนุ่มน้อยคนนี้ชั่วแวบแล้วจากกัน

“มีอะไรก็พูดเสียตรงนี้เลยก็ได้ค่ะ” นิศากรบอกทั้งยังเกาะแขนภูดิสและแพรพรรณไว้ เพิ่มความอุ่นใจ

“ใช่ คนเยอะดี มีอะไรก็ว่ามา พฤติกรรมนายไม่น่าไว้ใจ ”

แพรพรรณใช้ประโยชน์จากเหล่าไทยมุง หากมีอะไร อย่างน้อยจะได้มีพยาน หรือหากหนุ่มน้อยผู้นี้มีความประสงค์ร้ายแอบแฝงภายใต้ใบหน้าเบิกบานเป็นมิตรเมื่อครู่ คงไม่กล้าทำอะไรต่อหน้าผู้คนมากมายให้ถูกจับได้หรอก

“แน่ใจนะฮะ ต้องการแบบนั้นแน่นะฮะ” หนุ่มน้อยถามย้ำ คนฟังได้แต่สงสัย เรื่องอะไรกัน

“ก็ได้ฮะ ความจริงก็ไม่ได้อยากประกาศเรื่องนี้ต่อหน้าผู้คนมากมายแบบนี้หรอกนะ แต่ทุกคนยืนยันอย่างนั้น ผมก็ไม่มีทางเลือก” อานนท์ถอนหายใจทำหน้าเป็นเชิงว่า ช่วยไม่ได้ เขาสูดหายใจเข้าเต็มปอด พูดเสียงดังฟังชัดราวกับประกาศก้องไปทั่วว่า

“ผม นายอานนท์หลงรักหนูนิตั้งแต่แรกพบ ขอสมัครเป็นหนึ่งในผู้ช่วงชิงตำแหน่งแฟนของหนูนินะฮะ”

ทุกสายตาพุ่งตรงมายังอานนท์ที่ยืนยืดอกเต็มความสูงราวกับภาคภูมิหนักหนา ในที่นี้ไม่ว่าใครก็รู้ นิศากรมีใครเคียงข้างอยู่ก่อนแล้ว การที่อานนท์ประกาศออกมาอย่างนี้ ย่อมหมายถึงการท้าทายและการจงใจจะแย่งชิงคนรักจากภูดิสกันซึ่งๆหน้า

“พูดว่าอะไรนะ” ผู้ถูกท้าถามเสียงเรียบเย็นอย่างสะกดอารมณ์ สันกรามเกร็งขึ้นจนเห็นชัดเจน ดวงตาวาวโรจน์ราวกับมีไฟประทุอยู่ภายใน หากมีเครื่องวัดความร้อนรอบตัวภูดิสแล้วล่ะก็ คงได้เห็นอุณหภูมิที่พุ่งขึ้นจนปรอทแทบแตก

“เมื่อกี้ฟังไม่ชัดเหรอฮะ ผมพูดใหม่ก็ได้ ผมบอกว่าขอสมัครเป็นแฟน...” ไม่ทันจบประโยคเสียงก็สะดุด อานนท์ตัวปลิวตามคอเสื้อติดมือภูดิสไปแล้ว

“พี่ภู!” สองเสียงประสาน ร้องห้ามพี่ชายและคนรักแทบจะพร้อมกัน หากภูดิสไม่ฟังเอ่ยเสียงดุกับอานนท์

“เลิกพูดจาเหลวไหล กลับบ้านไปท่องหนังสือเตรียมสอบดีกว่าอานนท์ แล้ววันหลังอย่ามาล้อเล่นกับผู้ใหญ่แบบนี้อีก มันไม่สมควร!”

“ผมไม่ใช่เด็ก ผมไม่ได้พูดเล่น ผมมีสิทธิจะแข่ง คุณภูกล้าไหมล่ะ เอ...หรือจะไม่กล้า” อานนท์ปัดมือหนาออกจากคอเสื้อ จัดให้เข้าที่เข้าทางด้วยกิริยากวนโทสะ หากไม่ติดที่นิศากรเกาะแขนภูดิสไว้อีกข้าง ล็อคอย่างแน่นหนา คงมีหวังได้ลอยไปกระแทกปากคนท้าทายแน่นอน

“โอ๊ะ...ข้อหาทำร้ายร่างกายนี่ขึ้นโรงพักนะฮะ ผมยังไม่อยากดังมากไปกว่านี้ วันนี้พอแค่นี้ก่อนก็ได้ แล้วพบกันใหม่นะฮะหนูนิ” ส่งเสียงกวนโทสะไม่พอ ยังส่งสายตาหวานเยิ้มให้นิศากรก่อนแทรกตัวฝ่าฝูงชนขนาดย่อมออกจากงานไป ภูดิสฉุนเฉียวหันหลังบังหญิงสาวไว้จนมิด

“อย่ามองเชียวนะหนูนิ” ภูดิสสั่งเสียงเขียว ใบหน้าคมถมึงทึงอย่างที่นิศากรไม่เคยเห็นมาก่อน หากหญิงสาวยังแอบเหล่มองดูว่าตัวต้นเหตุแห่งความวุ่นวายลับหายไปแล้วแน่นอนหรือไม่ จึงโดนดุเสียงเขียวอีกคำรบหนึ่ง

“แน่ะ! บอกว่าห้ามมอง”

“ก็ดูว่าไปแน่หรือยังนี่คะ” นิศากรแก้เสียงอ่อย

“ไอ้เด็กบ้า!” เสียงทุ้มสบถ หัวเสียมากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน




-----------โปรดติดตามตอนต่อไป-------------


//punnarm-farin.bloggang.com


*;...คุยกันนิดหน่อยกับฟ้าริน...;*

เอามาส่งแล้วนะคะ ต้องเร่งหน่อยแล้ว เดี๋ยวไม่ทันปลายเดือน มัวแต่ป่วยจนสมองตื้อเหขียนไม่ค่อยออกมาหลายวันเต็มที คราวนี้จะป่วนพี่ภูให้หนำใจเชียวหล่ะ 555

เหินหาว - ขอบคุณที่เข้ามาแนะนำของดีๆให้ค่ะ

kakok riwkiw - เอ้า เอามาต่อให้แล้วอีกครึ่งหนึ่ง ไม่จบง่ายๆ ต้องป่วนพี่ภูเสียก่อน 5555555

keroobob - ขอบคุณค่ะที่อวยพรให้ฟ้าริน แหม พรนี้ได้ผลนะคะ ฟ้ารินคิดว่ากำลังจะหายแล้ว เดี๋ยวไปตรวจดูอีกทีค่ะ




Create Date : 03 ธันวาคม 2550
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2551 17:17:18 น.
Counter : 279 Pageviews.

4 comment
จัดรักให้ลงล็อค บทที่28 (ครึ่งแรก)







บทที่28/1


นิศากรทำหน้าประหลาดใจอย่างยิ่ง เมื่อความคิดที่จะก้าวตรงไปหามารดาซึ่งกวักมือเรียกอยู่ไกลๆกับบรรดาคุณนายทั้งหลายผู้ร่วมสมาคมแม่บ้านไฮโซต้องสะดุดลง เนื่องเพราะมีผู้มาดักทางอีกทั้งยังถือวิสาสะจับแขนเธอไว้อีกต่างหาก

สัญชาตญาณทำให้หญิงสาวกระตุกมือออก มองผู้กระทำการอุกอาจซึ่งดูท่าจะเป็นชายหนุ่มรุ่นราวน่าจะเป็นวัยรุ่น จากท่าทางการแต่งตัว เสื้อเชิ๊ตปล่อยชายกับแจ็กเกตมียี่ห้อและทรงผมยาวปรกหน้า จัดเข้าทรงด้วยเจลแต่งผมดูเข้าสมัยสุดฤทธิ์ ทั้งยังต่างหูเงินกลมกับห่วงหูนั่นอีก ทั้งหมดนั้นผสมกลมกลืนไปกับใบหน้าเรียวสะอ้านคล้ายวัยรุ่นญี่ปุ่นหรือเกาหลี บ่งบอกว่าเป็นหนุ่มเจ้าสำอางค์ เจ้าตัวยิ้มเยือนอย่างยินดี ทำท่าเหมือนได้พบคนรู้จัก

“หนูนิครับ”

“คะ?”

คิ้วเรียวขมวดเข้าไปจนมุ่น ชายหนุ่มคนนั้นเรียกชื่อของเธอถูกต้อง แต่เขาจะรู้มาจากไหนกัน นิศากรไม่ทราบได้ อาจจะจากคนรู้จักเธอในงานนี้แนะนำก็ได้ ก็นิศากรเป็นเจ้าของงานนี้นี่นา

“มีอะไรรึเปล่าคะ”

“จำผมไม่ได้เหรอฮะ” อานนท์ถามเสียงหม่นอย่างผิดหวัง รอยยิ้มกระจ่างและในตาพราวระยับอย่างยินดีเมื่อครู่ก็หายไปฉับพลัน นิศากรเลยพลอยเสียใจไปด้วย ขอโทษอย่างจริงใจ

“ต้องขอโทษด้วยค่ะ แต่เราเคยพบกันหรือคะ”

“โธ่ น่าผิดหวังจัง สักนิดก็จำไม่ได้หรือฮะ ที่ผับคืนนั้นไงฮะ”

อานนท์พยายามฟื้นความจำให้หญิงสาวซึ่งคอเอียงตาลอยนิดๆ นิ้วเรียวขาวยกขึ้นพันสอดกับปอยผมเป็นท่าทางที่เจ้าตัวติดเสมอยามครุ่นคิด ใบหน้าหวานอ่อนกว่าวัยมุ่นเล็กน้อย นิศากรไม่รู้ว่าทำให้คู่สนทนาจับจ้องมองอย่างติดใจแค่ไหน

“เอ...ผับหรือคะ”

“ที่...” อานนท์เอ่ยชื่อสถานหย่อนใจที่นั้นขึ้นมา นิศากรร้องอ๋อ แต่คิ้วยังขมวดเล็กๆอยู่ ด้วยคิดไม่ออกว่าไปรู้จักมักจี่กับชายหนุ่มตรงหน้าตอนไหน

“ผมเองฮะ ที่เดินชนหนูนิกับเพื่อนอีกคน ตัวเล็กๆน่ะฮะ” อานนท์เฉลยเสียเอง คราวนี้ก็ได้ยินเสียงหวานร้องอ๋ออีกรอบพลางพินิจใบหน้าเรียวของหนุ่มน้อยอีกครั้ง ยิ้มให้นิดๆคล้ายกับคืนนั้น รอยยยิ้มที่ติดตรึงในใจเขาไม่จาง

“ขอโทษทีนะคะ วันนั้นเผอิญวุ่นวายกับเพื่อนอยู่ เลยไม่ทันสังเกตใคร”

“ไม่เป็นไรฮะ ผมดีใจมากเลยที่วันนี้เราได้พบกันอีก” น้ำเสียงอานนท์สดชื่นดีใจจริงอย่างที่ปากพูด มือขาวนวลถูกดึงมากระชับไว้อีกครั้ง เขย่าอย่างยินดี คนถูกเขย่าทำหน้าฉงน ไม่เข้าใจทำไมถึงได้มีอาการดีอกดีใจได้มากขนาดนี้

“ผมรอวันนี้มาตั้งนานแล้ว นึกไม่ถึงจริงๆ มันบังเอิญมากๆเลยฮะ มันคงเป็นชะตาฟ้าลิขิตนะฮะ ว่าไหมครับ”


“คงอย่างนั้นละมั้งคะ” น้ำเสียงหวานใสเออออไปตามเพลง จะขัดก็กระไรอยู่ ได้แต่ยิ่มเรี่ยร่ายอย่างขอไปที

“ผมเชื่อแบบนั้น พรหมลิขิตแน่นอน ไม่อย่างนั้นเราคงไม่มีโอกาสได้พบกันอย่างนี้ และตอนนี้ผมก็อยากจะบอกหนูนิว่า...โอ๊ะ!”

ประโยคนั้นสะดุดเพราะแรงกระแทกจากด้านหลัง ร่างสูงหากผอมแบบวันรุ่นทั่วไปจึงเซหลุนๆแทบทรงตัวไม่อยู่ เมื่อคนที่กระแทกเขามีร่างกายกำยำกว่าค่อนข้างมาก

“โอ๊ะ ขอโทษครับ”

นัฐกรเอ่ยขอโทษอย่างสุภาพ ก่อนหันไปเล่นงานผู้หญิงอีกคนที่ตามมาด้านหลัง ท่าทางไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก เพราะคิ้วสวยสองข้างขมวดเป็นปมหลายปมซ้อนกัน หมอหนุ่มหน้าเหวอไปนิดเมื่อถูกเคว้งค้อนใส่ ทำท่าอ้าปากจะพูดแล้วก็ส่ายหน้าถอนหายใจหนักๆแล้วกลับมาสู่จุดมุ่งหมายของตนแทนตามเสียงหวานที่ทักมา

“หมอนัด มาได้ไง ไหนว่าไม่ว่าง” นิศากรร้องอย่างยินดี ก่อนหน้านี้นัฐกรบอกอย่างเสียใจว่าไม่อาจมาร่วมยินดี ด้วยติดภารกิจอย่างหนึ่ง หมอหนุ่มยิ้มเรี่ยๆแบสองมือเปล่ายื่นมาตรงหน้า สารภาพอย่างเก้อๆ

“พอว่างปุ๊บก็มาเลย ดูสิ ไม่มีอะไรมาให้เลย มัวแต่ยุ่ง” หางตาปัดไปทางด้านหลังเล็กน้อยตอนบอกเล่าถึงคำสุดท้าย

“หนูนิจ๋า อย่าโกรธนะ เอาไว้จะหาลูกค้าคนไข้กระเป๋าหนักมาอุดหนุนก็แล้วกันนะจ๊ะ หนูนิคนสวย”

หมอหนุ่มทำเสียงออดๆเหมือนแววตา ก่อนให้เปลี่ยนของขวัญให้เจ้าของห้องเสื้อคนใหม่เป็นอย่างอื่นแทนอย่างเอาใจเพื่อนสาว

“จ้า คุณหมอ จริงๆอยากประหยัดก็บอกเถอะ ชินแล้วละจ๊ะ” นิศากรแกล้งกระเซ้า นัฐกรหัวเราะพลางแหว

“ไม่จริงสักหน่อย แล้วพวกสาวๆทั้งหลายล่ะ”

“อยู่ห้องแต่งตัวแน่ะ กำลังอำพรางความแปลก ปลอมตัวเป็นคนธรรมดาอยู่” นิศากรตอบพลางสะกิด ขยับเข้าไปใกล้อีกนิด กระซิบถามถึงคนข้างหลังหมอหนุ่ม

“พาใครมาด้วยเอ่ย คุณหมอ สาวที่ไหนเล่ามาเสียดีๆ” หญิงสาวทำเสียงล้อ หากปฏิกิริยาตอบโต้กลับมาคือ หน้าเมื่อยๆ กรอกตาขึ้นข้างบน พลางถอนใจ

“เรื่องนี้ออกแนวหลอนๆนิดหน่อย แล้วมันก็ยาว ยาวมากอย่างไม่น่าเชื่อเชียวล่ะ” นิศากรฟังแล้วก็แปลกใจ เพราะคนพูดก็ทำหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อจริงๆอย่างที่บอก

“วันหลังค่อยเล่าให้ฟัง วันนี้เหนื่อย ขอของกินหน่อยสิ หิวจะแย่แล้ว เราไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เมื่อวาน”

หมอหนุ่มตีหน้าเหยอเกทำท่าลูบท้องประกอบ นิศากรเบิกตาโตพิจารณาดูสภาพเพื่อนแล้วก็รู้สึกทั้งสองคนค่อนข้างอ่อนแรง อย่างกับเพิ่งไปผจญภัยที่ไหนมา

“ตายจริง ไปทำอะไรกันมานะ ทำไมไม่ได้กินข้าว”

“เรื่องนี้ก็ยาวอีกเหมือน...” หมอหนุ่มสะดุดเสียง ร้องอุทาน “อ้าว!อิงจันทร์!!” มือนุ่มเย็นเอื้อมมาแตะนัฐกรไว้หวังจะเกาะเพื่อพยุงกาย หากไม่มีแม้แรงยึดเหนี่ยว ร่วงผลอยลงกองกับพื้นราวกับผืนผ้า หมอหนุ่มผวาเข้าหาหญิงสาวทันควัน ประคองเธอไว้ เขย่าตัวหญิงสาวร้องเรียก หากไม่มีแม้อาการกระดิกนิ้วตอบ มือเย็นเฉียบกับหน้าซีดเผือดบ่งบอกอาการได้

“เป็นลม” นัฐกรวินิจฉัย ร้องบอกคนที่เข้ามามุงดูให้ถอยห่าง ช้อนร่างปวกเปียกไว้ ถามหาที่สำหรับปฐมพยาบาลผู้ป่วย นิศากรรีบเดินนำไปทันที

ทิ้งอานนท์ที่ตั้งใจจะแทรกระหว่างบทสนทนาหลายครั้งแต่ไม่มีจังหวะเลย ใบหน้าชายหนุ่มบ่งบอกชัด ไม่พอใจ

โธ่เว้ย ไอ้หมอนั่นมันเป็นใคร แย่งซีนกันชัดๆ กำลังจะบอกขอสมัครเป็นแฟนอยู่เลยเชียว



เด็กบ้า!!

ในอกมีแต่ความเจ็บใจ ยัยเปี๊ยกหน้าตึง เดินผ่านไปอย่างไม่สนใจใยดี คว้าไว้ก็ไม่ทันเสียแล้ว ขาเล็กๆนั่น สาวเร็วและยาวกว่าปกติ ทำท่าเหมือนหนีบางอย่าง อะไรที่ดำๆละมั้ง หรือกลัวราหูจะอมหัวเอา พอหลุดเข้ามาถึงห้องแต่งตัวเข้าได้ มือเล็กๆยังกระชากประตูปิดตามรวดเร็วอีกต่างหาก ไม่สนใจเสียงเรียกห้าวดัง ห้วนกระชากอย่างมีอารมณ์

“ยัยเปี๊ยก! ออกมาเดี๋ยวนี้นะ ทำอย่างงี้หมายความว่าไง ยัยเปี๊ยก!”

มีอย่างที่ไหน เล่นหูเล่นตากับผู้ชาย น่าเกลียดที่สุด แถมยังทำหน้าเชิดใส่อีก เด็กนิสัยไม่ดี!

ตาคมหวานบัดนี้เรืองโรจน์ เรียกเท่าไหร่ก็ไม่มีวี่แววว่าประตูบานนั้นจะเปิดออกมา ชายหนุ่มมองมันราวกับอยากถีบมันให้กระเด็น มือใหญ่ตบประตูเข้าอีกฉาดใหญ่

ปัง!!!

คนอยู่หลังประตูถึงกับสะดุ้งสุดตัวด้วยแรงตบซึ่งไม่เบาเลย ผู้ร่วมห้องมองมาด้วยสายตาเป็นคำถาม แพรพรรณหันไปโบกมือบอก

“ไม่มีอะไร นายดำเกิดบ้าอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ อย่าไปสนใจเลย”

“นั่นเสียงพี่ธเนศนี่” หญิงสาวผิวขาว หน้าตาแบบสาวเชื้อสายจีนนามว่าอรอุมาถามอย่างสนใจ แพรพรรณพยักหน้า มองคนถามที่ทำท่าเหมือนอยากไปเปิดประตูเพื่อจะได้พบหน้าคนตะโกนโหวกเหวกลั่นเสียเต็มประดา

“โธ่เว้ย” ธเนศสบถอย่างอารมณ์เสีย หลังซี๊ดปากกลั้นความเจ็บปวดที่ไประบายอารมณ์กับของแข็งโดยไม่ทันยั้งคิด ความเจ็บใจเพิ่มขึ้นอีก คราวนี้เลือกทางใหม่ที่คิดว่าตนเองมีความสามารถพิเศษและจะต้องได้ผลดีแน่ๆ

“ยัยเตี้ย ปัญญาอ่อน เด็กแก่แดด ขี้บ่นอย่างกับยายแก่...” หากหมุ่นผิวน้ำผึ้งสามารถมองทะลุไปได้ คงเห็นประกายไฟแล่นเปรี๊ยะอยู่รอบกายแพรพรรณ

“อร เธอเตรียมตัวพร้อมรึยัง จะได้พูดกับนายปากเสียนั่นซะเดี๋ยวนี้” แพรพรรณไม่รอคำตอบ อรอุมาหน้าเหวอตอนถูกกระชากมือให้ตามไป

ประตูเปิดผลัวะ ปรากฎภาพหญิงสาวสองคน คนหนึ่งหน้าถมึงทึง อีกคนหน้าเหลอ ธเนศไม่ได้สนใจคนหน้าเหลอ หากยิ้มอย่างสมใจใส่คนหน้าถมึงทึงอย่างกับยักษ์ขมูขี

“นี่ไงอร คนที่เธออยากพบนักหนา ยืนตัวดำปากเหม็นอยู่นี่ไง”

“อร มาได้ไง” ธเนศถามหน้าเหวอไม่แพ้อรอุมาที่ถูกดันให้มาอยู่ด้านหน้าแพรพรรณ

“คือ อร...” แพรพรรณซึ่งไม่อยากฟังเพื่อนเอาแต่อ้ำอึ้ง จึงแทรกขึ้น

“ส่วนนาย นายดำ! อรเขาอยากคุยกับนาย เขามาขอให้ฉันช่วยพูดกับนาย เขาอยากกลับไปลองคบกับนายอีกครั้ง เอาหละ หมดหน้าที่ฉันแล้ว คุยกันเองแล้วกัน ไม่ใช่เรื่องของฉัน!”

แพรพรรณผละจากไปราวกับวิ่ง

ไม่รู้ ไม่อยากอยู่ ฟังเสียงสองคนนั่นคุยกัน ไม่อยากฟัง



-----------โปรดติดตามตอนต่อไป-------------


//punnarm-farin.bloggang.com


*;...คุยกันนิดหน่อยกับฟ้าริน...;*

ป่วยส่งท้ายปี ด้วยโรคฮอร์โมนผิดปกติ กินยาแล้วก็ง่วง เพลี้ยๆ การบ้านก็เยอะเต็มไปหมด โอ๊ยๆๆๆๆๆ

โสมรัศมี - ขอบคุณที่เข้ามาเยี่ยมนะคะ

วิมานเพธยาธร - ฮ่าๆ ไม่ลงตัวง่ายๆหรอกค่ะ ชีวิตมันก็เงี้ยแหละนะคะ

Ormmie - เอาใจช่วยพี่ภูกันต่อไปนะคะ

kakok_riwkiw - ยังไม่บอดใช่ไหม แต่พี่นี่ร่อแร่เต็มที





Create Date : 30 พฤศจิกายน 2550
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2551 17:26:16 น.
Counter : 346 Pageviews.

3 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  

ปั้นน้ำกะฟ้าริน
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]








  • งานเขียนใน Blog นี้ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายลิขสิทธิ์ ไม่อนุญาตให้คัดลอก หรือ ดัดแปลงเนื้อหา นำไปเผยแพร่ต่อที่อื่นๆ ทุกรูปแบบ

  • Thanks design by freepik


Designed by Freepik