Group Blog
All Blog
### จะเข้าถึงธรรมได้ต้องทุกข์ก่อนถึงจะสุข ###









“จะเข้าถึงธรรมได้

ต้องทุกข์ก่อนถึงจะสุข”

เป็นสิ่งที่ยากเย็นสำหรับปุถุชนอย่างพวกเราทั้งหลาย

ที่จะเข้าถึงธรรมะกัน เพราะต้องทุกข์ก่อนถึงจะสุข

 ไม่เหมือนกับทางโลกที่สุขก่อนแล้วค่อยทุกข์ทีหลัง

 เหมือนกับการซื้อของ

 เอาของมาก่อนแล้วค่อยจ่ายเงินทีหลัง

 ทางโลกเป็นอย่างนี้ ซื้อก่อนผ่อนทีหลัง

แต่ทางธรรมะนี่ ต้องจ่ายให้หมดก่อนถึงจะได้ของ

 จึงทำให้ไม่อยากไปทางธรรมะกัน

 เพราะกว่าจะได้ธรรมะมาครอง ลิ้นแทบห้อย

 แต่เมื่อได้มาแล้ว มันคุ้มค่า

ขอให้เราระลึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง

 ระลึกถึงครูบาอาจารย์ทั้งหลาย

ก่อนที่ท่านจะเป็นพระพุทธเจ้า

ก่อนที่ท่านจะเป็นครูบาอาจารย์นั้น

ท่านต้องทุกข์ทรมานขนาดไหน

ท่านก็รักความสุขเหมือนอย่างพวกเรา

 เพราะท่านก็เกิดมาแบบเดียวกัน

เกิดมาในครอบครัว มีความสุข

กับการอยู่กับครอบครัว อยู่กับพ่อกับแม่

อยู่กับพี่กับน้อง อยู่กับเพื่อนกับฝูง

 อยู่กับความสุขแบบโลกๆ

แต่ท่านก็ยังกล้าเสียสละ

 ไปอยู่แบบไม่มีอะไร อยู่ในป่าในเขา

 มีอาหารที่ได้จากบิณฑบาต ที่อยู่ก็ตามมีตามเกิด

 อยู่ใต้โคนไม้บ้าง อยู่ในถ้ำบ้าง ก็อยู่ไป

ไม่มีเครื่องอำนวยความสุขต่างๆอย่างที่พวกเรามีกัน

 ไม่ว่าจะเป็นวิทยุ โทรทัศน์ เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น

 อะไรต่างๆเหล่านี้ ล้วนเป็นความสุข

ที่มีความทุกข์ตามมาเสมอ

คือเวลาที่ต้องจ่ายค่าโทรศัพท์ ค่าน้ำ ค่าไฟ

ค่าอะไรต่อมิอะไร

แต่ความสุขทางธรรมะต้องจ่ายไปก่อน

 อดทนไปก่อน สู้ไปก่อน ลำบากไปก่อน

เมื่อชินกับความลำบากแล้ว

ต่อไปความลำบากก็ไม่เป็นความลำบากอีกต่อไป

 เมื่อเราเคยชินกับความทุกข์ยาก

 ความเจ็บปวดทางด้านร่างกาย

 ที่เกิดจากการนั่งนานๆ

จากการเดินจงกรมนานๆ จนกลายเป็นนิสัยไป

 มันก็กลายเป็นความสุขไปอีกแบบหนึ่ง

วันไหนไม่ได้นั่งนานๆ ไม่ได้เดินจงกรมแล้ว

จะรู้สึกว่าขาดอะไรไป

 เหมือนกับคนที่เคยกินของเผ็ดๆ

 วันไหนไม่ได้กินของเผ็ดแล้ว

 จะรู้สึกว่าอาหารไม่มีรสไม่มีชาติ

ฉันใดความทุกข์ที่เกิดจากการปฏิบัติ

ก็เหมือนกับของเผ็ดๆที่เรารับประทาน

 ถ้าไม่เคยรับประทานของเผ็ดมาก่อน

เวลารับประทานครั้งแรก จะทรมานมาก

 จะเผ็ดร้อนมาก แต่ถ้าได้รับประทานไปเรื่อยๆ

ก็จะเกิดความเคยชินขึ้นมา

 พอวันไหนไม่ได้ รับประทานของเผ็ด

 จะรู้สึกว่าขาดอะไรไป จึงอย่าไปกลัวความทุกข์

ความยากลำบากที่เกิดจากการทำความดี

การเสียสละ การทำบุญให้ทาน การรักษาศีล

 การปฏิบัติธรรมที่จะต้องไปอยู่ตามสถานที่

ที่ห่างไกลความเจริญ ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีน้ำประปา

จะอาบน้ำก็ต้องไปหิ้วน้ำที่บ่อ

จะใช้ไฟก็ต้องจุดเทียน

 ใช้ไฟฉาย อย่างนี้ไม่ต้องไปคิดว่า เป็นอุปสรรค

 แต่คิดว่าเป็นการลงทุนเพื่อผลอันเลิศ

 อย่างที่พระพุทธเจ้าและพระสงฆสาวกทั้งหลาย

ได้บรรลุถึง มันคุ้มค่ามาก  เมื่อได้ผลแล้ว

ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าต่างๆจะหายไป

เหมือนกับการเดินทางระยะไกล ที่เราต้องเดินไป

 ต้องแบกข้าวแบกของไป

 มันเหนื่อย มันทรมาน

แต่เมื่อถึงจุดหมายปลายทางแล้ว

ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า

ต่างๆก็หายไปหมด

 มีแต่ความอิ่มหนำสำราญใจ

มีแต่ความสุขใจอยู่ตลอดเวลา

 แต่ความสุขแบบที่พวกเรา มีกันในวันนี้

มีความกังวลรอเราอยู่ในวันข้างหน้า

 เพราะสังขารร่างกาย

เป็นของไม่เที่ยงแท้แน่นอน

 เกิดแล้วก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ

แล้วก็ต้องตายไปในที่สุด

ถ้าเรายังไม่ได้พิจารณา

 และปฏิบัติเพื่อรับกับสิ่งเหล่านี้แล้ว

 เวลาเกิดขึ้นมา เราจะไม่มีอะไรเป็นเครื่องต่อสู้กับมัน

 จะมีแต่ความวุ่นวาย ความโกลาหล ที่จะตามมา

แต่ถ้าได้ฝึกปฏิบัติต่อสู้กับความทุกข์กับความยากแล้ว

จะรู้ว่าความแก่ ความเจ็บ ความตาย

เป็นสิ่งที่เราสามารถเผชิญกับมันได้

เพราะในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่นี้

เราก็ได้เผชิญกับมันแล้ว

เหมือนกับได้ซ้อมรบไว้แล้ว

เมื่อถึงเวลาที่ศัตรูข้าศึกจะบุกรุกเข้ามา

 เราก็สามารถต่อสู้กับเขาได้ แล้วก็ผ่านไปได้

 เรื่องความแก่ ความเจ็บ ความตาย

เป็นเรื่องของร่างกาย ไม่ใช่เรื่องของใจ

 เพียงแต่ใจจะต้องสัมผัสรับรู้เท่านั้นเอง

ใจไม่ได้แก่ ไม่ได้เจ็บ ไม่ได้ตายไปด้วย

แต่ใจกลับเป็นตัววุ่นวาย

เป็นตัวกังวลมากกว่าตัวร่างกาย ที่กังวลไม่เป็น

เพราะธรรมชาติดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่มีความกังวล

เวลาตัดผม ผมก็ไม่ได้ร้องห่มร้องไห้

 แต่ใจเป็นตัวร้องห่มร้องไห้ต่างหาก

ถ้ายังยึดติดกับทรงผมอยู่ เวลาตัดไป

 จะไม่เจ็บไม่ปวดทางร่างกายเลยแม้แต่นิดเดียว

แต่จิตใจกลับเจ็บปวด

 เพราะต้องเสียทรงผมที่รักที่ชอบไป

 เพราะใจไปหลง ไปยึดติดอยู่กับมันนั่นเอง

 จึงคิดว่าเวลาเกิดอะไรขึ้นกับกายแล้ว

มันเกิดขึ้นกับใจด้วย แต่ใจไม่ใช่กาย

ใจกับกายเป็นคนละส่วนกัน

 ถ้าได้ปฏิบัติภาวนาเราจะเห็น

เวลาที่จิตแยกออกจากกาย เวลาที่จิตสงบ

จิตจะปล่อยวางร่างกาย ปล่อยวาง

รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ

แล้วรวมตัวเป็นสมาธิ

 รวมเป็นหนึ่ง เหลืออยู่แต่สักแต่ว่ารู้

 ร่างกายตอนนั้นจะไม่มีอยู่ในความรู้สึกเลย

 บางทีร่างกายก็เป็นเหมือนท่อนไม้ท่อนฟืนไป

 ใจก็จะรู้ว่าร่างกายนี้

ยังไงๆก็ต้องเป็นไปตามเรื่องของมัน

 ใจที่รู้ความจริงนี้ ก็จะเฉยๆ ไม่วิตก

ไม่กังวลกับมัน แต่ใจที่ไม่รู้ก็จะวุ่นวาย

 เวลาหมอบอกว่าจะต้องตาย เหลืออีก ๓ เดือน

 แต่ยังไม่ทันตายเลย เพียงแต่ได้ยินคำพูดแค่นี้

ใจนี้แทบจะสลายตายไปก่อนแล้ว

 ทั้งๆที่ใจเป็นสิ่งที่ไม่ตาย

 สิ่งที่จะแตกสลายไปก็คือร่างกาย

เช่นศาลาหลังที่เรานั่งอยู่นี้

 ก็เป็นธรรมชาติแบบเดียวกัน เป็นวัตถุเหมือนกัน

 มาจากดินน้ำลมไฟเหมือนกัน

เวลาศาลาหลังนี้พังไป ใจของเราก็ไม่วุ่นวายไปกับมัน

 เพราะไม่ได้ไปหลง ไปยึด ไปติด ว่าเป็นของเรา

แต่ถ้าเราเป็นเจ้าของศาลาหลังนี้

เป็นผู้สร้างขึ้นมากับมือเอง

 เวลาเห็นศาลาหลังนี้พังทลายไป ก็จะมีความเสียใจ

 เพราะมีความผูกพัน ถ้าได้ปฏิบัติธรรม เจริญสมาธิ

เจริญปัญญาแล้ว เราจะสามารถตัดอุปาทาน

ความยึดมั่นถือมั่นที่เกิดจากความหลงได้

 อุปาทานเกิดจากความหลง ความเห็นผิดเป็นชอบ

 เห็นในสิ่งที่ไม่มีตัวตนว่าเป็นตัวตน

เห็นร่างกายนี้ว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นเรา เป็นของเรา

เกิดจากอวิชชา ทำให้ปรุงแต่ง

ปรุงว่าร่างกายนี้เป็นเรา เป็นของเรา

 แต่ถ้าได้ภาวนาแล้ว เจริญปัญญาแล้ว

ก็จะเห็นว่าไม่ใช่เรา ไม่เป็นของเรา

เป็นอนัตตา เป็นอนิจจัง ถ้าไปยึดติดก็จะเป็นทุกขัง

 ทำให้เรามีความทุกข์ มีความวุ่นวายใจ

การบำเพ็ญภาวนาจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง

 ดังที่ได้พูดในเบื้องต้นว่า วันเวลาผ่านไป ผ่านไป

 เรากำลังทำอะไรอยู่ กำลังภาวนากันอยู่หรือเปล่า

กำลังเจริญสมาธิ กำลังเจริญปัญญากันอยู่หรือเปล่า

 พิจารณารูปว่าเป็นอนิจจา เป็นของไม่เที่ยง

 เกิด แก่ เจ็บ ตายหรือเปล่า เป็นอนัตตา

ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราหรือเปล่า

 ถ้าเราพิจารณาแล้ว ความทุกข์ ความวุ่นวายใจ

เกี่ยวกับร่างกายก็จะเบาบางลงไป

ถ้าพิจารณาจนเห็นชัดเจน จนปล่อยวางได้

ก็จะไม่มีความกังวลกับความเป็นความตาย

ของร่างกายอีกต่อไป ต้องพิจารณาอยู่เรื่อยๆ

 อย่าฟังอย่างเดียว อย่างวันนี้ได้ยินได้ฟังแล้ว

 พอไปจากที่นี่ก็ลืมแล้ว

 เหมือนกับได้เห็นภาพชั่วขณะหนึ่ง

แต่ไม่ทำภาพนั้นให้ติดตาติดใจอยู่ตลอดเวลา

พอถึงเวลาจะนึกถึงภาพนั้นอีกก็นึกไม่ออก

 เหมือนกับการเห็นหน้าคนเพียงแวบเดียว

พอจะนึกถึงคนนั้นอีกก็นึกไม่ออกว่าหน้าตาเป็นอย่างไร

 เพราะไม่นึกอยู่เรื่อยๆนั่นเอง ถ้านึกอยู่เรื่อยๆ

พิจารณาอยู่เรื่อยๆ ถึงความเป็นอนิจจัง

ไม่เที่ยง เป็นอนัตตา ไม่มีตัวไม่มีตน

 ก็จะเห็นชัดอยู่ตลอดเวลา

เมื่อเห็นชัดอยู่ตลอดเวลาก็จะไม่ลุ่มหลง

 จิตรู้ จิตมีสัมมาทิฐิ ความเห็นที่ถูกต้อง

ก็ปล่อยวางได้ตลอดเวลา ร่างกายจะเป็นอย่างไร

ก็ต้องเป็นไปตามเรื่องของมัน

 แต่เราก็ดูแลไปเท่าที่จะสามารถดูแลได้

 ถ้ายังรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ก็รักษาไป

 แต่จะรักษาใจก่อน คือใจต้องนิ่ง ใจต้องสงบ

ไม่วุ่นวาย แล้วเรื่องของการรักษากายค่อยตามมา

รักษาใจก่อนแล้วรักษากายทีหลัง

ถ้าใจดีแล้วกายจะเป็นอย่างไร ก็ไม่เป็นไร

 เพราะถึงแม้จะรักษากายให้ดีอย่างไร

 ในที่สุดก็จะรักษาไม่ได้ ต้องทิ้งไปอยู่ดี

ต่อให้มีหมอวิเศษขนาดไหน

 ให้มีเงินทองเป็นหมื่นล้าน แสนล้าน

 ก็รักษาร่างกายนี้ไปไม่ได้ตลอด

 สักวันหนึ่งมันก็ต้องไป

ถ้าไม่รู้จักรักษาใจ ใจจะทรมานมาก

เวลาที่ร่างกายนี้แตกดับไป

แต่ผู้ที่ได้บำเพ็ญอย่างต่อเนื่อง

 อย่างนักปฏิบัติทั้งหลาย จะรู้สึกเฉยๆ

ต่อการเป็นการตายของร่างกาย

เพราะรู้อยู่แล้วว่าจะต้องเป็นอย่างนั้น

ได้ปล่อยวางแล้ว จะเป็นอย่างไรก็พร้อมที่จะรับ

 ไม่ได้ไปหวังอะไรจากร่างกาย

 เพราะความสุขไม่ได้อยู่ที่ร่างกาย

คนที่ยังอาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย

เพื่อดูรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ

 นี่แหละที่จะวุ่นวาย

 เพราะต้องอาศัยร่างกาย เวลาไปเที่ยว

ก็ต้องอาศัยร่างกายนี้ไปเที่ยว

แต่คนที่ภาวนาเป็น เขาเที่ยวด้วยจิต

 หลับตาก็ไปได้เหมือนกัน ไปสบายกว่า

 ไม่ต้องไปทำพาสปอร์ต ไม่ต้องไปซื้อตั๋วเครื่องบิน

ไม่ต้องไปเบียดเสียดกับคนอื่น แย่งขึ้นเครื่องบินกัน

ไปอย่างสบาย ไปได้ทั้ง ๓ โลกเลย

 โลกแห่งการเวียนว่ายตายเกิดนี้ ไปได้หมด

ของจิตที่ภาวนาเป็นแล้ว

 เป็นสิ่งวิเศษที่มีอยู่กับเราแท้ๆ

 อยู่ในตัวเรา คือใจของเรา แต่เรากลับไม่ดูแล

 ไม่เหลียวแล ไม่ให้ความสำคัญกับใจ

 แต่กลับให้ความสำคัญกับกายเสียมากกว่า

กายมีแต่จะชำรุดทรุดโทรมไปเรื่อยๆ

นอกจากกายของเราแล้ว ยังไปพะวง

ไปให้ความสำคัญกับกายของคนอื่นด้วย

 คนอื่นเขาจะเป็นอย่างไร

 ก็จะเป็นจะตายไปกับเขาด้วย

 นี่คือความบ้าของเรา ความหลงของเรา

แทนที่จะดูแลรักษาใจไม่ให้ทุกข์

ไม่ให้วุ่นวายกับสิ่งต่างๆ กลับไม่ดูแล

 มัวแต่ไปดูแลคนอื่น ไปวุ่นวายกับเขา

 เวลาเขาเป็นอะไรไป ตายจากเราไป

ก็ร้องห่มร้องไห้  กินไม่ได้นอนไม่หลับ

นี่เป็นเรื่องของอวิชชาทั้งนั้น อวิชชา ปัจจยา สังขารา

 ถ้าฟังเทศน์ฟังธรรมแล้วนำไปปฏิบัติ ไปภาวนา

 ทำจิตให้สงบ เจริญปัญญา

 พิจารณาไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

ต่อไปจิตจะหดตัวเข้ามาข้างใน

ไม่อยากจะวุ่นวายกับเรื่องอะไรทั้งหลาย

 เพราะยังไงๆก็ต้องเป็นไปตามเรื่องของเขา

โลกนี้เป็นอย่างนี้มาแต่ดั้งเดิม

 มีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตายอยู่อย่างนี้มาตลอด

 เราไปยุ่งกับมันเองต่างหาก พอไปลุ่มไปหลง

 ก็อยากจะให้เป็นตรงข้ามกับที่เป็นอยู่

 อยากจะไม่ให้แก่ ไม่ให้เจ็บ

ไม่ให้ตาย อย่างนี้เป็นต้น

 ซึ่งเป็นความบ้าแท้ๆ

ถ้าพูดตามภาษาธรรมะแล้ว

เป็นความบ้า เพราะความจริง

ไม่ได้เป็นอย่างนั้นสักหน่อย

แต่เราก็ยังอดที่จะคิดอยากให้เป็นอย่างนั้นไม่ได้

 คิดดูก็แล้วกันว่าความโง่เขลาของเรานั้น

 มันมากขนาดไหน แต่เราไม่เคยคิดกัน

กลับคิดว่าเป็นสิ่งที่ถูก ที่ดีที่ควร

 เวลาเป็นอะไรก็รีบแก้กันแทบเป็นแทบตาย

ลุ้นกันแทบเป็นแทบตาย

ดังที่เป็นข่าวเมื่อวานนี้

มีปลาวาฬหลงว่ายขึ้นไปในแม่น้ำเทมส์

ที่กรุงลอนดอน

 ชาวกรุงลอนดอนก็เป็นห่วงเป็นใย

กับปลาวาฬตัวนั้น

 พยายามเอาใจช่วยให้มันกลับไป

ได้ยินว่าเขาเอาเครนยกมันขึ้นมาใส่เรือ

แล้วก็พามันออกไปกลางทะเล

แต่มันก็ตายไปเสียก่อน

 มันหลงทาง จากที่เคยอยู่แต่ในมหาสมุทร

ที่ลึกที่กว้างใหญ่ไพศาล

 แล้วต้องมาติดอยู่ในแม่น้ำเทมส์

 ซึ่งเหมือนกับแม่น้ำเจ้าพระยา หาทางออกไม่ได้

ก็เลยเครียดจัด จนไม่มีกำลังใจที่จะอยู่ต่อไป

 ก็เลยตายเสียก่อน ก่อนที่เขาจะยกใส่เรือ

แล้วเอาไปปล่อยกลางทะเล

คนทั้งประเทศอังกฤษก็ลุ้นกันใหญ่

 ในการช่วยเหลือเจ้าปลาวาฬตัวนี้

จะว่าไม่ดีก็ไม่ถูก

คือเขามีความห่วงใย แต่ความเมตตา

ก็ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นไปได้

 ต้องใช้ปัญญาด้วย ต้องยอมรับว่าอาจจะช่วยได้

หรืออาจจะช่วยไม่ได้ เพราะความไม่เที่ยงแท้แน่นอน

 คือความตาย ยังไงๆก็รอเจ้าปลาวาฬตัวนั้นอยู่ดี

 พวกเราก็เหมือนกัน

เวลาใครเป็นอะไรเราก็ลุ้นกันเต็มที่

 ช่วยกันเต็มที่ ถ้าช่วยได้ก็ดี แต่ใจอย่าไปวุ่นวาย

ถ้าช่วยได้ก็ไม่ต้องไปดีใจ มันก็ผ่านไปยกหนึ่ง

เดี๋ยวก็ต้องมีอีกยกหนึ่งรออยู่ข้างหน้า

ถ้าช่วยไม่ได้ ก็ไม่ต้องเสียใจ

ถือว่าถึงเวลาที่จะอวสาน

 ก็ต้องให้จบไปตามเรื่องของเขา

ถ้ารู้อย่างนี้แล้วใจก็จะไม่วุ่นวาย ใจก็จะไม่ทุกข์

 ทำทุกอย่างไปตามหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด

แล้วก็ไม่ต้องมาโทษกันทีหลัง

ขอให้ใช้เวลาที่มีค่านี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

 เพราะชีวิตของเราก็เป็นเหมือนกับเทียนไข

 เมื่อจุดแล้วก็มีแต่จะไหม้ไปเรื่อยๆ

ต้นเทียนก็จะสั้นลงไปเรื่อยๆ

 ในที่สุดเนื้อเทียนก็จะหมดไป

ชีวิตของเราก็จะหมดไป

 เราจึงควรใช้ชีวิตของเราให้เกิดประโยชน์

อย่าให้เกิดโทษ ถ้าไม่รู้ว่าประโยชน์เป็นอย่างไร

 โทษเป็นอย่างไร ก็ต้องศึกษาธรรมะให้มากๆ

 เช่นไปวัดอยู่เรื่อยๆ อย่างน้อยอาทิตย์หนึ่ง

ควรฟังเทศน์สักครั้งหนึ่ง

 ยิ่งสมัยนี้มีสื่อที่ใกล้ชิดกับเรา

ควรจะฟังทุกวันเลย

 ก่อนจะออกไปทำงานตอนเช้า

 ตื่นขึ้นมาก็ฟังเทศน์สักกัณฑ์หนึ่งก่อน

นั่งสมาธิไปในตัว จะได้มีคติเตือนใจ

จะได้ไม่ลุ่มหลงไม่วุ่นวายกับการทำงาน

 จะทำอย่างสบายใจ ถ้าไม่มีธรรมะคอยเตือนใจแล้ว

 ก็จะวุ่นวายกับการงาน ถ้าทำแล้วไม่ได้ดั่งใจ

 ไม่เป็นไปตามที่ต้องการ

ก็เกิดความวิตกกังวลขึ้นมา

 กลัวจะถูกไล่ออกจากงาน

ถ้าถึงเวลาจะต้องตกงานก็ช่วยไม่ได้

ถ้าเป็นคนกล้าหาญ

ก็จะได้ใช้เวลาที่ตกงานนี้มาปฏิบัติธรรม

การกินอยู่นี้ไม่ต้องใช้เงินมากหรอก

 อย่างที่เคยเล่าให้ฟัง อาตมามีเงินอยู่ ๖,๐๐๐ บาท

 ก็ตัดสินใจลาออกจากงาน

คิดว่าจะอยู่ได้อย่างน้อยปีหนึ่งโดยไม่ต้องทำงาน

 เพราะสมัยนั้นข้าวก็จานละ ๓ บาท

ก๋วยเตี๋ยวก็ชามละ ๒ บาท

วันหนึ่งกินมื้อเดียวก็แค่ ๕ บาทเท่านั้นเอง

เดือนหนึ่ง ๓๐ วันก็ ๑๕๐ บาท

 เป็นค่าอาหาร อยู่ไปปีหนึ่ง

เงินยังเหลืออีกตั้ง ๓,๐๐๐ บาท

พอสำหรับซื้อเครื่องอัฐบริขารไว้บวชพอดี

 เงินทองจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่โตสำหรับนักปฏิบัติธรรม

 แต่สำหรับกิเลสแล้ว เป็นเรื่องใหญ่โตมาก

กระเป๋าใบหนึ่งก็เป็นหมื่น รองเท้าคู่หนึ่งก็เป็นหมื่น

 เสื้อผ้าชุดหนึ่งก็เป็นหมื่น ถ้ามีเงินซื้อ

รับรองต้องซื้อแน่ๆ ราคาเป็นหมื่นนี้ซื้อไปทำไม

 ก็เท่านั้นแหละ เอาเงินมาสร้างบุญสร้างกุศลดีกว่า

 เก็บไว้เผื่อตกงาน จะได้ใช้เวลาที่ตกงานนี้มาภาวนา

 ถ้ามีเงินเก็บสะสมไว้ เวลาทำงานจะได้ไม่เครียด

 เวลาจะออกจากงาน ก็ออกได้อย่างสง่าผ่าเผย

 ลาออก ไม่ต้องให้เขาไล่ออก

อย่างอาตมานี้ลาออกเลย

เจ้าของบริษัทถามว่า ต้องการเงินเดือนเพิ่มหรือ

ไม่หรอก เราพอแล้ว.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.................................

กัณฑ์ที่ ๒๓๒ วันที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๔๙

(จุลธรรมนำใจ ๓)

“ใช้เวลาให้เกิดคุณเกิดประโยชน์”







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 10 กันยายน 2559
Last Update : 10 กันยายน 2559 16:01:16 น.
Counter : 867 Pageviews.

2 comments
  
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
พระจันทร์สัญจร Literature Blog ดู Blog
tangkay Dharma Blog ดู Blog

แวะมารับธรรมะค่ะ
โดย: อุ้มสี วันที่: 10 กันยายน 2559 เวลา:16:29:42 น.
  
tangkay Dharma Blog ดู Blog
ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 10 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น
โดย: newyorknurse วันที่: 15 กันยายน 2559 เวลา:0:32:27 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ