Group Blog
All Blog
### สัมมาทิฏฐิที่แท้จริง ###










“สัมมาทิฏฐิที่แท้จริง”

สมัยนี้เราสามารถฟังเทศน์ฟังธรรมได้ทั้งวัน

เพราะเรามีสื่อมีภาษา เราอ่านออกเขียนได้

เราจึงควรที่จะฟังเทศน์บ่อยๆ

 แล้วก็อ่านหนังสือธรรมะบ่อยๆ จนเราเข้าใจแล้วว่า

เราต้องทำอะไร พอเรารู้แล้วว่าเราต้องทำอะไร

เราก็เริ่มปฏิบัติไป ตอนต้นอ่านหนังสือ ฟังเทศน์มาก

 แต่พอปฏิบัติแล้วการอ่านการฟังก็จะน้อยลงไป

 เพราะเราจะต้องทุ่มเทให้กับการปฏิบัติ

เพราะว่าการอ่านการฟังนี้

ยังไม่สามารถทำให้เกิดสัมมาทิฏฐิที่แท้จริงได้

 ต้องเกิดจากการปฏิบัติสัมมาสติ สัมมาสมาธิ

 พอเราอยู่ในช่วงเจริญสัมมาสติ สัมมาสมาธิ

ตอนนั้นเราก็ลดการอ่านการฟังให้น้อยลงไปได้แล้ว

 จะมาอ่านมาฟังก็อาจจะวันละชั่วโมง ๒ ชั่วโมง

 วันละครั้ง ๒ ครั้ง

ในเวลาที่ไม่ได้เจริญสติคือไม่ได้ปฏิบัติ

 เดินจงกรมนั่งสมาธิก็มาพักอ่านหนังสือธรรมะ

หรือฟังธรรมะบ้างก็ได้ สลับกันไป

แต่ไม่ต้องศึกษาแบบทั้งวัน เหมือนกับสมัยแรกๆ

 สมัยที่ยังไม่ได้ปฏิบัติ แต่พอออกปฏิบัติแล้ว

การศึกษาก็ลดน้อยลงไปได้แล้ว

เพราะว่ารู้แล้วว่าจะต้องปฏิบัติอะไร

ความสำคัญจึงต้องไปอยู่ที่การปฏิบัติ

เป็นส่วนใหญ่แล้ว เพราะศึกษาไปมากเท่าไร

ก็จะไม่ก้าวหน้าไปกว่านี้แล้ว

 ถ้าอยากจะก้าวหน้าไปกว่านี้

ก็ต้องเข้าสู่ขั้นปฏิบัติแล้ว

 เข้าสู่ขั้นปฏิบัติการศึกษาก็น้อยลงไปได้

ไม่จำเป็นไม่สำคัญ เพราะรู้แล้วว่าได้ผลแล้ว

จากการศึกษานั่นเอง

หากศึกษามากไปกว่านี้ก็ไม่ได้ผลมากไปกว่านี้

อยากจะให้ได้ผลมากไปกว่านี้

ต้องอยู่ที่การปฏิบัติแล้ว

 แต่การศึกษาก็ยังสำคัญอยู่

เพราะว่าเป็นการทบทวน

 ความเห็นที่ถูกต้อง เพราะบางทีปฏิบัติไป

ไม่ได้ศึกษาไม่ได้ฟังเทศน์ฟังธรรมไปก็อาจจะลืมได้

 เหมือนกันก็ต้องย้อนกลับเข้ามาฟังบ้าง

เพื่อทบทวนความจำ

เพื่อให้รักษาความเห็นที่ถูกต้อง

ของพระพุทธเจ้า ให้เป็นเครื่องนำทาง

พาเราไปสู่ความเห็นที่ถูกต้อง

ที่จะเป็นความเห็นของเราต่อไปได้

 นี่คือเรื่องของการปฏิบัติมรรค ๘

ขั้นต้นก็ศึกษามรรค ๘ ไปก่อน

 พอรู้แล้วว่าเราต้องปฏิบัติมรรค ๘ อย่างไร

ขั้นต่อไปเราก็ต้องออกปฏิบัติกัน

สัมมากัมมันโต สัมมาวาจา สัมมาสังกัปโป

ก็ต้องคิดไปในทางทำบุญ

 ละบาปกำจัดกิเลสตัณหา

 การกระทำก็ต้องไม่ทำบาป

การพูดก็ต้องไม่พูดบาป

แล้วก็ความเพียรก็ต้อง เพียรสร้างสติ

 สร้างสมาธิขึ้นมาให้ได้

เพราะสติและสมาธินี้แหละ

เป็นเครื่องมือที่จะทำให้เรามีสัมมาทิฏฐิ

 ปรากฏขึ้นมาได้ภายในใจของเราเอง

 ก็เหมือนกับการถอดผ้าที่ปิดกั้นตาเราไว้นั่นเอง

 สติและสมาธินี้ เป็นเหมือนกับเครื่องมือ

ที่จะถอดผ้าที่ปิดตาเราไว้

พอเราถอดผ้าที่ปิดตาไว้ได้

เราก็จะเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง

 เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็น

 พระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นผู้สงวนลิขสิทธิ์

ในการเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเห็นได้

ถ้าทุกคนถอดผ้าที่ปิดตาของตนออกไป

ผ้าที่ปิดตาผ้าที่ปิดใจก็คืออวิชชา โมหะนี่เอง

อวิชชาคือความไม่รู้จริง โมหะก็คือความหลง

 ความเห็นผิดเป็นชอบ

เห็นตรงกันข้ามกับความเป็นจริง

 ดังนั้นคนที่เห็นว่าไม่มีบาปไม่มีบุญ

ไม่มีนรกไม่มีสวรรค์

ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีพระนิพพาน

 พวกนี้เรียกว่าพวกมิจฉาทิฐิ

มีความเห็นผิดเป็นชอบ

 เห็นกงจักรเป็นดอกบัว

เห็นตรงกันข้ามกับความเป็นจริง

 เพราะไม่เอาผ้าที่ปิดตาออกนั่นเอง

 แล้วก็ไม่เชื่อคนที่เอาผ้าปิดตาออก

แล้วว่าเห็นอย่างนั้นอย่างนี้

ก็ไม่เชื่อเขา เชื่อตัวเอง

ทั้งๆที่ตัวเองมองอะไรไม่เห็น

ก็ยังกล้ายืนยันว่านรกไม่มี

 สวรรค์ไม่มี บุญไม่มี บาปไม่มี

ตายแล้วสูญ พวกนี้แหละ

เขาเรียกว่าพวกมิจฉาทิฐิ

ถ้าไม่อยากจะมีมิจฉาทิฐิก็ต้องเชื่อ

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

 ศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

แล้วก็ปฏิบัติเพื่อที่จะได้ถอดเอาผ้าที่ปิดตาออกไป

 ถอดเอาอวิชชาโมหะ ออกไป

 ถอดเอามิจฉาทิฐิออกไป

แล้วก็จะเห็นความจริงตามความเป็นจริง

ทีนี้ก็จะไม่สงสัยว่า

พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์มีจริงหรือไม่

 เพราะจะเห็นด้วยสันทิฏฐิโกนี่เอง เห็นด้วยอกาลิโก

ถึงแม้ว่าพระพุทธเจ้า จะดับขันธปรินิพพานไปแล้ว

ถึง ๒,๕๐๐ กว่าปีก็ตาม

ไม่มีซากอะไรหลงเหลืออยู่แล้วก็ตาม

แต่ผู้ปฏิบัตินี้ จะไม่สงสัย

ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เลย

 เพราะเป็นอกาลิโก เป็นสันทิฏฐิโก

นี่คือเรื่องการทำหน้าที่ของชาวพุทธ

คือการศึกษาและการเจริญมรรค ๘

ที่ไม่มีใครที่จะทำให้เราได้

เป็นหน้าที่ของเราแต่ละคนที่จะต้องทำกันเอง

 เหมือนกับการไปโรงเรียนเรียนหนังสือ

เพื่อให้ได้รับปริญญาบัตร

พ่อแม่ไปโรงเรียนแทนลูกไม่ได้

พ่อแม่ต้องเคี่ยวเข็นบังคับให้ไปโรงเรียน

 เราก็ต้องบังคับใจของเรา

ให้ไปโรงเรียนให้ฟังธรรมะอยู่เรื่อยๆ

ให้อ่านหนังสือธรรมะอยู่เรื่อยๆ

 พอได้อ่านได้ฟังแล้วก็ต้องบังคับ

ให้ปฏิบัติให้เจริญสติให้ได้

ให้เจริญสัมมาสมาธิให้ได้

 ก่อนจะเจริญสัมมาสติ สัมมาสมาธิ

ก็จะเจริญ สัมมาสังกัปโปก่อน

 ให้คิดทำบุญ คิดละบาปไปก่อน

 คือไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตไม่ลักทรัพย์

ไม่ประพฤติผิดประเวณี

ไม่พูดปด ไม่พูดจาไม่คำหยาบเพ้อเจ้อ

พูดส่อเสียดไม่มีอาชีพที่ทุจริต

หรือที่เป็นพิษเป็นภัยต่อผู้อื่น

แล้วก็ให้เพียรพยายามสร้างสติ สร้างสมาธิขึ้นมา

 แล้วก็จะได้เห็นความจริงที่มีอยู่ในใจ

ความจริงที่พระพุทธเจ้า

 และพระอรหันตสาวกทั้งหลายได้เห็นกัน

 ท่านไม่ได้เห็นอะไรภายนอกใจเลย

 การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ก็คือการเห็นนรก

 เห็นสวรรค์ที่เกิดขึ้นจากการกระทำของใจนี่เอง

 ใจคิดไปในทางบุญก็เป็นสวรรค์

 ใจคิดไปทางนรกก็คิดไปในทางบาปก็เป็นนรกขึ้นมา

 คิดไปในทางละความอยาก

ก็เป็นนิพพานขึ้นมาก็มีเท่านี้

 ความจริงอยู่ในใจของเรา

ใจของพวกเรานี้ เหมือนกันหมด

มีความจริงอันนี้รออยู่ให้เรามองให้เห็นกันทุกคน

 เพียงแต่ว่าเราต้องเปิดตาเราให้ได้

 การเปิดตาก็คือการเจริญสติ เจริญสัมมาสติ

 ให้จิตตั้งมั่นอยู่ในปัจจุบัน

ให้ตั้งอยู่ในความสงบตั้งอยู่ในอุเบกขา

สักแต่ว่ารู้แล้วก็จะเห็นความจริงทั้งหลาย

อย่างที่พระพุทธเจ้า

 และพระอรหันตสาวกทั้งหลาย

ได้รู้ได้เห็นกัน ไม่ได้รู้ที่อื่นเลย

 รู้ข้างในใจนี้เพียงอย่างเดียว

ความรู้ภายนอกต่อให้รู้มากน้อยเพียงไร

ก็จะไม่สามารถที่จะทำให้เรา

รู้ความจริงภายในใจเราได้

 อยากจะรู้ความจริงภายในใจและความรู้ที่สำคัญ

ก็คือความรู้ภายในใจนี้

เพราะการรู้ความรู้ภายในใจนี้

 จะทำให้เราหลุดพ้นจากความทุกข์ได้

แต่ความรู้สิ่งต่างๆ ในโลกนี้

ไม่สามารถที่จะทำให้เราหลุดพ้น จากความทุกข์ได้

แต่กลับจะผูกให้เราตกอยู่ในกองทุกข์ยาวนานต่อไป

ดังนั้นเราจึงไม่ต้องให้ความสำคัญต่อความรู้ทางโลก

 ถ้าเราต้องการที่จะหลุดพ้นจากความทุกข์

ขอให้เราหันเข้ามา หาความรู้ภายในใจเรานี้

เพียงอย่างเดียวก็พอ อย่าไปหลงประเด็น

เดี๋ยวคิดว่าต้องไปเรียนอภิธรรม

 ต้องไปหาความรู้อะไรต่างๆ มาเสริม

 การเรียนเหล่านี้ไม่สำคัญ

สำคัญที่ว่าจะต้องรู้ภายในใจของเรา

จะรู้ภายในใจของเรไาด้ก็ต้องปฏิบัติ

ถ้าจะศึกษาก็ให้ศึกษาเพียงเรื่องของมรรค ๘

เพียงเรื่องเดียวก็พอ ให้รู้ว่าเราจะสร้างสัมมาทิฏฐิ

 สร้างสัมมาสังกัปโปขึ้นมาได้อย่างไร

 สร้างสัมมากัมมันโต สัมมาวาจา

สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสติ

 สัมมาสมาธิขึ้นมาได้อย่างไร ให้รู้เท่านี้ก็พอ

 พอเรารู้แล้วเราก็นำเอาไปปฏิบัติ

 แล้วเราก็จะได้เห็นสิ่งที่เราควรจะเห็น

ก็คือเห็นธรรมะภายในใจของเรานี่เอง

ดังนั้นขอให้พวกเราจงทุ่มเทชีวิตจิตใจ

ให้กับการเจริญมรรคนี้

 งานภารกิจต่างๆ อย่างอื่นถ้าจำเป็นจะต้องทำ

 ก็ทำเท่าที่จำเป็น

 ถ้าไม่มีความจำเป็นก็อย่าไปทำมันจะดีกว่า

 มาทำงานอันนี้ที่สำคัญที่จำเป็นต่อการหลุดพ้น

 จากการเวียนว่ายตายเกิด

ต่อการหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลายนี้จะดีกว่า

 เพราะเวลาของเรานี้มีน้อยลงไปเรื่อยๆ

วันเวลาผ่านไปๆ เวลาที่เหลือในการที่เราจะศึกษา

และปฏิบัติที่จะสร้างพระนิพพานขึ้นมา

ภายในใจของเรานี้ จะมีน้อยลงไปเรื่อยๆ

ถ้าเราเอาเวลาอันสำคัญนี้ไปทำภารกิจอย่างอื่น

เราก็จะไม่ได้มาทำภารกิจสำคัญอันนี้

 ดังนั้นขอให้เราระมัดระวังให้มาก

ถ้าเรายังมีความจำเป็นจะต้องทำภารกิจอย่างอื่น

ก็ควรที่จะกำหนด ขอบเขตเอาไว้

อย่าให้มันบานปลายไป ทำเท่าที่จำเป็น

ทำให้มันเสร็จเร็วๆ อย่างหลวงตานี้

เวลาที่มีการสร้างกุฏิ สร้างอะไร

งานภายนอกจิตใจนี้ท่านจะให้ทำแบบรวดเร็ว

มีกำหนดเวลาไม่ให้ยืดเยื้อ

ถ้าจำเป็นจะต้องสร้างกุฏิก็ให้สร้างให้เสร็จๆ

ภายในเดือน ๒ เดือน เสร็จแล้วก็จบไม่ยืดเยื้อ

ไม่ต่อเนื่องไป ต่องานอื่น

 เอาความจำเป็นเป็นหลักแล้วงาน สิ่งที่จำเป็น

ก็ให้มันเรียบง่ายไม่ต้องหรูหราไม่ต้องพิสดาร

ไม่ต้อง ให้สวยงามมาก ทำเพื่อให้ได้ประโยชน์

ที่ต้องมีเท่านั้นก็พอ

 ขอให้พวกเราจงอย่าหลงทางอย่าหลงประเด็นกัน

อย่าปล่อย ให้ภารกิจการงานอย่างอื่น

มาทำลายภารกิจที่สำคัญ

คือการปฏิบัติการสร้างมรรค ๘ นี้

ขอให้เราจดจ่อมีความแน่วแน่

ต่อการสร้างมรรค ๘ นี้

เป็นอารมณ์ของเราไปทุกวันทุกเวลา

แล้วเราจะได้ทำภารกิจที่สำคัญ

ให้เสร็จลุล่วงไปภายในชาตินี้เลย.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

............................

ธรรมะบนเขาวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๗

“การศึกษาและเจริญมรรค ๘”







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 25 กันยายน 2559
Last Update : 25 กันยายน 2559 10:32:21 น.
Counter : 545 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ