Group Blog
All Blog
### ทำตัวเป็นปฐพี ###








“ทำตัวเป็นปฐพี”

การที่จะเข้าสู่มรรคผล นิพพานได้

ต้องทำตัวให้เป็นคนที่ต่ำที่สุด

ดังที่ทรงสอนอยู่เรื่อยๆว่า ให้ทำตัวเป็นเหมือนปฐพี

ทำตัวเหมือนแผ่นดิน

 แผ่นดินนี้ใครจะเหยียบใครจะย่ำอย่างไร

เขาไม่สะทกสะท้าน ใครจะขุดดิน

ใครจะเทอะไรลงไปในดิน

จะเทอุจจาระ ปัสสาวะลงไปในดิน เทขยะลงไปในดิน

 ดินก็ไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด

ผู้ที่ทำตนเองให้เป็นดินคือให้เป็นบุคคลที่ต่ำที่สุด

 คือทำตัวเองให้เป็นเหมือนขอทาน

 จะไม่มีวันที่จะต้องสะทกสะท้าน

กับการกระทำของใครทั้งนั้น

 ขอทานนี้เขาไม่สะทกสะท้านกับการดูถูกครหานินทา

 ขอทานไปไหนจะถูกขับไล่ไสส่งอย่างไรเขาก็ไม่เดือดร้อน

 ไล่เขาก็ไป ด่าเขา เขาก็ไม่ว่าอะไร

ดูถูกดูแคลนเขา เขาก็ไม่เดือดร้อนอะไร

แต่ถ้าทำตัวว่าเป็นผู้มีศักดิ์มีศรี ใครแตะไม่ได้

พอใครมาแตะหน่อย ใจก็จะวุ่นขึ้นมาทันที

ใจก็จะไม่สามารถ ทนอยู่กับสภาพของการเป็นนักบวชได้

เพราะการเป็นนักบวชก็คือการเป็นขอทานดีๆ นี่เอง

 เพราะการอยู่ต้องอยู่แบบอาศัยการให้ของผู้อื่น

อยู่ด้วยการรับทานของผู้อื่น เช้าก็ต้องออกไปบิณฑบาต

อาหารเขาจะให้มาแบบไหน

เขาจะให้มาด้วยความเคารพหรือไม่เคารพ

ก็ไปห้ามเขาไม่ได้ เป็นเหมือนขอทาน

ขอทานไปขอทานตามบ้าน บางบ้านเขาก็พูดดี

บางบ้านเขาก็ขับไล่ไสส่งไปก็มี

คิดว่าสมัยก่อนการบิณฑบาต ก็อาจะเป็นแบบนั้นก็ได้

 ไม่ได้เป็นแบบสมัยนี้เพราะสมัยนี้เราถูกสอนให้เคารพพระ

 ให้เห็นว่าการใส่บาตรนี้ เป็นการสร้างบุญสร้างกุศล

แต่สมัยก่อนเขาอาจจะเห็นว่า

เป็นเหมือนกับการให้ทานแก่ขอทานดีๆนี่เอง

 เพราะว่ามีผู้บำเพ็ญนักบวชนี้ มาจากหลายสำนัก

มีหลายลัทธิด้วยกัน มีการบำเพ็ญที่แปลกๆแตกต่างกันไป

 จนทำให้ชาวบ้านนี้อาจจะแยกแยะ ไม่ถูก

ว่าดีหรือไม่ดีอย่างไร

ก็คงจะเหมาว่าเป็นพวกขอทานด้วยกัน

 ก็คงจะไม่ได้รับการเคารพเหมือนกับ ในสมัยปัจจุบันนี้

การบิณฑบาตสมัยปัจจุบันนี้

ผู้ใส่บาตรนี้ให้ความเคารพต่อพระที่มาบิณฑบาต

แต่สมัยโบราณสมัยพุทธกาลนี้

 คิดว่าเป็นเหมือนกับการให้ขอทานดีๆนี่เอง

ผู้ที่จะไปบำเพ็ญอยู่แบบนั้นได้นี้

จิตใจจะต้องมีความเข็มเเข็งมาก จะต้องไม่ถือเนื้อถือตัว

 เพราะถ้าถือเนื้อถือตัวแล้วก็จะทนอยู่แบบนั้นไม่ได้

ก็อยากจะกลับไปอยู่แบบ พระราชามหากษัตริย์

 อยู่แบบมหาเศรษฐี ถ้ากลับไปอยู่แบบนั้น

ก็จะไม่มีเวลาที่จะออกบำเพ็ญ

ไม่มีเวลาที่จะสร้าง มรรคผล นิพพานได้

 ผู้ที่จะไปสู่มรรคผล นิพพาน

จึงต้องกล้าที่จะอยู่แบบขอทาน

 ทำตัวแบบขอทาน ทำตัวเหมือนปฐพี

 ที่สามารถรับการดูถูกเหยียดหยามว่ากล่าวติเตียน

 หรืออะไรต่างๆ ได้หมด รับได้ทุกสภาพ

อย่างนักบวชนี้ท่านก็สอนว่า “ให้ยินดีตามมีตามเกิด”

เขาจะจัดที่พักแบบไหนให้อยู่ก็อยู่ไป ไม่ให้จู้จี้จุกจิก

อาหารที่เขาจะให้มาจะเป็นอาหารแบบไหนก็รับไป

ผ้าจีวรจะเป็นผ้าแบบไหนก็เอามาใช้นุ่งห่มก็ใช้ไป

 ยารักษาโรคมีอะไรที่กินแล้วก็หายก็กินไป

 ไม่มีก็ใช้ดื่มน้ำมูตรเอา น้ำปัสสาวะเอาก็ได้

ถ้าไม่หายมันก็ตาย คนเราในที่สุด

มันก็ต้องตายด้วยกันทุกคน

ไม่มีใครที่จะอยู่เหนือความตายได้

แต่อย่าไปวุ่นวายกับการดูแลรักษา ร่างกาย

จนไม่มีเวลาที่จะมาบำเพ็ญ

มาดับความทุกข์ต่างๆ ภายในใจ

ต้องถือให้ความสำคัญกับการบำเพ็ญ

 เป็นอย่างแรกเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด

เรื่องของการดูแลรักษาร่างกายนี้ถือว่าเป็นรองลงมา

 ดังที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าให้สละได้แม้แต่ชีวิต

 เพื่อรักษาธรรม หรือเพื่อสร้างธรรมขึ้นมา

ธรรมะนี้สำคัญกว่าชีวิต เพราะชีวิตนี้เป็นของชั่วคราว

ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องหมดไป แต่ธรรมนี้เป็นที่พึ่งของใจ

 ที่จะทำให้ใจนี้ไม่ต้องทุกข์ไม่ต้องวุ่นวาย

 ทำให้ใจมีบรมสุขมีปรมัง สุขัง

เป้าหมายของผู้ปฏิบัติก็คือธรรมนี่เอง

ส่วนเรื่องของอุปสรรคทางร่างกายนี้

ก็บรรเทามันไปตามมีตามเกิด

 แต่จะไม่ให้มาเป็นอุปสรรคต่อการบำเพ็ญ

 ต่อการปฏิบัติสร้างธรรมขึ้นมา ถ้าทำอย่างนี้ได้แล้ว

 ผลที่จะได้จากการบำเพ็ญนี้ก็จะปรากฏขึ้นมา

ได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว

เพราะไม่มีอะไรมาเป็นอุปสรรคนั่นเอง

แต่ถ้ามาคอยกังวลกับเรื่องการกิน การอยู่

 กับเรื่องของการสรรเสริญนินทาของคนอื่น

เขาก็จะทำให้เป็นอุปสรรค ต่อการบำเพ็ญได้

 แล้วก็จะไม่สามารถบำเพ็ญให้เกิดผลที่ปรารถนาได้

ผู้ปฏิบัติจึงต้องทำตัวให้เป็นคนจน ทำตัวให้เป็นขอทาน

 ทำตัวให้เป็นปฐพี เพราะเมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว

ก็จะกำจัดอุปสรรคต่างๆ ได้ ไม่มีอะไรเป็นปัญหา

ใครจะด่าใครจะว่าใครจะทำอะไรก็ไม่ถือเป็นปัญหา

 รับได้หมด ขอให้มีเวลาได้บำเพ็ญ เท่านั้นก็พอ

ขอให้ได้มีเวลาปลีกวิเวกอยู่ตามลำพัง

เพื่อที่จะได้เจริญธรรมต่างๆ เช่นสติ สมาธิและปัญญา

ถ้ามีเวลาได้บำเพ็ญแล้วและได้บำเพ็ญ

 ผลก็จะต้องเกิดขึ้นมาอย่างแน่นอน

 เมื่อเกิดผลแล้วก็เหมือนกับ กลายเป็นมหาเศรษฐีขึ้นมา

 แต่เป็นมหาเศรษฐีภายใน เป็นเศรษฐีอริยทรัพย์

เป็นเศรษฐีภายในใจ

พระพุทธเจ้า พระอรหันตสาวกทั้งหลายนี้

ท่านเป็นมหาเศรษฐีภายในใจ

 ท่านมีปรมัง สุขัง ท่านมีบรมสุขเป็นสมบัติ

ท่านมีการหลุดพ้นจากการเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นสมบัติ

พวกเราที่เป็นเศรษฐีทางร่างกาย

ทางโลกนี้พวกเรากลับมีความทุกข์ใจเป็นสมบัติ

 มีการเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นสมบัติ

พวกเราจะเลือกอย่างไหนดี

จะเป็นเศรษฐีทางร่างกายดี หรือเป็นเศรษฐีทางจิตใจดี

 พระพุทธเจ้าพระอรหันตสาวกทั้งหลาย

ท่านได้เลือกการเป็นเศรษฐีทางจิตใจ

ท่านจึงต้องสละการเป็นเศรษฐี ทางร่างกายไป

ท่านยอมอยู่แบบขอทาน อยู่แบบคนยากจนอยู่

 ท่านจึงได้เป็นเศรษฐีทางจิตใจ

ถ้าเรายังรักที่จะเป็นเศรษฐีทางร่างกายอยู่

เราก็จะไม่มีวันที่จะได้เป็นเศรษฐีทางจิตใจ

เศรษฐีทางจิตใจนี้เป็นเศรษฐีที่ถาวร

 เป็นเศรษฐีที่แท้จริงไม่มีวันเสื่อมไม่มีวันหมด

 แต่เศรษฐีทางร่างกายนี้ ก็อยู่เพียงแค่ชั่วอายุขัย

ของร่างกายนี้เท่านั้นเอง อย่างมากก็ไม่เกิน ๑๐๐ ปี

ตายไปก็จบ ดีไม่ดีก็จะต้องไป เป็นขอทานทางจิตใจต่อไป

 เพราะไม่เคยคิดทำบุญให้ทาน ไม่เคยคิดรักษาศีล

พอตายไป ดวงวิญญาณนี้ ก็จะต้องไปเกิดเป็นเปรต

 เป็นเปรตก็คือเป็นขอทานทางจิตใจนี่เอง

ทางจิตวิญญาณ ต้องไปขอส่วนบุญ ส่วนกุศล

ที่ผู้มีชีวิตอยู่ทำบุญและอุทิศไป

 อย่างเดือนนี้วันที่ ๓๐ พฤษภาคม

 ก็เป็นธรรมเนียมที่หลวงตา ให้นำพาญาติโยม

ได้ทำบุญอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย

ที่ไม่ได้มีโอกาสเวลามีชีวิตอยู่ ไม่ได้ทำบุญให้ทาน

ไม่ได้รักษาศีลเวลาตายไปก็ต้องไปเป็น

ขอทานทางจิตวิญญาณทางจิตใจ

เพราะมัวหลงกับการเป็นเศรษฐีทางร่างกาย

จนลืมการสร้างทรัพย์ให้แก่จิตใจ

 เวลาที่จิตใจต้องออกเดินทาง จากโลกนี้ไป

 ถ้าไม่ได้สร้างบุญสร้างกุศล

ไม่ได้ทำบุญให้ทานไม่ได้รักษาศีล

 เวลาไปก็ต้องไปเป็นขอทาน ทางจิตวิญญาณ

 ก็คือไปเป็นเปรตนี่เอง

นี่คือที่มาของการที่พวกเรา

เวลาทำบุญให้ทานแล้วเราอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไป

เพราะเรายังรักยังกังวล กับผู้ที่เรารักเราเคารพ

ที่ตายจากพวกเราไปว่า

 กลัวว่าเขาอาจจะไม่ได้ทำบุญทำทาน

ไม่ได้รักษาศีล เขาอาจจะต้องเกิดเป็น

ขอทานทางจิตวิญญาณได้ เราก็เลยทำบุญอุทิศกันไป

และในขณะเดียวกัน การทำบุญอุทิศนี้

ก็จะช่วยป้องกันไม่ให้เราไปเกิดเป็น

ขอทานทางจิตวิญญาณด้วย อันนี้สำคัญกว่า

เรานี่แหละที่ต้องทำบุญกัน ต้องละบาปกัน

เพื่อที่เราเวลาตายไป

เราจะได้ไม่ต้องไปเป็นขอทานทางจิตใจ

ทางจิตวิญญาณนั่นเอง

นี่คือเรื่องของความแตกต่างระหว่างการมีทรัพย์

กับการไม่มีทรัพย์ว่าอย่างไหนจะดีกว่ากัน

 ถ้าสรุปแล้วก็ต้องการ ไม่มีทรัพย์ย่อมต้องดีกว่า

 เพราะผู้ที่ไม่มีทรัพย์ เช่นพระพุทธเจ้า

พระอรหันตสาวกทั้งหลาย ท่านได้เป็นพระพุทธเจ้า

 ได้เป็นพระอรหันตสาวกกัน

 เพราะท่านต้องสละทรัพย์สมบัติที่ท่านมีอยู่แล้ว

จึงจะออกไปบำเพ็ญ ออกไปบวชได้ ไปปฏิบัติได้

ถ้าท่านยังมีทรัพย์ยังติดอยู่กับทรัพย์สมบัติอยู่

ท่านก็จะไม่สามารถออกไปบำเพ็ญออกไปปฏิบัติได้

 ท่านก็จะไม่สามารถบรรลุเป็นพระพุทธเจ้า

 เป็นพระอรหันตสาวกได้ จึงสรุปได้คือคำตอบว่า

ต้องเป็นคนจนดีกว่าเป็นคนรวย

ดังนั้นพวกเราที่จนอยู่แล้ว จึงไม่ควรจะเสียใจ

 ควรจะดีใจเพราะว่าการเป็นคนจนนี้ก็จะทำให้พวกเรานี้

ออกบวชกันได้อย่างง่ายดาย

ไม่ต้องมากังวลกับเรื่องทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทอง

ว่าจะยกให้ใครดี.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

..........................

ธรรมะบนเขา วันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘

“โชคดีของคนจน”







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 15 สิงหาคม 2559
Last Update : 15 สิงหาคม 2559 9:16:17 น.
Counter : 747 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ