Group Blog
All Blog
### ไปพระนิพพาน ###












“ไปพระนิพพาน”

การจะไปถึงพระนิพพานได้

ต้องตัดทุกสิ่งทุกอย่าง

ที่เป็นเหมือนโซ่ล่ามดวงจิตดวงใจ

ไม่ให้ไปถึงพระนิพพานนั่นเอง

อันนี้ก็ต้องใช้ปัญญาเท่านั้น

ถึงจะตัดโซ่ที่ล่ามหัวใจให้ติดอยู่กับวัฏจักร

 แห่งการเวียนว่ายตายเกิด

 ถ้ายังติดกับทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทอง

ติดกับความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย

ที่ได้จากคนนั้นคนนี้ถ้าตัดไม่ได้

ก็ไปนิพพานไม่ได้

 ถ้าเห็นว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาก็จะตัดได้

 เพราะรู้ว่าอย่างไรๆ ก็ต้องจากกันอยู่ดี

 จะจากแบบขาดทุนหรือจากแบบกำไรเท่านั้น

 จากแบบกำไรก็คือไป ถึงพระนิพพาน

ตัดแล้วก็ไปถึงพระนิพพานได้

 ตัดแบบขาดทุนก็คือต้องจำใจจากกัน

เวลาถึงเวลาที่ต้องจากกัน ถ้าจากแบบนั้น

ก็ไปไม่ถึงพระนิพพานก็จะกลับมาเกิดใหม่

เพราะใจยังมีความผูกพันอยู่

ยังอยากจะกลับมาหา

รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะใหม่อีก

 จากแบบนี้ก็จากแบบขาดทุน

เพราะจากแบบไม่ได้หลุดพ้น

 จากการเวียนว่ายตายเกิด

ต้องจากแบบกำไรคือ ต้องตัดก่อน

ที่จะตายจากสิ่งเหล่านั้นไป

 เช่นทรัพย์สมบัติข้าวของ เงินทอง

ต้องสละก่อนตาย ถ้าสละหลังตายแล้วนี้

ไม่ถือว่าสละเพราะไม่ได้สละ

 สละด้วยความจำใจ ด้วยความจำยอม

 เพราะว่าไม่สามารถเอาไปกับตนได้

จึงต้องทิ้งไว้ให้คนอื่น

 ถ้าต้องการที่จะสละแบบเพื่อไป พระนิพพาน

 ก็คือต้องสละตอนที่ยังมีชีวิตอยู่

เช่นพระพุทธเจ้าก็เสด็จออกจากพระราชวัง

 สละราชสมบัติไป

 ต้องสละในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่

ไม่ใช่เขียนมรดกไว้ว่าเวลาตายแล้ว

ขอมอบให้คนนั้นคนนี้ อันนั้นไม่ได้สละจริง

 สละเพราะว่าหมดสิทธิ์แล้ว

ไม่ได้เป็นของตนแล้ว

นี่คือปัญญาที่เป็นบารมีที่สำคัญที่สุด

บรรดาบารมีทั้งหลาย

แต่กว่าจะมาถึงขั้นปัญญาบารมีได้นี้

ก็ต้องผ่าน ขั้นเมตตาบารมี ขั้นทานบารมี

 ขั้นศีลบารมี ขั้นเนกขัมมะบารมี

ขั้นอุเบกขาบารมีก่อน ถึงจะสามารถเข้าสู่

ขั้นของปัญญาบารมีได้

 และก่อนที่จะสร้างบารมีเหล่านี้ได้

ก็จำเป็นจะต้องมีอธิษฐานบารมีก่อน

 อธิษฐานบารมีนี้ แปลว่าความตั้งใจ

 ต้องตั้งเป้าไว้ก่อนว่า

เราจะทำอะไรกับชีวิตของเรา

 เราจะหาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย

 เราจะเป็นมหาเศรษฐีเป็นจักรพรรดิ

 หรือว่าเป็นพระอรหันต์

 อันนี้เราต้องตั้งเป้าไว้ก่อน

 เหมือนกับพระพุทธเจ้า ตอนที่ประสูติได้ ๗ วัน

ก็มีโหรได้ทำนายไว้ว่า พระพุทธเจ้านี้

มีทางไปอยู่ ๒ ทาง ถ้าอยู่ในทางโลก

ก็จะได้เป็น พระมหาจักรพรรดิ

ถ้าออกบวชสละราชสมบัติ

 ก็จะได้เป็นพระพุทธเจ้า

 โหรทั้งรู้สึกว่าทำนายแบบเหมือนกันหมด

 แต่มีโหรเพียงรูปเดียวคนเดียว

ที่ทำนายต่างจากคนอื่น โหรคนนี้ว่า

มีทางเดียวเท่านั้น คือต้องเป็นพระพุทธเจ้า

เพียงอย่างเดียว อันนี้เราต้องตั้งเป้าแล้วว่า

ชีวิตของเราต้องไปทางไหน

เราจะไปทางโลกหรือไปทางธรรม

เพราะถ้าเราไม่ตั้งเป้า

เราจะโลเลเหมือนคนเมาเหล้า

 เดี๋ยวก็ขับไปทางซ้าย เดี๋ยวก็ขับไปทางขวา

 ไม่มีความแน่วแน่ต่อจุดหมายปลายทางที่เราจะไป

 นี่คือคำว่าอธิษฐานบารมี ไม่ใช่ขอ

ไม่ใช่ว่าขอให้ได้สิ่งนั้นขอให้ได้สิ่งนี้

ขอไปจนวันตายก็ไม่ได้

แต่อธิษฐานนี้เป็นการตั้งเป้า

ของการเดินทางของเรา

ของการดำเนินชีวิตของเรา

ว่าเราจะดำเนินชีวิตของเรา ไปในทิศทางใด

 เราจะไปทางโลกเป็นมหาเศรษฐี

 เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นประธานาธิบดี

 เป็นมหากษัตริย์ หรือว่าเราจะไปทางธรรม

 เราจะไปเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี

 อนาคามี พระอรหันต์

 อันนี้เราต้องตั้งเป้าไว้ก่อน

 ถ้าเราตั้งเป้าจะไปทางธรรม

เราก็จะได้เจริญบารมีต่างๆ

 ถ้าเราตั้งเป้าไปทางโลกเราก็จะไม่มาเจริญบารมี

เราก็จะตั้งหน้าตั้งตามุ่งไปสู่ สิ่งที่เราต้องการ

 ถ้าจะเป็นนายกฯก็ต้องไปเลือกตั้ง

 เป็นส.ส.เป็นอะไรไป เข้าสภาไป

แล้วก็ให้เขาเลือก เป็นนายกฯขึ้นมา

 ถ้าต้องการเป็นมหาเศรษฐี

ก็ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากิน เก็บเงินเก็บทอง

ได้เงินได้ทองมาก็เอาไป ลงทุนใหม่

เอาไปขยายกิจการให้กว้างใหญ่ไพศาล

อย่างพวกธนาคารเริ่มต้นด้วยธนาคารสาขาที่ ๑

 แล้วต่อมาก็ขยายเป็นสาขาที่ ๒ ที่ ๓

จนกลายเป็น ๑๐๐ เป็น ๑,๐๐๐ สาขาขึ้นมา

 ก็เป็นมหาเศรษฐีได้อยู่ที่คนเราจะต้องตั้งเป้ากัน

ว่าจะดำเนินชีวิตไปในทางไหน

พอตั้งเป้าแล้วมันก็จะต้องมีสัจจะตามมา

 คือต้องจริงใจต่อการตั้งเป้า ไม่ใช่ตั้งแล้วก็

 พอเวลาทำจริงๆ ไม่ทำแล้ว เปลี่ยนใจ

 ถ้าเปลี่ยนใจก็จะไปไม่ได้

จะไปไม่ถึงดวงดาว

จะไปไม่ถึงเป้าหมายที่เราต้องการ

 พอตั้งเป้าแล้ว ต้องไม่เปลี่ยนใจ

 นอกจากเห็นว่าเป้าที่เราไปนี้

มันไม่ถูกทางก็เปลี่ยนได้

 แต่ไม่ใช่เปลี่ยนแบบซ้ำๆซากๆ

 เปลี่ยนเป้านี้อีก ๒ วันก็เปลี่ยนอีกเป้าหนึ่ง

 เปลี่ยนมันไปเรื่อยๆ อย่างนี้ไม่ใช่

 อย่างนี้แสดงว่าไม่มีสัจจะ

 แต่ถ้าตอนต้นคิดว่าไปทางนี้แล้ว

 พอไปแล้วเห็นว่ามันไม่ใช่ทางที่ควรจะไป

อันนี้ก็ยังพอจะเปลี่ยนได้

 เช่นตอนต้นคิดว่าจะไปเอาดีทางโลก

พอไปทำจริงๆแล้วรู้สึกว่ามันไม่ถูกกับเรา

 เราไปทางธรรมน่าจะดีกว่า

อย่างนี้ก็เปลี่ยนได้ แต่อย่าเปลี่ยนบ่อย

เปลี่ยนแบบมีเหตุมีผล พอเราตั้งเป้าแล้ว

เราก็ต้องมีสัจจะความจริงใจ

 ที่จะดำเนินตามที่เราได้ตั้งเป้าไว้

เราก็ต้องมีวิริยะ อุตสาหะ

พยายามความพากเพียร

ที่จะผลักดันตัวเรา ให้ไปสู่เป้าหมายนั้น

ถ้าต้องการไปสู่พระนิพพาน

ก็ต้องสร้างบารมีต่างๆ สร้างเมตตา

ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมะบารมี

 อุเบกขาบารมี ปัญญาบารมี

เวลาสร้างบารมีเหล่านี้มันก็ยากลำบาก

 ก็ต้องมีขันติบารมี มาสนับสนุน

 ต้องมีความอดทน เวลาต่อสู้

กับกิเลสตัณหานี้มันแสนจะบาดใจ

 แสนจะทรมานใจ

เวลาขังตัวเองอยู่ในบ้าน

ไม่ให้ดูไม่ให้ฟังไม่ให้ดื่ม

ไม่ให้รับประทานนี้

กิเลสมันจะออกมาฟาดหางฟาดงา

 มันจะมาสร้างความทุกข์ทรมานใจ

ถ้าไม่มีขันติความอดทน

จะยอมแพ้จะยกธงขาว ถอยดีกว่า

ถ้ายกธงขาวก็ไปไม่ถึงจุดหมายปลายทาง

แต่ถ้ามีขันติมีความอดทน

จะทุกข์จะยากจะลำบากอย่างไรก็ไม่ถอย

เดินต่อไป ช้าบ้าง เร็วบ้าง

 หรืออาจจะติดอยู่กับที่บ้าง

บางครั้งบางเวลา

ก็เหมือนกับการขับรถบนท้องถนน

 ที่บางทีก็เร็วบางทีก็ช้า

 บางทีก็ติด ติดไฟดงไฟแดง

ติดรถอุบัติเหตุ แต่อย่างไรก็ตาม

ก็จะเดินทางต่อไปให้ถึง

จุดหมายปลายทางให้ได้

นี่คือบารมีทั้ง ๑๐ ประการ

ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงบำเพ็ญมา

ที่ได้ทำให้พระโพธิสัตว์คือเจ้าชายสิทธัตถะ

 ได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

และก็เป็นบารมีที่ได้ทรงนำเอามาสั่งสอน

ให้แก่สัตว์โลกอย่างพวกเราทั้งหลาย

 ถ้าพวกเราสามารถเจริญบารมีเหล่านี้ได้

 เราก็จะได้รับผลเช่นเดียวกับ

ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงรับ

 ก็คือจะได้เป็นพระอรหันตสาวก

พระพุทธเจ้าเป็น

พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

 ผู้ที่ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า

 เรียกว่าพระอรหันตสาวก

 เป็นพระอรหันต์เหมือนกันคือเป็นผู้บริสุทธิ์

ปราศจากความโลภ ความโกรธ

 ความหลงเหมือนกัน

 ต่างกันตรงที่พระพุทธเจ้า

เป็นผู้พบทางด้วยพระองค์เอง

ส่วนพระอรหันตสาวกนี้ เป็นผู้รับฟัง

คำสอนของพระพุทธเจ้า

สาวกแปลว่าผู้ฟัง

อรหันตสาวกก็คือผู้ฟังที่ได้บรรลุ

เป็นพระอรหันต์

 อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่บรรลุ

 เป็นพระอรหันต์ได้ด้วยตนเอง

ต่างกันตรงนี้ ต่างตรงที่พระพุทธเจ้า

ไม่มีใครสอน แต่พระสาวกนี้

 ต้องมีพระพุทธเจ้าเป็นผู้สอน

จึงจะสามารถบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้

 แต่วิธีการปฏิบัติก็เหมือนกัน

 ต้องเจริญบารมีทั้ง ๑๐ ประการนี้

ด้วยกันทุกคน

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.............................

ธรรมะบนเขา วันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๗

“บารมี ๑๐ ประการ”







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 16 ธันวาคม 2559
Last Update : 16 ธันวาคม 2559 11:46:43 น.
Counter : 1078 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ