Group Blog
All Blog
### ทดแทนบุญคุณที่ยิ่งใหญ่ ###









“ทดแทนบุญคุณที่ยิ่งใหญ่”

วันออกพรรษา

พระพุทธเจ้าจึงเสด็จลงจากสวรรค์

 ลงมากลับมาสู่โลกมนุษย์

หลังจากที่ได้ทรงขึ้นไปโปรด

พระพุทธมารดา อยู่ ๓ เดือนด้วยกัน

ขึ้นไปสั่งสอนธรรมให้แก่พระพุทธมารดา

ด้วยความกตัญญูกตเวที

ถึงแม้ว่าพระมารดาจะอยู่กับพระราชโอรส

ได้เพียง ๗ วันพระมารดาก็เสด็จสวรรคตไป

แต่การให้กำเนิดนี้

ก็ถือว่าเป็นพระคุณอันใหญ่หลวง

 พระพุทธเจ้าจึงมีความปรารถนา

ที่ทดแทนบุญคุณ ให้แก่พุทธมารดา

 และวิธีที่จะทดแทนได้อย่างสมบูรณ์แบบ

 ก็มีอยู่วิสัยของพระพุทธเจ้าแล้วคือ

มีความสามารถ ที่จะสอนให้พุทธมารดา

ได้บรรลุเป็นพระโสดาบันได้หลุดพ้น

จากการที่จะต้องไปเกิดในอบาย

ถึงแม้ว่าจะได้เคยทำบาป

มามากน้อยเพียงไรก็ตาม

ถ้าได้บรรลุเป็นพระโสดาบันแล้ว

 ก็ไม่ต้องไปเกิดในอบายอีกต่อไป

แล้วก็จะมีภพชาติเหลืออยู่ไม่เกิน ๗ ชาติ

เป็นอย่างมาก ก็จะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์

ยุติการเวียนว่ายตายเกิดได้อย่างถาวร

อันนี้เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าปรารถนา

และได้มอบให้กับพระพุทธมารดา

โดยได้แสดงพระธรรมเทศนา

 อบรมสั่งสอนพระพุทธมารดา

ไว้อยู่ ๑ พรรษาด้วยกัน

 จนพุทธมารดาได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน

 พระพุทธเจ้าก็เลยถือว่า

ได้ทดแทนบุญคุณที่ยิ่งใหญ่นี้

ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว

 วิธีอื่นนี้พระองค์ทรงบอกว่ายังไม่พอ

ทดแทนบุญคุณของพ่อของแม่ด้วยวิธีอื่น

จะให้เงินทองท่านเป็นกี่ร้อยล้านพันล้าน

จะเลี้ยงดูท่านอย่างดี

 จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต

จะจัดงานศพให้ยิ่งใหญ่

ตระการตาขนาดไหนก็ตาม

 บุญคุณที่ท่านมีต่อเราก็ยังไม่หมด

 จะหมดก็ต่อเมื่อ เราสามารถทำให้ท่าน

ได้เป็นพระโสดาบัน

ทำให้ท่านไม่ต้องไปเกิดในอบายอีกต่อไป

และทำให้ท่านหลุดพ้น

จากการเวียนว่ายตายเกิด

ในเวลาไม่เกิน ๗ ชาติเป็นอย่างมาก

ผู้ที่จะทำอย่างนี้ได้ก็ต้อง

อย่างน้อยก็ต้องเป็นพระโสดาบันขึ้นไป

 ถ้าตนเองยังเป็นโสดาบันไม่ได้

สอนตนเองให้เป็นโสดาบันไม่ได้

 จะไปสอนให้คนอื่นเป็นโสดาบันได้อย่างไร

 พระพุทธเจ้านี้เป็นโสดาบัน

เป็นพระอรหันต์แล้ว

ท่านจึงสามารถสอนพุทธมารดา

ให้เป็นพระโสดาบันได้

ส่วนพระราชบิดา ตามตำราก็บอกว่า

ท่านก็สอนให้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ๗ วัน

ก่อนที่จะเสด็จสวรรคต

นี่ก็เป็นการทดแทนพระคุณ

ของพระพุทธเจ้าต่อพระพุทธบิดา

 และทรงตอบบุญคุณของพระมารดาเลี้ยง

 ด้วยการอนุญาตให้บวชเป็นภิกษุณี

 เป็นภิกษุณีรูปแรกของพระพุทธศาสนา

เป็นผู้ขออนุญาตจากพระพุทธเจ้า ให้ได้บวช

 ก่อนหน้านั้นจะไม่มีภิกษุณี

 เพราะการเป็นภิกษุณีนี้เป็นของที่ยากมาก

 ยากยิ่งกว่าการเป็นภิกษุ

 เพราะว่าภิกษุณีเป็นเพศหญิง

แล้วการอยู่แบบภิกษุ

 ภิกษุณีนี้จะต้องอยู่แบบทรหดอดทน

ทั้งทางร่างกาย และทางจิตใจ

พระองค์ในเบื้องต้นนี้

 ไม่ปรารถนาที่จะบวชภิกษุณี

 เพราะทรงเห็นว่ามันค่อนข้างจะทุลักทุเล

 และก็จะเป็นภาระแก่พระภิกษุ

 เพราะว่าพระภิกษุณี

จะต้องมีพระภิกษุคอยเป็นผู้ดูแลอบรมสั่งสอน

 เป็นพี่เลี้ยงแล้วก็การอยู่ใกล้ชิดกัน

ระหว่างหญิงกับชายก็จะเกิดเป็นปัญหาได้

 ถ้าพระภิกษุนั้นมีจิตใจที่ไม่เข้มเเข็ง

ถ้าได้อยู่ใกล้ชิดกับภิกษุณี

ก็อาจจะเกิดการประพฤติที่ไม่เหมาะสม

แก่พรหมจรรย์ได้

พระองค์จึงไม่อยากที่จะบวชภิกษุณี

แต่หลังจากที่พระอานนท์

มากราบทูลถามพระพุทธเจ้า

 ถึงบุญคุณของพระพุทธมารดาเลี้ยง

ของพระพุทธเจ้าว่าท่านก็เลี้ยงดูพระพุทธเจ้ามา

ตั้งแต่หลังจากที่พระพุทธมารดา

ได้เสด็จสวรรคตไป บุญคุณของท่านก็ยิ่งใหญ่

ทำไมท่านจะตอบแทนบุญคุณนี้ ได้หรืออย่างไร

 ในที่สุดพระพุทธเจ้าก็เลยต้องยอมบวชภิกษุณี

 แต่ทรงตั้งเงื่อนไขไว้หลายประการด้วยกัน

 เพื่อที่จะให้ภิกษุณีนั้นอยู่อย่างมั่นคง

 อยู่อย่างปลอดภัย

มีผู้คอยคุ้มครองดูแลสั่งสอนอบรม

 เช่นมีอยู่ข้อหนึ่งที่ทรงตั้งเงื่อนไขไว้คือ

 ภิกษุณีถึงแม้จะบวชมาได้

เป็น ๑๐ เป็น ๒๐ เป็น ๓๐ พรรษา

 ก็ยังต้องเคารพพระภิกษุที่เพิ่งบวชใหม่ในวันเดียว

 จะให้ภิกษุณีนี้ต้องเคารพพระเสมอ

 เพราะพระจะต้องเป็นพี่เลี้ยงพระภิกษุณีนั่นเอง

 เพราะเพศของชายกับหญิงนี้มีความต่างกัน

 เพศชายนี้มีกำลังวังชามากกว่าเพศหญิง

 สมัยก่อนนั้นโจรผู้ร้ายอะไรก็มีมากมาย

 ถ้าปล่อยให้ผู้หญิงอยู่กันตามลำพังนี้

ก็อาจจะเป็นอันตรายต่อผู้หญิงได้

ก็เลยต้องอยู่กับพระ

แต่ไม่ได้อยู่ร่วมกันแยกกันอยู่

 แบ่งเป็นโซนกัน โซนพระกับโซนภิกษุณีไป

อันนี้ก็เป็นเรื่องการทดแทนบุญคุณ

ของพระพุทธเจ้าต่อผู้มีพระคุณเช่นเดียวกัน

 ทำให้พระพุทธบิดาได้บรรลุเป็นพระอรหันต์

 ทำให้พระพุทธมารดาเลี้ยงได้บวชเป็นภิกษุณี

และได้บรรลุ เป็นพระอรหันต์ตามลำดับต่อมา

 แม้แต่พระราชโอรสคือเจ้าชายราหุล

ก็ได้บวชเป็นสามเณร

 เป็นสามเณรรูปแบบ ราหุลนี้

เป็นลูกของพระพุทธเจ้า

ได้บวชตั้งแต่อายุ ๖ - ๗ ขวบ

 คือตอนที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว

หลังจากที่ได้บำเพ็ญอยู่ ๖ ปี ได้ตรัสรู้

 ทางในวังทราบข่าวก็นิมนต์ให้ไปโปรดในวัง

พอไปถึงในวังก็พระมเหสี

ก็ส่งเจ้าชายราหุลมากราบ

ขอพระมรดกจากพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าก็เลยจับบวชเป็นเณร

 นี่คือมรดกของพระพุทธเจ้าคือ

จับมาบวชเป็นพระ มาบวชเป็นเณร

เพื่อจะได้ศึกษาได้ปฏิบัติ

และในที่สุด ก็ได้บรรลุ

เป็นพระอรหันต์เช่นเดียวกัน

 คิดดูความสามารถของคนคนเดียว

ที่ช่วยให้คนอื่นนี้ ที่ไม่เคยคิดเคยฝันมาก่อน

ว่าจะได้เป็นพระอรหันต์ ได้เป็นพระอริยบุคคล

สามารถเป็นขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย

ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าแล้วสัตว์โลกทั้งหมด

ที่มีอยู่ในปัจจุบันและในอดีตนี้

จะไม่มีใครแม้แต่คนเดียว

ที่จะสามารถบรรลุถึงอริยมรรค อริยผลได้

สามารถบรรลุเป็นพระอริยเจ้า

เป็นพระอริยบุคคล เป็นพระโสดาบัน

 พระสกิทาคา พระอานาคามี พระอรหันต์ได้เลย

เพราะว่าปัญญานั้นมีไม่พอที่จะเห็นเหตุ

ที่จะทำให้ได้บรรลุกัน

แต่พระพทุธเจ้านี้เป็นพระองค์เดียวเท่านั้น

ที่มีพระปัญญาบารมี

 มีความสามารถเช่นพระขันติบารมี

พระวิริยะบารมีที่จะสามารถมองเห็นเหตุ

ที่จะทำให้บรรลุเป็นพระพุทธเจ้า

เป็นพระอรหันต์ได้ พอรู้แล้วมาบอกคนที่ไม่รู้

คนไม่รู้ก็นำเอาไปปฏิบัติตาม

ไม่ช้าก็เร็วก็บรรลุได้อย่างง่ายดาย

 เพราะมีคนบอกวิธีแล้ว

ถ้าไม่มีคนบอกวิธีก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร

นี่คือพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้า

ที่ทรงมีต่อผู้ที่เกี่ยวข้องคือพระราชวงศ์

และต่อบุคคลทั่วไป ผู้ใดที่ได้สัมผัส

ได้ฟังพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว

เกิดศรัทธานำเอาไปปฏิบัติ ก็มักจะได้บรรลุ

มรรคผล นิพพานกันมาจนถึงปัจจุบัน

 พวกเราก็เช่นเดียวกัน

หลังจากที่ได้ยินได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า

 พวกเราก็เกิดศรัทธา สามารถปฏิบัติตนเอง

แบบที่ไม่เคยคิดว่าจะปฏิบัติมาก่อนเลย

 เนื่องจากเห็นตัวอย่างที่ดีงามของพระพุทธเจ้า

และของพระอรหันตสาวกทั้งหลาย

 ก็เลยสามารถทำให้ปฏิบัติตน แบบท่านได้

 ทั้งๆที่เป็นการปฏิบัติที่ยากเเสนยาก

 แต่พอได้เห็นตัวอย่างได้เห็นผล

ที่จะเกิดจากการบำเพ็ญ

 ก็เลยทำให้มีความยินดีที่จะปฏิบัติ

ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน  เช่นถือศีล ๘

 ปกติพวกเรามนุษย์เราทุกคนเกิดมานี้

 ไม่มีใครอยากจะถือศีล ๘ กัน

มีแต่อยากจะดื่ม อยากจะหาความสุข

 อยากจะรับประทานอะไรต่างๆ

 ผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น กาย

ไม่มีใครอยากที่จะมาปิดทวารทั้ง ๕

ปิดตา ปิดหู ปิดลิ้น ปิดกายไม่ให้รับ

ไม่ให้เสพรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ

ซึ่งเป็นเหมือนกับอุดรูจมูกไม่ให้หายใจอย่างนั้น

 แต่มันทรมานยิ่งกว่าการอุดรูจมูกไม่ให้หายใจ

 เพราะอุดรูจมูกไม่ให้หายใจมันก็แค่เดี๋ยวเดียว

มันก็ตายมันก็จบ แต่อุดตา หู จมูก ลิ้น กายนี้

มันต้องเป็นเดือนๆ เป็นปีๆ มันแสนจะทรมานใจ

 ถ้าปิดอย่างเดียวแล้วไม่ปฏิบัติ

ถ้าปิดตา หู จมูก ลิ้น กายแล้วไม่เปิดใจ

ก็จะไม่สามารถที่จะทำได้

 ถ้าปิดตา หู จมูก ลิ้น กายแล้วต้องมาเปิดใจ

เปิดใจให้เกิดสติ ให้เกิดปัญญาขึ้นมา

 เพื่อที่จะได้ทำใจให้สงบ ทำใจให้เย็น

 ทำใจให้มีความสุขถึงจะอยู่ได้

 ถ้าปิดตา หู จมูก ลิ้น กาย เฉยๆ

โดยที่ไม่มีการภาวนา

ปิดได้ไม่นานจะทนไม่ไหว

จะต้องเปิดแล้วออกไปรับ

รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะทันที

แต่ถ้าผิดแล้วมาเปิดใจมาเปิดใจ

ให้มีสติให้มีปัญญา

 ใจก็จะสงบ ใจก็จะเย็น ใจก็จะอิ่มจะพอ

ก็จะไม่รู้สึกทรมานใจแต่อย่างใด

ในขณะที่ปิดตา หู จมูก ลิ้น กาย

นี่คือวิธีการเข้าสู่มรรคผล นิพพาน

ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงค้นพบ

 ต้องปิดทวารทั้ง ๕ แล้ว

เปิดทวารข้างใน เปิดตาใจ

เปิดใจขึ้นมาให้รับกับธรรมของพระพุทธเจ้า

 รับกับสติ รับกับสมาธิ รับกับปัญญา

รับกับวิมุตติ ความหลุดพ้นทั้งปวง

 เริ่มต้นด้วยการปิดตา หู จมูก ลิ้น กาย

ด้วยการถือศีล ๘ แล้ว

ก็มาเปิดใจด้วยการเจริญสติ

เปิดใจรับสติเพื่อทำใจให้สงบเป็นสมาธิ

เมื่อเป็นสมาธิแล้วก็เปิดใจ

รับปัญญาได้ตามลำดับ

 พอได้ปัญญาแล้วก็จะได้วิมุตติการหลุดพ้น

หลุ้ดพ้นจากความทุกข์ที่มีอยู่เป็นขั้นๆ

 หลุดพ้นจากความทุกข์ของขั้นพระโสดาบัน

 ของขั้นพระสกิทาคามี ของขั้นพระอนาคามี

ของขั้นพระอรหันต์

หลุดด้วยปัญญาของแต่ละขั้น

 หลุดด้วยสติ ด้วยสมาธิ และปัญญา

ต้องมีทั้ง ๓ ส่วน

ถึงจะเป็นปัญญาที่ทำให้หลุดพ้นได้

ถ้าเป็นปัญญาปราศจากสติหรือสมาธินี้

 จะไม่สามารถที่จะทำให้หลุดพ้นได้

นี่คือวิธีการของการบรรลุ

เป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ

 ที่มีพระพุทธเจ้าของพวกเรานี้เป็นผู้ค้นพบ

แล้วนำเอามาเผยแผ่สั่งสอนให้แก่พวกเรา

 ด้วยการถ่ายทอดเป็นขั้นๆไป

สอนให้แก่ผู้ที่ไม่รู้ พอมาปฏิบัติจนรู้แล้ว

ก็กลายเป็นผู้ช่วยพระพุทธเจ้า

ถ่ายทอดความรู้ต่อไป

 ถ่ายทอดกันมาเป็นทอดๆจนถึงปัจจุบัน

ก็ยังมีการถ่ายทอดอยู่ ที่ไหนที่มีการฟังธรรม

 มีการแสดงธรรม ที่ไหนมีการปฏิบัติธรรม

มีการบรรลุธรรม ที่นั่นแหละคือเป็นที่ที่

มีการถ่ายทอดพระธรรมคำสอนอันประเสริ

ฐของพระพุทธเจ้า และมีการถ่ายทอดผล

 ที่เกิดจากการปฏิบัติตามพระธรรมคำสอน

 ก็คือการบรรลุมรรคผล นิพพานขั้นต่างๆ

นี่คือเรื่องพระพุทธศาสนาที่ได้นำเอามาแสดง

ให้ท่านได้ยินได้ฟังในวันสุดท้ายของพรรษานี้

 เพื่อเป็นเครื่องเตือน เครื่องสดับสติปัญญา

 เร่งความเพียร กระตุ้นความยินดี

ในการปฏิบัติตามคำสอน

 เพื่อที่จะได้นำไปสู่การหลุดพ้น

จากความทุกข์ทั้งหลาย.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

...........................

ธรรมะบนเขา วันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๘

“วันปวารณา”






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 17 ตุลาคม 2559
Last Update : 17 ตุลาคม 2559 9:35:32 น.
Counter : 464 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ