Group Blog
All Blog
<<< มองทุกอย่างเป็นไตรลักษณ์ >>>










"มองทุกอย่างเป็นไตรลักษณ์"

เพราะเราไม่ได้เห็นด้วยปัญญา

ถ้าเห็นด้วยปัญญา ก็เห็นว่ามันเป็นอนัตตา

คือมันเป็นอย่างนี้แหละ

มันเป็นเหมือนธรรมชาติ

ฝนฟ้าอากาศ มันก็มีฝนตกแดดออก

 มีอะไรสลับกันไป

เหตุการณ์ต่างๆ ที่เราไปประสบพบเจอ

 มันก็อย่างนี้ มีดีบ้างไม่ดีบ้าง

 มีคนดีบ้างมีคนไม่ดีบ้าง

 มีสุขบ้างมีทุกข์บ้าง

 แต่พอเราทุกข์เราก็เลยมาใช้สติดึงกลับ

 ดึงใจกลับมาจากเรื่องที่ทำให้เราทุกข์

 แต่ถ้าเรากลับไปดูเรื่องที่เราทุกข์

 มันก็ยังทุกข์อยู่

 แต่ถ้าเราไม่อยากจะทุกข์กับมัน

 เราก็ต้องเข้าใจว่า มันเป็นแบบนี้

มันเป็นธรรมชาติ เป็นอนัตตา

เหมือนกับเวลาเราเห็นฝนตก

 เราก็ไม่เป็นทุกข์กับมัน เพราะว่าเรารู้ว่า

มันเป็นสิ่งที่เราไปทำอะไรไม่ได้ ใช่ไหม

 เวลาฝนตกเราจะไปห้ามมัน

ไม่ให้มันตกก็ไม่ได้ เวลาน้ำมันจะท่วม

เราจะไปห้ามไม่ให้มันท่วมก็ไม่ได้

 เรามักจะไม่ทุกข์กับเรื่องฝนฟ้าอากาศ

 เพราะเรามองเขาเป็นธรรมชาติ เป็นอนัตตา

แต่เรื่องอื่นนี้เรายังมองว่าเป็นของ

ที่เราทำอะไรได้อยู่ เราเลยทุกข์

เพราะว่าเราอยากให้มัน

เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้

 แต่ถ้าเรารู้ว่าความทุกข์ของเรา

ก็เกิดจากความอยากของเรานี่เอง

 อยากให้เขาเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้

 พอเขาไม่เป็น เราก็ทุกข์กัน

 เราก็ต้องมองว่าเราไปทำให้เขา

เป็นอย่างที่เราต้องการไม่ได้

เขาเป็นเหมือนฝนฟ้าอากาศ

 เราต้องอยู่กับเขา

เหมือนกับเราอยู่กับศพอย่างนี้

 เขาจะเป็นอะไรก็เรื่องของเขา

 เราไม่ควรที่จะต้องไปทุกข์กับเขา

 ถ้าเราไม่มีความอยาก เราก็จะไม่ทุกข์

 นี่เราต้องใช้ปัญญาดูว่าความทุกข์ของเรานี้

 เกิดจากความอยาก แล้วสิ่งที่เราอยาก

เราก็ไปสั่งมันไม่ได้ สั่งให้มันเป็นอย่างนั้น

 สั่งให้มันเป็นอย่างนี้ไม่ได้

พอเราเห็นมันเป็นธรรมชาติ

 เราทำอะไรไม่ได้ เราก็หยุดความอยาก

แล้วต่อไปเราก็จะไม่ทุกข์

กับสิ่งที่เราเห็น ที่เรารับรู้

อันนี้ต้องเข้าสู่กระบวนการของอริยสัจ

ต้องเห็นว่าทุกข์เกิดจากความอยาก

 แล้วทุกข์จะดับก็เพราะว่าเราเห็นว่า

สิ่งที่เราอยากนั้นมันไม่เที่ยง

ไม่ใช่เป็นของเรา หรือไม่ได้เป็นสิ่ง

ที่เราจะควบคุมบังคับ

ให้มันเป็นตามความอยากของเราได้

 พอเราปล่อยวางปั๊บ เราก็จะไม่ทุกข์กับมัน 

อันนี้คือขั้นปัญญา ถ้ามีปัญญาแล้ว

 พอมันแก้ไปแล้วมันจะหายขาดเลย

มันจะไม่ทุกข์กับเรื่องนั้นอีกต่อไป

ฉะนั้นพยายามมองทุกอย่าง

ว่าเป็นไตรลักษณ์ เป็นอนิจจัง

ไม่เที่ยงแท้แน่นอน เป็นของชั่วคราว

มีเกิดแล้วก็ต้องมีดับไปเป็นธรรมดา

 เป็น อนัตตา เป็น ดิน น้ำ ลม ไฟ.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.......................

สนทนาธรรมมะบนเขา

วันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 02 มีนาคม 2560
Last Update : 2 มีนาคม 2560 9:14:35 น.
Counter : 875 Pageviews.

0 comment
<<< เหตุที่ต้องกลับมาเกิด >>>










"เหตุที่ทำให้ต้องกลับมาเกิด"

มีแต่พระพุทธเจ้าที่รู้

 รู้ว่าที่พวกเราต้องกลับมาเกิด

 มาแก่ มาเจ็บ มาตายกันอยู่เรื่อยๆ

ก็เพราะว่าเรายังมีความอยากอยู่

 ยังอยากหาความสุขต่างๆ

ผ่านทางร่างกายของเราอยู่

เรายังอยากไปเที่ยว อยากดูหนังฟังเพลง

 อยากจะดื่ม อยากรับประทาน อยากมีแฟน

ความอยากเหล่านี้มันทำให้เราต้องมีร่างกาย

 เพราะถ้าเราไม่มีร่างกาย

เราก็ไม่สามารถทำสิ่งที่เราอยากได้

พอเรามีร่างกายแล้วทำอย่างไร

ทุกวันนี้เราทำอะไรกัน เราก็หาแฟนกัน

หาความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กายกัน

วันหยุดสามวันนี้เราก็ไปเที่ยวกัน

 อันนี้เป็นตัวที่ทำให้เราต้องกลับมาเกิด

 เพราะความอยากเที่ยว

อยากหาความสุขแบบนี้มันไม่มีวันหมด

 เที่ยวไปจนแก่จนตายก็ไม่หมด

ยังอยากจะเที่ยวอยู่

คนที่แก่ คนที่เที่ยวไม่ได้

จึงอยากจะฆ่าตัวตาย

เพราะเวลาอยากเที่ยวแล้วเที่ยวไม่ได้

มันก็ทุกข์ทรมานใจ

คนที่เจ็บไข้ได้ป่วยเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต

ไม่สามารถใช้ร่างกายไปทำอะไรต่างๆ

 ที่อยากจะทำได้ ก็เกิดความทรมานใจ

ทรมานจนไม่อยากจะอยู่ต่อไป

ถึงกับคิดฆ่าตัวตายกัน

นี่คือความอยาก

ที่ทำให้เรามาหาความทุกข์กัน

 มาหาการเกิด แก่ เจ็บ ตายกัน

 แล้วเกิดแก่ เจ็บ ตายกี่ครั้งก็ไม่เข็ด

เพราะจำไม่ได้ พอตายไปก็เกิดความอยาก

จะกลับมาเกิดต่อ ก็กลับมาเกิดใหม่

 อันนี้คือเรื่องของพวกเรา

แต่พระพุทธเจ้านี้ท่านเป็นคนฉลาด

ท่านเกิดมาแล้วเห็นความแก่

 ความเจ็บ ความตายท่านก็กลัว

ท่านไม่อยากจะเกิด แก่ เจ็บ ตายอีกต่อไป

ท่านก็เลยต้องไปออกบวช

เพื่อที่จะได้ค้นหาความจริง

ว่าอะไรเป็นต้นเหตุที่ทำให้ท่านกลับมาเกิด

 มาแก่ มาเจ็บ มาตาย แล้วในที่สุด

ท่านก็ทรงค้นพบ ที่เรียกว่า "ตรัสรู้"

รู้ว่าเหตุที่ทำให้ท่านต้องกลับมาเกิด

ก็คือความอยากต่างๆ ที่มีอยู่ในใจ

ของพระองค์นี่เอง

พระองค์ก็เลยหยุดความอยาก

 เพราะรู้ว่าถ้าทำตามความอยาก

มันจะไม่มีวันหมด

 วิธีที่จะทำให้ความอยากหมด

 ก็ต้องไม่ทำตามความอยากนั่นเอง.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

......................

ธรรมะในศาลา

วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐








ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 01 มีนาคม 2560
Last Update : 1 มีนาคม 2560 10:08:30 น.
Counter : 780 Pageviews.

1 comment
<<< การใช้เงินที่ไม่สูญเปล่า >>>










"การใช้เงินที่ไม่สูญเปล่า"

ความสุขที่เราได้จากการซื้อของฟุ่มเฟือย

หรือไปเที่ยวกันนี้ จะเป็นความสุขเดี๋ยวเดียว

 เวลาที่เราไปเที่ยวกัน

ไปซื้อของที่เราอยากได้กัน

 เราก็จะมีความสุขกัน แต่พอเรากลับมาบ้าน

ความสุขเรานั้นก็จางหายไปหมด

แล้วก็เงินที่ใช้ไปก็หมดไป

แต่ถ้าเราเอาเงินนี้มาทำบุญทำทาน

เราจะได้อีกแบบหนึ่ง

ความสุขใจ ความอิ่มใจ

 ความอิ่มเอิบใจ ความพอใจ

แล้วทุกครั้งที่เราคิดถึงบุญที่เราได้ทำ

 เราก็ยังเกิดความสุขใจอิ่มเอิบใจ

 ไม่เหมือนกับเราคิดถึง

สถานที่ที่เราไปท่องเที่ยว

 หรือของที่เราไปซื้อมา เพราะคิดแล้ว

แทนที่จะสุขใจกลับเกิดความหิวโหยขึ้นมา

 เกิดความอยากไปเที่ยวใหม่

อยากจะซื้อของใหม่

 แทนที่จะมีความอิ่มใจสุขใจ

กลับเกิดความหิวขึ้นมา เกิดความอยาก

อยากจะไปเที่ยวอีกอยากจะไปซื้อของอีก

 แล้วการเอาเงินไปซื้อข้าวของ

 สิ่งที่เราได้มาก็คือข้าวของ

ซึ่งเราบางทีก็ไม่ได้ใช้

ซื้อมาแล้วก็เอามาวางไว้เฉยๆ

ปล่อยไว้นานๆ เข้ามันก็เก่า

 เดี๋ยวมันก็เสียมันก็หมดสภาพไป

แต่เงินที่เราเอาไปทำบุญทำทานนี้

เราไม่ได้สิ่งของกลับมา แต่เราได้บุญกลับมา

 ที่เป็นเหมือนกับเงินที่เราฝากไว้กับธนาคาร

 ภพหน้าชาติหน้าเวลาเรากลับมาเกิดใหม่

 เป็นมนุษย์ใหม่ เราจะมีเงินที่เราฝากไว้

ในการทำบุญนี้รอเราอยู่

 เรากลับมาเราจะได้มีเงินมากกว่า

ที่เรามีในภพนี้ชาตินี้ เพราะเป็นเหมือนกับ

การเอาไปฝากไว้ในธนาคาร

มีทั้งต้นและมีทั้งดอกเพิ่มขึ้นอีก

 หรือถ้าจะเปรียบเทียบก็เหมือนกับ

การเอาเมล็ดข้าวไปปลูก

 เมล็ดข้าวเมล็ดหนึ่งจะได้ต้นข้าวต้นหนึ่ง

 แต่เมื่อต้นข้าวต้นหนึ่งออกรวงมา

จะได้เมล็ดข้าวอีกหลายสิบเมล็ดด้วยกัน

 ก็เป็นเหมือนกับการปลูกข้าว

ทำบุญบาทหนึ่งนี้จะได้กลับมาเป็นร้อยเป็นสิบ

 เหมือนกับเมล็ดข้าวเม็ดหนึ่ง

 เมื่อเราปลูกไปได้ต้นข้าวมาต้นหนึ่ง

 พอต้นข้าวออกดอกออกรวงขึ้นมา

ออกข้าวขึ้นมาก็ได้หลายสิบเมล็ด

 นี่คือการใช้เงินที่ไม่สูญเปล่า

ใช้เงินแล้วจะได้กลับคืนมา

 เวลาที่เรากลับมาเกิดใหม่

การที่พวกเรามาเกิดแล้ว

มีฐานะการเงินการทองต่างกัน

ก็เป็นเพราะว่าเราได้ทำบุญในอดีตมา

มากน้อยไม่เท่ากันนั้นเอง

เราทำบุญมากเรากลับมาเกิด

เราก็จะกลับมาเกิดเป็นลูกของคนร่ำรวย

 มาเกิดเป็นลูกของคนมีเงินมีทอง

 ถ้าเราไม่ได้ทำบุญทำทานเรากลับมา

ก็จะกลับมาเกิดเป็นลูกของคนยากจน

นี่คือประโยชน์ที่เราจะได้รับต่างกัน

 จากการใช้เงินก้อนเดียวกัน

เอาเงินไปเที่ยวเอาเงินไปซื้อของฟุ่มเฟือย

ของไม่จำเป็น กับเอาเงินนี้ไปทำบุญนี้

ประโยชน์ที่จะได้รับไม่เหมือนกัน

เอาไปเที่ยวก็สุขขณะที่เที่ยว

กลับมาความสุขนั้นก็หมดไป

 แล้วถ้ากลับมาเกิดใหม่ในภพหน้าชาติหน้า

ก็ไม่มีเงินทองรอรับเรา

เพราะเราไม่ได้เอาไปทำบุญ

แต่ถ้าเราเอาไปทำบุญ

กลับมาจากทำบุญเราก็ยังมีความสุขใจ

อิ่มเอิบใจจากการที่เราได้ทำบุญ

 แล้วถ้าวันไหนเราคิดถึงบุญที่เราได้ทำ

 บุญนั้นก็ยังทำให้เกิดความรู้สึกอิ่มใจสุขใจอยู่

 แล้วเวลาเรากลับมาเกิดใหม่

เราก็จะมีเงินทองที่เราทำบุญนี้มารอเราอยู่.


พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

...........................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐

"วันพระในยุคปัจจุบัน"







ขอบคุณที่มา fb., พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 28 กุมภาพันธ์ 2560
Last Update : 28 กุมภาพันธ์ 2560 9:56:22 น.
Counter : 780 Pageviews.

0 comment
<<< จิตสุดท้าย >>>









"จิตสุดท้าย"

ถาม : จิตสุดท้ายก่อนตายหมายถึงว่า

ก่อนเราสิ้นลมเราคิดถึงเรื่องบุญหรือบาป

ก็จะไปเกิดตามสิ่งนั้นก่อน

หรือว่าเอาบุญและบาปที่ทำมา

บวกลบคูณหารกันแล้ว

ถึงสรุปเป็นไปเกิดตามนั้นคะ

พระอาจารย์ : คือจิตของเรานี้

มันเป็นจิตสุดท้ายตลอดเวลา

 ตอนนี้มันเป็นอะไร ก็ถ้าตายตอนนี้

มันก็เป็นอย่างนั้นทันที

มันบวกลบคูณหารมันบาลานซ์บัญชี

มันทำของมันอยู่ตลอดเวลา

 มันไม่ใช่จะมารอทำตอนที่ตาย

ถ้าจิตมันคิดดีมันก็ไม่ไปคิดร้าย

ถ้าจิตคิดร้ายมันอยู่ดีๆ

มันจะไปคิดดีมันย่อมเป็นไปไม่ได้

 มันอยู่ที่การฝึกของเรา

ตอนนี้ถ้าเราฝึกให้มันคิดดี มันก็จะคิดดี

 ตอนตายมันก็จะคิดดี

มันไม่มีทางที่จะไปคิดร้ายหรอก

ถ้าตอนนี้เราคิดร้าย ตอนตายมันก็คิดร้าย

 มันจะไปคิดดีได้ยังไง

ขนาดตอนเป็นยังไม่คิดดี

แล้วตอนตายจะไปคิดดีได้ไง

ฉะนั้น จิตสุดท้ายก็คือจิตปัจจุบันนี่แหละ

 จิตเราตอนนี้เป็นยังไงก็เป็นอย่างนั้นแหละ

 ตอนนี้เราเป็นยังไง เวลาตาย

เราตายในอดีตหรือตายในอนาคต

เราก็ตายในปัจจุบันใช่ไหม

 อดีตไม่มี อนาคตไม่มี มีปัจจุบันเท่านั้นเอง

 และอาการของจิตที่เป็นปัจจุบัน

ก็คืออาการสุดท้ายของจิตนั่นแหละ

 ฉะนั้นพยายามทำจิตปัจจุบันให้เป็นจิตที่ดี

 จิตที่สงบ จิตที่นิ่ง

 เวลาตายมันก็จะเป็นอย่างนั้นไป

ถ้าเวลาปัจจุบันมันวุ่นวายฟุ้งซ่าน

เครียดกับเรื่องนั้นเรื่องนี้

เวลาตายมันก็เป็นอย่างนั้นแหละ

 มันจะไปเป็นอย่างอื่นได้ยังไง.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.............................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 27 กุมภาพันธ์ 2560
Last Update : 27 กุมภาพันธ์ 2560 8:49:58 น.
Counter : 1733 Pageviews.

0 comment
<<< ปุถุชนผู้ตามกระแสโลก >>>










"ปุถุชนผู้ตามกระแสโลก"

การปฏิบัติต้องไม่ท้อแท้ ต้องเจออุปสรรค

ต้องเกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายท้อแท้บ้าง

 แต่อย่าหยุด พักบ้าง

วันนี้ภาวนาไม่ค่อยได้เรื่องก็เบาหน่อย

อ่านหนังสือแทน ถ้าไปบีบมากๆ

 ไปกดดันมากๆ จะยิ่งเครียดใหญ่

จะเกิดการต่อต้าน จะทำให้มีปัญหาตามมา

เวลาที่จะปฏิบัติคราวต่อไป

ดังนั้นบางวันถ้ารู้สึกว่านั่งไม่ได้จริงๆ

 ฝืนเต็มที่แล้วยังไม่ได้ ก็พักสักหน่อย

แต่อย่าพักนาน พักเฉพาะวันนี้

พรุ่งนี้มีกำลังก็เริ่มใหม่ ทำไปเรื่อยๆ

การปฏิบัติบางวันก็ดีไปสะดวกรวดเร็ว

จิตเป็นอารมณ์ๆ

 บางวันก็ไปทางมรรคก็ไปดี

 บางวันไปทางสมุทัยก็ยาก

เหมือนเดินทวนลมกับเดินตามลม

วันไหนถ้าไปตามลมก็จะง่าย

 นั่งสมาธิจิตสงบง่าย ไม่ฟุ้งซ่าน

 บางวันนั่งแล้วก็คิดแต่เรื่องนั้นคิดแต่เรื่องนี้

 มีแต่อารมณ์ฉุนเฉียวอยู่ตลอดเวลา

 นั่งยังไงก็ไม่สงบ จึงต้องสังเกตจิตเรา

ถ้านั่งไม่ได้จริงๆ ก็เปลี่ยนไปทำอย่างอื่น

ถ้าฟุ้งซ่านก็ลองเปิดหนังสือธรรมะอ่านดู

อยากจะคิดไม่อยากจะสงบ

ก็เจริญทางปัญญาแทน

พิจารณาดูอาการ ๓๒ ของร่างกายไปก็ได้

 พิจารณาการเกิด แก่ เจ็บ ตายไป

บางทีไม่อยากจะอยู่นิ่งๆ

 ก็เอามาพิจารณาให้เกิดปัญญา

 บางวันไม่อยากจะคิด อยากอยู่นิ่งๆ

 ทำจิตใจให้สงบก็ง่าย

จึงต้องคอยสังเกตุดูจิตของเราอยู่เรื่อยๆ

 กิเลสชอบหลอกเราอยู่เรื่อยๆ

บางทีก็หลอกให้รู้สึกว่าเก่งเหลือเกิน

 ใกล้จะจบแล้ว ใกล้จะถึงที่แล้ว

บางวันก็หลอกว่า โอ้โห้ ไปไม่ถึงไหนเลย

 ทำให้เกิดความท้อแท้

ความคิดเหล่านี้จะมาอยู่เรื่อยๆ

 เราก็ทำความเข้าใจว่า

มันเป็นเพียงความคิด

เป็นเหมือนเมฆหมอกที่ลอยมา

ไม่ได้อยู่ไปตลอด ความคิดต่างๆ

อารมณ์ต่างๆ มาแล้วเดี๋ยวก็ไป

 เหมือนเวลาที่เมฆหมอก

มาปกคลุมดวงอาทิตย์

 ก็ทำให้มืดมัวไปหมด

จิตใจบางทีก็มีอารมณ์ไม่ดีมาปกคลุม

ทำให้ท้อแท้อิดหนาระอาใจ เบื่อหน่าย

ต้องใช้สติ แยกออกจาก จิต "จิตคือผู้รู้"

เหมือนกับดวงอาทิตย์

ส่วนอารมณ์ต่างๆ เป็นเมฆหมอก

 ให้ทำความเข้าใจว่า

อารมณ์ต่างๆ เป็นอนิจจัง

 เป็นของไม่เที่ยงเหมือนกัน

มาได้เดี๋ยวก็ไปได้

อย่าให้เขาทำให้เราเสียหลัก

 เคยทำอะไรเป็นหน้าที่ปกติก็ทำไป

 เหมือนกับรับประทานข้าว

 บางวันไม่อยากจะรับประทาน

 แต่ก็ต้องรับประทาน เพราะรู้ว่า

ถ้าไม่รับประทานแล้วเดี๋ยวก็จะหิว

ถ้าวันไหนไม่ได้ภาวนา

จะรู้สึกว่าจิตได้ถอยลงไป

 เหมือนกับก้าวถอยหลัง

ถึงแม้จะไม่ได้ก้าวไปข้างหน้า

 อย่างน้อยก็รักษาไม่ให้ถอยหลัง

 เคยทำได้เท่าไหร่ก็ทำไป

จะได้ผลหรือไม่ได้ผลก็ทำไป.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.........................

ทวนกระแส

"ปุถุชนผู้ตามกระแสโลก"







ขอบคุณที่มา fb., พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 26 กุมภาพันธ์ 2560
Last Update : 26 กุมภาพันธ์ 2560 10:26:02 น.
Counter : 746 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ