Group Blog
All Blog
### เรายังต้องเพิ่มความเพียรให้มากขึ้น ###













“เรายังต้องเพิ่มความเพียรให้มากขึ้น”

พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวก

จะชี้ให้ไปในทางธรรม

ถ้าเกิดศรัทธาแล้วปฏิบัติตาม

 ก็จะเป็นจุดหักเหของชีวิต

 เปลี่ยนจากการเดินตามอวิชชาตามมิจฉาทิฐิ

ไปเดินตามธรรมตามสัมมาทิฐิ

ใจก็จะหมุนไปอีกแบบหนึ่ง

จากวัฏฏะก็จะเป็นวิวัฏฏะ

 สวนกระแสของสังสารวัฏ

 การเวียนว่ายตายเกิด

ภพชาติก็น้อยลงไปตามลำดับ

จนหมดไปในที่สุด

 เพราะความโลภความอยาก

จะถูกทำลายไปตามลำดับ

 ชีวิตของพวกเราคงมีอยู่ครั้งหนึ่ง

 อาจจะเป็นชาตินี้หรือชาติก่อนๆ

 ที่ได้พบกับจุดหักเห ได้พบผู้แนะนำ

เรื่องความเห็นที่ถูกต้อง

 หรืออาจจะคิดขึ้นมาเอง

 ว่าการทำตามความอยาก

การแสวงหาความสุขจากสิ่งต่างๆในโลกนี้

 เช่นรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

 ไม่ได้เป็นความสุขที่แท้จริง

 ไม่ได้ให้ความอิ่มความพอ

เห็นว่าความสุขที่แท้จริงอยู่ที่การระงับ

ดับความโลภความอยากต่างๆ

จึงพยายามปฏิบัติอย่างเข้มข้น

 จนหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง

 พวกเราคงได้พบกับจุดหักเหแล้ว

จึงได้มีฉันทะวิริยะ

มีความพอใจความพากเพียร

 ที่จะเดินตามทางที่พระพุทธเจ้า

และพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ได้ดำเนินไป

ถ้าปฏิบัติอย่างไม่ท้อแท้ อย่างขะมักเขม้น

ปฏิบัติให้มากยิ่งๆขึ้นไป

 ก็เชื่อได้ว่าไม่ช้าก็เร็วสักวันหนึ่ง

 จะถึงจุดหมายปลายทางที่ดีที่เลิศ

คือมรรคผลนิพพานอย่างแน่นอน

แต่ต้องมีวินัย ต้องบังคับตนเอง

ให้ปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง

ถ้าปล่อยให้เป็นไปตามอารมณ์

ก็จะเป็นแบบกระต่าย

ที่วิ่งแข่งกับเต่า เต่ามีวินัยถึงแม้จะเดินช้า

แต่เดินไม่หยุด เดินไปเรื่อยๆ

 แต่กระต่ายจะวิ่งไปตามอารมณ์

 มีอารมณ์อยากจะวิ่งก็วิ่ง ไม่มีก็จะไม่วิ่ง

 ก็จะไปไม่ถึงไหน แต่ถ้ามีวินัยทำไปเรื่อยๆ

 ก็จะติดเป็นนิสัยไป จะทำแบบไม่หยุดไม่หย่อน

ถึงแม้จะช้าบ้างเร็วบ้าง ได้บ้างไม่ได้บ้าง

 เพราะมีความตั้งใจที่แน่วแน่

ที่จะทำอย่างสม่ำเสมออย่างต่อเนื่อง

 ทำให้มากยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ

รับรองได้ว่าไม่มีอะไรจะมาขวางกั้น

มรรคผลนิพพานได้ อย่างในสุภาษิตที่ว่า

 ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จย่อมอยู่ที่นั่น

พวกเรามีเหตุมีปัจจัยที่ดีแล้ว

 คือมีสัมมาทิฐิความเห็นชอบ

แต่เรายังต้องเพิ่มความเพียรให้มากขึ้น

 เพราะการจะหลุดพ้นจากความทุกข์

บรรลุมรรคผลนิพพานได้

ต้องมีความเพียรเป็นส่วนประกอบสำคัญ

คุณธรรมอย่างอื่นก็สำคัญ

 เช่นสติปัญญาสมาธิ

ถ้ามีศรัทธาแล้วธรรมที่ต้องเจริญให้มาก

ก็คือสติและความพากเพียร

 แล้วก็เจริญสมาธิเจริญปัญญา

ตามลำดับต่อไป

 เมื่อมีปัญญาแล้วก็จะหลุดพ้น

 จากความทุกข์ทั้งปวง

 บรรลุมรรคผลนิพพาน

ได้ด้วยคุณธรรมทั้ง ๕ ประการคือ

๑. ศรัทธาความเชื่อ ในพระธรรม

คำสอนของพระพุทธเจ้า

 ๒. วิริยะความเพียร

 ๓. สติ ระลึกรู้อยู่ตลอดเวลา

ตั้งแต่ตื่นจนหลับ ไม่ให้ใจปราศจากสติ

 ให้มีกรรมฐานเช่นการบริกรรมพุทโธ

เป็นหลักผูกใจไว้

ไม่ให้ลอยไปตามอารมณ์ต่างๆ

 ให้รู้อยู่กับพุทโธๆก็ได้

 อยู่กับการเคลื่อนไหวของร่างกายก็ได้

 อยู่กับลมหายใจเข้าออกก็ได้

 ถ้านั่งอยู่เฉยๆก็กำหนดดูลมหายใจเข้าออก

 ถ้ากำลังเดินกำลังเคลื่อนไหว

ก็ให้อยู่กับการเดินการเคลื่อนไหว

จะได้ไม่ลื่นไม่ล้ม ไม่ไปเตะสิ่งนั้นสิ่งนี้

ถ้าเดินไปแล้วก็คิดถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้

ก็อาจจะลื่นหกล้ม

 ไปชนไปเตะสิ่งนั้นสิ่งนี้ได้

 เพราะไม่มีสติอยู่กับตัว

ถ้ามีสติอยู่กับตัวจะรู้ทุกย่างก้าว

 จะรู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างหน้า นี่คือการมีสติ

ถ้านั่งรับประทานอาหาร

ก็ให้อยู่กับการรับประทานอาหาร ไม่คุยกัน

 ไม่คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้

ซึ่งคงจะยากสำหรับฆราวาสญาติโยม

 เพราะไม่เคยได้รับการปลูกฝัง

ให้ปฏิบัติแบบนี้กัน

 ส่วนใหญ่จะถือการรับประทานอาหาร

เป็นกิจกรรมทางสังคม

 เวลาจะคุยกันก็กินข้าวไปด้วย

เป็นปกติของฆราวาส

ถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้

การปฏิบัติก็จะไม่เจริญก้าวหน้า

ต้องดูการรับประทานอาหารของพระ

เวลาฉันจะไม่คุยกัน

 ถึงแม้จะมีพระ ๑๐๐ รูป ๑๐๐๐ รูป

 ก็จะไม่มีเสียงออกมาเลย

 ทุกองค์จะฉันด้วยการมีสติ

แม้แต่การขบเคี้ยวก็ต้องระวัง

 อยู่กับหลวงตาเวลาเคี้ยวดังๆจะโดนเทศน์

 เวลาเคี้ยวผักบุ้งดังกรอบๆ ท่านก็จะมองละ

 พระทุกองค์ก็หันมามอง

แต่องค์ที่เคี้ยวกลับไม่รู้สึกตัวเพราะขาดสติ

 ถ้ามีสติจะรู้ว่าดังกรอบๆก็ต้องหยุดก่อน

 แล้วค่อยเคี้ยวใหม่ไม่ให้มีเสียงดัง

 ถ้ายังมีเสียงดังก็เลิกฉันเลย

 ฉันอย่างอื่นที่ไม่ดังแทน

ถ้ามีสติอย่างต่อเนื่องแล้ว ใจจะอยู่ใกล้ตัว

ถ้าเป็นสัตว์เลี้ยงที่ถูกผูกไว้ ก็จะไปไม่ไกล

เวลาต้องการมันก็ไม่ต้องเสียเวลาไปตามหา

 ถ้าไม่ผูกไว้บางทีก็หาไม่เจอ ไม่รู้ว่าไปไหน

ใจก็เป็นอย่างนั้น ถ้าไม่ผูกด้วยสติ

ให้อยู่กับปัจจุบัน

อยู่กับกิจกรรมที่กำลังทำอยู่

 พอเวลาจะนั่งสมาธิทำจิตให้สงบก็จะยาก

 เพราะจิตจะไม่อยู่กับกรรมฐาน

เช่นการบริกรรมพุทโธ จะคิดถึงเรื่องต่างๆ

 บางวันนั่งสมาธิไม่สงบเลย นั่งไม่ได้เลย

 เพราะปล่อยจิตให้ไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้

หรือมีเรื่องที่มีผลกระทบมาก

ดึงให้จิตไปคิดจนไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

 วันนั้นจะนั่งสมาธิไม่ได้

 เพราะใจอยู่ไกลจากฐานของความสงบ

ถ้ารู้สึกว่านั่งยาก บริกรรมพุทโธก็ไม่ได้

 ดูลมหายใจเข้าออกก็ไม่ได้

ก็ต้องฟังเทศน์ของครูบาอาจารย์แทน

ฟังด้วยสติ ไม่ใช่ฟังแล้วก็คิดถึงเรื่องต่างๆ

หรือสวดมนต์ด้วยสติไปก่อน

 ให้อยู่กับบทสวดมนต์

 ไม่ให้ไปคิดถึงเรื่องต่างๆ

 หรือใช้ปัญญาพิจารณา

เรื่องที่ไปกังวลไปเกี่ยวข้องด้วย

เพื่อจะได้ปล่อยวาง

ให้เห็นว่าเป็นไตรลักษณ์

 ไม่ช้าก็เร็วสักวันหนึ่งก็ต้องหมดไป ต้องจบ

 ให้เห็นว่าไม่มีสาระอะไร

 ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้

เป็นของปลอมทั้งนั้น

 ถ้าเป็นความสุขก็เป็นความสุขปลอม

ถ้าเป็นสมบัติก็เป็นสมบัติปลอม

 ไม่ต้องไปเสียดาย

 เพราะสักวันหนึ่งก็ต้องทิ้งมันไป

 เมื่อตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้เลย

 เอาความสุขปลอมไปไม่ได้

ความสุขแท้อยู่ที่ความสงบใจ

ปล่อยวางสิ่งต่างๆ ถ้าใช้ปัญญาพิจารณา

จะตัดเรื่องที่เกี่ยวข้องผูกพันได้

 จะภาวนาทำจิตให้สงบนิ่งสบายได้

พอจิตสงบนิ่งแล้วก็จะเป็นสมาธิ

 จิตตั้งมั่น ไม่ลอยไปลอยมา ไม่คิดปรุงอะไร

ถึงตอนนั้นก็ไม่ต้องบริกรรมพุทโธ

ไม่ต้องดูลมหายใจ จิตจะนิ่งอยู่เฉยๆ

จะนานหรือไม่นาน

ก็ขึ้นอยู่กับกำลังของการปฏิบัติ

 ถ้าปฏิบัติมากก็มีกำลังมาก

ถ้ามีสติมาก ก็จะสงบนาน

 มีสติน้อย ก็จะสงบไม่นาน

การฝึกสติจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง

ต่อการเจริญสมาธิ และการเจริญปัญญา

ในลำดับต่อไป

 เราสามารถเจริญสติได้ตลอดเวลา

 ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่ในวัด อยู่นอกวัด

อยู่ที่บ้าน อยู่ที่ทำงาน ก็เจริญได้

 แต่สถานที่ก็เป็นองค์ประกอบสำคัญ

ที่จะทำให้การเจริญสติง่ายหรือยาก

 เรียกว่าสัปปายะ

ถ้าอยู่คนเดียวในสถานที่สงบสงัดวิเวก

การเจริญสติก็จะง่ายกว่าอยู่ ๒ คนหรือ ๓ คน

 พออยู่ ๒ คน ๓ คนแล้วจิตมักจะคิดถึงกัน

อยากจะคุยกัน

แต่ถ้าอยู่คนเดียวก็ไม่รู้จะไปคุยกับใคร

จะทำให้การดูแลการรักษาสติ

เป็นไปอย่างต่อเนื่อง

เวลานั่งสมาธิก็จะสงบได้ง่ายกว่า

 เพราะไม่มีอะไรมาฉุดกระชากลากใจไป

ถ้าอยู่ในสถานที่ที่มีเสียงอึกกระทึกคึกโครม

เวลานั่งสมาธิจะยาก

 เพราะเสียงจะเข้ามากระทบกับจิต

ทำให้เกิดอารมณ์ต่างๆขึ้นมา

เกิดความรำคาญใจ เกิดความโกรธขึ้นมา

 ทำให้จิตขุ่นมัวยากต่อการทำให้สงบ

 แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า

การเจริญสติจะต้องรอเวลา

 รอสถานที่สงบสงัด

 เพราะบางทีเรายังมีความผูกพันกับสังคม

กับการทำงานทำการอยู่

ก็ต้องพยายามปฏิบัติ

ในสภาพที่เราอยู่นั้นไปก่อน

 ถึงแม้จะไม่ได้เต็ม ๑๐๐ ได้เพียง ๑๐

 ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย

 รักษาสติได้บ้างก็ยังดีกว่าไม่ได้รักษาเลย

 ให้คิดว่าขณะที่เดินไปไหนมาไหน

เป็นการเดินจงกรม ขณะที่นั่งรออะไร

 ถ้าไม่มีความจำเป็นจะต้องคิดเรื่องอะไร

 ก็ให้คิดว่ากำลังนั่งสวดมนต์

 กำลังนั่งทำสมาธิ

บริกรรมพุทโธๆอยู่เรื่อยๆ

 พอกลับถึงบ้านอาบน้ำอาบท่าเสร็จ

 ก่อนจะนอนก็นั่งสมาธิ จิตก็จะสงบง่าย

 พอตื่นขึ้นมาตอนเช้าก็นั่งได้อีก

 แต่ต้องตัดเรื่องอย่างอื่นไป

 ถ้าไม่ตัดจะไม่มีเวลาพักผ่อนหลับนอน

 เช่นตัดพวกละครไป

 เสร็จจากงานกลับบ้าน

กินข้าวอาบน้ำเสร็จก็นอนเลย

 พอแล้วสำหรับเรื่องบันเทิงต่างๆ

 เป็นของปลอมทั้งนั้น

 เป็นตัวที่จะขัดขวาง

ไม่ให้ได้พบกับความสุข

พบกับสมบัติที่แท้จริง

ตัดไปเลย อย่าไปเสียดาย

ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วการปฏิบัติจะไม่ก้าวหน้า

จะหลอกให้รอไปวัดก่อนค่อยปฏิบัติ

ปีหนึ่งก็อาจจะไปได้เพียงครั้งเดียว ก็จะไม่พอ

 เพราะการปฏิบัติจะให้ได้ผลเป็นกอบเป็นกำ

 จะต้องปฏิบัติตลอดเวลาเลย

 เพราะกิเลสทำงานอยู่ตลอดเวลา

 อวิชชาทำงานอยู่ตลอดเวลา

 มิจฉาทิฐิทำงานตลอดเวลา

คอยหลอกคอยล่อเราอยู่ตลอดเวลา

แต่ธรรมกลับไม่ได้ทำตลอดเวลา

ก็โดนต่อยอยู่ฝ่ายเดียว ไม่ได้ต่อยกิเลสเลย

 กิเลสจึงมีกำลังมากกว่า

 แต่ถ้าผลัดกันต่อยก็จะพอฟัดพอเหวี่ยงกัน

 ถ้าธรรมต่อยมากกว่า กิเลสก็จะต้องแพ้ธรรม

 แต่ตอนนี้ส่วนใหญ่ธรรมจะแพ้เสียมากกว่า

 เวลาเกิดความโลภก็โลภตาม

 เวลาเกิดความโกรธก็โกรธตาม

 เวลาเกิดความหลงก็หลงตาม

จึงมีแต่ความทุกข์ความวุ่นวายใจตามมา

 นี่คือผลจากการที่ไม่ปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง

 อย่างสม่ำเสมอ

แต่ถ้าปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอแล้ว

 จะสลับผลัดกัน มีทุกข์บ้างมีสุขบ้าง

แต่จะไม่ทุกข์เสมอไป

แล้วก็ไม่ได้สุขแบบทางโลก

ไม่ได้สุขจากการได้ดูได้ยิน

ได้ฟังได้ดื่มได้รับประทาน

แต่สุขจากการชนะความโลภ

ความอยากความโกรธ

 เวลาโกรธแล้วดับมันได้

จะเกิดความสุขขึ้นมาภายในใจ

เวลาโลภแล้วตัดมันได้ ก็เกิดความสุขขึ้นมา

 โดยไม่ต้องไปเสียเงินเสียทองเสียเวลา

กับการ หาความสุขจากสิ่งต่างๆภายนอก

 จะมีเวลาปฏิบัติ

พอกลับบ้านรับประทานอาหาร

อาบน้ำอาบท่าเสร็จ ก็ไหว้พระสวดมนต์

นั่งทำสมาธินอนแต่หัวค่ำ

เช้าก็ตื่นสักตี ๒ ตี ๓ ภาวนาจนถึงตี ๕ ตี ๖

 แล้วค่อยอาบน้ำอาบท่าไปทำงาน

 ถ้าทำอย่างนี้ได้ก็ไม่ต้องไปวัดก็ได้

ปฏิบัติอยู่ตลอดเวลา

พอตื่นขึ้นมาก็มีสติอยู่กับตัว

 อยู่กับทุกย่างก้าว ไม่ว่าจะทำอะไร

 ให้มีสติกับการกระทำนั้นๆ

ตั้งแต่อาบน้ำอาบท่าแต่งหน้าแต่งตัว

 ขับรถหรือขึ้นรถไปทำงาน

อยู่ที่ทำงานก็มีสติอยู่กับการทำงาน

 ไม่ต้องไปคิดเรื่องอื่น

 ก็จะได้ปฏิบัิติอย่างต่อเนื่อง

ถ้าปฏิบัติอย่างนี้แล้วรับรองว่าจะได้ผลมาก

 จะเจริญก้าวหน้า จะทำให้มีกำลังคือพละ ๕

 ศรัทธาวิริยะสติสมาธิปัญญา

จะเจริญเติบโต จากอินทรีย์

ก็จะกลายเป็นพละเป็นพลัง

เป็นระดับอริยะไป

 พระอริยะก็อาศัยพละทั้ง ๕ นี้

คือศรัทธาวิริยะสติสมาธิปัญญา

 เป็นเครื่องมือพัฒนาจิตให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ

 อย่างพระโสดาบันนี่ก็มีศรัทธาที่ไม่สั่นคลอน

 ไม่สงสัยในพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์

รู้ว่านี่คือทางที่ถูกต้อง

พระพุทธเจ้ามีจริง พระธรรมมีจริง พระสงฆ์มีจริง

 เพราะพระโสดาบันได้บรรลุธรรมได้เห็นธรรมแล้ว

เมื่อได้เห็นธรรมก็ได้เห็นพระพุทธเจ้าไปพร้อมๆกัน

 ดังที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า

 ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต

 ผู้เห็นตถาคตผู้นั้นเห็นธรรม

ผู้ที่จะเห็นตถาคตเห็นธรรมได้

ก็ต้องเป็นพระอริยะสงฆ์เท่านั้น

 ก็คือพระโสดาบัน เป็นผู้มีดวงตาเห็นธรรม

 เป็นอริยบุคคลขั้นแรก

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

..............................

กัณฑ์ที่ ๒๙๙ วันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๐

(จุลธรรมนำใจ ๘)

“ใจเป็นใหญ่”







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 06 ตุลาคม 2559
Last Update : 6 ตุลาคม 2559 10:02:05 น.
Counter : 694 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ