คนหนีทุกข์
ใช่หรือไม่ว่า การแสวงหาความสุขของผู้คนก็เช่นกัน
คือ เป็นการหนีทุกข์ เพียงเพื่อจะมาเจอทุกข์อีก
แล้วก็ต้องหนีต่อไป แม้ได้เสพอารมณ์ที่น่าพอใจ
ได้ครอบครองวัตถุสมปรารถนา
แต่ไม่ช้าไม่นานก็จะรู้สึกเบื่อหน่ายจำเจ
เกิดแรงผลักภายในให้อยู่เฉยไม่ได้
ต้องขวนขวายไปหาอารมณ์หรือสิ่งเสพใหม่ ๆ
เพียงเพื่อจะเจอกับความเบื่อหน่ายอีก
แล้วต้องดิ้นรนออกไปแสวงหาสิ่งใหม่ไม่รู้จบ
ชีวิตที่เอาแต่หนีทุกข์ ย่อมเป็นชีวิตที่หาความสุขได้ยาก
เพราะนอกจากจะเหนื่อยกับการหาทางหนีทุกข์แล้ว
ยังต้องหนีทุกข์ไม่หยุดหย่อนจนกว่าจะหมดลม
จะไม่ดีกว่าหรือหากเราหันมาเผชิญหน้ากับทุกข์
หันมารับมือกับแรงผลักจากภายใน
ที่ทำให้เราต้องดิ้นรนไม่หยุดหย่อน
โดยเฉพาะความเบื่อ ความฟุ้งซ่าน
ความกระสับกระส่าย รวมทั้งความอยากได้ใคร่ดีทั้งหลาย
ลองกลับมาดูใจของตน และรู้ทันอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
เห็นมันด้วยใจที่เป็นกลาง ไม่ผลักไสกดข่ม
ก็จะพบว่าอารมณ์เหล่านี้เหมือนสายลม
มาแล้วก็ผ่านเลยไป ที่สุดเราจะพบ
กับความสงบนิ่งที่กลางใจ ซึ่งสามารถนำพาความสุข
มาหล่อเลี้ยงจิตใจของเราได้
โดยไม่จำต้องไปเสาะแสวงหา
ความสุขจากสิ่งเสพใด ๆ ภายนอกตัว
จวงจื๊อ ปราชญ์จีนเมื่อ ๒,๓๐๐ ปีที่แล้ว เล่าว่า
มีชายคนหนึ่งรำคาญเงาของตัวเองมาก
อีกทั้งยังทนรอยเท้าของตัวไม่ได้
เขาจึงพยายามวิ่งหนีจากทั้งสองสิ่งนี้
แต่ไม่ว่าจะวิ่งไปไหน เงาและรอยเท้าก็ยังติดตามเขาไป
เขาคิดว่าเขาวิ่งเร็วไม่พอ จึงเร่งฝีเท้า ไม่ยอมหยุด
วิ่งแล้ววิ่งเล่า ในที่สุดก็หมดแรง ล้มลงและถึงแก่ความตาย
แล้วจวงจื๊อก็ตบท้ายว่า
เขาหารู้ไม่ว่า ถ้าเพียงแต่เขาเข้าร่ม เงาก็จะหายไป
และถ้าเขานั่งนิ่ง ๆ ก็จะไม่มีรอยเท้าเลย
คนทุกวันนี้ไม่ต่างจากคนหนีเงา
พยายามทำทุกอย่างเพื่อหนีทุกข์
โดยคิดว่าเป็นความสุข แต่ทุกข์ก็ยังตามมาไม่หยุด
เขาหารู้ไม่ว่า ความทุกข์จะหมดไป
เมื่อเขาหันเข้าหาร่มแห่งธรรมและทำใจให้นิ่งสงบ
ถึงที่สุดแล้ว ใครจะมีความสุขหรือไม่
ไม่ได้อยู่ที่ว่าเขาออกไปตักตวงแสวงหา
ทรัพย์สมบัติและชื่อเสียงคเกียรติยศได้สำเร็จหรือไม่
แต่อยู่ที่เขามีความสงบนิ่งได้มากน้อยเพียงใดต่างหาก.
พระไพศาล วิสาโล
................
ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ
ผ่านมา 2500 กว่าปีจวงจื้ออาจต้องบอกเพิ่มเติมอีกนิดว่า
ในยุคนี้ร่มเงาบางแห่งก็มีสิ่งที่ต้องระวังเหมือนกันครับ
สาธุครับ