Group Blog
All Blog
### กำจัดสิ่งที่หุ้มห่อจิตด้วยการปฏิบัติ ###













“กำจัดสิ่งที่หุ้มห่อจิต

ด้วยการปฏิบัติ”

สังโยชน์อีก ๒ ที่

อยู่ในกลุ่มของสังโยชน์เบื้องต่ำ

คือกามราคะและปฏิฆะที่ต้องละให้ได้

กามราคะคือ ความกำหนัดยินดี

 ในกามนี้เอง

 โดยเฉพาะการร่วมหลับนอนร่วมเพศ

ส่วนปฏิฆะก็คือความหงุดหงิดรำคาญใจ

 เวลาเกิดกามราคะก็จะหงุดหงิด

 ถ้ายังไม่ได้ร่วมเพศ พอได้ร่วมเพศแล้ว

 ความหงุดหงิดก็จะหายไปชั่วคราว

เพราะกามราคะได้หยุดไปชั่วคราว

หลังจากที่ได้ไปร่วมหลับนอน

ได้ร่วมเพศแล้ว

หลังจากนั้นก็จะเกิดกามราคะขึ้นมาใหม่

ก็จะหงุดหงิดใจอีก

การที่จะละกามราคะและปฏิฆะได้

ต้องเจริญอสุภกรรมฐาน

พิจารณาส่วนที่ไม่สวยงามของร่างกาย

 ส่วนที่สวยงามนี้เราเห็นกันอยู่ตลอดเวลา

 เพราะเราชอบเอาส่วนที่สวยงาม

ออกมาโชว์กัน

ถ้ายังไม่ได้อาบน้ำอาบท่า

 หวีเผ้าหวีผม แต่งเนื้อแต่งตัว

จะไม่กล้าออกจากบ้านกัน

ถ้าตื่นนอนลุกขึ้น จากเตียง

ขับรถออกไปทำงานเลย จะมีใครทำบ้าง

 ถ้าทำก็ไม่ต้องเจริญอสุภะกันให้เหนื่อย

 เพราะเห็นอสุภะกันตลอดเวลา

 แต่พวกเราไม่ชอบเอาอสุภะมาอวดกัน

 ชอบเอาแต่สุภะความสวยงามมาอวดกัน

 ก็เลยทำให้เกิดกามราคะ

ความกำหนัดยินดีขึ้นมา

 เกิดการข่มขืนกันฆ่ากัน

ข่มขืนแล้วก็ต้องฆ่าปิดปาก

ถ้าทุกคนเอาอสุภะมาอวดกัน

 จะไม่มีการข่มขืนกัน ไปไหนก็จะปลอดภัย

 กลับไม่ชอบอวดกัน

ชอบทำตัวให้เป็นเหยื่อล่อพวกอาชญากร

 ถ้าไม่อยากจะถูกข่มขืน

ก็เอาอสุภะออกมาอวดกัน

 จะไม่มีใครมาข่มขืน

 แต่งกายเหมือนคนขอทาน

 ใส่เสื้อผ้าขาดๆมีกลิ่นเหม็น จะปลอดภัย

 ไม่ถูกข่มขืนชำเรา

พวกเราไปสร้างเหตุโดยไม่รู้สึกตัว

ด้วยการแต่งตัว

ไม่ปกปิดร่างกายให้มิดชิด

 สวมใส่เสื้อผ้าตัวนิดเดียว

ที่วัดต้องจัดโสร่งไว้คอยต้อนรับ

ให้คนที่แต่งกายไม่สำรวม

ใส่โสร่งคลุมร่างกายไว้

ก่อนจะเข้าไปในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์

ถ้าต้องการละกามราคะ

ก็ต้องเจริญอสุภกรรมฐาน

 ต้องดูส่วนที่ไม่สวยไม่งามของร่างกาย

 ให้นึกถึงตอนที่เพิ่งตื่นขึ้นมา

 ผมเผ้ายังไม่ได้หวี ฟันยังไม่ได้แปรง

 เวลาไปขับถ่ายในห้องน้ำ

 ดูอวัยวะต่างๆที่อยู่ภายใต้ผิวหนัง

 มองด้วยปัญญา คือให้นึกถึงภาพ

ของอวัยวะต่างๆที่ซ่อนอยู่ภายใต้หนัง

เช่นโครงกระดูก หัวใจ ตับ ไต ลำไส้

ถ้าดูอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ

 เวลามองร่างกายก็จะมองอย่างสมดุล

 มองทั้งสองด้าน

 ด้านนอกก็เห็น ด้านในก็เห็น

 ก็จะระงับกามราคะได้

 หรือจะดูสภาพที่ตายไปแล้วก็ได้

ก็เป็นร่างกายอันเดียวกัน

ร่างกายที่เราชอบเรารัก

สักวันหนึ่งก็จะต้องกลายเป็นซากศพไป

ศพ ๓ วันเป็นอย่างไร

 ศพ ๗ วันเป็นอย่างไร

ศพ ๑๕ วันเป็นอย่างไร

ในสมัยก่อนเขาทิ้งศพไว้ในป่าช้า

 เวลามีแร้งกามากัดมากินเป็นอย่างไร

 เวลามีหนอนมีแมลงมีสัตว์ต่างๆ

 มาแทะกินจะเป็นอย่างไร

 ให้ดูอย่างนี้บ้าง

เพื่อจะได้เห็นความจริงของร่างกาย

ว่าสวยจริงหรือไม่สวยจริง

ถ้าดูอย่างนี้อย่างต่อเนื่อง

เวลาเห็นร่างกายปั๊บ

ไม่ว่าจะแต่งกายให้สวยขนาดไหนก็ตาม

 มีรูปร่างหน้าตาสวยงามขนาดไหนก็ตาม

 อสุภะที่ได้พิจารณาอยู่เรื่อยๆ

จะออกมาเตือนว่า

 ไม่ได้สวยงามอย่างที่เห็นด้วยตา

 ส่วนที่ไม่สวยที่ไม่เห็นก็มีอยู่ด้วย

นี่คือการเจริญอสุภกรรมฐาน

 ถ้าเจริญได้ประมาณสักครึ่งหนึ่ง

 ก็จะทำให้กามราคะเบาบางลงไป

จะมีความเบื่อๆอยากๆ

บางครั้งก็อยากถ้าเผลอ ไม่ได้คิดถึงอสุภะ

 เวลาใดที่นึกถึงอสุภะเวลานั้นก็จะเบื่อ

 ขั้นนี้เป็นขั้นของพระสกิทาคามี

ได้ทำให้กามราคะและปฏิฆะ

เบาบางลงไป แต่ยังไม่หมด

 ถ้าเจริญอสุภะได้อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา

 มองครั้งใดก็จะเห็นอสุภะทันที

ดับสุภะทันที อย่างนี้ก็จะเบื่อตลอดเวลา

 ไม่มีกามราคะไม่มีปฏิฆะ

หลงเหลืออยู่ภายในใจ

 ใจก็จะหมดความวุ่นวาย

 ไปกับเรื่องของร่างกาย

จะเห็นร่างกายทุกสัดทุกส่วน

 เห็นตั้งแต่สักกายทิฐิมา

ว่าเกิดแล้วต้องแก่ ต้องเจ็บ

 ต้องตาย เป็นธรรมดา

 เป็นดินน้ำลมไฟ เป็นอสุภะ เป็นปฏิกูล

 ถ้าเห็นอย่างนี้แล้วก็บรรลุขั้นอนาคามี

อนาคามีแปลว่าผู้ไม่กลับมาเกิดในกามภพ

 ไม่ต้องการร่างกายเป็นเครื่องมือ

ในการหาความสุขอีกต่อไป

จะหาความสุขจากความสงบภายในใจ

จะไม่ต้องเกิดในกามภพ

คือไม่เกิดเป็นเทพเป็นมนุษย์

 แต่ยังต้องเกิดเป็นพรหม

จนกว่าจะสามารถละสังโยชน์เบื้องบน

ที่มีอยู่ ๕ ข้อได้

คือ ๑. รูปราคะ ความติดใจในรูปฌาน

 ๒. อรูปราคะ ความติดใจในอรูปฌาน

 ๓. มานะ การถือตัว

 ๔. อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน

 ๕. อวิชชา ความไม่รู้พระอริยสัจ

 ๔ ที่ละเอียด อุทธัจจะ

เป็นความฟุ้งซ่านของจิตที่ละเอียด

 ต่างจากความฟุ้งซ่านของนิวรณ์

 ที่เป็นชนิดหยาบ

 เป็นความฟุ้งซ่านชนิดละเอียด

 ที่เกิดจากการทำงานของมหาสติมหาปัญญา

 ที่เลยขอบเขต ไม่หยุดไม่หย่อน

ไม่รู้จักพักผ่อน

ก็เลยทำให้เกิดความฟุ้งซ่านขึ้นมา

 พอเข้าถึงจุดนี้แล้ว

 สติปัญญาจะทำงานอย่างอัตโนมัติ

 จะขุดคุ้ยค้นหากิเลส หาสังโยชน์

 ที่ยังสร้างความทุกข์ให้กับจิตอยู่

อย่างไม่หยุดไม่หย่อน

 ก็เลยทำให้เกิดความฟุ้งซ่านขึ้นมา

 ถ้าหยุดพักจิตในสมาธิ

 หยุดความคิดปรุงแต่ง

ให้อยู่ในความสงบ

 ความฟุ้งซ่านก็จะหายไป

พอออกมาจากสมาธิก็จะพิจารณา

ขุดคุ้ยหากิเลสหาสังโยชน์ต่อ

เพื่อกำจัดให้หมดสิ้นไป

พอได้บรรลุพระอนาคามีแล้ว

จิตจะละเอียดมาก จะมีความสุขมาก

ก็จะติดใจ เป็นรูปราคะและอรูปราคะ

 ติดในรูปฌานและอรูปฌาน

 เวลาออกมาสัมผัสรับรู้เรื่องต่างๆ

 จิตก็จะเกิดอารมณ์ขุ่นมัว

 เพราะยังมีมานะความถือตัวอยู่

ถือว่าตนสูงกว่า เท่ากัน

หรือต่ำกว่าคนนั้นคนนี้

ก็จะมีความทุกข์ใจไม่พอใจ

 เช่นถ้าคิดว่าเป็นผู้ใหญ่

 พอไม่ได้รับความเคารพจากผู้น้อย

ก็จะไม่พอใจ

เป็นแม่ไม่ได้รับการเคารพจากลูก

ลูกไม่เชื่อฟัง ก็จะหงุดหงิดใจทุกข์ใจ

 ก็ต้องพิจารณามานะให้เห็นว่า

เป็นเพียงสมมุติ สมมุติว่าเขาสูงกว่าเรา

 เท่าเรา หรือต่ำกว่าเรา

ถ้าเป็นทหารก็จะสมมุติว่า

นายพันสูงกว่านายร้อย

ความจริงแล้วจิตเหมือนกันทุกดวง

 ไม่มีสูงไม่มีต่ำกว่ากัน

จิตเป็นเหมือนความว่าง

มีแต่ความรู้สึกนึกคิด

 พอไม่รู้ความจริงนี้

 ก็ไปหลงติดอยู่กับสมมุติ

เช่นพอบวชเป็นพระก็ได้รับสมมุติ

ว่ามีพรรษา ๑ พรรษา ๒ พรรษา ๓

ผู้ที่มีพรรษาสูงกว่าก็ต้องได้รับการเคารพ

 จากผู้มีพรรษาที่ต่ำกว่า

ถ้าผู้มีพรรษาต่ำกว่าไม่ให้ความเคารพ

 ก็อาจจะเกิดความไม่พอใจได้

ต้องพิจารณาให้เห็นว่า

เป็นเพียงสมมุติเท่านั้นเอง เรื่องสูงเรื่องต่ำ

 แล้วก็อย่าไปยึดอย่าไปติด

 ดังที่พระพุทธเจ้าทรงสอน

ให้ทำตัวเป็นเหมือนปฐพี

ให้เขาเหยียบย่ำได้

ให้ถ่ายปัสสาวะอุจจาระใส่ได้

ใครจะดูถูกดูแคลนดูหมิ่น

จะไม่เคารพนับถือ ก็จะไม่เป็นปัญหาเลย

 เป็นการแสดงของเขา เขาจะด่าจะชม

 ก็เป็นการแสดงของเขา

 เราเป็นคนดู ก็ดูเขาไป นี่คือวิธีแก้มานะ

ถ้าพิจารณาเพื่อแก้มานะหรืออวิชชา

 อย่างไม่หยุดไม่หย่อน

 ก็จะเกิดอุทธัจจะขึ้นมา

พิจารณาเพื่อให้รู้จักมานะ และอวิชชา

 เคยได้ยินได้ฟังมา แต่ยังไม่เคยเจอตัว

เคยอ่านในตำราเกี่ยวกับรูปราคะ

 อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา

ตอนนี้รู้จักรูปราคะอรูปราคะแล้ว

คือติดอยู่ในความสงบ

ไม่พิจารณามานะและอวิชชา

พอออกมาพิจารณา

ก็จะพิจารณาไม่หยุดไม่หย่อน

 จนเป็นอุทธัจจะความฟุ้งซ่านขึ้นมา

 ทางที่ถูกต้องกลับไปพักในสมาธิในฌาน

 ในรูปฌานหรืออรูปฌาน

พักจิตจนมีกำลังแล้ว

ค่อยออกมาพิจารณาต่อ

ก็จะเห็นมานะและอวิชชา

มานะก็คือการถือตน

อวิชชาคือไม่รู้พระอริยสัจ ๔ ที่ละเอียด

 ไม่เห็นทุกข์ที่ติดมากับความสุข

ที่ละเอียดและสว่างไสว

 ทำให้ยึดติด

 อยากให้เป็นอย่างนี้ไปตลอด

 ไม่รู้ว่ามันไม่เที่ยง

การขัดเกลากิเลสส่วนหยาบ

ส่วนกลางออกไป

ทำให้เกิดความสว่างไสว

 ความสงบ ความสุขที่ละเอียดขึ้นมา

 แต่ยังเป็นสมมุติอยู่ ยังเป็นไตรลักษณ์

 อนิจจังทุกขังอนัตตา

 ถ้าไม่รู้ก็จะคอยดูแลรักษา

เวลาจะเสื่อมก็ใช้สติปัญญารักษา

เพราะเคยใช้สติปัญญาในการทำจิต ให้สงบ

ให้สว่างให้ผ่องใส

 ก็เลยยังต้องทำงานต่อไปเรื่อยๆ

จนรู้ว่านี่ไม่ใช่วิธีที่จะปฏิบัติ

กับความสุขความสว่างนี้

ถ้าเป็นพระนิพพานเป็นสิ่งที่ถาวร

 ก็ไม่ต้องดูแลรักษา

ถ้าเป็นไตรลักษณ์ ก็ต้องปล่อยวาง

 เจริญหรือเสื่อม ก็ต้องปล่อย

ให้เป็นไปตามความเป็นจริง ไม่ต้องรักษา

อย่างที่หลวงตาท่านเคยพูดไว้ว่า

 ตอนที่อ่านเกี่ยวกับอวิชชานี่

ก็นึกว่าเป็นเสือดุร้าย แต่พอไปเจอตัวจริง

กลับเป็นเหมือนนางงาม

ก็เลยไปดูแลรักษาปกป้องมัน

 แทนที่จะทำลายมันด้วยปัญญา

 คือเห็นว่าเป็นไตรลักษณ์

ถ้าได้ยินได้ฟังจากผู้ที่ได้ผ่านมาแล้ว

 พอปฏิบัติถึงขั้นนี้ ก็จะรู้ทันที

จะไม่เสียเวลา

แต่ถ้าไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน

 ก็จะหลงติดไปก่อน

 เพราะสติปัญญาไม่รู้ทัน

 ว่ากำลังอารักขาอวิชชา

 แทนที่จะฆ่าอวิชชา

ตอนต้นคิดว่าจะมาทำลายอวิชชา

 แต่พอเจออวิชชากลับไปอารักขาอวิชชา

 เพราะไม่รู้ว่าเป็นอวิชชา

 พอรู้แล้วก็จะปล่อยวาง

 ถ้าความสว่างความไสว

 ความสุขอันละเอียดนี้

จะเสื่อมก็ปล่อยให้เสื่อมไป

 พอปล่อยแล้วก็จะไม่มีอะไรเหลือ

นอกจากความว่างที่เป็นปรมัง สุญญัง

 และความสุขที่เป็นปรมัง สุขัง

เป็นธรรมชาติของจิตที่สะอาดบริสุทธิ์

 ไม่มีวันเสื่อม ไม่มีวันหมดไป

มีอยู่ในจิตของพวกเราทุกคน

ที่ตอนนี้ถูกสิ่งที่เป็นไตรลักษณ์หุ้มห่ออยู่

 ทำให้ไม่เห็นจิตที่สะอาดบริสุทธิ์นี้

หน้าที่ของพวกเราจึงอยู่ที่การปฏิบัติ

 เพื่อกำจัดสิ่งที่หุ้มห่อจิต

คือสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ประการนี้

ด้วยการเจริญสติเพื่อสนับสนุนสมาธิ

ให้จิตเข้าสู่ฐาน

 เพื่อเข้าถึงสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ประการนี้

 ต้องเจริญสติให้มาก

 เพื่อทำจิตให้รวมเป็นหนึ่งเป็นเอกัคคตารมณ์

 สักแต่ว่ารู้ จะได้กำจัดสังโยชน์

ทั้ง ๑๐ ประการให้หมดไปได้

นี่คือแนวทางของการบรรลุมรรคผลนิพพาน

 ต้องเห็นพระอริยสัจ ๔

เห็นว่าทุกข์เกิดจากสมุทัยคือความอยาก

ให้สิ่งต่างๆที่ไม่เที่ยงไม่ใช่ตัวเราของเรา

 ให้เป็นไปตามความอยาก

มรรคผลทุกขั้นจะต้องบรรลุ

ด้วยการปล่อยวาง

จะปล่อยวางได้ก็ต้องมีเครื่องมือ

 เช่นจะปล่อยวางกามราคะได้

ก็ต้องเห็นว่าร่างกายไม่สวยไม่งาม

 เป็นปฏิกูล เป็นอสุภะ

จะปล่อยวางสักกายทิฐิได้

ก็ต้องเห็นว่าร่างกายเป็นเพียงดินน้ำลมไฟ

 ไม่ใช่ตัวเราของเรา

การเห็นสิ่งอื่นในเวลาภาวนานี้ไม่สำคัญ

เท่ากับเห็นพระอริยสัจ ๔

 เห็นทุกข์สมุทัยนิโรธมรรค

 ถ้าเห็นนิมิตต่างๆ

ก็เหมือนกับเห็นสิ่งต่างๆด้วยตาเนื้อ

 ไม่เป็นประโยชน์

ควรเห็นว่าใจมีความรู้สึกอย่างไร

กับสิ่งที่เห็น ยังรัก ยังชัง

ยังโลภ ยังโกรธหรือไม่

 เวลาเห็นภาพที่สวยงาม

มีกามราคะเกิดขึ้นมาหรือไม่

เห็นความตายแล้ว

เกิดความกลัวขึ้นมาหรือไม่

นี่คือสิ่งที่เราต้องเห็น

ก็คือปฏิกิริยาของใจต่อสิ่งต่างๆ

ที่ใจสัมผัสรับรู้

ถ้าเห็นแล้วสักแต่ว่ารู้ ก็จะหมดปัญหา

ดังที่ทรงสอนชายคนหนึ่ง

 ในขณะที่กำลังบิณฑบาตว่า

 เห็นอะไร ก็สักแต่ว่าเห็น

ได้ยินอะไรก็สักแต่ว่าได้ยิน

อย่าไปมีปฏิกิริยากับสิ่งที่เห็นสิ่งที่ได้ยิน

 พอตรัสเท่านั้นเขาก็บรรลุ

 แล้วก็ขอกราบลาเพื่อไปเตรียมอัฐบริขาร

เพื่ออุปสมบท ในระหว่างทาง

ก็ไปถูกกระทิงขวิดตาย

 ก็เลยเกิดความเข้าใจผิด

ในวงพุทธศาสนิกชนว่า

 ถ้าบรรลุแล้วยังไม่ได้บวช

ภายใน ๗ วันจะต้องตาย

 เพราะชายคนนี้บรรลุแล้วแต่ยังไม่ได้บวช

 ก็เลยต้องตายไป

พระราชบิดาก็ทรงบรรลุ

เป็นพระอรหันต์ ๗ วันก่อนเสด็จสวรรคต

ก็เลยกลัวกันว่าถ้าบรรลุแล้วไม่ได้บวช

ภายใน ๗ วัน จะต้องตายกัน

อันนี้ไม่มีเหตุไม่มีผล

 เป็นเรื่องบังเอิญมากกว่า

เพราะการโกนหัวห่มผ้าเหลือง

จะป้องกันความตายได้อย่างไร

เนื่องจากปัญญาของพุทธศาสนิกชน

ทุกวันนี้มีน้อยมาก

 พอได้ยินอะไรก็กลัวกันเชื่อกันไปหมด

เป็นพวกมงคลตื่นข่าว

พวกเราจึงต้องหนักแน่นต่อเหตุผล

ต่อพระธรรมคำสอน

ควรศึกษาพระธรรมคำสอน

ของพระพุทธเจ้าให้มาก

ควรศึกษาจากต้นฉบับเลยคือพระไตรปิฎก

ศึกษาพระธรรมพระสูตรที่สำคัญต่างๆ

เช่นพระธัมมจักกัปปวัตตนสูตร

 พระอนัตตลักขณสูตร พระมงคลสูตร

พระมหาสติปัฏฐานสูตร

จะได้รู้ว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนอะไร

 เวลามีคนมาประกาศตนเป็นผู้วิเศษ

สอนให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้

จะได้รู้ว่าวิเศษจริงหรือไม่

 สอนตามหลักธรรม

ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนหรือไม่

 แต่พวกเราไม่ค่อยสนใจศึกษากัน

 ทั้งๆที่เป็นชาวพุทธ

 แต่ไม่ศึกษากันอย่างจริงจัง

ไม่เหมือนชาวต่างประเทศ

ที่ไม่ได้เกิดในประเทศที่นับถือพุทธศาสนา

 ต้องศึกษาพระธรรมคำสอนจากพระไตรปิฎก

จึงรู้ดีกว่าพวกเรา ที่เป็นพวก

ใกล้เกลือกินด่าง ไม่ยอมศึกษากัน

 แต่ยังโชคดีที่มีครูบาอาจารย์

ที่ได้ศึกษาและปฏิบัติ นำมาถ่ายทอด

มาป้อนให้พวกเรา ที่ชอบให้ป้อน

 ไม่ชอบหากินเอง

 ถ้าไม่ได้มาฟังธรรมที่นี่

 ก็คงจะไม่ได้ศึกษาธรรมกัน

 พอกลับไปบ้านก็ไปดูพวกบันเทิง

ไม่ดูธรรม ไม่ฟังธรรม

แล้วจะเจริญก้าวหน้าได้อย่างไร

ถ้าเป็นชาวพุทธจริง

และอยากจะได้รับอานิสงส์

จากการเป็นชาวพุทธ ก็ต้องศึกษา

ปริยัติคือการศึกษา ศึกษาแล้วก็ปฏิบัติ

เมื่อปฏิบัติแล้วปฏิเวธ

คือการบรรลุธรรมขั้นต่างๆ

ก็จะเป็นผลที่ตามมาต่อไป

เมื่อบรรลุแล้วก็จะสามารถ

สั่งสอนผู้อื่นได้ต่อไป

และช่วยยืดอายุของพระพุทธศาสนา

 รักษาพระพุทธศาสนาให้อยู่กับโลกไปนานๆ

อยู่ที่การศึกษา การปฏิบัติ

การบรรลุผล และการเผยแผ่

พระธรรมคำสอน ต้องทำตามขั้นตอน

 อย่าข้ามขั้นอย่างที่ทำกัน

 คือศึกษาแล้วก็ข้ามขั้นปฏิบัติ

ไปเป็นครูเป็นอาจารย์ไปสั่งสอน

 ทั้งๆที่ยังไม่ได้บรรลุ

ก็จะสั่งสอนด้วยจินตนาการ

 คิดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้

 คนฟังฟังแล้วก็งงไม่มั่นใจ

 ถ้าเชื่อก็จะหลงผิดไป ทำให้ศาสนาเสื่อม

 เพราะจะสอนผิดๆไปเรื่อยๆ

จนสิ่งที่ถูกกลายเป็นผิด

สิ่งที่ผิดกลายเป็นถูกไป

นี่คือหน้าที่ของพวกเราชาวพุทธ

 ถ้าอยากจะทดแทนบุญคุณของพระพุทธเจ้า

พระอริยสงฆ์สาวกทั้งหลาย

 ขอให้ทำตามคำสอน

คือศึกษา ปฏิบัติ บรรลุผล

 แล้วค่อยเผยแผ่ ตามลำดับ

จะได้บูชาพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์

อย่างแท้จริง เป็นสิริมงคล

 เป็นความสุขความเจริญ

มีญาติโยมอยากให้สร้างศาลาใหม่

 ให้ใหญ่กว่าเก่า ได้ตอบไปว่า

จะไม่มีการก่อสร้างบนนี้

 เพราะต้องการรักษาสภาพของความเป็นป่า

 ของความสงบไว้

 ไม่ต้องการความเจริญทางวัตถุ

ต้องการความเจริญทางจิตใจ

ถ้าเจริญทางวัตถุก็มักจะทำลาย

ความเจริญทางจิตใจ เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน

 ที่ไหนมีการก่อการสร้าง

ที่นั่นก็จะไม่มีความสงบ ไม่มีการปฏิบัติ

 เวลาหลวงตาสอนพระทุกครั้ง

ท่านต้องบอกว่าอย่าก่อสร้าง

ท่านรู้ว่าพระชอบก่อสร้างกุฏิ สร้างศาลา

สร้างเจดีย์ แต่ไม่ชอบสร้างมรรคผลนิพพาน

 สร้างความสงบภายในใจ

ใจจะสงบได้กายต้องสงบก่อน

 สภาพแวดล้อมของกายต้องสงบสงัดวิเวก

 ไม่คลุกคลีกัน

จะมารวมกันเฉพาะเวลาทำกิจ

 เช่นฟังเทศน์ฟังธรรม

ฉันจังหัน บิณฑบาต ปัดกวาด

 ที่พระป่าจะมาพบกัน

 แต่จะไม่สนทนากัน

 ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตน

ในสมัยพระพุทธกาลมีชาวบ้านสงสัยว่า

พระทะเลาะกันหรือ จึงไม่พูดคุยกันเลย

ความจริงท่านกำลังควบคุม

กายวาจาใจของท่าน

โดยเฉพาะใจของท่าน ให้อยู่ในความสงบ

ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่ให้คิดปรุงแต่ง

ถ้าคุยกันก็แสดงว่าใจยังฟุ้งซ่าน

 วิถีชีวิตของผู้ที่ปฏิบัติกับผู้ที่ไม่ปฏิบัติ

 เพื่อมรรคผลนิพพานจะต่างกัน

ผู้ที่ไม่ปฏิบัติจะชอบ

การสนทนาสังสรรค์กัน

ในวงการปฏิบัติจะรู้หน้าที่ของตน

รู้ว่าต้องควบคุมความคิดปรุงแต่ง

 สำรวมกายวาจาใจ เพื่อให้ใจสงบ

ทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อความสงบ

การปฏิบัติจะก้าวหน้าหรือไม่

ก็อยู่ที่ความสงบ ถ้าจิตไม่สงบไม่ถึงฐาน

ปัญญาจะไม่เป็นปัญญา

ไม่สามารถถอนรากถอนโคน

ของกิเลสตัณหาได้

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

........................

กัณฑ์ที่ ๔๒๕ วันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๔

“สักกายทิฐิ”





ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 08 พฤศจิกายน 2559
Last Update : 8 พฤศจิกายน 2559 6:48:01 น.
Counter : 722 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ