Group Blog
All Blog
### ยารักษาใจ ###








“ยารักษาใจ”

ถ้าเราทำตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอน

คือ ให้ระลึกถึงความแก่ ความเจ็บ ความตายอยู่เรื่อยๆ

ให้ระลึกถึงการสูญเสีย

ถึงการพลัดพรากจากกันอยู่เรื่อยๆ

ถ้าเราระลึกอยู่เรื่อยๆ นี้เราจะไม่หลงงมงาย

อยู่กับความสุขของลาภยศ สรรเสริญ

ความสุขของตา หู จมูก ลิ้น กาย

 เพราะเรารู้ว่าไม่ช้าก็เร็ว

 สักวันเราจะไม่สามารถที่จะหาความสุขเหล่านี้ได้

เวลาร่างกายแก่ เวลาร่างกายเจ็บไข้ได้ป่วย

เป็นอัมพฤกษ์เป็นอัมพาต พิกลพิการ

แขนขาขาขาดหูหนวกตาบอด หรือเวลาตายไป

 จะไปหาความสุขได้อย่างไรในเมื่อเครื่องมือที่เราใช้

คือร่างกายของเรา มันหมดสภาพไปแล้ว

หรือไม่เช่นนั้นก่อนที่ร่างกายมันจะหมดสภาพ

ก่อนที่มันจะแก่ เจ็บ ตาย

บางทีเงินทองมันก็หมดไปก่อนก็ได้

 ยศอาจจะหมดไปก่อนก็ได้

 สรรเสริญก็อาจจะหมดไปก่อนก็ได้

 รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่เราใช้เสพอยู่

ก็อาจจะหมดไปก่อนก็ได้ เช่น สามีของเรา ภรรยาของเรา

เขาก็เป็นรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ดีๆนี่เอง

ที่เราใช้เขามาเสพ แต่พอวันดีคืนดี เขาทิ้งเราไป

หรือเขาตายไปนี้ เราจะเอาอะไรมาเสพ

นี่แหละคือสิ่งที่เรียกว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

ที่พวกเราไม่ยอมดูกัน ไม่ยอมพิจารณากัน

 ถ้าเราเชื่อพระพุทธเจ้าแล้วหมั่นพิจารณาอยู่เนืองๆ

 ว่าเราเกิดมาแล้วย่อมมีความแก่เป็นธรรมดา

ย่อมมีความเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นธรรมดา

 ย่อมมีความตายเป็นธรรมดา

ย่อมมีการพลัดพรากจากกันเป็นธรรมดา

 ถ้าเราพิจารณาอยู่เนืองๆ เราจะได้ไม่หลงระเริง

และไม่ยึดไม่ติดอยู่กับสิ่งต่างๆ เช่น ร่างกาย

เราจะเตรียมตัวเตรียมใจอยู่แบบไม่มีร่างกาย

 คือไม่ใช้ร่างกาย เราจะอยู่ด้วยการมาหาความสงบกัน

 เพราะถ้าเรามีความสงบแล้ว

ความสงบนี้ไม่ต้องอาศัยร่างกาย

ความสงบนี้อาศัยสติ อาศัยธรรม

ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้พวกเราเจริญกัน

ให้เจริญสติอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นจนหลับ

ถ้ามีสติแล้วเราจะสามารถดึงใจให้เข้าสู่อัปนาสมาธิได้

 ให้ใจสงบวางเฉยเป็นอุบกขาได้ ให้ใจมีแต่ความสุขได้

โดยที่ไม่ต้องใช้ร่างกาย

ร่างกายแก่ก็สามารถทำใจให้สงบได้

ร่างกายเจ็บไข้ได้ป่วยก็สามารถทำใจให้สงบได้

ร่างกายตายก็ยังสามารถทำใจให้สงบได้

 ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใดเลย

เพราะไม่ต้องใช้ร่างกายเป็นเครื่องมือนั่นเอง

ความสุขที่เกิดจากความสงบนี้ใช้สติเป็นตัวหลัก

 แล้วก็ใช้ปัญญาเป็นผู้มารักษาให้อยู่ไปอย่างถาวร

ขั้นต้นต้องใช้สติก่อน

เพราะสตินี้ง่ายกว่าปัญญาหลายร้อยหลายพันเท่า

สติเพียงแต่ระลึกคำว่า พุทโธๆไป

เพียงคำเดียวนี้ก็เป็นสติขึ้นมาแล้ว

ส่วนปัญญานี้มันยากกว่า มันต้องพิจารณา

ให้เห็นอนิจจังว่าเป็นอย่างไร

ให้เห็นว่าทุกขังเป็นอย่างไร

 ให้เห็นว่าอนัตตาเป็นอย่างไร

ถึงจะสามารถที่จะมีปัญญาได้

 แต่ถ้ามีปัญญาแล้วจะสามารถรักษาความสงบ

ที่เกิดจากการเจริญสติได้ให้อยู่ไปอย่างถาวร

 โดยที่ไม่ต้องดูแลรักษา

 โดยที่ไม่ต้องใช้สติคอยประคับประคอง

แต่ถ้าได้ความสงบจากสติเพียงอย่างเดียว

 ก็ต้องคอยประคับประคองไปตลอดเวลาด้วยสติ

 เวลาใดเผลอปล่อยให้ความอยากมารุมเร้า

ปล่อยให้ไปทำตามความอยากต่างๆ

 ความสงบที่ได้จากการประคับประคองด้วยสติจะหายไปหมด

 แล้วความทุกข์ความวุ่นวายใจต่างๆ ก็จะเข้ามาแทนที่ทันที

 แต่ถ้ามีปัญญาแล้วนี้ และกำจัดตัณหาต่างๆ

ที่เป็นตัวก่อกวนให้เกิดความวุ่นวายใจต่างๆ

ให้หมดไปได้แล้ว ไม่ต้องดูแลรักษาใจอีกต่อไป

ไม่ต้องมีสติ ไม่ต้องมีปัญญา เอาเก็บไว้ในตู้

 เอาเก็บไว้ในลิ้นชักได้

 ถ้าจะใช้ก็ใช้เพื่อนำมาทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น 

อย่างเวลาพระพุทธเจ้า

หรือพระอรหันตสาวกท่านแสดงธรรม

 ท่านต้องใช้สติปัญญาเอามาสั่งสอนพวกเรากัน

แต่สำหรับใจของท่านนี้ท่านไม่ต้องใช้สติปัญญา

มาควบคุมรักษาอีกต่อไป

 เหมือนกับโรคภัยไข้เจ็บที่อาศัยยา

ในการรักษาให้หายขาด

พอโรคภัยไข้เจ็บได้หายขาดจากการรับประทานยาแล้ว

หลังจากนั้นก็ไม่ต้องรับประทานยาอีกต่อไป

 รับประทานหรือไม่รับประทานมันก็มีผลเท่ากัน

 คือมันไม่ได้ทำให้ร่างกายมันเป็นอะไรไปอีกต่อไป

 ไม่รับประทานมันก็หายอยู่แล้ว

รับประทานมันก็หายอยู่แล้ว ฉันใด

ใจของผู้ที่ได้รับการดูแลรักษาด้วยสติปัญญา

ด้วยการทำลายตัณหาความอยากให้หมดไปจากใจแล้วนั้น

 ใจดวงนั้นไม่ต้องมีอะไรมาปกป้องคุ้มครองดูแลรักษาอีกต่อไป

สติปัญญานี้เป็นเหมือนยารักษาใจ

เมื่อใจหายจากความทุกข์ใจแล้ว ไม่ต้องกินยาอีกต่อไป

ไม่ต้องมีสติไม่ต้องมีปัญญา

 เพราะจะทำอะไร มันก็จะไม่เกิดความทุกข์ขึ้นมา

เพราะมันไม่ได้ทำด้วยความอยากนั่นเอง

นี่แหละคือความวิเศษของการที่เราปฏิบัติธรรมกัน

 เราจะได้สิ่งที่วิเศษที่ไม่มีอะไรในโลกนี้สามารถให้กับเราได้

 นอกจากการปฏิบัติธรรม

ก็คือการดับความทุกข์ได้อย่างถาวร

และรักษาความสุขที่สุขเหนือกว่าความสุขทั้งหลายใ

ห้อยู่คู่กับเราไปตลอดไม่มีวันสิ้นสุด

แล้วก็จะทำให้เรานี้สามารถช่วยเหลือผู้อื่น

ให้เขาได้หลุดพ้นจากอบายก็ดี

จากการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏนี้ก็ดี

ถ้าเขามีศรัทธามีความเชื่อ แล้วน้อมนำเอาไปปฏิบัติ

เขาก็จะได้รับประโยชน์ เหมือนกับที่เราได้รับประโยชน์.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

..........................

ธรรมะบนเขา วันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๘

(ธรรมะในพรรษา ๒๕๕๘)

“ทดแทนบุญคุณ”






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 14 สิงหาคม 2559
Last Update : 14 สิงหาคม 2559 10:17:52 น.
Counter : 748 Pageviews.

0 comment
### ทดแทนบุญคุณ ###









“ทดแทนบุญคุณ”

วันนี้เป็นวันแม่แห่งชาติ

เป็นวันที่พวกเราจะมาทำการทดแทนบุญคุณ

ของคุณพ่อและคุณแม่ผู้บังเกิดเกล้า

ด้วยการปฏิบัติบูชา ด้วยการปฏิบัติธรรม

 เพราะการปฏิบัติธรรมนี้

จะทำให้เราได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคล

 เมื่อเราได้เป็นพระอริยบุคคลแล้ว

เราก็จะสามารถสอนบิดามารดา

ให้ได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคลเช่นเดียวกัน

 ถ้าได้เป็นพระอริยบุคคลแล้วก็จะหลุดพ้น

จากการที่จะไปเกิดในอบาย

 และถ้าได้บรรลุถึงขั้นสูงสุด ของพระอริยบุคคล

คือพระอรหันต์ ก็จะสามารถหลุดพ้นจากวัฏฏะ

แห่งการเกิด แก่ เจ็บ ตายได้อย่างถาวร

ไม่มีอะไรในโลกนี้ไม่มีการบูชาแบบไหนในโลกนี้

ที่จะสามารถทำให้ผู้ปฏิบัติเอง

และญาติพี่น้องได้หลุดพ้น

จากการที่จะต้องไปเกิดในอบาย

หรือหลุดพ้นจากการกลับมาเวียนว่ายตายเกิด

อย่างที่พระพุทธเจ้าได้ทรงปฏิบัติบูชามา

พระองค์ทรงสละราชสมบัติแล้วก็เสด็จออกบวช

เพื่อที่จะได้ปฏิบัติธรรม ปฏิบัติธรรมจนในที่สุด

ก็ได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

ไม่ต้องกลับมาเกิด แก่ เจ็บ ตายอีกต่อไป

 แล้วหลังจากนั้นพระองค์ก็ทรงไปโปรด

พระพุทธมารดา พระพุทธบิดา

 และราชญาติทั้งหลาย

 จนบุคคลเหล่านั้นก็ได้บรรลุ

เป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆกัน

 เช่นพระพุทธมารดา

ที่หลังจากได้ประสูติพระพุทธเจ้า

 เจ้าชายสิทธัตถะได้ ๗ วันก็ทรงเสด็จสวรรคต

 พอพระพุทธเจ้า ๓๕ ปี ต่อมา

 หลังจากที่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว

ก็ทรงใช้กระแสจิตนี้

ติดต่อกับพระพุทธมารดาที่อยู่ในสวรรค์

และได้ใช้กระแสจิตนี้

สั่งสอนอบรมพุทธมารดาอยู่ ๑ พรรษา

จนได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน

 เป็นพระอริยบุคคลขั้นที่ ๑

 ผู้ที่ได้บรรลุเป็นพระโสดาบันแล้วนี้

จะไม่ต้องกลับไปเกิดในอบายอีกต่อไป

ไม่ว่าจะเคยทำบาปมากหนักหนา

สาหัสขนาดไหนก็ตาม

จะไม่ต้องไปใช้กรรมในอบายนั้น

 แล้วก็จะเหลือภพชาติไม่เกิน ๗ ชาติเป็นอย่างมาก

ก็จะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์และได้หลุดพ้น

จากการเวียนว่ายตายเกิดไป

พระพุทธเจ้าถ้าไม่ทรงออกบวชไม่ทรงปฏิบัติธรรม

 ไม่ทรงปฏิบัติบูชา ถ้าประทับอยู่ในพระราชวัง

 ก็จะได้เป็นพระมหาจักรพรรดิ

ดังที่มีโหรได้พยากรณ์เอาไว้

 แต่การเป็นพระมหาจักรพรรดินี้

ไม่สามารถช่วยบิดามารดาให้เป็นอริยบุคคลได้

 ไม่สามารทำให้ท่านหลุด

จากการต้องไปเกิดในอบายได้

คือต่อให้พระพุทธเจ้าเลี้ยงดู

พระราชบิดาและพระราชมารดาให้ดีขนาดไหนก็ตาม

 ก็จะไม่สามารถที่จะทดแทนบุญคุณของบิดามารดาได้

เท่ากับการที่ทำให้ท่านได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคล

 เพราะจะเลี้ยงดูในฐานะมหาจักรพรรดิ

แก่บิดามารดาให้ดีขนาดไหนก็ตาม

ตายไปก็ต้องไปใช้กรรมกัน

 ไปรับผลบุญผลบาปกัน

 ถ้าทำบาปไว้มากกว่าทำบุญ

บาปก็จะต้องดึงให้ไปเกิดในอบาย

ไม่ว่าจะเป็นมหากษัตริย์

เป็นบิดามารดาของมหาจักรพรรดิหรือใครก็ตาม

 กฎแห่งกรรมนี้ไม่มีการไว้หน้าใครทั้งนั้น

ใครทำอะไรไว้แล้วต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น

 นั่นคือกฎแห่งกรรม

สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของของตน

 มีกรรมเป็นผู้ให้กำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์

 มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย จะทำกรรมอันใดไว้

ดีหรือชั่ว จะต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น

ยกเว้นพระอริยบุคคลเท่านั้น

ที่ไม่ต้องไปรับผลบาปอีกต่อไป

 มีแต่จะรับผลบุญไปตามลำดับขั้นไป

จนถึงขั้นสูงสุดคือขั้นพระนิพพาน

นี่แหละคือการบูชาที่แท้จริง

บูชาที่จะได้ผลอันเลิศอันประเสริฐ

ต้องบูชาแบบพระพุทธเจ้าได้ทรงบูชา

ด้วยการปฏิบัติธรรม

ถ้าเราอยากจะทดแทนบุญคุณ

ของบิดามารดาของเรา มาปฏิบัติธรรมกันเถิด

มาบรรลุธรรมกันเถิด

 เมื่อบรรลุแล้ว เราจะได้รู้จักวิธี

สั่งสอนผู้อื่นให้บรรลุธรรมได้

ถ้าเรายังไม่ได้บรรลุธรรมนี้

เราจะไม่สามารถสั่งสอนผู้อื่น

ให้บรรลุธรรมได้ แต่พอเราบรรลุธรรมแล้ว

เราจะสามารถสั่งสอนผู้อื่น ที่มีความสนใจ

 มีศรัทธาความเชื่อ

มีความปรารถนาที่จะบรรลุธรรม

ได้บรรลุธรรมกัน

 โดยเฉพาะบิดามารดาของพวกเรา

ที่เป็นบุคคลที่ใกล้ชิดกับเรามากที่สุด

เขาจะเป็นคนที่จะมีศรัทธามีความเชื่อ

 ในตัวเรามากที่สุดกว่าเชื่อคนอื่น

 และถ้าเขาเชื่อว่าเราได้บรรลุธรรม

ได้หลุดพ้นจากอบาย

 เขาก็อยากจะหลุดพ้นเหมือนกับเรา

 เขาก็จะศึกษาจะถามเราเอง

 เราก็จะสามารถที่จะช่วยให้เขาได้บรรลุ

เป็นพระอริยบุคคลได้

ดูพระพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง บรรดาพระญาติต่างๆ

 พระราชบิดา พระราชมารดา ทั้งมารดาเลี้ยงด้วย

 ทั้งมเหสีด้วย ทั้งพระราชโอรสด้วย

ได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคคลกันทั้งนั้น

 อย่างน้อยที่สุดก็ได้ปิดประตูอบาย

 ไม่ต้องไปเกิดอีกต่อไป

สำหรับบางท่านที่ยังไม่ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์

 อย่างพระราชบิดานี้

พระพุทธเจ้าก็ทรงไปโปรด ๗ วัน

ก่อนที่จะเสด็จสวรรคตได้บรรลุเป็นพระอรหันต์

ถ้าไม่เป็นพระพุทธเจ้า

 จะมีใครไปกล้าสอนพระมหากษัตริย์

 แล้วพระมหากษัตริย์จะให้ใครไปสอนได้

ถ้ามีลูกเป็นพระพุทธเจ้านี้

 ก็อยากจะให้พระพุทธเจ้าให้ลูกนี้มาช่วย

 แล้วพอลูกสอนบอกอย่างไรก็เชื่อทำตาม

เมื่อทำตามผลก็จะเกิดขึ้น

 ดังนั้นขอให้พวกเรา

ในวันแม่นี้ให้เรามาทดแทนบุญคุณ

ของแม่ของเราและพ่อของเรา

และผู้มีพระคุณทั้งหลาย ด้วยการปฏิบัติบูชากันเถิด

มาปฏิบัติให้พวกเราได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคลกัน

เมื่อเราได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคลแล้ว

เราก็จะสามารถสอนให้ผู้อื่นนั้น

บรรลุเป็นพระอริยบุคคลได้

ถ้าเรายังไม่ได้บรรลุนี้เราจะสอนไม่ได้

เพราะเราจะไม่รู้จักวิธี ตัวเราเองยังไม่ได้บรรลุ

แล้วเราจะไปสอนให้ผู้อื่น เขาบรรลุได้อย่างไร

เหมือนพระพุทธเจ้า ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะบรรลุ

เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

 ไม่มีพระอริยบุคคลปรากฏขึ้นมาเลยแม้แต่รูปเดียว

แต่พอหลังจากที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้

เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว

แล้วทรงนำเอาพระธรรมคำสอนนี้

มาเผยแผ่ให้แก่ผู้อื่นที่สนใจ

ผู้ที่มีศรัทธาความเชื่อ

พอเขาได้ยินได้ฟังแล้วน้อมนำเอาไปปฏิบัติ

ก็ปรากฏมีพระอริยสาวกขึ้นมาเป็นจำนวนมาก

 การแสดงธรรมครั้งแรก

ก็ปรากฏมีหนึ่งท่านได้เป็นพระโสดาบัน

 คือพระอัญญาโกณฑัญญะ

 แล้วหลังจากที่แสดงธรรม

ให้แก่พระปัญจวัคคีย์อีก ๒ -๓ ครั้ง

ก็ทำให้พระปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ รูปนั้น

 ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์พร้อมๆกัน

หลังจากนั้นก็ทรงไปโปรดนักบวชของลัทธิอื่นกัน

 ผู้ที่มีอินทรีย์ที่แก่ กล้า คือมีศีล มีสมาธิ แต่ขาดปัญญา

 พอทรงแสดงปัญญาความรู้ที่พระองค์ทรงได้ตรัสรู้

 ที่ทำให้พระองค์ได้หลุดพ้นจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย

 หลุดพ้นจากความทุกข์ต่างๆ

พอสอนให้บุคคลเหล่านั้น ได้ฟังกัน

 เขาก็จะสามารถที่จะปฏิบัติตามได้

อย่างง่ายดายและรวดเร็ว

 บรรลุในขณะที่ฟังธรรมนั้นเลย

ครั้งหนึ่งก็ทรงแสดงให้กับนักบวชในลัทธิอื่น ๕๐๐ รูป

 พอแสดงเสร็จนักบวชเหล่านั้นทั้ง ๕๐๐ รูปก็ได้บรรลุ

เป็นพระอรหันต์พร้อมๆกันไปเลย

ระยะเวลาที่ทรงแสดงธรรม ๗ เดือนแรก

ตั้งแต่วันเพ็ญเดือน ๘ วันอาสาฬหบูชา

 ไปจนถึงวันเพ็ญเดือน ๓ ก็เป็นเวลา ๗ เดือนด้วยกัน

 ก็มีปรากฏการณ์อันน่าอัศจรรย์ใจขึ้นมา

คือมีพระอรหันตสาวก ๑,๒๕๐ รูป

 ที่พระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้อบรมสั่งสอน

ให้ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์กัน

และได้บวชกับพระพุทธเจ้าโดยตรง

หลังจากที่ได้ไปจาริกตามสถานที่ต่างๆ

 เพื่อเผยแผ่ธรรมให้แก่ผู้อื่น ในวันเพ็ญเดือน ๓ นั้น

มีความปรารถนา ที่จะมาเฝ้าพระพุทธเจ้า

ด้วยความกตัญญู ด้วยความสำนึก

ในพระคุณอันประเสริฐของพระพุทธเจ้า

 ก็ได้มาเฝ้าพระพุทธเจ้าโดยที่ไม่ได้นัดหมายกันมาก่อน

คิดดูเพียงระยะเวลาเพียง ๗ เดือนเท่านั้น

หลังจากที่พระพุทธเจ้าได้ทรงประกาศพระธรรมคำสอน

 ก็มีพระอรหันตสาวกปรากฏขึ้นมา

 ให้มาเป็นที่พึ่งของโลก

อยู่ถึง ๑,๒๕๐ รูปด้วยกันเป็นอย่างน้อย

ที่ไม่ได้มาก็คงมีอีกจำนวนหนึ่ง

นี่คือความมหัศจรรย์ของการปฏิบัติธรรม

ทำให้สิ่งที่เลิศ สิ่งที่วิเศษ คือได้อริยบุคคล

คำว่าอริยะก็แปลว่า ผู้ประเสริฐ

 บุคคลที่ประเสริฐนี้ไม่มีใครจะประเสริฐเท่ากับ

บุคคลในพระพุทธศาสนา

คือพระอริยบุคคล ๔ ระดับด้วยกัน

 คือพระโสดาบัน พระสกิทาคามี

พระอนาคามี และพระอรหันต์.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.................................

ธรรมะบนเขา วันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๘

(ธรรมะในพรรษา ๒๕๕๘)

“ทดแทนบุญคุณ”






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 12 สิงหาคม 2559
Last Update : 12 สิงหาคม 2559 13:23:45 น.
Counter : 777 Pageviews.

0 comment
### ความสงบ ###








..

“ความสงบ”

เวลาเรานั่งสมาธินี้ทำใจให้สงบนี้ความอยากหายไป

ความเย็นมา ความเย็นสบายไม่ต้องการอะไร

ไม่ต้องการไปไหน ไม่ต้องการมีอะไร

นี่แหละคือสิ่งที่มนุษย์เราไม่สนใจที่จะผลิตกัน

ก็คือความสงบ ถ้าเปิดโรงเรียนสอนวิธีทำความสงบ

ให้ทุกคนเรียนได้ก็ดี มันง่ายจะตายไป

โรงเรียนพระพุทธศาสนานี้

 ก็คือโรงเรียนสอนให้คนทำใจให้สงบ

ถ้าจับทุกคนมาบวชได้ก็ดี

 ทุกคนมานั่งสมาธิทำใจให้สงบได้ก็สบาย

 ไม่ต้องไปไหน ไม่ต้องวุ่นวาย

ถ้าจะทำก็ทำในสิ่งที่จำเป็นจริงๆก็พอ

 หาอาหาร หาปัจจัย ๔ แค่นี้ก็พอแล้ว

 ถ้าคนทุกคนมีความสงบไม่มีความอยาก

อุตสาหกรรมต่างๆ ก็จะเหลือแต่อุตสาหกรรมอาหาร

 อุตสาหกรรมเสื้อผ้า อุตสาหกรรมที่อยู่อาศัย

อุตสาหกรรมยารักษาโรคภัยไข้เจ็บ

ก็มี ๔ อุตสาหกรรมนี้ที่จำเป็น นอกนั้นก็ไม่มีความจำเป็น

 อุตสาหกรรมบันเทิงนี้ตัดทิ้งไปได้เลย

ภาพยนต์ ละคร การแสดงต่างๆ นักร้อง นักแสดง

 ของต่างๆเหล่านี้จะไม่มีความจำเป็น ไม่ต้องผลิตขึ้นมา

 ไม่ต้องเดินทางไปไหนอยู่กับที่สบาย

 แล้วก็ไม่ต้องเป็นอุตสาหกรรมใหญ่

อุตสาหกรรมแบบโบราณไม่ต้องใช้อะไร

เครื่องจักรเพราะมันจะต่อเนื่องไป

ใช้เครื่องจักรก็ต้องมีโรงงานผลิตเครื่องจักร

มีน้ำมันมีอะไรต่างๆ ผลิตกันเอาเอง

ทำแบบสมัยโบราณ ทำนาทำไร่ไป เลี้ยงวัวเลี้ยงควายไป

ทำพอกินเท่านั้น ปลูกข้าวปลูกผัก ปลูกผลไม้อยู่ได้แล้ว

 อยู่ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรเพราะไม่ต้องใช้ร่างกายก็ได้

 ถ้ามีความสงบแล้วไม่ต้องใช้ร่างกาย

ถ้ายังมีร่างกายอยู่ก็เลี้ยงมันไป

ถ้ามีร่างกายก็อยู่แบบไม่มีร่างกายดีกว่า

จะได้ไม่ต้องหาปัจจัย ๔ มาให้ร่างกาย

ใจถ้าสงบแล้วมันไม่ต้องมีอะไร แม้แต่ร่างกายก็ไม่ต้องมี

ใจของพระพุทธเจ้า ใจของพระอรหันตสาวก

 ตอนนี้ใจของท่านก็ยังมีอยู่

เหมือนใจของพวกเราที่ยังมีอยู่ตอนนี้

 ต่างตรงที่ว่าใจของพวกเราต้องมีร่างกาย

 ต้องมีอะไรร้อยแปดพันประการ เพื่อให้ความสุขกับเรา

แต่ใจของพระพุทธเจ้า ใจของพระอรหันต์นี้

 มีอย่างเดียวคือความสงบ มีความสงบแล้วพอ

 ไม่ต้องมีอะไรอีก อันนี้แหละคือความรู้ความวิเศษ

 ของพระพุทธเจ้ารู้ในสิ่งที่มนุษย์ทั้งหลาย

ที่มีจำนวนอยู่นับไม่ถ้วนไม่รู้กัน ไม่รู้ว่าสิ่งที่เราต้องมี

 มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นก็คือความสงบ

ถ้าเราได้ความสงบแล้วเราไม่ต้องมีอะไร

คำว่าไม่ต้องมีอะไรก็สบาย ไม่ต้องหา

เพราะเราทุกคนเกิดมาก็ไม่มีอะไรมาก็ต้องหากัน

 เวลาหาก็วุ่นวายกัน ทำงานทำการกัน หาอะไรต่างๆ

 ทุกวันนี้มันสนุกที่ไหน สู้อยู่เฉยๆไม่ได้ อยู่เฉยๆ

กลับหาโน่นหานี่อันไหนมันสบายกว่ากัน

ถ้าเราอยู่เฉยๆ ทำใจให้สงบได้ก็ไม่ต้องหาอะไร

ถ้าร่างกายไม่มีอะไรจะกินไม่มีอะไรจะดื่มมันก็แค่ตายเท่านั้น

มีกินมีดื่มมันก็ตายเหมือนกัน

 แต่ใจที่มีความสงบแล้วไม่เดือดร้อน

กับการเป็นการตายของร่างกาย เพราะไม่ต้องใช้ร่างกาย

 ใจที่มีความสงบนี้ไม่ต้องมีอะไร ไม่ต้องมีร่างกาย

เมื่อไม่ต้องมีร่างกายมันก็ตัดเรื่อง

ที่มันเกี่ยวกับร่างกายเป็นขบวนไปหมดเลย

พอมีร่างกายมันก็ต้องมีลาภยศ สรรเสริญ

มีรูปเสียงกลิ่นรสมีอะไรตามมาเป็นขบวน

พอตัดตัวร่างกายไปตัวเดียวเท่านั้นไม่ต้องมีอะไร สบาย

ไม่มีใครฉลาดเท่ากับพระพุทธเจ้า

ทุกคนหาความสุขจากร่างกายหาความสุขจากสิ่งต่างๆ

 ที่ร่างกายสรรหามาให้ แต่หามาได้เท่าไรก็ไม่เจอคำว่าพอ

แล้วเวลาเสียไปก็เสียอกเสียใจ

 เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่หามาได้มันก็อยู่ที่ร่างกาย

 พอร่างกายตายไปทุกสิ่งทุกอย่างมันก็เสียไปหมดไป

นี่คือสิ่งที่เราควรจะหากันก็คือความสงบ

 ถ้าได้ความสงบแล้วจะไม่ต้องการอะไร ไม่ต้องมีอะไร

 จะไม่เดือดร้อนเวลาเสียอะไรไป สบายตลอดเวลา

ไม่ต้องวุ่นวาย พอมีความอยากแล้ววุ่นวาย

 พอมีความอยากก็ต้องมีสิ่งนั้น

มีสิ่งนั้นก็เพื่อที่จะไปทำสิ่งโน้นต่อ

เพื่อที่จะได้สิ่งที่อยากได้มันก็เป็นลูกโซ่ไป

พระพุทธเจ้า พระอรหันต์นี้ท่านก็ยังอยู่เหมือนพวกเรา

 แต่ท่านอยู่กับความสงบ

ท่านก็เลยไม่ต้องมีร่างกายเหมือนพวกเรา

 พวกเราอยู่กับความอยากก็เลยต้องมีร่างกาย

พอมีร่างกายก็ต้องมีปัจจัย ๔

พอมีความอยากไปไหนมาไหนก็ต้องมีรถยนต์

 มีรถยนต์ก็ต้องมีน้ำมัน มีน้ำมันก็มีรถติด

มีรถชนกันมีอุบัติเหตุ มีอะไรต่างๆ

ที่กำลังมีอยู่ขณะนี้มันเกิดจาก

ความอยากไปไหนมาไหนเท่านั้นเอง

 ถ้ามันไม่อยากไปไหนมาไหน มันก็ไม่ต้องมีรถยนต์

 คนที่ไม่เข้าใจฟังแล้วก็คิดว่า

ถ้าไม่มีความอยากก็โลกนี้ก็ไม่มีอะไร ก็ไม่มีอะไร

 มีไปทำไม มีแล้วมันทุกข์ทั้งนั้น

แต่ก็เขาไม่เห็นความทุกข์จากสิ่งที่มีกัน

กลับไปเห็นว่ามีความสุขกัน มีบ้านก็มีความสุข

 มีรถยนต์ก็มีความสุข มีสามีมีภรรยามีบุตรมีธิดา

มีอะไรต่างๆมีความสุข จะไม่มีไปทำไม

เวลามันมีก็สุข เวลามันไม่มีซิ จะทำอย่างไร

เวลาไม่มีก็กระโดดตึกตาย มันไม่คิดตอนที่มันไม่มี

 เวลามีมันก็มีความสุขกัน แต่เวลามันไม่มีหรือว่ามีแล้ว

มันเบื่อจะทำอย่างไร เบื่อก็ต้องหาสิ่งใหม่

สิ่งนี้เบื่อแล้วก็ต้องไปหาสิ่งใหม่

หามาเท่าไรเดี๋ยวมันก็เบื่ออีก

นี่คือความหลง หลงไปคิดว่าความสุขอยู่ที่การมีสิ่งต่างๆ

 มองไม่เห็นความทุกข์ที่เกิดจากการมีสิ่งต่างๆ

เพราะสิ่งต่างๆมีมาก็ต้องมีไปเป็นธรรมดา

 มีได้ก็ต้องมีเสีย มีเกิดก็ต้องมีดับ

ต้องมีการพลัดพรากจากกัน

มองไม่เห็นความทุกข์มองเห็นแต่ความสุขในสิ่งต่างๆ

มองไม่เห็นความทุกข์ในสิ่งต่างๆ

พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้เราหัดมองว่าสิ่งต่างๆมันเป็นทุกข์

ทุกข์เพราะว่ามันต้องมีการจากกัน

ทุกข์เพราะว่ามันเบื่อกัน คนถึงมีภรรยามีสามีหลายคน

 ทำไมมีคนเดียวไม่ได้ เวลาอยากจะได้เวลาเจอกัน

ตอนที่ยัง ไม่ได้ก็อยากจะได้กันเหลือเกิน

อยากจะไปอยู่ด้วยกัน อยากจะเป็นของกันและกัน

 พอเป็นแล้วเป็นอย่างไร เบื่อแล้ว เป็นไปไม่นานก็เบื่อแล้ว

 เบื่อขี้หน้ากันแล้ว ของต่างๆ ที่เราคิดว่าจะให้ความสุขกับเรานี้

เดี๋ยวมันก็ทำให้เราเบื่อ เบื่อแล้วก็ต้องทำให้เราไปหาสิ่งใหม่มา

 หาสิ่งใหม่มาเดี๋ยวมันก็เบื่ออีก พออะไรมันจำเจซ้ำซาก

มันดีขนาดไหนก็เบื่อ ไม่เชื่อลองกินอาหารจานโปรดทุกวันดูซิ

กินวันละ ๓ มื้อ กินอาหารจานโปรด ดูซิจะกินได้สักกี่วัน

 นี่คือสิ่งต่างๆ ที่เราคิดว่าจะให้ความสุขกับเรา

มันจะกลายเป็นความทุกข์เวลาที่เบื่อมัน

หรือเวลามันจากเราไป หรือเวลามันเสียไป

มันเสื่อมไปมันเปลี่ยนไป นี่คือธรรมชาติของสิ่งต่างๆ

 ที่มีอยู่ในโลกนี้ มีการเปลี่ยนแปลงมีการเสื่อมมีการหมด

 ถ้าไม่เสื่อมมันก็เบื่อ

ดังนั้นสรุปก็คือเรากำลังหลงทางกัน

เรากำลังหลงทางไปทางที่ทำให้เราทุกข์กัน

ไม่ใช่ไปในทางที่ทำให้เราสุขกัน

ทางที่จะทำให้เราสุขกันก็คือ ความสงบ

เราต้องดึงใจเข้าข้างใน ดึงออกจากรูปเสียงกลิ่นรส

 ปิดหูปิดตาปิดจมูก ลิ้นกาย คือไม่รับสิ่งต่างๆเข้ามา

 อย่าไปอ้าปาก เวลาอยากกินอย่าไปอ้าปาก

อยากดื่มอย่าไปอ้าปาก อยากดูอย่าไปลืมตาปิดตาเสีย

อยากฟังก็ปิดหู อย่าไปฟังอย่าไปดู

พุทโธๆๆดึงใจเข้ามาข้างใน ใจเข้าข้างในแล้วมีความสุขกว่า.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

..............................

สนทนาธรรมบนเขา

 วันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๕๙







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 11 สิงหาคม 2559
Last Update : 11 สิงหาคม 2559 9:34:37 น.
Counter : 657 Pageviews.

0 comment
### ฉลาดทางโลก ###









“ฉลาดทางโลก”

เดี๋ยวนี้ความรู้ความสามารถของมนุษย์เรา

ก็ฉลาดขึ้น เก่งขึ้น

 แต่มันฉลาดไปในทางที่ไม่ควรจะฉลาด

ทางที่ฉลาดมันกลับไม่ฉลาด ฉลาดไปในทางกิเลส

ฉลาดไปในทางความโลภ มันก็ยังไม่สามารถ

ที่จะ มาทำให้เราสบายใจได้ตลอดเวลา

 เราก็ยังมีความไม่สบายใจอยู่เหมือนเดิม

เพราะว่าสิ่งที่ทำให้เราไม่สบายใจ พวกเราไม่รู้กัน

ว่ามันอยู่ที่ไหน ก็คิดว่ามันอยู่ที่เหตุการณ์ต่างๆ

เช่นรถติด มันก็ทำให้เราไม่สบายใจ

ถ้าเราจะรีบมาหรือมาไม่ทันเวลา

รถติดอะไรต่างๆ มันก็ทำให้เราไม่สบายใจได้

 เราก็เลยต้องผลิตสื่อนำทาง

 ให้มันเลือกทางให้กับเรา

 เพื่อเราจะได้สบายใจ

มาสถานที่ที่เราต้องการตามเวลา

 หรือมาได้สะดวกรวดเร็ว

แต่บางทีมันก็อาจจะมีเหตุการณ์

เกิดขึ้นก่อนที่มันไม่สามารถคำนวนได้

 เช่นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นตามทาง

 ซึ่งไม่มีใครที่จะมาอัพเดทได้ทันทีทันใด

ก่อนออกจากบ้านเดินทางมาทุกอย่างก็เคลียร์ดีอยู่

 แต่พอมาถึงไปเจอ อุบัติเหตุขึ้นก็ติดรถไปไม่ได้

ถ้ารีบไปอยากจะไปให้ถึงที่หมายตามเวลาเดิม

ก็จะเกิดความหงุดหงิดรำคาญใจขึ้นมา

 เพราะไม่รู้ว่าความหงุดหงิดรำคาญใจ

เกิดจากความอยากของเรา

ที่อยากจะไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง

 ตามเวลาที่เราต้องการ ถ้าจะไม่ให้หงุดหงิดรำคาญใจ

ก็ต้องยินดีตามมีตามเกิด ถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง

ถึงเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วเราก็จะไม่เดือดร้อน

ใจเราจะสบาย จะทำอย่างไรได้ก็ไปไม่ถึง

จะไปเดือดร้อนใจก็ไปไม่ถึงอยู่ดี

นี่คือปัญหาของพวกเราที่พวกเรามักจะมองไม่เห็นกัน

 มักจะไม่มาแก้กัน แก้ที่ใจเราแล้วสบาย

ไม่ต้องไปแก้ที่ข้างนอก ข้างนอกจะเป็นอย่างไร

 เราก็รับกับเหตุการณ์ได้เสมอ ไปไม่ถึงก็ไม่เป็นไร

 ไปช้าก็ช้า สุดแท้แต่ความจริง

ให้เรามองความจริงกันอย่าไปมองความอยาก

 ความอยากกับความจริง ถ้ามันตรงกัน ก็สบายใจ

 เราก็ดีใจ อยากให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้

พอมันเป็นเราก็ดีใจสบายใจ

 แต่ถ้ามันไม่ตรงกัน เราอยากให้มันเป็นอย่างนี้

แต่มันเป็นอย่างนั้น เราก็จะเสียใจหรือไม่พอใจ

แต่ถ้าเราอยากให้มัน เป็นไปตามความเป็นจริง

ความเป็นจริงมันเป็นอย่างไรก็เอาอย่างนั้นแหละ

 เป็นอย่างไรก็เอาอย่างนั้น ช้าก็ช้า เร็วก็เร็ว ถึงก็ถึง

 ไม่ถึงก็ไม่ถึง ติดก็ติด ไม่ติดก็ไม่ติด

เอามันได้ทุกรูปแบบ เอาตามความเป็นจริง

 ขอให้เราอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง

แล้วเราจะมีความสุข เราจะไม่มีความทุกข์

เราต้องปรับใจของเรา อยู่เรื่อยๆ

ให้มันอยู่กับความจริง

 แต่ใจเรามันไม่ชอบอยู่กับความจริง

มันชอบอยู่กับความอยาก ชอบอยู่กับความเพ้อฝัน

มันก็เลยทำให้ไม่สบายใจอยู่เรื่อยๆ

นี่คือสิ่งที่มนุษ
ย์ไม่เคยสนใจศึกษากัน

 ชอบไปแก้ความจริง

 ความจริงนี้เป็นอย่างต่ความอยากเป็นอย่างนี้

 ก็เลยต้องไปแก้ความจริงให้มันมาเป็นตามความอยาก

 ความจริงสมัยก่อน ประเทศไทยมีป่าไม้

อยู่ ๗๐ - ๘๐เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ นั่นคือความจริง

แต่ความอยากเราไม่ต้องการป่าไม้ เราต้องการถนน

 เราต้องการตัดป่า เพื่อที่จะไปขาย

ไปเอาเงินมาซื้อรถยนต์

 สมัยก่อนสินค้าส่งออกของเมืองไทยก็คือป่าไม้นี่แหละ

ไม้นี่แหละเป็นสินค้าชนิดหนึ่งที่เราส่งออกไปเมืองนอก

เพื่อที่จะได้เเลกซื้อของจากเมืองนอกมา

 เราอยากจะได้รถยนต์ เราผลิตไม่ได้แต่เรามีป่าไม้

 เราก็ตัดไม้กันไป ขายไม้กัน

 ตอนนี้ป่าไม้เหลือไม่ถึงร้อยละ ๕๐

ก็คงจะตัดไปเรื่อยๆ

 เพราะเราไม่มีความอยากมีป่ากัน

เราอยากจะมีตึกรามบ้านช่อง

 เราอยากจะมีสินค้าต่างๆ

ที่มาอำนวยความสะดวกทางร่างกาย

และอำนวยสะดวกตามความอยากของเรา

 เราอยากได้อะไรเราก็ทำมันไป

ตามความอยากของมัน

 อยากเดินทางสะดวกรวดเร็ว

 เราก็สร้างถนนหนทางกัน

 ซื้อรถยนต์กัน แล้วเราก็มาติดกันบนท้องถนน

เพราะทุกคนอยากเหมือนกัน

แต่ท้องถนนนี้มันไม่พอรองรับ

กับความอยากของพวกเรา

 การซื้อรถยนต์นี้มันเร็วมันง่ายกว่าการสร้างถนน

ถนนสร้างไม่ทัน สร้างกี่ถนน

มันก็ไม่ทันปริมาณของรถยนต์

ที่มันเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ เหมือนงูกินหาง

 มันจะเลื้อยไปกัดหางตัวมันเองหางมันก็หนีมันไปเรื่อยๆ

หัวมันเลื้อยไปหาหาง หางมันก็หนีไปเรื่อยๆ

ไม่มีวันที่จะกินหางของมันเองได้ นี่ก็คือไม่มีอะไร

ที่จะตอบสนองความอยากของเราให้พอได้

 อยากได้เท่าไรมันก็ไม่พอสักที

นี่คือความรู้ ความสามารถของมนุษย์

เหมือนความรู้ความสามารถของงู

ที่พยายามที่จะไปกินหางของมัน

หรือคนที่ชอบเดินตะครุบเงา

 อยากจะเดินให้มันไปอยู่เร็วกว่าเงานี้เป็นไปไม่ได้

จะไปอยู่ข้างหน้าเงานี้เป็นไปไม่ได้

เดินไล่เงาไปเท่าไรเงามันก็เดินหนีเราไปเท่านั้น

ทำตามความอยากเท่าไร

 ความอยากมันก็เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ

 มันไม่มีวันสิ้นสุด แล้วถ้าอยากแล้วก็จะไม่มีคำว่าสุข

 เวลาอยากนี้หงุดหงิดรำคาญใจ

อยากจะไปแต่รถมันติด ก็หงุดหงิดรำคาญใจขึ้นมา

 อยากจะให้เขาทำอย่างนั้นทำอย่างนี้

เขาไม่ทำก็หงุดหงิดรำคาญใจขึ้นมา

 เพราะทำให้เสร็จก็อยากจะให้เขาทำอย่างนั้นต่ออีก

ทำให้เสร็จแล้วก็ไม่พออีก อยากจะให้เขาทำอย่างนั้นต่อ

 แล้วใครจะมาตอบสนองความอยากของเราได้

นอกจากคนรับใช้เท่านั้นเอง เขาทำได้

เพราะเรามีเงินให้เขา

 ถ้าเราให้เงินไม่พอความอยากของเขา

 เขาก็ไม่ทำอีกแหละ

มันก็ตั้งอยู่บนความอยากด้วยกัน

ถ้าเราอยากให้เขาทำก็จ่ายเงินซิเขาก็ทำให้

ถ้าจ่ายไม่พอเขาก็ไม่ทำให้ เพราะเขาอยากจะได้

มากกว่าที่เราจ่ายให้

เขาไม่ได้เขาก็ไม่พอใจเหมือนกัน เขาก็ไม่ทำ

โลกนี้มันถูกความอยากดันไปผลักไป

 ผลักไปเท่าไรมันก็ไปไม่ถึงคำว่าพอ

เพราะคำว่าอยากกับคำว่าพอนี้ มันอยู่ตรงกันข้ามกัน

 เหมือนกับความมืดกับความสว่างนี้มันอยู่ด้วยกันไม่ได้

 กลางคืนกับกลางวันนี้

มันอยู่พร้อมกันได้ไหมในที่เดียวกัน

มันอยู่คนละที่ได้ ตอนนี้ที่นี่กลางวัน

แต่ที่อเมริกามันกลางคืน

 แต่ในที่เดียวกันมันอยู่พร้อมกันไม่ได้

 ถ้ามันไม่มืดก็ต้องแจ้ง ถ้ามันไม่มืดก็ต้องสว่าง

 ถ้ามันไม่อิ่มมันก็ไม่พอ ถ้ามันพอมันก็อิ่ม

ถ้ามันหิวมันก็ไม่พอ ถ้ามันพอมันก็ไม่หิว

 ถ้ามันอยากก็แสดงว่ามันหิวมันก็ไม่พอ

ถ้าอยากจะพอก็หยุดความอยากเสียมันก็พอแล้ว

อันนี้เป็นหลักตรรกะง่ายๆ ตรงไปตรงมา

ความอยากมันจะพอไม่ได้

ถ้ามันอยากก็แสดงว่ามันไม่พอ

 ถ้ามันไม่พอมันจะสุขได้อย่างไร

คนเราจะสุขก็สุขเพราะว่ามันพอ

รับประทานอาหารจนรับประทานไม่ลงมันก็พอแล้ว

 พอแล้วมันก็สุขแล้ว

เพียงแต่ว่ามันสุขชั่วคราวเท่านั้นเอง

 เดี๋ยวพออาหารหมดจากท้องไปแล้ว

มันก็อยากขึ้นมาใหม่

 มันก็หิวใหม่แล้วก็ต้องรับประทานใหม่

ความสุขผ่านทางร่างกายมันก็จะเป็นความสุขชั่วคราว

 รับประทานอะไรมันก็พอมันก็สุขชั่วคราว

 แล้วเดี๋ยวมันก็จางหายไป

แล้วก็เกิดความอยากจะรับประทานขึ้นมาใหม่

 ความสุขทางร่างกายนี้

จะไม่มีวันทำให้เราพบกับความพอ

 ดูเท่าไร ฟังเท่าไร รับประทานเท่าไร ดื่มเท่าไร

 มันก็พอเดี๋ยวเดียว แล้วเดี๋ยวมันก็ต้องการอีกแล้ว

อยากอีกแล้ว มีที่เดียวเท่านั้นที่จะพอก็คือที่ใจเรา

เป็นที่เดียวที่เราสามารถ ทำให้มันพอได้

 ถ้ามันพอแล้วมันก็จะสุขมันจะสบาย

 แล้วมันก็จะสบายไปเรื่อยๆ สุขไปเรื่อยๆ

ถ้าเรารู้จักวิธีทำให้มันพอ มันก็จะพอไปเรื่อยๆ

แล้วมันไม่ต้องมีอะไรมาทำให้มันพอ มันดีตรงนี้

 ความพอของร่างกายนี้ต้องมีสิ่งนั้นสิ่งนี้มาทำให้พอ

 แต่มันก็ทำให้พอเพียงเดี๋ยวเดียว

 แล้วเดี๋ยวมันก็ไม่พอขึ้นมาอีก ก็ต้องหาสิ่งใหม่มาเติม

 เติมให้พออยู่เรื่อยๆ แต่ถ้าเราทำใจเราให้พอแล้ว

เราก็จะไม่ต้องมีอะไรมาทำให้เราพอ

ไม่มีอะไรในโลกนี้จะทำให้เราพอได้

 ต่อให้เราได้มากน้อยเพียงไรก็ตาม มันไม่พอ

 เดี๋ยวมันก็อยากได้ขึ้นมาอีก

ไม่อยากได้สิ่งนี้ก็อยากจะได้สิ่งอื่นแทน

 ถ้าสิ่งนี้มีมากเกินไปแล้ว ก็อยากจะได้สิ่งอื่น

 แล้วถ้าไม่ได้ก็เสียใจ หรือไม่พอใจไม่สบายใจ

 ได้ก็อยากจะได้สิ่งอื่น นี่คือความอยาก

 มันจะพาให้เราไปสู่ความไม่พออยู่เรื่อยๆ

 ความไม่พอก็คือความไม่สุขนั่นเอง

 แต่สิ่งที่จะทำให้เราก็คือความสงบ ความสงบของใจ

อันนี้ดีกว่าเทคโนโลยีทั้งหมดในโลกนี้

ดีกว่าจีพีเอสดีกว่ารถยนต์ที่จะพาเราไปไหนมาไหน

 ถ้าเราไม่อยากไปเสียอย่างแล้ว

ของพวกนี้มันจะมีความหมายอะไร

รถยนต์มันจะมีความหมายอะไร ถ้าเราไม่ต้องการมัน

 เราพอใจจะอยู่กับที่แล้ว พอใจจะอยู่ตรงนี้

จะเอารถยนต์ไปทำไม จะเอาน้ำมันไปทำอะไร

 จะเอาจีพีเอสไปทำอะไร เกะกะเปล่าๆ รกรุงรัง

 วุ่นวายไปเปล่าๆ ได้มาแล้วก็ต้องดูแลรักษามันอีก

ต้องล้างรถ ต้องหาที่เก็บ ต้องซื้อประกัน

 ต้องเติมน้ำมัน ต้องซ่อมบำรุง เดี๋ยวก็ต้องเปลี่ยนยาง

เดี๋ยวก็ต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง

มีภาระมีเรื่องให้ทำอยู่ตลอดเวลา

 แล้วถ้าทำไม่ได้ก็ปวดหัวอีก

นี่คือความสุขที่พวกเราหากัน

อยากไปไหนก็ต้องมีรถยนต์

 อยากจะไปสะดวกรวดเร็วก็ต้องมีเครื่องไม้

 เครื่องมือมาช่วยเสริม

 มันก็มีอะไรมาตอบสนองความอยาก

ของเราอยู่เรื่อยๆ แต่มีเท่าไร

ความอยากของเรา มันก็ไม่หมดไป

 ถ้ามาได้เร็วขนาดนี้

คราวหน้าก็อยากจะมาให้มันเร็วกว่านี้

เดี๋ยวก็ต้องมีวิธีผลิตรถยนต์ ที่วิ่งเร็วกว่านี้

วิธีที่จะไปไหนมาไหนได้เร็วถ้าทำได้ก็ดีก็คือ

ย่อตัวเราย่อรถเราให้มันเล็กเหมือนกับมด

 มันจะได้ไม่กินที่ถนนมาก ถนนนี้จะได้วิ่งรถได้ทีละเยอะๆ

 แล้วรถก็ยังได้วิ่งความเร็วได้เท่ากับขนาดความเร็ว

 ต่อไปทำอย่างนี้ได้ก็สบายไม่ต้องไปสร้างถนน

ก่อนจะออกจากบ้าน

ก็ย่อรถยนต์ย่อคนขับให้เล็กเท่ากับมด

 แล้วก็วิ่งไปตามท้องถนนมันก็ไม่กินที่กัน

เดี๋ยวนี้เขาก็มีคนคิดวิธีเดินทางกันแปลกๆ

เดี๋ยวนี้มีคิดวิธีทำท่อวิ่งกัน แทนที่จะทำถนนก็ทำท่อ

เหมือนท่อที่เราใช้กับรถยนต์ใต้ดิน

 รถไฟใต้ดินมันก็เป็นท่อ

 แต่นี่จะเป็นท่อความเร็วสูง เร็วกว่าเครื่องบินอีก

 ความอยากมันไม่มีสิ้นสุด ต่อไปเครื่องบินก็จะเร็วขึ้น

จากกรุงเทพฯไปแอลเอนี้ อาจจะแค่ชั่วโมงเดียว

แทนที่จะ ๑๐ กว่าชั่วโมง แต่มันก็เหมือนกัน

ไปเร็วไปช้าใจมันก็ยังร้อนเหมือนเดิม

 มันไม่ร้อนกับเรื่องนี้มันก็ไปร้อนกับเรื่องอื่น

มันมีเรื่องให้ร้อนอยู่เรื่อยๆ

 เพราะความอยากนี้เป็นเชื้อไฟของใจ

 ใจเราร้อนเพราะความอยาก

 ใจเราเย็นเพราะไม่มีความอยาก.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.............................

สนทนาธรรมบนเขา วันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๕๙






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 10 สิงหาคม 2559
Last Update : 10 สิงหาคม 2559 13:25:18 น.
Counter : 595 Pageviews.

0 comment
### เปิดโรงเรียนสอนทำใจให้สงบ ###









“เปิดโรงเรียนสอนทำใจให้สงบ”

ถ้าโลกนี้เปลี่ยนวิธีสร้างความสุขกัน

 เปิดโรงเรียนสอนวิธีทำใจให้สงบ

 เด็กอนุบาลก็จับมานั่งสมาธิกันเลย

 ไม่ต้องเรียน กอไก่ ขอไข่อะไรให้มันวุ่นวาย

เอบีซีก็ไม่ต้องเรียน ไม่ต้องอ่านอะไร

ไม่ต้องรู้อะไร รู้จักวิธีทำความสงบอย่างเดียวพอ

เชื่อไหมคนที่บวชในพระพุทธศาสนานี้

อ่านหนังสือไม่ออกก็บวชได้

ขอให้มีหูฟังแล้วเข้าใจสิ่งที่จะต้องทำเท่านั้น

ไม่ต้องอ่านหนังสือก็ได้ อ่านหนังสือไม่ออกก็ไม่เป็นไร

 เป็นพระอรหันต์ได้

คนที่อ่านหนังสือไม่ออกนี้เป็นพระอรหันต์ได้

 ถ้ารู้จักวิธีทำใจให้สงบ ถ้ารู้จักวิธีหยุดความอยากได้

 ก็เป็นพระอรหันต์ได้ ไม่ต้องเรียนเปรียญ ๙ เปรียญ ๑๐

 ไม่ต้องเรียนนักธรรมตรี โท เอก

ไม่ต้องไปสอบอะไร เรียนจากปากนี้ก็พอ

ให้รู้จักวิธีทำพุทโธแค่นี้ก็พอ

 ให้รู้จักวิธีหยุดความอยากแค่นี้ก็พอเป็นพระอรหันต์ได้

ประเด็นมันอยู่แค่ตรงไหน ถ้ามีพุทโธมันก็สงบได้

 ถ้ามันอยากก็อย่าไปทำตามความอยาก มันก็จบ

ถ้ารู้ว่าทำตามความอยากแล้วมันเป็นทุกข์มันไม่ใช่เป็นสุข

 รู้แค่นี้ก็พอ ถ้าคิดเป็น ถ้าอยากแล้วมันก็ยาวไม่มีจบ

 อยากได้นั่นแล้วก็อยากจะได้โน้นต่อ

อยากได้ ๑๐ แล้วเดี๋ยวก็อยากได้ ๑๐๐

 พอได้ ๑๐๐ แล้วก็อยากจะได้ ๑,๐๐๐ จะอยากไปเรื่อยๆ

 รู้แค่นี้พอ ให้เด็กทุกคนตั้งแต่อนุบาล

ให้รู้จักพุทโธคำเดียวพออยู่โรงเรียนก็นั่ง

กับเดินแล้วก็พุทโธๆๆไป ทุกคนทำอย่างนี้ทุกคนสบาย

 โลกจะไม่วุ่นวายจะไม่มีการแก่งเเย่งชิงดีกัน

 จะไม่มีการทะเลาะวิวาทกัน จะไม่มีสงคราม

พวกที่เขาเป็นพวกเพ้อฝันเขาก็ฝันอย่างนี้กัน

 ฝันว่าโลกนี้จะต้องไม่มีสงคราม

จะต้องอยู่กันอย่างสันติสุข

 แต่ไม่บอกวิธีกว่าอยู่กันอย่างไร

 ตัวคนบอกว่าต้องอยู่สันติสุขก็ไม่ได้อยู่อย่างสันติสุข

ตัวคนอยากให้โลกสงบไม่มีสงคราม

ก็อยู่แบบทำให้มันเกิดสงครามกันขึ้นมา

 อยู่แบบต้องมีนั่นมีนี่ก็

ถ้าอยากจะให้โลกอยู่กันอย่างไม่มีสงคราม

ก็ต้องอยู่กันด้วยความสงบ

 มาทำความสงบกันเพียงอย่างเดียว

นั่งสมาธิทำใจให้สงบ พุทโธๆๆไป

พอมีความอยากก็อย่าไปทำตามความอยาก

 บอกว่าเป็นทุกข์ การทำตามความอยาก

ได้เท่าไรก็ไม่พอ ได้แล้วก็เบื่อ

 เบื่อแล้วก็อยากจะได้ใหม่ เวลาเสียไปก็เสียใจ ทุกข์ใจ

ที่ฆ่ากันเพราะเรื่องเสีย พอใครมาแย่งของเราไป

 เราก็ไม่ยอมให้เขาแย่ง เขาก็จะเอา

 พอเขาจะเอาเราก็ไม่ให้เขาเอา ก็ตีกัน

 เดี๋ยวก็ฆ่ากัน ถ้าไม่มีอะไรจะให้เขาเอา

เขาก็ไม่มายุ่งกับเรา

 ถ้ามีแล้วเดี๋ยวเขาก็ต้องมาแย่งจากเราไป

พอเราไม่ยอมเขาเอาไปเราก็ต้องสู้กับเขา

 นี่ให้เห็นว่าการมีอะไรแล้วมันเป็นทุกข์

อย่าไปอยากอย่าไปมีกัน อยู่กับความสงบ

 อยู่กับความไม่มีอย่างเดียวพอ นิพพานัง ปรมัง สุญญัง

 คือการอยู่แบบไม่มีอะไร สูญญัง แปลว่า ศูนย์

อยู่กับศูนย์ อย่าไปอยู่กับ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙

 อยู่กับศูนย์ เวลาศูนย์แล้วจะไม่มีใครจะมายุ่งกับเรา

 เวลามีแล้วจะต้องมีคนมาขอแบ่งไป

มีเงินเดี๋ยวก็มีคนมาปล้นมาจี้จากเราไป

 ถ้าไม่มีเงินเขาก็ไม่มาปล้นมาจี้ให้เสียเวลา

นี่คือเป้าหมายที่แท้จริงของชีวิตก็คือความสงบ

 ถ้าอยากจะพบกับความสุขที่แท้จริงที่ถาวร

 พบกับความไม่มีความทุกข์

ต้องพบกับความสงบเพียงอย่างเดียว

 ถ้าพบกับความอยากแล้วก็จะมีแต่ความทุกข์

 ความวุ่นวายใจไม่มีวันสิ้นสุด

 ความสุขที่ได้ก็เป็นความสุขปลอม

 ความสุขอำพรางความทุกข์ เวลาได้ก็ดีใจ มีความสุข

 แล้วเดี๋ยวความทุกข์ก็ตามมา

พออะไรเป็นของเราแล้วก็ห่วงแล้ว

หวงแล้วกังวลและวิตก เวลาจากไปก็เสียใจ

 ดังนั้นพยายามอย่าไปมีอะไร พยายามเอาอย่างเดียว

 เอาความสงบพอ เอาเวลาทั้งหมดนี้มาทำความสงบกันดีกว่า

 ได้ความสงบแล้วจะไม่ต้องมีอะไร.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

............................

สนทนาธรรมบนเขา วันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๕๙







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 09 สิงหาคม 2559
Last Update : 9 สิงหาคม 2559 8:43:13 น.
Counter : 839 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ